ท่ามกลางแสงสนธยา ป่าไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าแทบจะบังแสงทั้งหมดไป สองหนูน้อยนามเรียกขานง่ายว่า “เสี่ยว” ด้วยพวกเขาตัวเล็กกว่าคนอื่น เผ่าที่สองเสี่ยวอยู่เป็นเผ่าเล็ก ๆ มีจำนวนไม่ถึงสามสิบคน เผ่านี้เรียกตนเองว่า “ต้าซู่” ด้วยความที่ไม่ได้โดนแดดโดยตรง ทำให้เผ่านี้มีผิวขาวกว่าเผ่าอื่นอยู่มาก
ตอนนี้ในเผ่ากำลังวุ่นวาย เนื่องด้วยมีคนจากอีกเผ่ามาขอซื้อคนด้วยภาชนะไร้รูรั่ว หัวหน้าเผ่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะภาชนะต่าง ๆ นั้นมีมูลค่าเทียบเท่ากับเด็กสองคนเลยทีเดียว หัวหน้าเผ่าเหลือบตามองคนในเผ่า เขาชี้ไปที่สองเสี่ยวที่กำลังยืนมองสถานการณ์อยู่ไกล ๆ ผู้ขายมุ่นคิ้ว เพราะแม้จะได้มาสองคนตามที่ตกลงกัน แต่สองคนที่ได้ช่างผอมบางเหลือเกิน หัวหน้าเผ่าเห็นเช่นนี้ก็ชี้เด็กน้อยอีกคนเพิ่ม อีกฝ่ายค่อยพยักหน้าให้ พอแลกเปลี่ยนเสร็จ อีกฝ่ายก็พาคนไปทันที
สองเสี่ยวเดินเท้าเปล่าไม่ไกล ครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่อยู่ใหม่ของพวกตนแล้ว เผ่านี้อาศัยอยู่รวมกันในถ้ำ จำนวนไม่ต่างจากเผ่าต้าซู่เท่าไหร่ ที่ต่างกันคือเผ่านี้มีผิวที่คล้ำกว่า ทั้งสองเผ่าอยู่ในเขตร้อน จึงนิยมใส่แค่เครื่องประดับแทนเสื้อผ้า หนังสัตว์ก็เก็บไว้ทำผ้าห่มเพื่อรับมือกับฤดูหนาว
พอหญิงท้องโตสามคนในถ้ำเห็นกลุ่มคนเปลือยล่อนจ้อนกลับมา ก็ยิ้มให้และกวักมือเรียกเด็กน้อยทั้งสาม พวกนางเอาตะกร้าสานแบบหยาบ ๆ ให้เด็กทั้งสามเพื่อไปเก็บผลไม้มาให้พวกตนกิน เพราะไม่อาจเดินไกลขนาดนั้นได้ ทั้งสามรับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปเก็บผลไม้ใกล้ ๆ
“พี่ เจ้าว่าเผ่านี้เป็นเช่นไร” เจ้าเสี่ยวสองถามอย่างสงสัย
“ข้าว่าก็น่าไม่ต่างจากเผ่าเรานะ”
“จริงหรือ”
พอตกค่ำเท่านั้น เสียงเนื้อกระทบกันเป็นจังหวะก็ดังทั่วถ้ำ เจ้าเสี่ยวลุกขึ้นมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว พลันสบถในใจ
“นี่ – นี่จะนอนได้อย่างไร”
เจ้าเสี่ยวอยากจะถอนคำพูดที่พูดไว้ตอนบ่าย แม้ในเผ่าต้าซู่ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ให้เห็น แต่ด้วยพวกเขาใช้โพรงไม้เป็นที่อาศัย จึงไม่ได้อยู่กันเยอะ เลยทำให้ไม่มีปัญหานอนไม่หลับเพราะเสียงกระทบเนื้อเช่นนี้ แต่นี่พวกเขาอยู่ยี่สิบกว่าคน และไม่ได้ทำแค่หนึ่งคู่ จึงทำให้เสียงดังนานเป็นพิเศษ บวกกับความก้องของถ้ำ จึงทำให้ยิ่งก้องดังเข้าไปใหญ่
เจ้าเสี่ยวจนคำพูดไปพักหนึ่ง มองเจ้าเสี่ยวสองที่นอนหลับได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ช่างน่านับถือยิ่งนัก เจ้าเสี่ยวทนไม่ไหว เดินออกจากถ้ำไปเพื่อรอให้เหตุการณ์ภายในถ้ำสงบลง เจ้าเสี่ยวเดินขึ้นเขา จะเรียกว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่เนินเล็ก ๆ ข้างล่างเป็นถ้ำที่ตนอาศัย เจ้าเสี่ยวทิ้งตัวลงนอนมองจุดแสงเหลือคณาบนฟ้าอย่างเหม่อลอย พร้อมความคิดในหัว
ตอนนี้เขาอายุสิบสามฤดูหนาวแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นแล้ว เขาแทบจะสูงไม่เท่าคนที่เด็กกว่าด้วยซ้ำ อยู่กับความคิดตัวเองพักใหญ่ จนเสียงในถ้ำสงบลง เจ้าเสี่ยวกำลังจะเดินลงเขา แต่กลับเห็นศิลาที่ส่องแสงประหลาดเข้าเสียก่อน
ในสายตาเจ้าเสี่ยว ศิลานี้มีเส้นสายขยุกขยุยนับไม่ถ้วน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ศิลาที่กำลังเชิดอกตั้ง เพราะคนแล้วคนเล่าที่ได้อ่านต่างก็ตกตะลึงกันเป็นแถว แต่ผ่านไปนานกลับพบว่าเจ้าหนูตรงหน้ายังยืนโง่งมอยู่เลย ศิลาพลันเข้าใจว่าเจ้านี่อ่านไม่ออก
จากนั้นศิลาก็เปลี่ยนเป็นอักษรแล้วอักษรเล่า เจ้าเด็กนี่ก็ยังโง่งมอยู่เช่นเดิม ศิลาคิดหนัก ก่อนจะเปลี่ยนจากอักษรให้เป็นภาพแทน ภาพแรกคือภาพคนที่กำลังหลับตา โดยในหัวมีคนตัวเล็กที่กำลังหลับตาเช่นกันซ่อนอยู่
ภาพที่สองเป็นเช่นเดิม แต่ที่ต่างไปคือทั้งสองไม่ได้หลับตาแล้ว
ภาพที่สามคือภาพภูเขาและสายน้ำ แต่มีสิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือก้อนแสงที่มีคนตัวเล็กอยู่ข้างใน
ภาพที่สี่คือภาพคนตัวเล็กในหัวกำลังคุยกับคนที่อยู่ในก้อนแสง
ภาพที่ห้าคือภาพที่คนในก้อนแสงเข้ามารวมกับคนตัวเล็กในหัว
ภาพที่หกคือภาพคนเบ่งกล้าม คล้ายจะสื่อว่าหากทำตามวิธีนี้แล้วจะแข็งแกร่งขึ้น
“นี่ – นี่ – นี่มันคือการฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นหรือ” เจ้าเสี่ยวตกตะลึงไม่ได้นาน เพราะในสายตาพบว่าศิลาปล่อยเส้นสายประหลาดออกมา พวกมันกำลังวิ่งเข้าหาตน เจ้าเสี่ยวไม่ทันตอบสนอง เส้นสายประหลาดก็เข้ามาในร่างเขาเสียแล้ว
เจ้าเสี่ยวตื่นตระหนก รีบวิ่งกลับถ้ำโดยไว ถึงถ้ำ เขาก็นอนข้างเจ้าเสี่ยวสองทันที รออยู่นาน ร่างกายก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เจ้าเสี่ยวให้โล่งใจนัก จึงค่อย ๆ ข่มตาที่เหนื่อยล้าของตนลง
รุ่งเช้า เจ้าเสี่ยวถูกปลุกด้วยมือน้อย ๆ ของเจ้าเสี่ยวสอง เจ้าเสี่ยวลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เพราะเมื่อคืนเขานอนดึก
“พี่ พวกเราต้องไปเก็บผลไม้แล้วนะ” เจ้าเสี่ยวสองยื่นตะกร้าให้
“อืม งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ก่อนออกจากถ้ำหญิงท้องโตเปลือยท่อนบนและล่างก็ยื่นเนื้อตากแห้งให้พวกเขาสองสามชิ้น
พอออกมาไกลได้ระยะหนึ่ง เจ้าเสี่ยวสองพลันบ่นอุบ
“ท่านพี่ เนื้อมีแค่สามชิ้นเราจะอิ่มหรือ” เจ้าเสี่ยวสองพูดอย่างกังวล
“ทำไงได้ละ เดี๋ยวเราค่อยแอบกินผลไม้ที่เก็บมาได้ แล้วกัน”
“เอาตามท่านพี่ว่าขอรับ”
พอตกค่ำ ความเหนื่อยล้าก็เข้าครอบงำสองเสี่ยว เจ้าเสี่ยวสองหลับอย่างไว ทิ้งให้เสี่ยวคนพี่นอนฟังกิจกรรมของผู้ใหญ่อยู่คนเดียว ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว เจ้าเสี่ยวออกจากถ้ำเพื่อไปที่ที่ตนพบกับศิลาประหลาดนั้น
พอถึง เจ้าเสี่ยวก็มองหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอแล้ว
“ว่าแต่วิธีนั่นมันจะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงหรือเปล่านะ เห้อ ไม่ลองก็ไม่รู้ละนะ”
พอคิดได้เช่นนี้ เจ้าเสี่ยวนั่งลงด้วยท่าขัดสมาธิ และหลับตาลง เจ้าเสี่ยวนั่งไปพักใหญ่ก็ไม่พบกับคนในหัวเลย จึงคิดจะเรียกหาดู เจ้าเสี่ยวพึมพัมในหัว
“คนตัวเล็ก คนตัวเล็ก คนตัวเล็ก”
ผ่านไปนาน เขาไม่ได้พบกับคนตัวเล็ก แต่ได้พบว่าความมืดมิดกลับมีแสงประหลาดผุดขึ้นมา ทั้งที่เขาหลับตาอยู่ เจ้าเสี่ยวตกใจลืมตาขึ้น ทุกสิ่งเมื่อครู่พลันสลายไป
“เมื่อครู่... เมื่อครู่คือคนตัวเล็กเหรอ? ไม่ใช่สิ ภาพในศิลาน่าจะหมายถึงตัวเรามากกว่า แสดงว่าเราคือคนตัวเล็กในหัวสินะ คนตัวเล็กในหัวลืมตาขึ้นมันจึงสว่างขึ้นมา”
เจ้าเสี่ยวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาพลันหลับตาและเอ่ยเรียก ‘คนตัวเล็ก’ อีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้าเสี่ยวนึกถึงขั้นต่อไป คือการลืมตาทั้งร่างกายและคนในหัว
พอลืมตาตัวเองขึ้น ก็ไม่พบกับคนตัวเล็กในก้อนแสงเสียที เจ้าเสี่ยวไม่ยอมแพ้ เขาทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จนครั้งที่ห้าสิบเก้า...
ในสถานที่เดิม จุดแสงยังคงสว่างอยู่เช่นเดิม แต่ในสายตาเจ้าเสี่ยวกลับพบก้อนแสงมากมายเหลือคณาล่องลอยเต็มฟ้า แม้เหมือนเป็นกลุ่มแสง แต่พอดูดี ๆ กลับโปร่งใสซะงั้น
ในความคิดเจ้าเสี่ยวมีเพียงความอัศจรรย์ใจ ตะลึงอยู่นาน เจ้าเสี่ยวนึกถึงขั้นต่อไป คือการพูดคุยกับก้อนแสงพวกนี้
เจ้าเสี่ยวไม่คิดมาก เอ่ยทักทายออกไปตรง ๆ
“สวัสดี”
“......”
“ข้าชื่อเสี่ยว เจ้าหละมีชื่อหรือไม่”
ก้อนแสงยังคงไม่ตอบ เจ้าเสี่ยวคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะนึกได้ว่าในภาพคนในหัวเป็นคนพูด
พอนึกได้เช่นนี้ เจ้าเสี่ยวทดลองทันที
“สวัสดี ข้าชื่อเสี่ยว เจ้ามีชื่อหรือไม่”
เจ้าเสี่ยวพูดจบกลับไม่มีเสียงออกมา แต่เป็นเส้นสายวิ่งไปมาแทน มันเคลื่อนที่ได้ไวมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตั้งชื่อได้ประหลาดชะมัด”
“ประหลาดที่ใด?”
ก้อนแสงไม่ตอบ แต่พึมพำความคิดตนเองแทน
“ช่วยไม่ได้ละนะ ก็โลกนี้เพิ่งกำเนิดได้ไม่นาน จะเทียบกับโลกอื่นได้อย่างไร”
“โลกอื่น? ที่ที่ตนอยู่เรียกว่าโลกหรือ? ไหนจะมีโลกอื่นด้วย”
“ที่ที่ข้าอยู่เรียกว่าโลกหรือ แล้วโลกอื่นอยู่ที่ใด”
“ไอ้หนูเจ้าก็หัวไวเหมือนกันนี่ ใช่แล้ว ดาวที่มีสิ่งมีชีวิตพวกเขาจะเรียกรวม ๆ ว่าโลก ส่วนโลกอื่นเจ้าอย่าเพิ่งคิดเลย ที่เจ้าควรคิดในตอนนี้คือจะเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรอย่างไรต่างหาก เห้อ... โลกที่มีพลังปราณหนาแน่เช่นนี้ เกือบทุกดาว เผ่าอสูรจะเป็นผู้ครอง”
“เผ่าอสูรหรือ พวกข้าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินว่ามีเผ่าอสูรมาก่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนู เจ้าคิดว่าโลกเล็กนั้นขนาดนั้นเลยหรือ อย่างว่าละนะ กบใต้บ่อจะรู้จักโลกภายนอกได้อย่างไร เห้อ ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้ ถือว่าทำบุญกับสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนานี้แล้วกัน โลกนี้กว้างใหญ่จนต่อให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตของเจ้าก็ไม่สามารถเดินรอบโลกได้สักรอบ นี่ก็เพราะช่วงอายุที่สั้นของพวกเจ้าด้วย ไม่ถึงสี่สิบปีเจ้าก็ตายแล้ว”ในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าอสูร นี่เป็นชื่อเรียกรวม ๆ ของสัตว์ที่วิวัฒนาการต่างจากมนุษย์ แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่ เช่น ลำตัว แขน ขา เผ่าอสูรบางเผ่ามีหางมาเพิ่ม บางเผ่ามีหัวเป็นสัตว์ ฯลฯ
ด้วยเพราะเผ่าอสูรดูดซับพลังฟ้าดิน หรืออีกชื่อหนึ่งคือพลังปราณได้ตั้งแต่เกิด และทุกตัวมีสิ่งที่เรียกว่ารากปราณ เผ่าอสูรจึงแข็งแกร่ง
“และด้วยสภาพแวดล้อมที่มีพลังปราณหนาแน่นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเผ่าที่ดูดซับพลังปราณมาแต่กำเนิด กับตัวเจ้าที่ไม่มีแม้แต่รากปราณ ใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือ”
เจ้าเสี่ยวอึ้งงันด้วยความรู้ที่ตนได้รับมา
“เจ้าหนู เจ้าไม่ต้องกังวลไป ที่ที่ปราณหนาแน่นอยู่ไกลจากที่นี่มาก กว่าเผ่าอสูรจะขยายอาณาเขตมาถึงที่นี่ เจ้าคงตายไปเสียก่อนแล้ว”
“แล้ว... แล้วถ้าเผ่าอสูรมาถึง เผ่ามนุษย์จะเป็นยังไง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนู แล้วพวกเจ้าทำอย่างไรกับสัตว์ที่พวกเจ้าจับมาได้กันเล่า”
เจ้าเสี่ยวจนคำพูด พอนึกภาพเขาก็เสียวสันหลังแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส ท่านพอจะมีทางรอดให้เผ่าของข้าหรือไม่”
“มันก็มีทางอยู่ เพราะในจักรวาลนี้สวรรค์ไม่อนุญาตให้มีสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบหรอก ทุกสิ่งมีชีวิตนั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งเป็นของตนเอง ยกตัวอย่างเช่นกระต่าย แม้มันจะอ่อนแอ สัตว์อื่นเห็นมันเป็นเนื้อบนเขียง แต่มันสามารถขยายพันธุ์ได้ไว เจ้าลองให้มันไม่โดนล่าดูสิ หากให้เวลามันมากพอ มันก็สามารถทำลายโลกได้เช่นกัน”
“งั้นพวกเราต้องขยายพันธุ์เยอะ ๆ ใช่ไหม?”
พอคนในก้อนแสงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้มือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงครั้งหนึ่ง พักใหญ่จึงค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ เขากระแอมไอให้คอชุ่มก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้หนู ข้าจะพูดตรง ๆ แล้วกัน ดาวที่มนุษย์ถืออำนาจสูงสุดคือดาวที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี พูดให้เจ้าเข้าใจคือ มนุษย์สามารถสร้างอาวุธที่สามารถทำลายดาวดวงนี้ได้ทั้งดวง”
เจ้าเสี่ยวอึ้งตะลึง เขานึกภาพอาวุธที่สามารถทำลายดวงดาวได้จะหน้าตาเป็นเช่นไร
“อย่างที่ข้าบอก ทุกสิ่งล้วนมีจุดเด่นจุดด้อย จุดเด่นของเผ่ามนุษย์คือสมอง เอาง่าย ๆ คือเจ้ามีคนตัวเล็กในหัวที่ใหญ่กว่าเผ่าอื่น จุดด้อยของพวกเจ้าก็คือร่างกายของพวกเจ้า
ถ้าเจ้าอยากจะชนะเผ่าอสูร การสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งจนสยบเผ่าอสูรอาจจะไม่ทัน เจ้าต้องฝึกปราณเพื่อให้มีพลังที่แข็งแกร่งและสร้างวิชาที่ทรงพลัง จนไม่มีอสูรตนใดสู้กับเจ้าได้”
“แต่ท่านบอกว่าข้าไม่มีรากปราณมิใช่หรือ ข้าจะฝึกปราณได้อย่างไร”
“เจ้าหนู เจ้าก็มีวิชาที่สามารถช่วยเจ้าได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“วิชานี่หรือ...” เจ้าเสี่ยวพลันนึกถึงจุดประสงค์แรกที่ตนได้มาคุยกับคนในก้อนแสง
“เจ้าก็แค่ฝึกไปตามนั้น แล้วเจ้าจะฝึกปราณได้เอง แล้วอีกอย่าง วิชานี้ห้ามถ่ายทอดให้ใครโดยเด็ดขาด หรือเจ้าอยากจะลองก็ได้ แต่เจ้าก็ต้องเตรียมตัวโดนฟ้าผ่าเสียก่อนละ”
เจ้าเสี่ยวขนลุกชัน
“ข้า... ข้าเข้าใจแล้ว แล้วข้าจะทำอย่างไรให้ท่านหลอมรวมกับข้าละ”
วิญญาณเงียบไปนาน ในความเงียบนี้เจ้าเสี่ยวรู้สึกเหมือนตนกำลังโดนจ้องด้วยสายตาชั่วร้าย
“การจะให้ข้าหลอมรวมกับเจ้านั้นง่ายมาก แค่เจ้าทำข้อตกลงกับข้าข้อนึง”
“ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไรหรือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขอแค่เจ้าใช้ส่วนล่างของเจ้าบ่อย ๆ ก็พอแล้ว”
เจ้าเสี่ยวก้มลงมองร่างเปลือยเปล่าของตน และคำนวณส่วนได้ส่วนเสียในใจ อีกความคิดบอกไม่ให้ตกลงเด็ดขาด อีกความคิดก็บอกว่ามันจะเป็นอะไร นี่มันเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วมิใช่หรือ
วิญญาณวิปริตยิ้มชั่วร้าย
“เจ้าหนู หากเจ้าตกลง ข้าจะมอบความทรงจำส่วนที่สามารถพัฒนาความเป็นอยู่ของพวกเจ้าให้ด้วยนะ ว่าไงละ แล้วสิ่งที่ข้าขอมันแทบจะไม่ใช่คำขอด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำอยู่แล้ว”
เจ้าเสี่ยวคิดตาม ก็จริงอย่างที่เขาว่า เจ้าเสี่ยวไม่ลังเลอีก
“ได้ ข้าตกลง”
ในที่สุดวิญญาณวิปริตพึมพำคล้ายจะร่ำไห้ เขารอมานานเหลือเกิน ต้องรู้ว่าการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตต้องใช้พลังวิญญาณที่ล่องลอยอยู่เกือบร้อยตน แต่ก็แล้วแต่เผ่าด้วย เช่น เผ่ามนุษย์ต้องใช้แปดสิบดวงขึ้นไป การที่จะเป็นวิญญาณหลักคือหนึ่งในร้อย วิญญาณวิปริตตนนี้เลยใช้วิธีการทำข้อตกลงแทน
แม้ไม่ได้เป็นวิญญาณหลักก็จริง แต่การมีข้อตกลงอยู่ วิญญาณวิปริตตนนี้ก็มีเจตจำนงบางส่วนหลงเหลือ
“เจ้าหนู ก่อนที่ข้าจะหลอมรวมกับเจ้า ข้าจะแนะนำเจ้าอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้าอยากหาทางรอดให้เผ่าของเจ้า จำเป็นต้องมีผู้นำ แต่เป็นแค่หัวหน้าเผ่านั้นไม่พอ ข้าแนะนำเจ้า ให้เป็นเทพของพวกเขาเสีย หากเจ้าฝึกวิชาสำเร็จ ก็โชว์พลังให้พวกเขาเห็นสักหน่อยเท่านั้นก็ได้แล้ว”
วิญญาณวิปริตพูดจบก็ลอยเข้าไปในร่างเจ้าเสี่ยวทันที ความทรงจำอันแปลกประหลาดหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเจ้าเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง ถ้าเยอะกว่านี้หัวเขาอาจจะระเบิดออกมาโดยตรง
เจ้าเสี่ยวเดินโซเซไปหาถ้ำ พอถึงก็ล้มตัวนอนหลับไปทันที เจ้าเสี่ยวเดินมาตลอดทางโดยไม่รู้เลยว่าส่วนล่างของตนกำลังตั้งชูชัน และเขาก็หลับไปทั้งอย่างนั้น....
เจ้าเสี่ยวนอนไปแค่สี่ชั่วโมง ในเวลาตีห้า
เจ้าเสี่ยวถูกปลุกให้ตื่นโดยอาการปวดแปลบของส่วนล่างเพราะอาการแข็งตัวทั้งคืน ในใจพลันชุบคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้ เมื่อคิดได้ว่าต้นเหตุอาจจะเป็นข้อตกลงกับวิญญาณวิปริตตนนั้นเจ้าเสี่ยวก็สาปแช่งไอ้วิญญาณวิปริตตนนั้นไม่หยุด
“ไม่ได้การมันปวดเหลือเกิน ข้าต้องการภรรยา" เจ้าเสี่ยวเดินเข้าหาหัวหน้าเผ่า อาการปวดแปบทำให้เขาต้องเดินตัวงอ
เจ้าเสี่ยวเอ่ยกับหัวหน้าเผ่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เอ่อ ... เอ่อคือว่าข้าต้องการภรรยา" หัวหน้าเผ่ามองเขาอย่างมึนงง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองส่วนล่างของเด็กหนุ่มที่กำลังผงกหัวให้เขาหงึกๆ หัวหน้าเผ่าที่เข้าใจต้นสายปลายเหตุก็หัวเราะออกมาไม่หยุด ก่อนจะยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดูในความไร้เดียงสา หัวหน้าเผ่าใช้มือจับส่วนล่างที่เหนือกว่าของตน ข้อมือขยับขึ้นลง สาธิตวิธีการปลดปล่อยอีกรูปแบบหนึ่งให้เด็กหนุ่มดู
เจ้าเสี่ยวที่มองดูอยู่พลันเข้าใจที่อีกฝ่ายจะสื่อ เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความอาย ก่อนจะพยักหน้าให้หัวหน้าเผ่าแล้วหามุมถ้ำเพื่อทำภารกิจของตน ผ่านไปไม่นาน ด้วยนี่อาจเป็นครั้งแรกจึงใช้เวลาไม่นาน อาการเสียวซ่านที่เด็กหนุ่มไม่เคยประสบทำให้เจ้าเสี่ยวล้มตัวลงนอน ส่วนล่างที่เมื่อครู่ยังปวดอย่างบ้าคลั่ง บัดนี้เริ่มคลายตัว ผ่านไปสิบห้านาทีเจ้าเสี่ยวลุกขึ้นไปทำหน้าที่ของตนเพราะตอนนี้อาทิตย์ขึ้นแล้ว สองเสี่ยวเดินเปล่าเปลือยออกจากถ้ำ
"พี่ เมื่อครู่ท่านคุยอะไรกับหัวหน้าเผ่าหรือ หัวหน้าพูดอะไรที่ทำให้ท่านไม่พอใจใช่ไหม ท่านจึงไปหลบมุมถ้ำเช่นนั้น"
เจ้าเสี่ยวหน้าแดงก่ำ เขาไม่รู้จะตอบเหตุการณ์อันกระอักกระอ่วนให้เจ้าเสี่ยวสองฟังเช่นไรดี
"เอ่อ.. ไว้เจ้าโตเท่าข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง"
"ท่านพี่ ตอนนี้ข้าจะสูงกว่าท่านแล้วนะ"เจ้าเสี่ยวสองตอบกลับอย่างไร้เดียงสา เสี่ยวคนพี่งอนิ้วเคาะหัวเสี่ยวคนน้องเบาๆ
"ข้าหมายถึง หากเจ้าอายุเท่ากับข้าเจ้าจะรู้ได้เอง เจ้าบื้อ" เจ้าเสี่ยวสองมองพี่ตนอย่างโง่งม เขายกมือขึ้นเกาหัวและยิ้มให้
เจ้าเสี่ยวมองน้องชายต่างบิดามารดาคนนี้ด้วยความอ่อนใจ เขาใช้มือกอดคอเจ้าเสี่ยวสองที่สูงเท่าตนแล้ว เข้าไปในป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยกัน ระหว่างเก็บผลไม้ เขาก็คิดถึงเรื่องความทรงจำที่ตนได้รับจากวิญญาณวิปริตตนนั้นไปพลางๆ
"อย่างแรกที่ข้าต้องทำคือเครื่องปั้นดินเผ่าสินะ" เจ้าเสี่ยวค้นหาความทรงจำของการทำเครื่องปั้นดินเผ่าในหัวของตัวเอง
"ชิ้นนึงมันแลกตัวข้าได้สองคนเลยหนิ ไม่สิต้องสามคนต่างหาก แต่หากข่าวที่ข้าสามารถทำเครื่องปั้นดินเผาหลุดออกไป เผ่าอื่นอาจเข้ามาสร้างปัญหาได้ ก่อนอื่นข้าก็ต้องมีพลังไว้ป้องกันตัวก่อน" ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้ดวงนึงแล้ว พอคิดถึงการหลอมรวมวิญญาณ ก็อดนึกถึงวิญญาณสารเลวดวงนั้นไม่ได้ เจ้าเสี่ยวกัดฟันกอดอย่างชิงชัง
“เห้อ ขอเวลาอีกซักอาทิตย์ขึ้นสามสิบครั้งแล้วกัน หากยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงข้าก็ต้องลองทำอย่างอื่นไปก่อนแล้วหละ
ระหว่างนี้เจ้าเสี่ยวเก็บผลไม้พร้อมกับการคุยกับวิญญาณพวกนี้ไปด้วย บางดวงต้องการให้เขากลายเป็นวิญญาณรอง บางดวงก็ว่าง่ายหน่อย เขาแค่เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังก็เข้ามาหลอมรวมกับเขาแล้ว
ตกคำ วันนี้เจ้าเสี่ยวหลอมรวมวิญญาณได้ถึงห้าดวง พอนอนลงไม่นาน เสียงการเสียดสีของอวัยวะก็ดังขึ้นเช่นเคย แต่การตอบสนองของเจ้าเสี่ยวกลับไม่ได้เดินออกจากถ้ำเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่กลับจ้องมองเอวที่กำลังขยับขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะแทน ด้วยอาจเพราะข้อตกลงทำให้ร่างกายหลั่งสารความเป็นชายออกมามากขึ้น ทำให้เจ้าเสี่ยวตอบสนองต่างออกไป เจ้าเสี่ยวขยับข้อขึ้นลงไปพร้อมกับจังหวะของเอวอยู่พักใหญ่
เมื่อทำภารกิจสำเร็จแล้ว อาการง่วงงุนก็เข้ากอบกุม บวกกับความเหนื่อยล้าในการคุยกับวิญญาณเกือบยี่สิบดวง ทำให้เจ้าเสี่ยวเข้าสู่ห้วงนิทรา
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่ห้า ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้ยี่สิบดวงแล้ว ในห้าวันนี้เจ้าเสี่ยวสองตื่นขึ้นเพราะเหตุใดข้าก็ไม่ทราบ แต่ที่กลุ้มก็คือเขาเห็นข้าทำกิจกรรมอย่างว่า และถามข้าว่าข้าทำอะไร ข้าไม่ตอบและรีบข่มตานอน
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่สิบเอ็ด ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้สี่สิบห้าดวงแล้ว ในหกวันนี้เจ้าเสี่ยวสองบอกว่าอยากลองทำด้วย ข้าไม่สามารถห้ามเขาได้ จึงจำใจต้องให้เขาดูวิธีการและทำตามข้า เขาอายุแค่สิบสองฤดูหนาวเองนะ
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่สิบเก้า ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้หกสิบเก้าดวงแล้ว ในเจ็ดวันนี้เจ้าเสี่ยวสองเสนอให้ขยับที่นอนเข้าไปใกล้เขตที่นอนของผู้ใหญ่ให้มากขึ้น ด้วยความดื้อรั้นของเจ้าเสี่ยวสอง ข้าจึงไม่มีทางเลือกจึงขอแลกที่นอนจากเด็กอีกสองคน พวกเขาดีใจมาก ข้ามองดูขอบตาที่ดำโปนของพวกเขา ก็ให้สงสารนัก
ลมเย็นของวันใหม่พัดเข้ามาในถ้ำ สองเสี่ยวตื่นขึ้นด้วยความกระปี้กระเป่า เพราะเมื่อคืนพวกผู้ใหญ่เห็นเราจ้องมองตาแป๋วด้วยความสนใจ จึงเรียกให้เข้ามาดูใกล้ๆ ชายฉกรรจ์จัดท่าใหม่ เขานอนลงข้างล่างกอดสาวใหญ่ ส่วนล่างก็สอยด้วยความถี่สูง สองเสี่ยวตาวาวเพราะพวกตนได้ความรู้ใหม่อัดฉีดเข้าสมอง
"ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านพี่ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีท่าที่รวดเร็วเช่นนั้นด้วย"เจ้าเสี่ยวงอนิ้วแล้วเขกหัวเจ้าเด็กลามกนี่ครั้งหนึ่ง
"เป็นเด็กเป็นเล็กหัดคิดแต่เรื่องใต้สะดือ ใครสอนให้เจ้าเป็นเช่นนี้กัน"
"แต่ท่านพี่เป็นคนเริ่ม...."พูดไม่ทันจบมะกอกก็หล่นลงใส่หัวเจ้าเสี่ยวสองอีกลูกหนึ่ง เสี่ยวคนพี่กระแอมไอให้คอชุ่ม ก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่อง
"เจ้ายังไม่ไปเอาตระกล้าอีกรึ หรือเจ้าไม่อยากกินข้าวเย็นแล้ว"
"ขอรับ"เจ้าเสี่ยวสองเอ่ยเสียงค่อย
"เห้อเด็กสมัยนี้"เจ้าเสี่ยวส่ายหัวราวกับผู้เฒ่าที่อายุมากแล้ว
สองมือเจ้าเสี่ยวกำลังเก็บเบอร์รี่ แต่ในหัวกลับล่องลอยไปที่อื่น
"เอ่อเจ้าว่าข้าต้องหลอมรวมวิญญาณกี่ดวงหรือ ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง"เจ้าเสี่ยวถามวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างๆ วิญญาณทำหน้าสงสัย เพราะเจ้าหนูนี่ไม่มีรากปราณด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงถามข้ามไปขั้นเก้าแล้ว แต่ในสมองของวิญญาณนึกถึงวิชาหนึ่งได้ จึงไม่ค่อยแปลกใจเพราะวิชานี้แทบจะมีกันทุกดาวว่ากันว่าวิชานี้เป็นของสำนักใหญ่สำนักหนึ่งที่เผยแพร่มันออกมาให้คนที่ไม่มีรากปราณได้ฝึกกัน
"เจ้าต้องหลอมรวมวิญญาณให้ได้สองเท่าถึงจะเกิดตัวอ่อนวิญญาณขึ้นมา หากเจ้าหลอมรวมได้ถึงสิบเท่าของวิญญาณดั่งเดิม เจ้าก็จะมีทารกวิญญาณ หากใครไม่มีรากปราณในร่างก็จะมีในร่างวิญญาณแทน" สองเท่าของวิญญาณก่อนดูดซับ เจ้าเสี่ยวครุ่นคิดและรู้สึกว่าทำไมวิญญาณดวงนี้พูดออกมาเหมือนรู้จักวิชาที่ตนฝึกเป็นอย่างดี เขาจึงถามลองเชิงอีกฝ่าย
"ท่านไม่แปลกเลยรึว่าทำไมข้าถึงถามเรื่องนี้ทั้งทีข้าไม่มีรากปราณ"
"เจ้าหนูวิชาที่เจ้าฝึกแทบจะมีกันทุกดาว ข้าจะไม่รู้จักมันได้หรือ เรื่องที่น่าประหลาดใจก็มีอยู่บ้าง คือการที่เจ้าสามารถพูดคุยกับข้าได้"
มีกันทุกดาวหรือ มิใช่ว่า วิชาที่ตนได้รับเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ไร้ผู้ต่อกรหรอกหรือ หรือว่าเจ้าวิญญาณวิปริตนั่นหลอกข้า ไม่ใช่สิวิญญาณตนนี้บอกว่ามันแปลกใจที่ข้าสื่อสารกับมันได้ แสดงว่า ต้องมีบางขั้นตอนของวิชาที่ต่างเป็นแน่
"แล้วข้ามีพลังวิญญาณตอนแรกเท่าไหร่หรือ"เจ้าเสี่ยวพลันเปลี่ยนเรื่องคุย
"เผ่ามนุษย์ยุคหินอย่างเจ้าอยู่น่าจะไม่เกินเจ็ดสิบนะ"ไม่เกินเจ็ดสิบหรือ งั้นแสดงว่าแค่ข้าหลอมรวมวิญญาณอีกตน ข้าก็จะมีตัวอ่อนวิญญาณแล้วสินะ เจ้าเสี่ยวคิดได้เช่นนี้พลันล้มเลิกแผนการหลอมรวมวิญญาณไว้ก่อน "ค่อยทำตอนกลางคืนแล้วกันเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น" เจ้าเสี่ยวไม่คุยต่ออีก เปลี่ยนมาตั้งใจเก็บผลไม้ป่าแทน
ตกดึก เสียงอันเคยหูดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าเสี่ยวที่ตั้งใจว่าจะไปหลอมรวมวิญญาณดวงสุดท้ายก่อนพลันหยุดชะงักเพราะส่วนล่างนั้นกระตุกเร้าไม่หยุด เจ้าเสี่ยวจำต้องนั่งลงร่ำเรียนกระบวนท่าใหม่เป็นเพื่อนเจ้าเสี่ยวน้อยอีกครั้งหลังเสร็จกิจ เหลือบมองเห็นว่าเสี่ยวสองหลับไปแล้ว เขาก็เดินออกจากถ้ำขึ้นไปที่เนินเขาอีกครั้ง พอถึงจุดสูงสุดแล้ว เจ้าเสี่ยวนั่งลงบนหินก้อนหนึ่ง เจ้าเสี่ยวเอ่ยปากทักวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปลดปล่อยไม่ได้มีแต่ทางเดียว"
"ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ มีใครที่ไม่รู้บ้าง"เจ้าเสี่ยวชะงักอยู่พักนึงแต่ต้องทำเป็นนิ่ง เพราะจะมาปล่อยไก่ต่อหน้าวิญญาณพวกนี้ไม่ได้
"แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ปลดปล่อยแบบใดมีความสุขที่สุด"
"แน่นอนว่าต้องเป็นการปลดปล่อยข้างใน"เจ้าเสี่ยวยิ้มเยาะ
"ผิด การปลดปล่อยที่มีความสุขที่สุด คือการนั่งดูกิจกรรมเข้าออกของคนที่รู้จักแบบสดๆ กับเพื่อนไงเล่า"
"นี่ นี่ข้าไม่เชื่อ เจ้าโกหก"
"ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าวิญญาณประสบการณ์น้อยเอ๋ย เจ้าไม่อยากรู้หรือว่ามันเป็นเช่นใด แค่หลอมรวมกับข้า ข้าจะให้เจ้าลองสัมผัสประสบการณ์นั้นครั้งหนึ่ง เป็นไง เจ้าสนใจหรือไม่" วิญญาณน้อยทำท่าเหนียมอาย เขามิอาจเทียบแผ่นหน้าที่หนากับมนุษย์ยุคไร้อารยะธรรมหรอกนะ
"งั้นก็ถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ"วิญญาณขี้อายพลันวิ่งเข้าตัวเจ้าเสี่ยวอย่างไว ทันใดนั้นสัญญาเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นในใจเจ้าเสี่ยว
"หึ แค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป"เจ้าเสี่ยวยิ้มกลิ่ม คล้ายว่าไอ้วิญญาณวิปริตจะรู้สึกได้ จึงทำให้เขานึกถึงสัญญาอัปยศที่ตนได้ทำกับวิญญาณสมควรตายนั่น ความภาคภูมิที่เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรให้วิญญาณหลอมรวมง่ายๆ พลันหายไปในพริบตา
หลังวิญญาณดวงสุดท้ายหลอมรวมสำเร็จ เจ้าเสี่ยวรู้สึกว่าในวิญญาณของตนมีสิ่งอื่นเพิ่มเข้ามา หากมีกระจกที่ส่องเห็นวิญญาณได้ จะพบว่าในวิญญาณของเจ้าเสี่ยวมีตัวอ่อนมนุษย์สีทองอยู่ในนั้น แต่การเปลี่ยนแปลงกลับไม่จบอยู่แค่นี้ เจ้าตัวอ่อนมนุษย์พลันดึงดูดวิญญาณโดยรอบเข้าหาร่างกายเจ้าเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง หากใครที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้มาเห็น จะพบว่าในเนินเขานี้คล้ายกับมีดวงอาทิตย์ดวงเล็กดวงหนึ่งพุดขึ้นมา ในวิญญาณของเจ้าเสี่ยว ตัวอ่อนมนุษย์ดูดซับวิญญาณและเติบโตด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจากตัวอ่อนค่อยๆ กลายเป็นทารกมนุษย์ ผ่านไปเกือบสามสิบนาทีสถานการณ์จึงค่อยๆ สงบลง ความมืดมิดในหัวของเจ้าเสี่ยว เขาลืมตาวิญญาณขึ้น ก้มลงสำรวจร่างกายเปล่าเปลือยอันเล็กจ้อยของตน ตอนนี้ในหัวเจ้าเสี่ยวช่างโปร่งโล่งสบายเหลือเกิน ความคิดแล่นด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเมื่อครู่นับสิบเท่า เมื่อเจ้าเสี่ยวลืมตาขึ้นโลกนี้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เส้นสายหลากสีล่องลอยอย่างไร้ทิศทาง เมื่อเข้าสู่ร่าง ความรู้สึกที่เหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกับโลกก็พุดขึ้น
"นี่ นี่คือพลังฟ้าดินสินะหรืออีกชื่อก็คือพลังปราณ" เจ้าเสี่ยวสัมผัสความรู้สึกที่ได้อาบพลังปราณฟ้าดินอยู่นาน จนค่อยๆ ได้สติ เจ้าเสี่ยวนึกถึงคำพูดที่วิญญาณตอนกลางวันพูด ว่าต้องค่อยๆ ดูดซับพลังวิญญาณไปทีละระดับ แต่เขากลับดูดมาจนเติบโตกลายเป็นทารกวิญญาณในรวดเดียว
"แสดงว่าวิชาที่ข้าฝึกแม้อาจจะมีที่มาเดียวกัน แต่คนละระดับสินะ"
"แต่ใหนพลังเทพข้าละ เจ้าวิญญาณวิปริตนั้นบอกว่ามันเป็นวิชาระดับที่หากถ่ายทอดให้คนอื่นจะโดนฟ้าฝ่าเชียวนะ"
"นี่มันแค่ช่วยให้คนที่ไม่มีรากปราณฝึกปราณได้เท่านี้หรอกรึ แค่ช่วยให้เร็วกว่าคนอื่นเฉยๆ เองหนิ"เจ้าเสี่ยวอดผิดหวังไม่ได้ แต่ไม่นานนักเขาก็กลับมาอยู่กลับความเป็นจริง เจ้าเสี่ยวหันไปถามวิญญาณใกล้ๆ
"นี่เจ้า ขั้นของการฝึกปราณมีอะไรบ้างหรือ"
"เจ้าหนู เจ้าจะรู้อะไรไปมากมายขนาดนั้น รอเจ้าฝึกสามระดับที่ข้าบอกสำเร็จก่อน เจ้าค่อยมาถามใหม่นะ"
"ขั้นแรกคือขั้นรวบรวมปราณ มีสิบระดับ"
"ขั้นที่สองคือขั้นหลอมปราณ"
"ขั้นที่สามคือขั้นปราณบริสุทธิ์"
"ส่วนทารกวิญญาณที่เจ้ามีอยู่คือขั้นที่เก้าของเส้นทางการบำเพ็ญตน"ขั้นที่เก้าเลยหรือเจ้าเสี่ยวพึมพำ
"แล้วขั้นที่เก้ามันแข็งแกร่งแค่ไหนหรือ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนูพลังวิญญาณทำให้เจ้าควบคุมพลังปราณได้ดีขึ้นหากเจ้าไม่มีพลังปราณเจ้าว่าเจ้าจะแข็งแกร่งหรือไม่เล่า" วิญญาณเห็นเจ้าหนุ่มยุคหินนี่ทำสีหน้าซังกะตาย ก็อดพูดไม่ได้
"เจ้าไม่ต้องเศร้าไป มันก็ยังมีพลังที่สมเป็นขั้นที่เก้าอยู่ เจ้าลองควบคุมสิ่งของดูสิ"ดวงตาเจ้าเสี่ยวเป็นประกาย เขาเหลือบไปเห็นหินก้อนหนึ่ง จึงเรียกเข้าหาตัว เสียงตุบดังขึ้น หินนั้นลอยเข้าหัวของเขาอย่างจัง เจ้าเสี่ยวแทบหมดสติลงตรงนั้น
วิญญาณผู้เห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะดัง ไม่สนว่าเด็กหนุ่มจะอายหรือไม่ วิญญาณเช็ดน้ำตาที่ไม่อยู่จริงพลางกล่าว
"เห็นแก่เจ้าที่ทำให้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะบอกเจ้าอีกสักอย่างแล้วกัน อย่างที่บอกขั้นที่เก้าใช้ควบคุมพลังปราณให้ดีขึ้น เจ้าก็สามารถควบคุมพลังปราณภายนอกให้กับคนที่เจ้าเลือก เขาจะสามารถดูดซับพลังปราณได้เร็วขึ้นหรืออาจจะเลื่อนระดับโดยตรง" เจ้าเสี่ยวเอามือกุมหัวพลางคิดไปด้วย
นี่มันก็เหมาะมากไม่ใช่รึกับขั้นตอนการเป็นเทพของเรา แค่ควบคุมพลังปราณให้ผู้คนสัมผัสถึงพวกเขาก็จะคิดว่าเราเป็นผู้ประทานให้ เจ้าเสี่ยวตกอยู่ในภวังค์ความคิด รู้สึกตัวอีกที วิญญาณดวงนั้นก็ลอยหายไปแล้ว เห็นดังนี้เจ้าเสี่ยวก็เดินกลับไปนอน
รุ่งเช้า สองเสี่ยวเดินไปเก็บผลไม้ป่าเช่นเดิม เจ้าเสี่ยวคิดจะควบคุมพลังปราณให้เจ้าเสี่ยวสองลองเป็นคนแรก เพราะเขาเห็นว่าเจ้าเสี่ยงน้อยมีรากปราณ ที่จริงเขาดูทุกคนในเผ่าหมดแล้ว พวกเขามีรากปราณกันหมดนี่ทำให้เจ้าเสี่ยวซึมกับเรื่องที่ตนไม่มีรากปราณในร่างอยู่พักใหญ่ เหตุผลที่ให้เจ้าเสี่ยวน้อยลองก่อนก็มีอีกเหตุผลเช่นกัน คือ เทพจะขาดผู้รับใช้ได้เช่นไร หากเขาลงไปปั้นดินปั้นทราย เขาจะเหลือความศักดิ์สิทธิ์ที่ใดอีก
“เจ้าเสี่ยวน้อย ข้ามีอะไรดีๆ สอนให้แก่เจ้า” เจ้าเสี่ยวพูดกับคนข้างๆ และเขาใช้พลังวิญญาณยกให้หินก้อนหนึ่งลอยขึ้นและควบคุมให้มันพุ่งไปอัดต้นไม้อย่างแรง
“เป็นเช่นไร เจ้าอยากเรียนหรือไม่” เสี่ยวสองตาวาวเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง นี่คือการทำให้สิ่งของลอยได้เชียวนะ แม้แต่หัวหน้าเผ่ายังทำไม่ได้ พี่ชายต่างบิดามารดาของตนเป็น เทพ หรือ เจ้าเสี่ยวสองได้สติจากความอึ้งตลึง พลันพยักหน้าหงึกๆ
“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็นั่งลง” เจ้าเสี่ยวกดไหล่ของเสี่ยวคนน้องให้นั่งลง เขาโบกไม้โบกมือเพื่อรวบรวมพลังปราณรอบข้างให้เข้ามารวมกัน พอได้ขนาดที่ตนคิดว่าพอแล้วก็ผลักเข้าไปในร่างของเสี่ยวคนน้อง ทันใดนั้น!
“พี่!! ท้องข้าจะแตก!!” เจ้าเสี่ยวสองตะโกนสุดเสียง
"พี่!!!"
อ้าก อ้าก ท้องข้าจะแตกแล้ว!! เจ้าเสี่ยวเห็นเช่นนี้มือไม้ก็ตวัดอย่างสะเปะสะปะ รีบควบคุมพลังปราณในร่างของเสี่ยวคนน้องให้ออกมาอย่างลนลาน เจ้าเสี่ยวสองที่เกือบท้องแตกก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เพลิงที่สุมแน่นในอกของเสี่ยวคนพี่ค่อยๆ ดับมอดพร้อมความโล่งใจที่เข้ามาแทนที่ เพราะรู้ว่าเจ้าเสี่ยวสองรอดจากเงื้อมือยมบาลแล้ว
" ท่านพี่เหตุใดมันจึงเจ็บปวดเช่นนี้ " เจ้าเสี่ยวสองพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เพราะเมื่อครู่ตนเกือบได้ไป
เฝ้ายมบาลเสียแล้ว เสี่ยวคนพี่อึกอักด้วยกลัวเสียมาด ผู้ทรงภูมิจึงโกหกออกไป
" ไอ้หนูเจ้าอยากได้พลัง แค่ความยากลำบากเท่านี้เจ้ากลับหวาดกลัวเสียแล้ว เจ้าผ่านขั้นแรกของการฝึกแล้ว ขั้นต่อไปก็จะไม่เจ็บปวดเช่นนี้แล้วล่ะ เจ้าอดทนได้เยี่ยมมาก"
" ท่านพี่" เสี่ยวคนน้องน้ำตาซึมเพราะการโดนปลอบจากพี่ชายต่างบิดามารคนนี้
" เอาล่ะเจ้าก็นั่งสัมผัสพลังไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะเก็บผลไม้ป่ามาเผื่อเจ้าด้วย"
" ขอรับท่านพี่" เจ้าเสี่ยวสองเช็ดน้ำที่หางตา ในใจให้ซาบซึ้งยิ่งนักด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ชายต่างสายเลือดผู้นี้
เสี่ยวคนพี่รีบหลบฉาก หากอยู่นานกว่านี้เขากลัวว่าตนอาจปล่อยไก่ออกมาก็เป็นได้ ในหัวคิดว่าครั้งหน้าที่ตนมอบพลังให้ผู้อื่นจะยัดเข้าไปทีเดียวไม่ได้ ต้องค่อยๆ ใส่พลังปราณเข้าไป ให้รากปราณเติบโตอย่างช้าๆ แค่ให้พวกเขาสัมผัสถึงพลังปราณก็น่าจะพอแล้วกระมัง แค่นี้พวกเขาก็คิดว่าข้าเป็นคนมอบให้เองแหละมั้ง แต่การยัดเข้าไปทีเดียวก็มีผลดีเหมือนกัน เพราะเจ้าเสี่ยวสองขึ้นมาอยู่ในระดับหนึ่งของขั้นรวบรวมลมปราณในทันที เรียกได้ว่าเป็นวิธีบังคับให้รากปราณเติบโตขึ้นโดยตรง แล้วเมื่อครู่ข้าก็ยังควบคุมพลังปราณได้ไม่ดีพอ ข้าต้องฝึกควบคุมพลังวิญญาณให้ดีกว่านี้ หากข้าไปโอ้อวดพลังตอนนี้เลย อาจจะเป็นการปล่อยไก่ตัวโตก็เป็นได้
เจ้าเสี่ยวสองนั่งสัมผัสพลังแปลกใหม่ที่ตนพึ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก มันช่างสบายเหลือเกิน เขานั่งพลางทดลองใช้พลังปราณ ผ่านไปเนิ่นนาน จนถูกมืออันคุ้นเคยของพี่ชายต่างบิดามารดาคนนี้สัมผัสเข้าที่หัว จึงรู้สึกตัวขึ้นมา
" นี่เจ้าจะนั่งไปถึงพรุ่งนี้เลยหรือไร" เสี่ยวคนน้องจึงพบตอนนี้เองว่าดวงไฟแดงใหญ่กำลังจะลับขอบฟ้าเสียแล้ว เจ้าเสี่ยวสองเอ่ยกับคนเป็นพี่ด้วยความตื่นเต้น
" พี่ พี่ข้าสัมผัสถึงพลังได้แล้ว แต่ข้ายกหินแบบที่ท่านทำไม่ได้”
" เจ้าหนู เจ้าเพิ่งจะอยู่ในขั้นแรกของเส้นทางอันยาวไกลเองนะ”
" ขอรับ" เจ้าเสี่ยวสองยังคงตื่นเต้นแต่ก็คิดข้อหนึ่งได้ว่าเขาไม่ต่างจากคนธรรมดาเลย เพราะเขาไม่สามารถใช้พลังปราณภายนอกร่างกายได้เลยคล้ายกับว่าหากมันออกไปข้างนอกร่างกายมันจะไม่ใช่ของตนอีก
" ท่านพี่แล้วพลังนี้มันใช้อย่างไรหรือ ข้าไม่อาจนำมันออกจากร่างกายได้”เจ้าเสี่ยวสองถามข้อสงสัยของตนเอง
เจ้าเสี่ยวก็นึกถึงข้อนี้เช่นกัน เพราะระหว่างเก็บผลไม้เขาก็ลองดูดซับพลังปราณไปด้วย จนตอนนี้เขาก็อยู่ระดับหนึ่งของขั้นรวบรวมปราณแล้ว ด้วยเหตุที่รากปราณอยู่ในวิญญาณเลยทำให้เขาไม่ต้องนั่งลงฝึกเหมือนคนอื่น แค่ให้ร่างวิญญาณทำแทน เจ้าเสี่ยวครุ่นคิดวิธีใช้พลังปราณอยู่พักหนึ่งก่อนจะคิดขึ้นได้ถึงวิธีการใช้พลัง ที่เผ่าอสูรนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งมาจากเผ่าพันธุ์และอีกส่วนมาจากการที่พวกมันนำพลังปราณฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงร่างกายของตนเอง แล้วเหตุไฉนมนุษย์ถึงจะทำด้วยไม่ได้ และเขาก็คิดถึงอีกวิธีได้ คือการให้พลังปราณไปอยู่ที่ส่วนที่จะใช้โจมตีไม่ว่าจะเป็นหมัด เท้าหรืออาวุธ พลังโจมตีก็จะเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
เจ้าเสี่ยวบอกวิธีการใช้พลังปราณนี่ตนคิดได้ให้เสี่ยวผู้น้องฟังเจ้าเสี่ยวสองก็ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
ตกค่ำสองเสี่ยวก็เดินกลับมาถึงถ้ำ หลังกินอาหารที่เผ่าแจกให้เสร็จ ก็กลับมาร่ำเรียนวิชารอบดึกอีกครั้ง คาบนี้คุณครูสาวใช้มือเป็นเท้าที่สามและสี่ ปล่อยให้คุณครูพละโอบกอดและงอตัวเข้าออกอย่างกระหายอยาก สองบัณฑิตหนุ่มขยับดินสอขึ้นลง จดความรู้เข้าไปในหัวสมอง เนื่องด้วยอาการเหนื่อยล้าระหว่างวันและความผ่อนคลายก่อนนอน สองบัณฑิตจึงผลอยหลับไป ข้อตกลงที่เคยทำไว้กับวิญญาณขี้อายพลันค่อยๆ จางหายไปด้วย
หลังทำภารกิจในช่วงเช้าคือเก็บผลไม้ป่าของพวกตนเสร็จ สองเสี่ยวก็เริ่มขั้นตอนการฝึกฝนของตน เสี่ยวคนน้องนั่งขัดสมาธิฝึกโคจรพลังปราณไปทั่วร่างเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย เสี่ยวคนพี่กำลังฝึกใช้พลังจิตควบคุมสิ่งของ แม้ยังไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ดีกว่าตอนแรกอยู่มาก
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่ยี่สิบห้า สองเสี่ยวฝึกอย่างต่อเนื่อง ในสามวันนี้ร่างกายของเจ้าเสี่ยวสองแข็งแกร่งขึ้นบ้าง ส่วนเสี่ยวคนพี่ ก็ฝึกการควบคุมพลังจิตเช่นเคยสามวันมานี้ก็มีพัฒนาการขึ้นมาบ้างเช่นกัน และการคาบเรียนรอบดึกในสามวันนี้ก็มีวันหยุดเสียที แม้จะแค่วันเดียวก็เถอะนะ
ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่สามสิบ สองเสี่ยวยังคงฝึกฝนเช่นเดิม ในห้าวันนี้ด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวผู้พี่ เจ้าเสี่ยวสองจึงขึ้นมาอยู่ในขั้นรวบรวมปราณขั้นที่สองแล้ว ส่วนเสี่ยวผู้พี่แม้ยังฝึกไม่ถึงขั้นที่สองแต่ก็ใกล้แล้ว การฝึกพลังจิตก็เป็นไปอย่างราบรื่น ส่วนคาบเรียนรอบดึงก็สองเสี่ยวก็เข้าเรียนตามปกติ
ในชั่วเวลาอาทิตย์ขึ้นสามสิบครั้งนี้ ด้วยข้อตกลงที่ทำกับวิญญาณวิปริตทำให้ร่างกายของเจ้าเสี่ยวหลั่งสารความเป็นชายมากขึ้นจึงทำให้เขาสูงขึ้น แม้เขาจะกินเท่าที่ผ่านมา แต่ร่างกายที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณฟ้าดิน ทำให้เด็กร่างกายผอมแห้ง มีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง
“ตอนนี้แม้ข้าควบคุมพลังจิตวิญญาณไม่ชำนาญนัก แต่แค่การเต้นแล้งเต้นกาเท่านั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
เช้าวันรุ่งขึ้นในฤดูร้อน ภายใต้ดวงไฟยักษ์บนฟ้า เงาร่างของมนุษย์ยุคหินเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนราวกับมดงาน แต่สองหนุ่มกลับกำลังจับเข่าคุยกัน
“เจ้าเสี่ยวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดข้าจึงมองพลังให้เจ้าได้”
“เพราะเหตุใดหรือท่านพี่” เจ้าเสี่ยวสองสงสัย
“เพราะว่าข้าคือเทพอย่างไรละ”
“อะไรนะ ท่านพี่เป็นเทพหรือ” เจ้าเสี่ยวน้อยเชื่อจริงๆ เพราะหากมิใช่เทพ ผู้ใดจะสามารถมอบความแข็งแกร่งให้ผู้อื่นได้ คนเป็นพี่พลันหัวเราะขึ้นมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าบื้อ ข้าจะเป็นเทพได้อย่างไร” เจ้าเสี่ยวน้อยรู้สึกผิดหวัง งั้นตนก็ไม่ใช่น้องของเทพแล้วสิ พอเห็นสีหน้าผิดหวังของเสี่ยวผู้น้อง ก็เข้าทางเจ้าเสี่ยวละสิ เพราะที่ตนพูดมาทั้งหมดก็เพื่อเวลานี้แหละ
“เห้อ แม้ข้าจะไม่ใช่เทพ แต่ข้าเป็นผู้รับใช้เทพเจ้า ข้าได้ภารกิจจากท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ให้ข้าพัฒนาความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ ดังนั้น ท่านเทพจึงให้ข้าแอบอ้างเป็นเทพ เพื่อนำเผ่ามนุษย์ไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เทพจะขาดคนรับใช้ได้เช่นไร ถ้าข้าไปปั้นดินปั้นทรายผู้ใดจะศรัทธาข้ากัน เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่” พอเจ้าเสี่ยวน้อยคิดตามก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าเสี่ยวเห็นเสี่ยวผู้น้องคล้อยตามจึงพูดต่อ
“ข้าสนิทกับเจ้าที่สุด ข้าขอแค่เจ้าทำตามที่ข้าบอก หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นเจ้าก็จะเป็นข้ารับใช้ของเทพเช่นเดียวกันกับข้า ไม่แน่ว่า หากภารกิจจบลงเราอาจจะได้รับรางวัลจากเทพก็ได้นะ ว่าไง เจ้าสนใจหรือไม่”
พอเจ้าเสี่ยวสองได้ยินคำว่ารางวัลจากเทพดวงตาก็เปล่งประกายแวววาวออกมา พลันตอบตกลงพี่ชายตางบิดามารดาผู้นี้ไปโดยไม่คิดมาก
“เยี่ยมมาก งั้นข้าจะเล่าแผนการให้เจ้าฟัง”
“ขอรับ” เจ้าเสี่ยวสองนั่งเรียบร้อยคล้ายบัณฑิตผู้ใฝ่ร่ำใฝ่เรียนผู้หนึ่ง
“ขั้นแรกเจ้าต้องไปล่อสัตว์ป่าที่ทรงพลังในสายตาของคนในเผ่ามา”
“ขั้นที่สองเจ้าก็ต้องทำเป็นสู้มันไม่ได้ และกำลังจะโดนมันฆ่า”
“ขั้นที่สามข้าจะปรากฏตัวขึ้นอย่างอลังการและช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากความตาย แค่นี้ข้าก็จะเป็นเทพในสายตาพวกเขาแล้ว เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” เจ้าเสี่ยวน้อยหยักหน้าหงึกๆ บ่งบอกว่าตนเข้าใจ
“ดีมาก ไว้เราค่อยเริ่มกันพรุ่งนี้”
“ขอรับ” ช่วงเวลาที่เหลือของวันสองเสี่ยวไม่ปล่อยให้เสียเปล่า พากันฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น
ตกค่ำ เนื่องด้วยเสี่ยวคนพี่คิดว่าตนจะไม่ได้เข้าเรียนแล้วเพราะการเป็นเทพไม่สามารถมานอนเกลือกกลั้วกับสามัญชนคนธรรมดาได้ ไม่งั้นพวกเขาจะคิดว่าเทพก็ไม่ต่างจากพวกตน หากได้รับพลังแล้วด้วยความคิดที่ว่า อาจจะเกิดการตั้งตนเป็นเทพอีกสักองค์ก็เป็นได้ แน่นอนว่าเจ้าเสี่ยวไม่ได้คิดจะถืออำนาจไว้กับตนเพียงผู้เดียว แต่ด้วยการที่ต้องสู้กับเผ่าอสูร หากเผ่ามนุษย์ที่อ่อนแออยู่แล้วแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่าขึ้นมา จะเอาอะไรไปสู้กับเผ่าที่แข็งแกร่งอย่างเผ่าอสูรกัน ด้วยเหตุนี้เจ้าเสี่ยวจำต้องสละการร่ำเรียนวิชาที่สำคัญนี้ไป และขอให้อาจารย์สอนอย่างจัดเต็มเป็นครั้งสุดท้าย อาจารย์ด้วยความเอ็นดูลูกศิษย์ของตน จึงถ่ายทอดความรู้ให้โดยไม่กั๊กไว้แม้แต่น้อย หวังเพียงให้พวกเขาจดจำเนื้อหาและนำไปปรับใช้ในชีวิต
สองบัณฑิตก็จับดินสอขึ้นลงไม่หยุด หวังเพียงว่าจะจดความรู้ที่ตนได้รับ เอาเข้าหัวสมองให้ได้มากที่สุด จึงจดเร็วเป็นพิเศษ
เช้าตรู่สองเสี่ยวหยิบตะกร้าที่สานแบบหยาบๆ ออกมาจากถ้ำ แต่ครั้งนี้พวกตนไม่ได้เป็นเก็บผลไม้ป่าเหมือนอย่างเคย กลับเดินเข้าไปในป่าลึกแทน
“ท่านพี่ จะให้ข้าล่อสัตว์ตัวอะไรหรือ”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน เราลองไปหาดูก่อนแล้วกัน”
“ขอรับ” ทั้งสองเดินเข้าป่าลึกไปอย่างต่อเนื่อง ในป่าพวกเขาเดินผ่านสัตว์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสือ หมี หมูและหมาป่า เจ้าเสี่ยวคิดว่าสัตว์พวกนี้อาจโดนเผ่าของตนรุมจนตาย ซึ่งทำให้แผนของเขาอาจล้มเหลวได้ สัตว์ที่เหมาะสม น่าจะเป็นสัตว์ที่บินได้มากกว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้พวกเขาก็เดินไปลึกขึ้นอีก
ไม่นานเท่าไหร่ บนหัวสองเสี่ยวก็มีสัตว์ขนาดยักษ์บินผ่านหัวพวกเขาไป สีดำสนิทไปทั้งตัว ผู้ใดที่มองเห็นก็อาจจะพากันคิดว่าดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว เจ้าเสี่ยวใช้ดวงตาวิญญาณสำรวจแล้ว มันอยู่ในขั้นที่หนึ่งของขั้นรวบรวมปราณเท่านั้น เหมาะสมกับการทำภารกิจของพวกตันเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาจะล่อมันให้ไล่ตามอย่างไร ในสายตาเจ้าเสี่ยวที่กำลังมองตามเจ้าอีกายักษ์ตัวนั้นพลันพบว่ามันกำลังบินลงไปหารังของมัน ในรังมีอีกาอีกตัวที่กำลังกกไข่อยู่ เจ้าเสี่ยวนึกแผนขึ้นได้ หากอีกาอีกตัวออกจากรัง เขาจะฆ่ามันจากนั้นก็ให้เจ้าเสี่ยวน้อยไปขโมยไข่ที่รังและก็วิ่งไปทางเผ่าของตนจากนั้นแผนก็จะสำเร็จ
พอคิดได้เช่นนี้เขาก็บอกแผนการที่ตนคิดได้ให้เสี่ยวคนน้องฟัง เจ้าเสี่ยวพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นสองเสี่ยวก็เริ่มแผนการ ไม่นานอีกาที่หาอาหารมาป้อนคู่ของตนเสร็จก็คิดจะบินไปหามาเพิ่มอีก หลังจากที่เจ้าอีกาตัวผู้นี้บินออกมาไกลพอสมควร เจ้าเสี่ยวที่รออยู่พลันควบคุมก้อนหินให้พุ่งโจมตีอีกาตัวนั้นอย่างจัง ร่างกายขนาดใหญ่หลังมันตกถึงพื้น เสียงก็ดังสนั่นลั่นทั่วป่า เผ่าต่างๆ ที่ได้ยินเสียงก็ตกใจกันจนไม่เป็นอันกินอันนอน
เมื่อหน้าที่ตนสำเร็จเขาก็เดินกลับเผ่า เพื่อรอให้เจ้าเสี่ยวสองล่ออีกาตัวนั้นมา จากนั้นก็จะได้เริ่มแผนการเสียที เสี่ยวผู้น้องที่แอบอยู่ใกล้ๆ รัง เมื่อเห็นเจ้าอีกานั่นบินหายไปแล้ว เขาปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่อย่างปราดเปรียวเพราะด้วยเขาเติบโตในป่าจึงคุ้นเคยกันการปีนป่าย พอขึ้นมาถึง เจ้าเสี่ยวที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าอีกาขั้นหนึ่ง เขาใช้เท้าเตะอีกาตัวใหญ่ให้หล่นจากรัง หลังจากทำสำเร็จเขารีบหยิบไข่มาหนึ่งฟอง จากนั้นก็ทำลายฟองอื่นที่เหลือและทิ้งตัวลงมา จับเถาวัลย์เพื่อป่ายปีนลงมาจากที่สูงและรีบวิ่งกลับเผ่าด้วยความเร็วเต็มกำลัง
อีกาที่ถูกเตะออกจากรังไม่ทันได้คิดถึงว่าเหตุใดตนจึงตกจากรัง เพราะในสายตามันเห็นเจ้าหัวขโมยสังหารลูกๆ ของมันและขโมยไข่อีกใบไป ดวงตามันพลันแดงก่ำ รีบไล่ตามเจ้าหัวขโมยนั่นไป ในใจอยากจะฉีกเนื้อเถือหนังอีกฝ่ายให้แหลกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็เขมือบลงท้องให้หายแค้น
ประมาณสิบห้านาทีเสียงดังลั่นป่าอันเกินจริงก็ดังขึ้น คนในเผ่าของสองเสี่ยวที่ได้ยินเสียงก็พากันหาต้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่นานคนในเผ่าก็เห็นว่าเจ้าเด็กใฝ่เรียนวิชาคาบดึก กำลังโดนสัตว์มหึมาตนหนึ่งไล่หลังตามมา พวกเขาไม่รู้จะทำเช่นไรเพราะนี่มันน่ากลัวเกินไป ปีกหนาที่บดบังไปครึ่งฟ้าทำให้พวกเขาสั่นกลัวไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ เจ้าเสี่ยวสองที่กำลังเข้าตาจน ร้องเสียงหลงอย่างคนที่หวาดกลัวสุดขีด กรงเล็บทมิฬเกี่ยวร่างของเจ้าเสี่ยวสองให้ลอยขึ้นฟ้าไปพร้อมกับมัน คนในเผ่าได้แต่ยืนดูอยู่จากที่ไกลๆ ด้วยความคิดที่ว่าเด็กนี่ไม่รอดแล้วละ
แต่ในนาทีนั้นเอง บุรุษสวมเครื่องประดับกระดูกห้อยคอและเอวแทนเสื้อผ้าก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างกายทุกส่วนขาวนวลเนียนราวกับรูปสลัก ทุกก้าวเดินใบไม้ก็ปลิวลงมารองฝ่าเท้าของพระองค์เอาไว้ ราวกับกลัวว่าเท้าของพระองค์จะแปดเปื้อนโลกโลกีย์แห่งนี้เข้า ดวงไฟยักษ์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าเปล่งแสงจ้าตาขับเน้นให้พระองค์ดูสูงส่งยิ่งขึ้น พระองค์หยุดฝีเท้าลงไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก จากนั้นยกมือขึ้นอย่างง่ายๆ ไม้ กรวด หินและอาวุธของคนในเผ่าก็ลอยขึ้นพร้อมกัน พระองค์โบกมือคลาหนึ่ง สิ่งของที่ลอยขึ้นเมื่อครู่พลันพุ้งเข้าหาสัตว์ร้ายอย่างมืดฟ้ามัวดิน ความรุนแรงของมันคือขั้นที่เก้าของเส้นทางการฝึกตนเชียวนะ แม้ไม่ได้มีพลังปราณที่แข็งแกร่ง มาช่วยเสริมก็เถอะ กับสัตว์อสูรแค่ขั้นแรก จะต้านทานมันได้อย่างไร
อีกาที่ถูกดับชีวาพลันดิ่งพระสุธาลงมาพร้อมกับตัวเด็กหนุ่ม พระองค์จึงใช้มือเรียกใบไม้ใหญ่ให้ลอยไปรับตัวเด็กหนุ่มลงมา พอถึงพื้นเด็กหนุ่มที่เห็นคนที่ช่วยชีวิตตน ก็ลงไปคุกเข่ากราบกรานในทันที พระองค์ทรงยิ้มออกมาและลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ ทันทีที่ฝ่ามือพระองค์สัมผัส หนุ่มน้อยผู้นี้ราวกับโดนเชือดเลือดไก่ เขาลุกขึ้นมาและเตะต่อยไปทั่ว แม้จะเป็นไปตามที่คุยกันไว้แต่นี้มันจะเล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง เสี่ยวคนน้องที่เห็นผู้เป็นพี่ขมวดคิ้ว จึงนึกได้ว่าพี่ชายบอกให้โชว์พลังนิดหน่อยก็พอ จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงไปอีกครั้ง
คนในเผ่าที่ไม่เคยเห็นเหตุการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ แค่โบกมือก็สามารถสังหารสัตว์ยักษ์นั่นได้นี่มันเกินความรู้ของพวกเขาไปมากและเมื่อเห็นเจ้าหนุ่มที่เมื่อครู่ยังไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่ แค่คนเปล่าเปลือยใส่แค่เครื่องประดับนั้นสัมผัสครั้งหนึ่ง กลับสามารถต่อยต้นไม้ให้ขาด อัดหินให้แตกได้ คนในเผ่าก็คุกเข่าก้มลงกราบกรานด้วยความหวาดกลัวแต่ความศรัทธาในทันที
เจ้าเสี่ยวที่เห็นทุกคนใช้พิธีการเคารพสูงสุดแก่ตน ก็ให้รู้สึกหลายอารมณ์ยิ่งนัก เจ้าวิญญาณสมควรตายเหมือนสัมผัสได้ว่าตนกำลังมีความสุข จึงลงมือทำสิ่งที่เจ้าเสี่ยวไม่อาจให้อภัย...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!