ศึกชิงดินแดนกับศิลาไร้นาม
ท่ามกลางแสงสนธยา ป่าไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าแทบจะบังแสงทั้งหมดไป สองหนูน้อยนามเรียกขานง่ายว่า “เสี่ยว” ด้วยพวกเขาตัวเล็กกว่าคนอื่น เผ่าที่สองเสี่ยวอยู่เป็นเผ่าเล็ก ๆ มีจำนวนไม่ถึงสามสิบคน เผ่านี้เรียกตนเองว่า “ต้าซู่” ด้วยความที่ไม่ได้โดนแดดโดยตรง ทำให้เผ่านี้มีผิวขาวกว่าเผ่าอื่นอยู่มาก
ตอนนี้ในเผ่ากำลังวุ่นวาย เนื่องด้วยมีคนจากอีกเผ่ามาขอซื้อคนด้วยภาชนะไร้รูรั่ว หัวหน้าเผ่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะภาชนะต่าง ๆ นั้นมีมูลค่าเทียบเท่ากับเด็กสองคนเลยทีเดียว หัวหน้าเผ่าเหลือบตามองคนในเผ่า เขาชี้ไปที่สองเสี่ยวที่กำลังยืนมองสถานการณ์อยู่ไกล ๆ ผู้ขายมุ่นคิ้ว เพราะแม้จะได้มาสองคนตามที่ตกลงกัน แต่สองคนที่ได้ช่างผอมบางเหลือเกิน หัวหน้าเผ่าเห็นเช่นนี้ก็ชี้เด็กน้อยอีกคนเพิ่ม อีกฝ่ายค่อยพยักหน้าให้ พอแลกเปลี่ยนเสร็จ อีกฝ่ายก็พาคนไปทันที
สองเสี่ยวเดินเท้าเปล่าไม่ไกล ครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่อยู่ใหม่ของพวกตนแล้ว เผ่านี้อาศัยอยู่รวมกันในถ้ำ จำนวนไม่ต่างจากเผ่าต้าซู่เท่าไหร่ ที่ต่างกันคือเผ่านี้มีผิวที่คล้ำกว่า ทั้งสองเผ่าอยู่ในเขตร้อน จึงนิยมใส่แค่เครื่องประดับแทนเสื้อผ้า หนังสัตว์ก็เก็บไว้ทำผ้าห่มเพื่อรับมือกับฤดูหนาว
พอหญิงท้องโตสามคนในถ้ำเห็นกลุ่มคนเปลือยล่อนจ้อนกลับมา ก็ยิ้มให้และกวักมือเรียกเด็กน้อยทั้งสาม พวกนางเอาตะกร้าสานแบบหยาบ ๆ ให้เด็กทั้งสามเพื่อไปเก็บผลไม้มาให้พวกตนกิน เพราะไม่อาจเดินไกลขนาดนั้นได้ ทั้งสามรับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปเก็บผลไม้ใกล้ ๆ
“พี่ เจ้าว่าเผ่านี้เป็นเช่นไร” เจ้าเสี่ยวสองถามอย่างสงสัย
“ข้าว่าก็น่าไม่ต่างจากเผ่าเรานะ”
“จริงหรือ”
พอตกค่ำเท่านั้น เสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะก็ดังทั่วถ้ำ เจ้าเสี่ยวลุกขึ้นมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว พลันสบถในใจ
“นี่ – นี่จะนอนได้อย่างไร”
เจ้าเสี่ยวอยากจะถอนคำพูดที่พูดไว้ตอนบ่าย แม้ในเผ่าต้าซู่ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ให้เห็น แต่ด้วยพวกเขาใช้โพรงไม้เป็นที่อาศัย จึงไม่ได้อยู่กันเยอะ เลยทำให้ไม่มีปัญหานอนไม่หลับเพราะเสียงกระทบเนื้อเช่นนี้ แต่นี่พวกเขาอยู่ยี่สิบกว่าคน และไม่ได้ทำแค่หนึ่งคู่ จึงทำให้เสียงดังนานเป็นพิเศษ บวกกับความก้องของถ้ำ จึงทำให้ยิ่งก้องดังเข้าไปใหญ่
เจ้าเสี่ยวจนคำพูดไปพักหนึ่ง มองเจ้าเสี่ยวสองที่นอนหลับได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ช่างน่านับถือยิ่งนัก เจ้าเสี่ยวทนไม่ไหว เดินออกจากถ้ำไปเพื่อรอให้เหตุการณ์ภายในถ้ำสงบลง เจ้าเสี่ยวเดินขึ้นเขา จะเรียกว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่เนินเล็ก ๆ ข้างล่างเป็นถ้ำที่ตนอาศัย เจ้าเสี่ยวทิ้งตัวลงนอนมองจุดแสงเหลือคณาบนฟ้าอย่างเหม่อลอย พร้อมความคิดในหัว
ตอนนี้เขาอายุสิบสามฤดูหนาวแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นแล้ว เขาแทบจะสูงไม่เท่าคนที่เด็กกว่าด้วยซ้ำ อยู่กับความคิดตัวเองพักใหญ่ จนเสียงในถ้ำสงบลง เจ้าเสี่ยวกำลังจะเดินลงเขา แต่กลับเห็นศิลาที่ส่องแสงประหลาดเข้าเสียก่อน
ในสายตาเจ้าเสี่ยว ศิลานี้มีเส้นสายขยุกขยุยนับไม่ถ้วน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ศิลาที่กำลังเชิดอกตั้ง เพราะคนแล้วคนเล่าที่ได้อ่านต่างก็ตกตะลึงกันเป็นแถว แต่ผ่านไปนานกลับพบว่าเจ้าหนูตรงหน้ายังยืนโง่งมอยู่เลย ศิลาพลันเข้าใจว่าเจ้านี่อ่านไม่ออก
จากนั้นศิลาก็เปลี่ยนเป็นอักษรแล้วอักษรเล่า เจ้าเด็กนี่ก็ยังโง่งมอยู่เช่นเดิม ศิลาคิดหนัก ก่อนจะเปลี่ยนจากอักษรให้เป็นภาพแทน ภาพแรกคือภาพคนที่กำลังหลับตา โดยในหัวมีคนตัวเล็กที่กำลังหลับตาเช่นกันซ่อนอยู่
ภาพที่สองเป็นเช่นเดิม แต่ที่ต่างไปคือทั้งสองไม่ได้หลับตาแล้ว
ภาพที่สามคือภาพภูเขาและสายน้ำ แต่มีสิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือก้อนแสงที่มีคนตัวเล็กอยู่ข้างใน
ภาพที่สี่คือภาพคนตัวเล็กในหัวกำลังคุยกับคนที่อยู่ในก้อนแสง
ภาพที่ห้าคือภาพที่คนในก้อนแสงเข้ามารวมกับคนตัวเล็กในหัว
ภาพที่หกคือภาพคนเบ่งกล้าม คล้ายจะสื่อว่าหากทำตามวิธีนี้แล้วจะแข็งแกร่งขึ้น
“นี่ – นี่ – นี่มันคือการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นหรือ” เจ้าเสี่ยวตกตะลึงไม่ได้นาน เพราะในสายตาพบว่าศิลาปล่อยเส้นสายประหลาดออกมา พวกมันกำลังวิ่งเข้าหาตน เจ้าเสี่ยวไม่ทันตอบสนอง เส้นสายประหลาดก็เข้ามาในร่างเขาเสียแล้ว
เจ้าเสี่ยวตื่นตระหนก รีบวิ่งกลับถ้ำโดยไว ถึงถ้ำ เขาก็นอนข้างเจ้าเสี่ยวสองทันที รออยู่นาน ร่างกายก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เจ้าเสี่ยวให้โล่งใจนัก จึงค่อย ๆ ข่มตาที่เหนื่อยล้าของตนลง
รุ่งเช้า เจ้าเสี่ยวถูกปลุกด้วยมือน้อย ๆ ของเจ้าเสี่ยวสอง เจ้าเสี่ยวลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เพราะเมื่อคืนเขานอนดึก
“พี่ พวกเราต้องไปเก็บผลไม้แล้วนะ” เจ้าเสี่ยวสองยื่นตะกร้าให้
“อืม งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ก่อนออกจากถ้ำหญิงท้องโตเปลือยท่อนบนและล่างก็ยื่นเนื้อตากแห้งให้พวกเขาสองสามชิ้น
พอออกมาไกลได้ระยะหนึ่ง เจ้าเสี่ยวสองพลันบ่นอุบ
“ท่านพี่ เนื้อมีแค่สามชิ้นเราจะอิ่มหรือ” เจ้าเสี่ยวสองพูดอย่างกังวล
“ทำไงได้ละ เดี๋ยวเราค่อยแอบกินผลไม้ที่เก็บมาได้ แล้วกัน”
“เอาตามท่านพี่ว่าขอรับ”
พอตกค่ำ ความเหนื่อยล้าก็เข้าครอบงำสองเสี่ยว เจ้าเสี่ยวสองหลับอย่างไว ทิ้งให้เสี่ยวคนพี่นอนฟังกิจกรรมของผู้ใหญ่อยู่คนเดียว ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว เจ้าเสี่ยวออกจากถ้ำเพื่อไปที่ที่ตนพบกับศิลาประหลาดนั้น
พอถึง เจ้าเสี่ยวก็มองหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอแล้ว
“ว่าแต่วิธีนั่นมันจะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงหรือเปล่านะ เห้อ ไม่ลองก็ไม่รู้ละนะ”
พอคิดได้เช่นนี้ เจ้าเสี่ยวนั่งลงด้วยท่าขัดสมาธิ และหลับตาลง เจ้าเสี่ยวนั่งไปพักใหญ่ก็ไม่พบกับคนในหัวเลย จึงคิดจะเรียกหาดู เจ้าเสี่ยวพึมพัมในหัว
“คนตัวเล็ก คนตัวเล็ก คนตัวเล็ก”
ผ่านไปนาน เขาไม่ได้พบกับคนตัวเล็ก แต่ได้พบว่าความมืดมิดกลับมีแสงประหลาดผุดขึ้นมา ทั้งที่เขาหลับตาอยู่ เจ้าเสี่ยวตกใจลืมตาขึ้น ทุกสิ่งเมื่อครู่พลันสลายไป
“เมื่อครู่... เมื่อครู่คือคนตัวเล็กเหรอ? ไม่ใช่สิ ภาพในศิลาน่าจะหมายถึงตัวเรามากกว่า แสดงว่าเราคือคนตัวเล็กในหัวสินะ คนตัวเล็กในหัวลืมตาขึ้นมันจึงสว่างขึ้นมา”
เจ้าเสี่ยวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาพลันหลับตาและเอ่ยเรียก ‘คนตัวเล็ก’ อีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้าเสี่ยวนึกถึงขั้นต่อไป คือการลืมตาทั้งร่างกายและคนในหัว
พอลืมตาตัวเองขึ้น ก็ไม่พบกับคนตัวเล็กในก้อนแสงเสียที เจ้าเสี่ยวไม่ยอมแพ้ เขาทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนครั้งที่ห้าสิบเก้า...
ในสถานที่เดิม จุดแสงยังคงสว่างอยู่เช่นเดิม แต่ในสายตาเจ้าเสี่ยวกลับพบก้อนแสงมากมายเหลือคณาล่องลอยเต็มฟ้า แม้เหมือนเป็นกลุ่มแสง แต่พอดูดี ๆ กลับโปร่งใสซะงั้น
ในความคิดเจ้าเสี่ยวมีเพียงความอัศจรรย์ใจ ตะลึงอยู่นาน เจ้าเสี่ยวนึกถึงขั้นต่อไป คือการพูดคุยกับก้อนแสงพวกนี้
เจ้าเสี่ยวไม่คิดมาก เอ่ยทักทายออกไปตรง ๆ
“สวัสดี”
“......”
“ข้าชื่อเสี่ยว เจ้าหละมีชื่อหรือไม่”
ก้อนแสงยังคงไม่ตอบ เจ้าเสี่ยวคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะนึกได้ว่าในภาพคนในหัวเป็นคนพูด
พอนึกได้เช่นนี้ เจ้าเสี่ยวทดลองทันที
“สวัสดี ข้าชื่อเสี่ยว เจ้ามีชื่อหรือไม่”
เจ้าเสี่ยวพูดจบกลับไม่มีเสียงออกมา แต่เป็นเส้นสายวิ่งไปมาแทน มันเคลื่อนที่ได้ไวมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตั้งชื่อได้ประหลาดชะมัด”
“ประหลาดที่ใด?”
ก้อนแสงไม่ตอบ แต่พึมพำความคิดตนเองแทน
“ช่วยไม่ได้ละนะ ก็โลกนี้เพิ่งกำเนิดได้ไม่นาน จะเทียบกับโลกอื่นได้อย่างไร”
“โลกอื่น? ที่ที่ตนอยู่เรียกว่าโลกหรือ? ไหนจะมีโลกอื่นด้วย”
“ที่ที่ข้าอยู่เรียกว่าโลกหรือ แล้วโลกอื่นอยู่ที่ใด”
“ไอ้หนูเจ้าก็หัวไวเหมือนกันนี่ ใช่แล้ว ดาวที่มีสิ่งมีชีวิตพวกเขาจะเรียกรวม ๆ ว่าโลก ส่วนโลกอื่นเจ้าอย่าเพิ่งคิดเลย ที่เจ้าควรคิดในตอนนี้คือจะเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรอย่างไรต่างหาก เห้อ... โลกที่มีพลังปราณหนาแน่เช่นนี้ เกือบทุกดาว เผ่าอสูรจะเป็นผู้ครอง”
“เผ่าอสูรหรือ พวกข้าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินว่ามีเผ่าอสูรมาก่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนู เจ้าคิดว่าโลกเล็กนั้นขนาดนั้นเลยหรือ อย่างว่าละนะ กบใต้บ่อจะรู้จักโลกภายนอกได้อย่างไร เห้อ ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้ ถือว่าทำบุญกับสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนานี้แล้วกัน โลกนี้กว้างใหญ่จนต่อให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตของเจ้าก็ไม่สามารถเดินรอบโลกได้สักรอบ นี่ก็เพราะช่วงอายุที่สั้นของพวกเจ้าด้วย ไม่ถึงสี่สิบปีเจ้าก็ตายแล้ว”ในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าอสูร นี่เป็นชื่อเรียกรวม ๆ ของสัตว์ที่วิวัฒนาการต่างจากมนุษย์ แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่ เช่น ลำตัว แขน ขา เผ่าอสูรบางเผ่ามีหางมาเพิ่ม บางเผ่ามีหัวเป็นสัตว์ ฯลฯ
ด้วยเพราะเผ่าอสูรดูดซับพลังฟ้าดิน หรืออีกชื่อหนึ่งคือพลังปราณได้ตั้งแต่เกิด และทุกตัวมีสิ่งที่เรียกว่ารากปราณ เผ่าอสูรจึงแข็งแกร่ง
“และด้วยสภาพแวดล้อมที่มีพลังปราณหนาแน่นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเผ่าที่ดูดซับพลังปราณมาแต่กำเนิด กับตัวเจ้าที่ไม่มีแม้แต่รากปราณ ใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือ”
เจ้าเสี่ยวอึ้งงันด้วยความรู้ที่ตนได้รับมา
“เจ้าหนู เจ้าไม่ต้องกังวลไป ที่ที่ปราณหนาแน่นอยู่ไกลจากที่นี่มาก กว่าเผ่าอสูรจะขยายอาณาเขตมาถึงที่นี่ เจ้าคงตายไปเสียก่อนแล้ว”
“แล้ว... แล้วถ้าเผ่าอสูรมาถึง เผ่ามนุษย์จะเป็นยังไง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนู แล้วพวกเจ้าทำอย่างไรกับสัตว์ที่พวกเจ้าจับมาได้กันเล่า”
เจ้าเสี่ยวจนคำพูด พอนึกภาพเขาก็เสียวสันหลังแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางรอดให้เผ่าของข้าหรือไม่”
“มันก็มีทางอยู่ เพราะในจักรวาลนี้สวรรค์ไม่อนุญาตให้มีสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบหรอก ทุกสิ่งมีชีวิตนั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งเป็นของตนเอง ยกตัวอย่างเช่นกระต่าย แม้มันจะอ่อนแอ สัตว์อื่นเห็นมันเป็นเนื้อบนเขียง แต่มันสามารถขยายพันธุ์ได้ไว เจ้าลองให้มันไม่โดนล่าดูสิ หากให้เวลามันมากพอ มันก็สามารถทำลายโลกได้เช่นกัน”
“งั้นพวกเราต้องขยายพันธุ์เยอะ ๆ ใช่ไหม?”
พอคนในก้อนแสงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้มือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงครั้งหนึ่ง พักใหญ่จึงค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ เขากระแอมไอให้คอชุ่มก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้หนู ข้าจะพูดตรง ๆ แล้วกัน ดาวที่มนุษย์ถืออำนาจสูงสุดคือดาวที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี พูดให้เจ้าเข้าใจคือ มนุษย์สามารถสร้างอาวุธที่สามารถทำลายดาวดวงนี้ได้ทั้งดวง”
เจ้าเสี่ยวอึ้งตะลึง เขานึกภาพอาวุธที่สามารถทำลายดวงดาวได้จะหน้าตาเป็นเช่นไร
“อย่างที่ข้าบอก ทุกสิ่งล้วนมีจุดเด่นจุดด้อย จุดเด่นของเผ่ามนุษย์คือสมอง เอาง่าย ๆ คือเจ้ามีคนตัวเล็กในหัวที่ใหญ่กว่าเผ่าอื่น จุดด้อยของพวกเจ้าก็คือร่างกายของพวกเจ้า
ถ้าเจ้าอยากจะชนะเผ่าอสูร การสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งจนสยบเผ่าอสูรอาจจะไม่ทัน เจ้าต้องฝึกปราณเพื่อให้มีพลังที่แข็งแกร่งและสร้างวิชาที่ทรงพลัง จนไม่มีอสูรตนใดสู้กับเจ้าได้”
“แต่ท่านบอกว่าข้าไม่มีรากปราณมิใช่หรือ ข้าจะฝึกปราณได้อย่างไร”
“เจ้าหนู เจ้าก็มีวิชาที่สามารถช่วยเจ้าได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“วิชานี่หรือ...” เจ้าเสี่ยวพลันนึกถึงจุดประสงค์แรกที่ตนได้มาคุยกับคนในก้อนแสง
“เจ้าก็แค่ฝึกไปตามนั้น แล้วเจ้าจะฝึกปราณได้เอง แล้วอีกอย่าง วิชานี้ห้ามถ่ายทอดให้ใครโดยเด็ดขาด หรือเจ้าอยากจะลองก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องเตรียมตัวโดนฟ้าผ่าเสียก่อนละ”
เจ้าเสี่ยวขนลุกชัน
“ข้า... ข้าเข้าใจแล้ว แล้วข้าจะทำอย่างไรให้ท่านหลอมรวมกับข้าละ”
วิญญาณเงียบไปนาน ในความเงียบนี้เจ้าเสี่ยวรู้สึกเหมือนตนกำลังโดนจ้องด้วยสายตาชั่วร้าย
“การจะให้ข้าหลอมรวมกับเจ้านั้นง่ายมาก แค่เจ้าทำข้อตกลงกับข้าข้อนึง”
“ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไรหรือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขอแค่เจ้าใช้ส่วนล่างของเจ้าบ่อย ๆ ก็พอแล้ว”
เจ้าเสี่ยวก้มลงมองร่างเปลือยเปล่าของตน และคำนวณส่วนได้ส่วนเสียในใจ อีกความคิดบอกไม่ให้ตกลงเด็ดขาด อีกความคิดก็บอกว่ามันจะเป็นอะไร นี่มันเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วมิใช่หรือ
วิญญาณวิปริตยิ้มชั่วร้าย
“เจ้าหนู หากเจ้าตกลง ข้าจะมอบความทรงจำส่วนที่สามารถพัฒนาความเป็นอยู่ของพวกเจ้าให้ด้วยนะ ว่าไงละ แล้วสิ่งที่ข้าขอมันแทบจะไม่ใช่คำขอด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำอยู่แล้ว”
เจ้าเสี่ยวคิดตาม ก็จริงอย่างที่เขาว่า เจ้าเสี่ยวไม่ลังเลอีก
“ได้ ข้าตกลง”
ในที่สุดวิญญาณวิปริตพึมพำคล้ายจะร่ำไห้ เขารอมานานเหลือเกิน ต้องรู้ว่าการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตต้องใช้พลังวิญญาณที่ล่องลอยอยู่เกือบร้อยตน แต่ก็แล้วแต่เผ่าด้วย เช่น เผ่ามนุษย์ต้องใช้แปดสิบดวงขึ้นไป การที่จะเป็นวิญญาณหลักคือหนึ่งในร้อย วิญญาณวิปริตตนนี้เลยใช้วิธีการทำข้อตกลงแทน
แม้ไม่ได้เป็นวิญญาณหลักก็จริง แต่การมีข้อตกลงอยู่ วิญญาณวิปริตตนนี้ก็มีเจตจำนงบางส่วนหลงเหลือ
“เจ้าหนู ก่อนที่ข้าจะหลอมรวมกับเจ้า ข้าจะแนะนำเจ้าอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้าอยากหาทางรอดให้เผ่าของเจ้า จำเป็นต้องมีผู้นำ แต่เป็นแค่หัวหน้าเผ่านั้นไม่พอ ข้าแนะนำเจ้า ให้เป็นเทพของพวกเขาเสีย หากเจ้าฝึกวิชาสำเร็จ ก็โชว์พลังให้พวกเขาเห็นสักหน่อยเท่านั้นก็ได้แล้ว”
วิญญาณวิปริตพูดจบก็ลอยเข้าไปในร่างเจ้าเสี่ยวทันที ความทรงจำอันแปลกประหลาดหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเจ้าเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง ถ้าเยอะกว่านี้หัวเขาอาจจะระเบิดออกมาโดยตรง
เจ้าเสี่ยวเดินโซเซไปหาถ้ำ พอถึงก็ล้มตัวนอนหลับไปทันที เจ้าเสี่ยวเดินมาตลอดทางโดยไม่รู้เลยว่าส่วนล่างของตนกำลังตั้งชูชัน และเขาก็หลับไปทั้งอย่างนั้น....
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
Ohara Shinosuke
จริงใจ
2025-10-13
1