วิญญาณวิปริตพลันทำให้ส่วนล่างของเจ้าเสี่ยวเชิดหัวขึ้นสูงอย่างหยิ่งผยอง เมื่อคนในเผ่าเห็นภาพนี้ ก็ก้มลงกราบเทพที่มีร่างกายอันสมบูรณ์นี้อีกครั้ง เพราะนี่บ่งบอกถึงความแข็งแรงของร่างกายที่พร้อมสืบเผ่าพันธุ์ เป็นร่างกายที่อยู่ในจุดสูงสุดของบุรุษเพศ เจ้าเสี่ยวที่เห็นร่างกายของตนทำตามใจ ก็ให้อับอายยิ่งนัก แต่ด้วยตอนนี้เขาคือเทพ จึงต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระองค์พยักหน้าให้ผู้คนที่คุกเข่าอยู่และโบกมือสร้างกระท่อมไม้ข้างบนเนินของถ้ำ จากนั้นก็เดินอย่างเชื่องช้าและสง่างามไปหากระท่อมโดยมีใบไม้รองเท้าตลอดทาง
หลังจากเดินพ้นประตูกระท่อม ความสูงส่งของการเป็นเทพพระเจ้าเมื่อครู่พลันหดหาย ความเหนื่อยล้าก็เข้ากอบกุม เพราะวันนี้เขาใช้พลังจิตไปเยอะมาก ต้องฆ่านกยักษ์ตั้งสองตัว บวกกับการจัดฉากให้สมจริงอีกและที่หนักที่สุดเห็นทีจะเป็นการใช้ใบไม้ใบใหญ่ตึงให้มันค่อยๆ ลงมาโดยมีคนหนักเกือบสี่สิบกิโลกรัมอยู่บนนั้นตอนนี้เขาแทบอยากจะนอนให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อมองตรงหว่างขาที่กำลังประกาศศักดาอยู่ก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จเสียก่อนเพราะเขาไม่อยากประสบกับอาการปวดแบบนั้นอีกแล้ว
หลังราตรีกาลผ่านพ้นไปแล้วเจ้าเสี่ยวตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ตอนนี้เวลาตีห้าเมื่อคืนเขาหลับไปสิบชั่วโมงเลยหรือ นี่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะก็เขาเล่นใช้พลังวิญญาณไปเสียเกลี้ยงเลยนี่ ก่อนจะเดินออกจากห้องเขาก็จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยมือหยิบเครื่องประดับกระดูกจากนั้นก็สวมใส่ที่คอและเอว เขาเปิดประตูออกไป
ดวงไฟยักษ์ที่โพล่มาครึ่งดวงแล้วทำให้เห็นเงาต้นไม้ใบหญ้า ข้างนอกกระท่อมกลับมีโต๊ะหินและเก้าอี้พร้อมกับเนื้อตากแห้งและผลไม้ป่า หัวหน้าเผ่าและเจ้าเสี่ยวสองนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ไกล เสี่ยวผู้พี่ที่เห็นอาหารมาวางไว้ รอให้เขามารับประทานก็รู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง เจ้าเสี่ยวสองที่คุกเข่าอยู่นาน เดิมทีตนไม่ได้อยากมาคุกเข่ารอพี่ชายของตนเลย แต่หัวหน้าเผ่าเห็นว่าเขาได้รับพลังจากพระองค์จึงเรียกเขามาด้วย
"พวกเจ้ามาคุกเข่ารอข้าทำไมกันรึ"เจ้าเสี่ยวเอ่ยปากถาม
"เมื่อวานพวกข้ามิได้ต้อนรับท่านให้ดี ข้าตัวแทนของเผ่าจะจัดพิธีการรับเสด็จของท่านอย่างเป็นทางการน่ะขอรับ"
" อ้อเช่นนั้นหรอกรึ งั้นพวกเจ้าก็ไปเตรียมพิธีเถิด แค่พวกเจ้าเตรียมบัลลังก์ไว้ให้ข้า ตัวหนึ่งก็พอแล้ว"
"ขอรับพวกกระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ"
พอหัวหน้าเผ่าและเจ้าเสี่ยวสองจากไป เสี่ยวคนพี่ก็นั่งกินข้าวเช้าของตนอย่างเพลิดเพลินพลางคิดว่าตนจะพัฒนาเผ่ามนุษย์เช่นไรดี จนถึงตอนบ่ายคล้อยเจ้าเสี่ยวสองก็เดินมาหาเขา
"ท่านพี่ลานพิธีการต้อนรับท่านเสร็จแล้วขอรับ"เจ้าเสี่ยวที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในเตาไฟแดงฉานพลันได้สติ
"ท่านที่ทำอะไรอยู่หรือขอรับ"เจ้าเสี่ยวสองถามด้วยความสงสัย
"ข้ากำลังทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่น่ะ"
"เครื่องปั้นดินเผาหรือขอรับ?"เสี่ยวผู้น้องถามอีกครั้ง
"ก็คือภาชนะที่สามารถให้มันใหญ่เท่าไหนก็ได้ไงละ ใช้ทำอาหาร ใส่ของ ใส่น้ำโดยไม่รั่วไงละ"
"งั้นถ้าเราทำออกมาได้พวกเราก็จะไม่ขาดเนื้อกินแล้วน่ะสิ"
"ใช่แล้วล่ะ แต่นี่แค่จุดเริ่มต้นของภารกิจที่ท่านเทพมอบให้เท่านั้น"พอพูดถึงเทพเจ้าเสี่ยวสองก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
"เห้อท่านพี่การร่ำเรียนคนเดียวมันช่างจืดชืดนัก"
"ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กหื่นกามเอ๋ย เรื่องดีๆ ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เสียหน่อย รอเจ้ามีพลังมากๆ เรื่องพวกนี้ค่อยคิดก็ไม่สาย"
"เอาล่ะเราไปกันเถอะ"
"ขอรับ"เจ้าเสี่ยวให้เสี่ยวผู้น้องลงไปก่อนตน
หลังเจ้าเสี่ยวเดินมาถึงผู้คนที่คุกเข่าอยู่แล้วพลันพาหมอบกราบลงไปพร้อมกัน วิญญาณวิปริตไม่ปล่อยให้เจ้าเสี่ยวนั้นรอนาน สั่งให้ใต้หว่างขาของเขาตั้งขึ้นอีกครั้งเจ้าเสี่ยวที่รู้ว่าใครเป็นทำ แต่กลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ในใจก็ให้อัดอั้นยิ่งนัก เขาเลยใช้ความนิ่งเข้าสู้กับความอับอายขายหน้านี้แทน ใบไม้รองรับทุกก้าวเดินอันมั่นคงของพระองค์ มีแต่ที่ล่างลำตัวเท่านั้นที่ไหวเอน พอถึงบัลลังก์ที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย เจ้าเสี่ยวนั่งลงโดยปล่อยให้มันชี้หน้าตนอยู่อย่างนั้น
"นี่สินะร่างกายของเทพเจ้า"คนในเผ่าต่างมองร่างบนบัลลังก์เป็นตาเดียว
เจ้าเสี่ยวโบกมือสั่งให้เริ่มพิธีการ หลังได้สัญญาณให้เริ่มพิธี หัวหน้าเผ่าก็เปลี่ยนกองฟืนให้เป็นกองเพลิงแดงฉานทันทีและด้วยตอนนี้เทพอยู่กับพวกตนแล้ว แต่ด้วยต้องทำตามพิธีการหัวหน้าเผ่าจากจะอัญเชิญเทพจึงเปลี่ยนคำกล่าว
“โอ้ ท่านผู้เคยอยู่บนฟ้า บัดนี้ทรงย่างเหยียบผืนดิน
พวกเรามิกล้าอัญเชิญท่าน เพียงขอถวายศรัทธาแด่ท่าน
ขอให้พลังของท่านคุ้มครองผืนดิน น้ำ และลูกหลานของเรา”
คนในเผ่ากล่าวตาม จากนั้นก็ใช้ของที่หาได้มาเคาะมาตีให้เกิดจังหวะเรียบง่าย อีกกลุ่มก็ขนผลหมากรากไม้ไปตั้งที่แท่นปะรำพิธี อีกาที่ตายเมื่อวานคนในเผ่าก็ไม่ปล่อยให้สูญเปล่า นำส่วนหัวและเนื้อที่ตัดแบ่งมาไว้หน้าปะรำพิธีเช่นกัน เมื่อทุกพิธีการก่อนหน้าจบลง บัดนี้เป็นรับพรจากเทพ
"พวกเจ้าเหล่าหนอนแมลงผู้ตาบอด ผู้ไม่รู้แจ้ง ผู้ไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสารทั้งหลายเอ๋ย
เจ้าศรัทธาต่อเรา หวาดกลัวต่อเรา กราบกรานเรา คุกเข่าให้เรา มอบพรุ่งนี้ให้แก่เรา
เราจักล้างกายา ชำระวิญญาณ ของพวกเจ้าด้วยโอสถ เคหสถาน ภัตตาหารและอาภร
เพื่อรับความศรัทธา หวาดกลัวแลชีวา หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรา" เจ้าเสี่ยวรู้สึกว่าพลังของตนเหือดแห้งไปอีกครั้ง ในการคิดคำยากๆ พวกนี้
ผู้คนในพิธีพลันหมอบกราบลงไปอีกครั้ง ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาและยินดี ล้มแรงพัดพาใบไม้เล็กใหญ่ให้เขามาในพิธีอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทำให้สายตาที่แวววาวของคนในเผ่าพลันหม่นมัว เมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้งพระองค์ที่อยู่บนบัลลังก์สูงเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปเสียแล้ว
เจ้าเสี่ยวที่หลบหนีออกมาจากพิธีได้อย่างสง่างาม ในหัวคิดถึงปัญหาที่วิญญาณสมควรตายนั่นทำกับตนครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกไม่ได้การ เขาค้นหาวิธีแก้ไขในความทรงจำที่วิญญาณนั่นมอบให้ ไม่นานก็เจอคำตอบ
"เสื้อผ้าสินะ จะเอาใบไม้มาปิดไว้ก่อนก็ดูไม่ศักดิ์สิทธิ์อีก เห้อ การเป็นเทพนี่ยากเย็นเสียจริง"
หลังจากเจ้าเสี่ยวหนีออกมาจากงานแล้วก็ได้ใช้เสี่ยวผู้น้องให้วิธีทำเครื่องปั้นดินเผาไปและให้บอกคนในเผ่าด้วยว่าตนตั้งชื่อเผ่าให้ว่า เผ่าฮั่น ชนเผ่าฮั่นต่างพากันขุดกันคุ้ยหาดินเหนียวมาทำ เพื่อนำมาใช้ในให้ชีวิตตนเองดีขึ้น ทุกคนต่างยุ่งเหมือนกับมดงาน ยกเว้นก็แต่ท่านเทพของพวกตนและผู้รับใช้ เพราะดูเหมือนพระองค์กำลังคิดเรื่องสำคัญกันอยู่
"ข้าว่าเราใช้แซ่เสี่ยวก็ดีนะท่านพี่"
"ไม่ได้ เสี่ยวแปลว่าเล็ก เจ้าเล็กหรือ"
"ไม่ ข้าไม่เล็ก"เจ้าเสี่ยวสองมองลงต่ำพลันตอบทันควัน
เสี่ยวคนพี่คิดไม่ตกเพราะคิดมาหลายแซ่แล้วก็ไม่ได้แซ่ที่ถูกใจเสียที จู่ๆ ในหัวก็คิดถึงภาพแรกที่ตนมาถึงเผ่าฮั่นเป็นครั้งแรกสิ่งที่เข้ามาในหัวก่อนเลยคือความแตกต่างของสีผิว
"ข้าคิดออกแล้ว พวกเราจะใช้แซ่ไป๋กัน เจ้าลองดูผิวอันขาวผ่องของพวกเราสิ ไม่มีแซ่ใดเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว"
"แต่ท่านพี่ แม้เราจะขาวกว่าคนในเผ่าแต่พอดูดีๆ เราไม่ขาวขนาดนั้นเลยนะขอรับ"มะกอกลูกหนึ่งพลันหล่นใส่หัวของเสี่ยวผู้น้อง
"แม้จะใช้กับผิวเราไม่ได้ ก็ใช้กับจิตใจเราก็ได้นี่ ดูจิตใจที่ขาวสะอาดไร้มลทินของเราสิ แซ่ไป๋จะไม่เหมาะกันเราได้อย่างไร"เสี่ยวคนน้องก็พยักหน้าเห็นด้วยพลางเกาหัวส่วนที่โดนมะกอกหล่นใส่
"เอาหละข้าจะใช้ชื่อ ไป๋จื้อจวินแล้วกัน ผู้ขาวบริสุทธิ์ ผู้มีความมุ่งมั่นและผู้สูงส่งเหนือผู้อื่นแล้วกัน แล้วเจ้าละ"ในใจเสี่ยวผู้น้องคัดค้านอยู่บ้าง แต่ก็เลือกจะไม่พูดออกไป
"เอ่อ ข้าให้ท่านพี่ตั้งให้ดีกว่า"
"ให้ข้าตั้งให้หรืองั้นก็ดี เจ้าเป็นคนสดใสร่าเริง มีความคิดและมีความเปิดเผย แม้จะมักมากในกามไปบ้างก็เถอะ"เจ้าเสี่ยวที่ได้ยินประโยคแรกก็ให้ดีใจนักท่านพี่มองตนดีแด่ขนาดนั้นเชียวหรือ แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังก็ถอนหายใจออกมา
"เห้อ สมกับเป็นท่านพี่แล้วละ"
"เจ้าจะมีชื่อว่า ไป๋ซื่อหลาง งั้นก็เอาตามนี้แหละข้าค้านจะคิดเรื่องพวกนี้แล้ว"เจ้าเสี่ยวสองที่รู้สึกว่าชื่อนี้ก็เพราะดีเหมือนกัน ก็ตอบรับแต่โดยดี
"ขอรับ"
สองพี่น้องที่คิดชื่อเสร็จก็นั่งฝึกปราณกันต่อ พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน จื้อจวิน พลังปราณก็อยู่ระดับสองแล้ว ส่วนซื่อหลางก็อยู่ขั้นสองเหมือนกันแต่ก็อยู่ในขั้นปลายแล้วเครื่องปั้นดินเผาชุดแรกก็ออกจากเตาเป็นที่เรียบร้อยแม้ไม่สวยงามนักแต่ก็ใช้ได้ไม่รั่วไม่ซึม ภาชนะที่ได้มาใหม่ตอนนี้ก็มีไม่เยอะพอจะใช้ จึงต้องพับเก็บความคิดที่จะเอาไปแลกสินค้าจากเผ่าอื่นลงไปเสียก่อน
วันนี้สองพี่น้องว่าจะเข้าป่าเพื่อไปหาพืชที่อยู่ในความทรงจำของจื้อจวิน หากพบอะไรที่คล้ายกันก็ลองเอามาปลูกดู สองหนุ่มที่เดินเข้ามาลึกพอสมควรกลับยังไม่พบสิ่งใดน่าสนใจเลย แต่ไม่นานสิ่งที่ได้พบกลับไม่ใช่สิ่งที่ตามหา แต่กลับพบลูกวัวสีขาวทั้งตัวตัวหนึ่งแทน เจ้าตัวน้อยนี่ยังคงหายใจอยู่ คาดว่าแม่คงทิ้งไปได้ไม่นานเพราะเห็นว่ามันร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถจะลุกขึ้นได้ จื้อจวินที่พบว่ามันช่างเหมือนกับพวกตนยิ่งนักทั้งสีและเหตุผลที่โดนทิ้ง
"ท่านพี่ มันช่างน่าสงสาร เราจะช่วยมันไหมขอรับ"ซื่อหลางใช้น้ำเสียงออดอ้อนราวกับบุตรที่กำลังขอบิดาเลี้ยงสัตว์
"เจ้าก็ไปอุ้มมันกลับเผ่าสิ"
"ขอรับท่านพี่"ซื่อหลางได้ยินคำตอบตกลงของพี่ชายก็ดีใจยิ่งนัก
การเดินทางเข้าป่าครั้งนี้กลับไม่ได้ของที่ต้องการเลย แต่กลับได้ลูกวัวมาแทน ระหว่างทางพวกเขาก็จับแม่และลูกวัวอีกคู่นึงมาด้วยเพื่อให้เป็นแม่บุญธรรมของเจ้าวัวไม่สมประดีตัวนี้ พอกลับถึงเผ่าผู้คนที่เห็นว่าผู้รับใช้ของเทพพระเจ้าลากวัวตัวใหญ่กลับมาด้วย ก็นึกว่าจะเอามาย่างกิน แต่เขากลับใช้เชือกผูกมันไว้กับต้นไม้ใหญ่แทนการเชือด แน่นอนว่าจื้อจวินที่เป็นเทพไม่อาจให้คนพบตอนเขาอุ้มลูกวัวได้ จึงเดินกลับอีกทางหนึ่งแทน เขาใช้พลังจิตทำคอกง่ายๆ ให้เจ้าตัวเล็กสองตัวอยู่
"ท่านพี่ข้าผูกมันไว้ใต้เนินเขาขอรับ แล้วทำยังไงต่อหรือ"
"จะทำยังไงได้อีกเล่า เจ้าไม่เห็นหรือ มันลุกไม่ได้ แสดงว่ามันดูดนมแม่เองไม่ได้ เจ้าก็ไปรีดนมแม่มาให้มันกิน ส่วนอีกตัวก็เอาไปไว้กับแม่ ไม่ต้องผูกมันก็ได้เพราะแม่มันอยู่นี่มันไม่หนีหรอก"
"ข้าต้องไปจับนมวัวหรือขอรับ ข้าไม่ทำ"มะกอกลูกใหญ่พลันหล่นลงหัว
"ไม่ทำหรือ นมสัตว์ยังไงก็คือเนื้อเหมือนกัน เจ้ากลับรังเกียจสิ่งที่ตนกินเข้าไปหรือ"
"แล้วทำไมท่านพี่ไม่ทำเองล่ะขอรับ"จื้อจวินเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างหยิ่งผยอง
"ข้าเป็นถึงเทพเชียวนะ จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร"
"ยังยืนบื้ออะไรอยู่อีก ไปรีดนมมาเสียดีๆ หรือเจ้าไม่ต้องการพลังแล้ว"
"ขอรับ"ซื่อหลางลงเขาไปด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก แต่เขาก็คิดได้ว่าตนเป็นถึงข้ารับใช้ของเทพเชียวนะ แค่ใช้คนทำให้ก็สิ้นเรื่อง ท่าทีที่หดหู่เมื่อครู่พลันมลายสิ้น
"เจ้าตรงนั้นน่ะ มานี้สิ"ซื่อหลางชี้คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับตน
"ข้าหรือขอรับ"
"ใช่ เจ้าไปรีดนมวัวให้ข้าซะ"เขาไม่ขัดขืน แต่เต็มใจด้วยซ้ำเพราะหากตนทำงานเข้าตาไม่แน่ว่าอาจได้รับพลังจากเทพก็ได้
"ท่านพี่นมวัวได้แล้วขอรับ"
"อืม เจ้าก็เอาไปป้อนมันสิ"
"ขอรับ"ซื่อหลางจับวัวน้อยให้นั่งลงและกดหัวเจ้าวัวให้ได้กลิ่นและรสชาติ เจ้าวัวน้อยที่ได้กลิ่นพลันดื่มกินอย่างหิวกระหาย สื่อหลางลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน
"แล้วเครื่องปั้นดินเผาเสร็จแล้วหรือยัง"
"เสร็จแล้วขอรับ แต่ไม่พอจะเอาไปแลกเปลี่ยนขอรับ"
"อืมงั้นก็ทำต่อไปก่อนละกันค่อยเอาไปแลกทีหลังก็ได้" ทันใดนั้นความคิดจื้อจวินพลันหยุดชะงัก
นี่ไม่ถูกต้องสิ ข้าเป็นถึงเทพเชียวนะ จะเอาของไปแลกกับพวกเขาทำไมกัน ทั้งที่ให้ซื่อหลางไปโชว์พลังสักหน่อยผู้คนก็ไม่กล้าขัดขืนแล้วไม่ใช่หรือ แต่ก็ต้องใช้ไม้อ่อนและไม้แข็งไม่งั้นผู้คนจะเปลี่ยนจากความศรัทธาเป็นหวาดกลัวแทน พอคิดได้เช่นนี้จื้อจวินก็สั่งผู้เป็นน้องทันที
"ซื่อหลางพรุ่งนี้เจ้าก็ไปโชว์พลังให้เผ่ารอบๆ เห็นสักหน่อย ให้หัวหน้าเผ่าไปด้วยเพื่อไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้มาเข้าพวกกับเรา"
"แล้วเครื่องปั้นดินเผาที่จะใช้แลกหละขอรับ"
"แลกเลิกอะไรกัน ข้าเป็นถึงเทพมีหรือที่จะต้องแลกเปลี่ยนกับคนธรรมดาเหล่านี้ พวกเขาต่างหากที่ต้องมาอ้อนวอนต่อข้า ให้รับพวกเขามาเป็นคนรับใช้"ซื่อหลางไม่มีคำใดจะพูด พี่ชายต่างสายเลือดผู้นี้นับวันยิ่งทำตัวเหมือนเทพแท้จริงเข้าทุกวัน แต่ด้วยทำอะไรไม่ได้จึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
วันถัดมาซื่อหลางก็ออกเดินทางไปพร้อมกับหัวหน้าเผ่า เพื่อไปหาสาวกให้เทพผู้บ้าอำนาจผู้นี้เพิ่ม เผ่าที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือเผ่าต้าซู่นั่นเอง หลังจากมาถึงซื่อหลางก็ได้พบกับบิดามารดาของตน แต่ไม่ได้เข้าไปทักทายอะไรและไม่ได้คิดเคียดแค้น เพราะตนรู้ดีว่าเด็กที่โตช้าอย่างพวกตนเก็บไว้ก็เสียข้าวไปเปล่าๆ และนี่จะเป็นเรื่องปกติของยุคนี้ไปเสียแล้ว ส่วนบิดามารดาก็จำลูกตนไม่ได้แม้ผ่านไปไม่นาน หลังผ่านไปแค่สิบกว่าวันที่ได้ดูดซับพลังฟ้าดินแต่กลับทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว ผิวของผ่องนวลเนียน รูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยน จากเด็กที่ผอมแห้งกลับมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ใบหน้าก็คมเข้มขึ้นตามวัย
ซื่อหลางที่มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้หมัดและเท้าเตะต่อยอย่างบ้าคลั่ง คนในเผ่าต้าซู่ที่เห็นคนคนหนึ่งสามารถต่อยต้นไม้ใหญ่ให้กระจุยได้ในหมดเดียวก็ให้อกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก หัวหน้าเผ่าฮั่นที่เดินตามหลังเหมือนกับลูกกระจ๊อกคนหนึ่งมาโดยตลอด ก็เดินมาข้างหน้า เล่าเรื่องที่เผ่าของตนได้พบกับเทพองค์หนึ่ง เขาประทานพลัง ชื่อของเผ่าและความรู้ให้กับพวกเขาพร้อมการแต่งเสริมเติมแต่งนั่นนิดนี่หน่อย ก็ทำให้เทพนั้นดูสูงส่งกว่าเก่า อีกห้าพวกเขาจะจัดพิธีบูชาเทพพระเจ้าและขอให้เผ่าต้าซู่มาร่วมงานด้วย
หลังจากชักชวนเผ่าต้าซู่สำเร็จพวกเขาก็เดินทางไปเผ่าอื่นต่อในทันที หนึ่งชายวัยกลางคน หนึ่งเด็กหนุ่มเดินทางไปเผ่าแล้วเผ่าเล่า ส่วนการตอบสนองก็ไม่ต่างจากเผ่าต้าซู่มากนัก ทั้งตื่นตลึงทั้งอัศจรรย์ใจและหวาดกลัว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments