อ้าก อ้าก ท้องข้าจะแตกแล้ว!! เจ้าเสี่ยวเห็นเช่นนี้มือไม้ก็ตวัดอย่างสะเปะสะปะ รีบควบคุมพลังปราณในร่างของเสี่ยวคนน้องให้ออกมาอย่างลนลาน เจ้าเสี่ยวสองที่เกือบท้องแตกก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เพลิงที่สุมแน่นในอกของเสี่ยวคนพี่ค่อยๆ ดับมอดพร้อมความโล่งใจที่เข้ามาแทนที่ เพราะรู้ว่าเจ้าเสี่ยวสองรอดจากเงื้อมือยมบาลแล้ว
" ท่านพี่เหตุใดมันจึงเจ็บปวดเช่นนี้ " เจ้าเสี่ยวสองพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เพราะเมื่อครู่ตนเกือบได้ไป
เฝ้ายมบาลเสียแล้ว เสี่ยวคนพี่อึกอักด้วยกลัวเสียมาด ผู้ทรงภูมิจึงโกหกออกไป
" ไอ้หนูเจ้าอยากได้พลัง แค่ความยากลำบากเท่านี้เจ้ากลับหวาดกลัวเสียแล้ว เจ้าผ่านขั้นแรกของการฝึกแล้ว ขั้นต่อไปก็จะไม่เจ็บปวดเช่นนี้แล้วล่ะ เจ้าอดทนได้เยี่ยมมาก"
" ท่านพี่" เสี่ยวคนน้องน้ำตาซึมเพราะการโดนปลอบจากพี่ชายต่างบิดามารคนนี้
" เอาล่ะเจ้าก็นั่งสัมผัสพลังไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะเก็บผลไม้ป่ามาเผื่อเจ้าด้วย"
" ขอรับท่านพี่" เจ้าเสี่ยวสองเช็ดน้ำที่หางตา ในใจให้ซาบซึ้งยิ่งนักด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ชายต่างสายเลือดผู้นี้
เสี่ยวคนพี่รีบหลบฉาก หากอยู่นานกว่านี้เขากลัวว่าตนอาจปล่อยไก่ออกมาก็เป็นได้ ในหัวคิดว่าครั้งหน้าที่ตนมอบพลังให้ผู้อื่นจะยัดเข้าไปทีเดียวไม่ได้ ต้องค่อยๆ ใส่พลังปราณเข้าไป ให้รากปราณเติบโตอย่างช้าๆ แค่ให้พวกเขาสัมผัสถึงพลังปราณก็น่าจะพอแล้วกระมัง แค่นี้พวกเขาก็คิดว่าข้าเป็นคนมอบให้เองแหละมั้ง แต่การยัดเข้าไปทีเดียวก็มีผลดีเหมือนกัน เพราะเจ้าเสี่ยวสองขึ้นมาอยู่ในระดับหนึ่งของขั้นรวบรวมลมปราณในทันที เรียกได้ว่าเป็นวิธีบังคับให้รากปราณเติบโตขึ้นโดยตรง แล้วเมื่อครู่ข้าก็ยังควบคุมพลังปราณได้ไม่ดีพอ ข้าต้องฝึกควบคุมพลังวิญญาณให้ดีกว่านี้ หากข้าไปโอ้อวดพลังตอนนี้เลย อาจจะเป็นการปล่อยไก่ตัวโตก็เป็นได้
เจ้าเสี่ยวสองนั่งสัมผัสพลังแปลกใหม่ที่ตนพึ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก มันช่างสบายเหลือเกิน เขานั่งพลางทดลองใช้พลังปราณ ผ่านไปเนิ่นนาน จนถูกมืออันคุ้นเคยของพี่ชายต่างบิดามารดาคนนี้สัมผัสเข้าที่หัว จึงรู้สึกตัวขึ้นมา
" นี่เจ้าจะนั่งไปถึงพรุ่งนี้เลยหรือไร" เสี่ยวคนน้องจึงพบตอนนี้เองว่าดวงไฟแดงใหญ่กำลังจะลับขอบฟ้าเสียแล้ว เจ้าเสี่ยวสองเอ่ยกับคนเป็นพี่ด้วยความตื่นเต้น
" พี่ พี่ข้าสัมผัสถึงพลังได้แล้ว แต่ข้ายกหินแบบที่ท่านทำไม่ได้”
" เจ้าหนู เจ้าเพิ่งจะอยู่ในขั้นแรกของเส้นทางอันยาวไกลเองนะ”
" ขอรับ" เจ้าเสี่ยวสองยังคงตื่นเต้นแต่ก็คิดข้อหนึ่งได้ว่าเขาไม่ต่างจากคนธรรมดาเลย เพราะเขาไม่สามารถใช้พลังปราณภายนอกร่างกายได้เลยคล้ายกับว่าหากมันออกไปข้างนอกร่างกายมันจะไม่ใช่ของตนอีก
" ท่านพี่แล้วพลังนี้มันใช้อย่างไรหรือ ข้าไม่อาจนำมันออกจากร่างกายได้”เจ้าเสี่ยวสองถามข้อสงสัยของตนเอง
เจ้าเสี่ยวก็นึกถึงข้อนี้เช่นกัน เพราะระหว่างเก็บผลไม้เขาก็ลองดูดซับพลังปราณไปด้วย จนตอนนี้เขาก็อยู่ระดับหนึ่งของขั้นรวบรวมปราณแล้ว ด้วยเหตุที่รากปราณอยู่ในวิญญาณเลยทำให้เขาไม่ต้องนั่งลงฝึกเหมือนคนอื่น แค่ให้ร่างวิญญาณทำแทน เจ้าเสี่ยวครุ่นคิดวิธีใช้พลังปราณอยู่พักหนึ่งก่อนจะคิดขึ้นได้ถึงวิธีการใช้พลัง ที่เผ่าอสูรนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งมาจากเผ่าพันธุ์และอีกส่วนมาจากการที่พวกมันนำพลังปราณฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงร่างกายของตนเอง แล้วเหตุไฉนมนุษย์ถึงจะทำด้วยไม่ได้ และเขาก็คิดถึงอีกวิธีได้ คือการให้พลังปราณไปอยู่ที่ส่วนที่จะใช้โจมตีไม่ว่าจะเป็นหมัด เท้าหรืออาวุธ พลังโจมตีก็จะเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
เจ้าเสี่ยวบอกวิธีการใช้พลังปราณนี่ตนคิดได้ให้เสี่ยวผู้น้องฟังเจ้าเสี่ยวสองก็ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
ตกค่ำสองเสี่ยวก็เดินกลับมาถึงถ้ำ หลังกินอาหารที่เผ่าแจกให้เสร็จ ก็กลับมาร่ำเรียนวิชารอบดึกอีกครั้ง คาบนี้คุณครูสาวใช้มือเป็นเท้าที่สามและสี่ ปล่อยให้คุณครูพละโอบกอดและงอตัวเข้าออกอย่างกระหายอยาก สองบัณฑิตหนุ่มขยับดินสอขึ้นลง จดความรู้เข้าไปในหัวสมอง เนื่องด้วยอาการเหนื่อยล้าระหว่างวันและความผ่อนคลายก่อนนอน สองบัณฑิตจึงผลอยหลับไป ข้อตกลงที่เคยทำไว้กับวิญญาณขี้อายพลันค่อยๆ จางหายไปด้วย
หลังทำภารกิจในช่วงเช้าคือเก็บผลไม้ป่าของพวกตนเสร็จ สองเสี่ยวก็เริ่มขั้นตอนการฝึกฝนของตน เสี่ยวคนน้องนั่งขัดสมาธิฝึกโคจรพลังปราณไปทั่วร่างเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย เสี่ยวคนพี่กำลังฝึกใช้พลังจิตควบคุมสิ่งของ แม้ยังไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ดีกว่าตอนแรกอยู่มาก
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่ยี่สิบห้า สองเสี่ยวฝึกอย่างต่อเนื่อง ในสามวันนี้ร่างกายของเจ้าเสี่ยวสองแข็งแกร่งขึ้นบ้าง ส่วนเสี่ยวคนพี่ ก็ฝึกการควบคุมพลังจิตเช่นเคยสามวันมานี้ก็มีพัฒนาการขึ้นมาบ้างเช่นกัน และการคาบเรียนรอบดึกในสามวันนี้ก็มีวันหยุดเสียที แม้จะแค่วันเดียวก็เถอะนะ
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่สามสิบ สองเสี่ยวยังคงฝึกฝนเช่นเดิม ในห้าวันนี้ด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวผู้พี่ เจ้าเสี่ยวสองจึงขึ้นมาอยู่ในขั้นรวบรวมปราณขั้นที่สองแล้ว ส่วนเสี่ยวผู้พี่แม้ยังฝึกไม่ถึงขั้นที่สองแต่ก็ใกล้แล้ว การฝึกพลังจิตก็เป็นไปอย่างราบรื่น ส่วนคาบเรียนรอบดึงก็สองเสี่ยวก็เข้าเรียนตามปกติ
ในชั่วเวลาอาทิตย์ขึ้นสามสิบครั้งนี้ ด้วยข้อตกลงที่ทำกับวิญญาณวิปริตทำให้ร่างกายของเจ้าเสี่ยวหลั่งสารความเป็นชายมากขึ้นจึงทำให้เขาสูงขึ้น แม้เขาจะกินเท่าที่ผ่านมา แต่ร่างกายที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณฟ้าดิน ทำให้เด็กร่างกายผอมแห้ง มีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง
“ตอนนี้แม้ข้าควบคุมพลังจิตวิญญาณไม่ชำนาญนัก แต่แค่การเต้นแล้งเต้นกาเท่านั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
เช้าวันรุ่งขึ้นในฤดูร้อน ภายใต้ดวงไฟยักษ์บนฟ้า เงาร่างของมนุษย์ยุคหินเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนราวกับมดงาน แต่สองหนุ่มกลับกำลังจับเข่าคุยกัน
“เจ้าเสี่ยวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงมองพลังให้เจ้าได้”
“เพราะเหตุใดหรือท่านพี่” เจ้าเสี่ยวสองสงสัย
“เพราะว่าข้าคือเทพอย่างไรละ”
“อะไรนะ ท่านพี่เป็นเทพหรือ” เจ้าเสี่ยวน้อยเชื่อจริงๆ เพราะหากมิใช่เทพ ผู้ใดจะสามารถมอบความแข็งแกร่งให้ผู้อื่นได้ คนเป็นพี่พลันหัวเราะขึ้นมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าบื้อ ข้าจะเป็นเทพได้อย่างไร” เจ้าเสี่ยวน้อยรู้สึกผิดหวัง งั้นตนก็ไม่ใช่น้องของเทพแล้วสิ พอเห็นสีหน้าผิดหวังของเสี่ยวผู้น้อง ก็เข้าทางเจ้าเสี่ยวละสิ เพราะที่ตนพูดมาทั้งหมดก็เพื่อเวลานี้แหละ
“เห้อ แม้ข้าจะไม่ใช่เทพ แต่ข้าเป็นผู้รับใช้เทพเจ้า ข้าได้ภารกิจจากท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ให้ข้าพัฒนาความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ ดังนั้น ท่านเทพจึงให้ข้าแอบอ้างเป็นเทพ เพื่อนำเผ่ามนุษย์ไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เทพจะขาดคนรับใช้ได้เช่นไร ถ้าข้าไปปั้นดินปั้นทรายผู้ใดจะศรัทธาข้ากัน เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่” พอเจ้าเสี่ยวน้อยคิดตามก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าเสี่ยวเห็นเสี่ยวผู้น้องคล้อยตามจึงพูดต่อ
“ข้าสนิทกับเจ้าที่สุด ข้าขอแค่เจ้าทำตามที่ข้าบอก หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นเจ้าก็จะเป็นข้ารับใช้ของเทพเช่นเดียวกันกับข้า ไม่แน่ว่า หากภารกิจจบลงเราอาจจะได้รับรางวัลจากเทพก็ได้นะ ว่าไง เจ้าสนใจหรือไม่”
พอเจ้าเสี่ยวสองได้ยินคำว่ารางวัลจากเทพดวงตาก็เปล่งประกายแวววาวออกมา พลันตอบตกลงพี่ชายตางบิดามารดาผู้นี้ไปโดยไม่คิดมาก
“เยี่ยมมาก งั้นข้าจะเล่าแผนการให้เจ้าฟัง”
“ขอรับ” เจ้าเสี่ยวสองนั่งเรียบร้อยคล้ายบัณฑิตผู้ใฝ่ร่ำใฝ่เรียนผู้หนึ่ง
“ขั้นแรกเจ้าต้องไปล่อสัตว์ป่าที่ทรงพลังในสายตาของคนในเผ่ามา”
“ขั้นที่สองเจ้าก็ต้องทำเป็นสู้มันไม่ได้ และกำลังจะโดนมันฆ่า”
“ขั้นที่สามข้าจะปรากฏตัวขึ้นอย่างอลังการและช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากความตาย แค่นี้ข้าก็จะเป็นเทพในสายตาพวกเขาแล้ว เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” เจ้าเสี่ยวน้อยหยักหน้าหงึกๆ บ่งบอกว่าตนเข้าใจ
“ดีมาก ไว้เราค่อยเริ่มกันพรุ่งนี้”
“ขอรับ” ช่วงเวลาที่เหลือของวันสองเสี่ยวไม่ปล่อยให้เสียเปล่า พากันฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น
ตกค่ำ เนื่องด้วยเสี่ยวคนพี่คิดว่าตนจะไม่ได้เข้าเรียนแล้วเพราะการเป็นเทพไม่สามารถมานอนเกลือกกลั้วกับสามัญชนคนธรรมดาได้ ไม่งั้นพวกเขาจะคิดว่าเทพก็ไม่ต่างจากพวกตน หากได้รับพลังแล้วด้วยความคิดที่ว่า อาจจะเกิดการตั้งตนเป็นเทพอีกสักองค์ก็เป็นได้ แน่นอนว่าเจ้าเสี่ยวไม่ได้คิดจะถืออำนาจไว้กับตนเพียงผู้เดียว แต่ด้วยการที่ต้องสู้กับเผ่าอสูร หากเผ่ามนุษย์ที่อ่อนแออยู่แล้วแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่าขึ้นมา จะเอาอะไรไปสู้กับเผ่าที่แข็งแกร่งอย่างเผ่าอสูรกัน ด้วยเหตุนี้เจ้าเสี่ยวจำต้องสละการร่ำเรียนวิชาที่สำคัญนี้ไป และขอให้อาจารย์สอนอย่างจัดเต็มเป็นครั้งสุดท้าย อาจารย์ด้วยความเอ็นดูลูกศิษย์ของตน จึงถ่ายทอดความรู้ให้โดยไม่กั๊กไว้แม้แต่น้อย หวังเพียงให้พวกเขาจดจำเนื้อหาและนำไปปรับใช้ในชีวิต
สองบัณฑิตก็จับดินสอขึ้นลงไม่หยุด หวังเพียงว่าจะจดความรู้ที่ตนได้รับ เอาเข้าหัวสมองให้ได้มากที่สุด จึงจดเร็วเป็นพิเศษ
เช้าตรู่สองเสี่ยวหยิบตะกร้าที่สานแบบหยาบๆ ออกมาจากถ้ำ แต่ครั้งนี้พวกตนไม่ได้เป็นเก็บผลไม้ป่าเหมือนอย่างเคย กลับเดินเข้าไปในป่าลึกแทน
“ท่านพี่ จะให้ข้าล่อสัตว์ตัวอะไรหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เราลองไปหาดูก่อนแล้วกัน”
“ขอรับ” ทั้งสองเดินเข้าป่าลึกไปอย่างต่อเนื่อง ในป่าพวกเขาเดินผ่านสัตว์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสือ หมี หมูและหมาป่า เจ้าเสี่ยวคิดว่าสัตว์พวกนี้อาจโดนเผ่าของตนรุมจนตาย ซึ่งทำให้แผนของเขาอาจล้มเหลวได้ สัตว์ที่เหมาะสม น่าจะเป็นสัตว์ที่บินได้มากกว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้พวกเขาก็เดินไปลึกขึ้นอีก
ไม่นานเท่าไหร่ บนหัวสองเสี่ยวก็มีสัตว์ขนาดยักษ์บินผ่านหัวพวกเขาไป สีดำสนิทไปทั้งตัว ผู้ใดที่มองเห็นก็อาจจะพากันคิดว่าดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว เจ้าเสี่ยวใช้ดวงตาวิญญาณสำรวจแล้ว มันอยู่ในขั้นที่หนึ่งของขั้นรวบรวมปราณเท่านั้น เหมาะสมกับการทำภารกิจของพวกตันเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาจะล่อมันให้ไล่ตามอย่างไร ในสายตาเจ้าเสี่ยวที่กำลังมองตามเจ้าอีกายักษ์ตัวนั้นพลันพบว่ามันกำลังบินลงไปหารังของมัน ในรังมีอีกาอีกตัวที่กำลังกกไข่อยู่ เจ้าเสี่ยวนึกแผนขึ้นได้ หากอีกาอีกตัวออกจากรัง เขาจะฆ่ามันจากนั้นก็ให้เจ้าเสี่ยวน้อยไปขโมยไข่ที่รังและก็วิ่งไปทางเผ่าของตนจากนั้นแผนก็จะสำเร็จ
พอคิดได้เช่นนี้เขาก็บอกแผนการที่ตนคิดได้ให้เสี่ยวคนน้องฟัง เจ้าเสี่ยวพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นสองเสี่ยวก็เริ่มแผนการ ไม่นานอีกาที่หาอาหารมาป้อนคู่ของตนเสร็จก็คิดจะบินไปหามาเพิ่มอีก หลังจากที่เจ้าอีกาตัวผู้นี้บินออกมาไกลพอสมควร เจ้าเสี่ยวที่รออยู่พลันควบคุมก้อนหินให้พุ่งโจมตีอีกาตัวนั้นอย่างจัง ร่างกายขนาดใหญ่หลังมันตกถึงพื้น เสียงก็ดังสนั่นลั่นทั่วป่า เผ่าต่างๆ ที่ได้ยินเสียงก็ตกใจกันจนไม่เป็นอันกินอันนอน
เมื่อหน้าที่ตนสำเร็จเขาก็เดินกลับเผ่า เพื่อรอให้เจ้าเสี่ยวสองล่ออีกาตัวนั้นมา จากนั้นก็จะได้เริ่มแผนการเสียที เสี่ยวผู้น้องที่แอบอยู่ใกล้ๆ รัง เมื่อเห็นเจ้าอีกานั่นบินหายไปแล้ว เขาปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่อย่างปราดเปรียวเพราะด้วยเขาเติบโตในป่าจึงคุ้นเคยกันการปีนป่าย พอขึ้นมาถึง เจ้าเสี่ยวที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าอีกาขั้นหนึ่ง เขาใช้เท้าเตะอีกาตัวใหญ่ให้หล่นจากรัง หลังจากทำสำเร็จเขารีบหยิบไข่มาหนึ่งฟอง จากนั้นก็ทำลายฟองอื่นที่เหลือและทิ้งตัวลงมา จับเถาวัลย์เพื่อป่ายปีนลงมาจากที่สูงและรีบวิ่งกลับเผ่าด้วยความเร็วเต็มกำลัง
อีกาที่ถูกเตะออกจากรังไม่ทันได้คิดถึงว่าเหตุใดตนจึงตกจากรัง เพราะในสายตามันเห็นเจ้าหัวขโมยสังหารลูกๆ ของมันและขโมยไข่อีกใบไป ดวงตามันพลันแดงก่ำ รีบไล่ตามเจ้าหัวขโมยนั่นไป ในใจอยากจะฉีกเนื้อเถือหนังอีกฝ่ายให้แหลกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็เขมือบลงท้องให้หายแค้น
ประมาณสิบห้านาทีเสียงดังลั่นป่าอันเกินจริงก็ดังขึ้น คนในเผ่าของสองเสี่ยวที่ได้ยินเสียงก็พากันหาต้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่นานคนในเผ่าก็เห็นว่าเจ้าเด็กใฝ่เรียนวิชาคาบดึก กำลังโดนสัตว์มหึมาตนหนึ่งไล่หลังตามมา พวกเขาไม่รู้จะทำเช่นไรเพราะนี่มันน่ากลัวเกินไป ปีกหนาที่บดบังไปครึ่งฟ้าทำให้พวกเขาสั่นกลัวไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ เจ้าเสี่ยวสองที่กำลังเข้าตาจน ร้องเสียงหลงอย่างคนที่หวาดกลัวสุดขีด กรงเล็บทมิฬเกี่ยวร่างของเจ้าเสี่ยวสองให้ลอยขึ้นฟ้าไปพร้อมกับมัน คนในเผ่าได้แต่ยืนดูอยู่จากที่ไกลๆ ด้วยความคิดที่ว่าเด็กนี่ไม่รอดแล้วละ
แต่ในนาทีนั้นเอง บุรุษสวมเครื่องประดับกระดูกห้อยคอและเอวแทนเสื้อผ้าก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างกายทุกส่วนขาวนวลเนียนราวกับรูปสลัก ทุกก้าวเดินใบไม้ก็ปลิวลงมารองฝ่าเท้าของพระองค์เอาไว้ ราวกับกลัวว่าเท้าของพระองค์จะแปดเปื้อนโลกโลกีย์แห่งนี้เข้า ดวงไฟยักษ์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าเปล่งแสงจ้าตาขับเน้นให้พระองค์ดูสูงส่งยิ่งขึ้น พระองค์หยุดฝีเท้าลงไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก จากนั้นยกมือขึ้นอย่างง่ายๆ ไม้ กรวด หินและอาวุธของคนในเผ่าก็ลอยขึ้นพร้อมกัน พระองค์โบกมือคลาหนึ่ง สิ่งของที่ลอยขึ้นเมื่อครู่พลันพุ้งเข้าหาสัตว์ร้ายอย่างมืดฟ้ามัวดิน ความรุนแรงของมันคือขั้นที่เก้าของเส้นทางการฝึกตนเชียวนะ แม้ไม่ได้มีพลังปราณที่แข็งแกร่ง มาช่วยเสริมก็เถอะ กับสัตว์อสูรแค่ขั้นแรก จะต้านทานมันได้อย่างไร
อีกาที่ถูกดับชีวาพลันดิ่งพระสุธาลงมาพร้อมกับตัวเด็กหนุ่ม พระองค์จึงใช้มือเรียกใบไม้ใหญ่ให้ลอยไปรับตัวเด็กหนุ่มลงมา พอถึงพื้นเด็กหนุ่มที่เห็นคนที่ช่วยชีวิตตน ก็ลงไปคุกเข่ากราบกรานในทันที พระองค์ทรงยิ้มออกมาและลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ ทันทีที่ฝ่ามือพระองค์สัมผัส หนุ่มน้อยผู้นี้ราวกับโดนเชือดเลือดไก่ เขาลุกขึ้นมาและเตะต่อยไปทั่ว แม้จะเป็นไปตามที่คุยกันไว้แต่นี้มันจะเล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง เสี่ยวคนน้องที่เห็นผู้เป็นพี่ขมวดคิ้ว จึงนึกได้ว่าพี่ชายบอกให้โชว์พลังนิดหน่อยก็พอ จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงไปอีกครั้ง
คนในเผ่าที่ไม่เคยเห็นเหตุการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ แค่โบกมือก็สามารถสังหารสัตว์ยักษ์นั่นได้นี่มันเกินความรู้ของพวกเขาไปมากและเมื่อเห็นเจ้าหนุ่มที่เมื่อครู่ยังไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่ แค่คนเปล่าเปลือยใส่แค่เครื่องประดับนั้นสัมผัสครั้งหนึ่ง กลับสามารถต่อยต้นไม้ให้ขาด อัดหินให้แตกได้ คนในเผ่าก็คุกเข่าก้มลงกราบกรานด้วยความหวาดกลัวแต่ความศรัทธาในทันที
เจ้าเสี่ยวที่เห็นทุกคนใช้พิธีการเคารพสูงสุดแก่ตน ก็ให้รู้สึกหลายอารมณ์ยิ่งนัก เจ้าวิญญาณสมควรตายเหมือนสัมผัสได้ว่าตนกำลังมีความสุข จึงลงมือทำสิ่งที่เจ้าเสี่ยวไม่อาจให้อภัย...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments