ข้าต้องการภรรยา

เจ้าเสี่ยวนอนไปแค่สี่ชั่วโมง ในเวลาตีห้า

เจ้าเสี่ยวถูกปลุกให้ตื่นโดยอาการปวดแปลบของส่วนล่างเพราะอาการแข็งตัวทั้งคืน ในใจพลันชุบคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้ เมื่อคิดได้ว่าต้นเหตุอาจจะเป็นข้อตกลงกับวิญญาณวิปริตตนนั้นเจ้าเสี่ยวก็สาปแช่งไอ้วิญญาณวิปริตตนนั้นไม่หยุด

“ไม่ได้การมันปวดเหลือเกิน ข้าต้องการภรรยา" เจ้าเสี่ยวเดินเข้าหาหัวหน้าเผ่า อาการปวดแปบทำให้เขาต้องเดินตัวงอ

เจ้าเสี่ยวเอ่ยกับหัวหน้าเผ่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เอ่อ ... เอ่อคือว่าข้าต้องการภรรยา" หัวหน้าเผ่ามองเขาอย่างมึนงง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองส่วนล่างของเด็กหนุ่มที่กำลังผงกหัวให้เขาหงึกๆ หัวหน้าเผ่าที่เข้าใจต้นสายปลายเหตุก็หัวเราะออกมาไม่หยุด ก่อนจะยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดูในความไร้เดียงสา หัวหน้าเผ่าใช้มือจับส่วนล่างที่เหนือกว่าของตน ข้อมือขยับขึ้นลง สาธิตวิธีการปลดปล่อยอีกรูปแบบหนึ่งให้เด็กหนุ่มดู

เจ้าเสี่ยวที่มองดูอยู่พลันเข้าใจที่อีกฝ่ายจะสื่อ เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความอาย ก่อนจะพยักหน้าให้หัวหน้าเผ่าแล้วหามุมถ้ำเพื่อทำภารกิจของตน ผ่านไปไม่นาน ด้วยนี่อาจเป็นครั้งแรกจึงใช้เวลาไม่นาน อาการเสียวซ่านที่เด็กหนุ่มไม่เคยประสบทำให้เจ้าเสี่ยวล้มตัวลงนอน ส่วนล่างที่เมื่อครู่ยังปวดอย่างบ้าคลั่ง บัดนี้เริ่มคลายตัว ผ่านไปสิบห้านาทีเจ้าเสี่ยวลุกขึ้นไปทำหน้าที่ของตนเพราะตอนนี้อาทิตย์ขึ้นแล้ว สองเสี่ยวเดินเปล่าเปลือยออกจากถ้ำ

"พี่ เมื่อครู่ท่านคุยอะไรกับหัวหน้าเผ่าหรือ หัวหน้าพูดอะไรที่ทำให้ท่านไม่พอใจใช่ไหม ท่านจึงไปหลบมุมถ้ำเช่นนั้น"

เจ้าเสี่ยวหน้าแดงก่ำ เขาไม่รู้จะตอบเหตุการณ์อันกระอักกระอ่วนให้เจ้าเสี่ยวสองฟังเช่นไรดี

"เอ่อ.. ไว้เจ้าโตเท่าข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง"

"ท่านพี่ ตอนนี้ข้าจะสูงกว่าท่านแล้วนะ"เจ้าเสี่ยวสองตอบกลับอย่างไร้เดียงสา เสี่ยวคนพี่งอนิ้วเคาะหัวเสี่ยวคนน้องเบาๆ

"ข้าหมายถึง หากเจ้าอายุเท่ากับข้าเจ้าจะรู้ได้เอง เจ้าบื้อ" เจ้าเสี่ยวสองมองพี่ตนอย่างโง่งม เขายกมือขึ้นเกาหัวและยิ้มให้

เจ้าเสี่ยวมองน้องชายต่างบิดามารดาคนนี้ด้วยความอ่อนใจ เขาใช้มือกอดคอเจ้าเสี่ยวสองที่สูงเท่าตนแล้ว เข้าไปในป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยกัน ระหว่างเก็บผลไม้ เขาก็คิดถึงเรื่องความทรงจำที่ตนได้รับจากวิญญาณวิปริตตนนั้นไปพลางๆ

"อย่างแรกที่ข้าต้องทำคือเครื่องปั้นดินเผ่าสินะ" เจ้าเสี่ยวค้นหาความทรงจำของการทำเครื่องปั้นดินเผ่าในหัวของตัวเอง

"ชิ้นนึงมันแลกตัวข้าได้สองคนเลยหนิ ไม่สิต้องสามคนต่างหาก แต่หากข่าวที่ข้าสามารถทำเครื่องปั้นดินเผาหลุดออกไป เผ่าอื่นอาจเข้ามาสร้างปัญหาได้ ก่อนอื่นข้าก็ต้องมีพลังไว้ป้องกันตัวก่อน" ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้ดวงนึงแล้ว พอคิดถึงการหลอมรวมวิญญาณ ก็อดนึกถึงวิญญาณสารเลวดวงนั้นไม่ได้ เจ้าเสี่ยวกัดฟันกอดอย่างชิงชัง

“เห้อ ขอเวลาอีกซักอาทิตย์ขึ้นสามสิบครั้งแล้วกัน หากยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงข้าก็ต้องลองทำอย่างอื่นไปก่อนแล้วหละ

ระหว่างนี้เจ้าเสี่ยวเก็บผลไม้พร้อมกับการคุยกับวิญญาณพวกนี้ไปด้วย บางดวงต้องการให้เขากลายเป็นวิญญาณรอง บางดวงก็ว่าง่ายหน่อย เขาแค่เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังก็เข้ามาหลอมรวมกับเขาแล้ว

ตกคำ วันนี้เจ้าเสี่ยวหลอมรวมวิญญาณได้ถึงห้าดวง พอนอนลงไม่นาน เสียงการเสียดสีของอวัยวะก็ดังขึ้นเช่นเคย แต่การตอบสนองของเจ้าเสี่ยวกลับไม่ได้เดินออกจากถ้ำเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่กลับจ้องมองเอวที่กำลังขยับขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะแทน ด้วยอาจเพราะข้อตกลงทำให้ร่างกายหลั่งสารความเป็นชายออกมามากขึ้น ทำให้เจ้าเสี่ยวตอบสนองต่างออกไป เจ้าเสี่ยวขยับข้อขึ้นลงไปพร้อมกับจังหวะของเอวอยู่พักใหญ่

เมื่อทำภารกิจสำเร็จแล้ว อาการง่วงงุนก็เข้ากอบกุม บวกกับความเหนื่อยล้าในการคุยกับวิญญาณเกือบยี่สิบดวง ทำให้เจ้าเสี่ยวเข้าสู่ห้วงนิทรา

ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่ห้า ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้ยี่สิบดวงแล้ว ในห้าวันนี้เจ้าเสี่ยวสองตื่นขึ้นเพราะเหตุใดข้าก็ไม่ทราบ แต่ที่กลุ้มก็คือเขาเห็นข้าทำกิจกรรมอย่างว่า และถามข้าว่าข้าทำอะไร ข้าไม่ตอบและรีบข่มตานอน

ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่สิบเอ็ด ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้สี่สิบห้าดวงแล้ว ในหกวันนี้เจ้าเสี่ยวสองบอกว่าอยากลองทำด้วย ข้าไม่สามารถห้ามเขาได้ จึงจำใจต้องให้เขาดูวิธีการและทำตามข้า เขาอายุแค่สิบสองฤดูหนาวเองนะ

ดวงอาทิตย์ขึ้นครั้งที่สิบเก้า ตอนนี้ข้าหลอมรวมวิญญาณได้หกสิบเก้าดวงแล้ว ในเจ็ดวันนี้เจ้าเสี่ยวสองเสนอให้ขยับที่นอนเข้าไปใกล้เขตที่นอนของผู้ใหญ่ให้มากขึ้น ด้วยความดื้อรั้นของเจ้าเสี่ยวสอง ข้าจึงไม่มีทางเลือกจึงขอแลกที่นอนจากเด็กอีกสองคน พวกเขาดีใจมาก ข้ามองดูขอบตาที่ดำโปนของพวกเขา ก็ให้สงสารนัก

ลมเย็นของวันใหม่พัดเข้ามาในถ้ำ สองเสี่ยวตื่นขึ้นด้วยความกระปี้กระเป่า เพราะเมื่อคืนพวกผู้ใหญ่เห็นเราจ้องมองตาแป๋วด้วยความสนใจ จึงเรียกให้เข้ามาดูใกล้ๆ ชายฉกรรจ์จัดท่าใหม่ เขานอนลงข้างล่างกอดสาวใหญ่ ส่วนล่างก็สอยด้วยความถี่สูง สองเสี่ยวตาวาวเพราะพวกตนได้ความรู้ใหม่อัดฉีดเข้าสมอง

"ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านพี่ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีท่าที่รวดเร็วเช่นนั้นด้วย"เจ้าเสี่ยวงอนิ้วแล้วเขกหัวเจ้าเด็กลามกนี่ครั้งหนึ่ง

"เป็นเด็กเป็นเล็กหัดคิดแต่เรื่องใต้สะดือ ใครสอนให้เจ้าเป็นเช่นนี้กัน"

"แต่ท่านพี่เป็นคนเริ่ม...."พูดไม่ทันจบมะกอกก็หล่นลงใส่หัวเจ้าเสี่ยวสองอีกลูกหนึ่ง เสี่ยวคนพี่กระแอมไอให้คอชุ่ม ก่อนจะพูดเปลี่ยนเรื่อง

"เจ้ายังไม่ไปเอาตระกล้าอีกรึ หรือเจ้าไม่อยากกินข้าวเย็นแล้ว"

"ขอรับ"เจ้าเสี่ยวสองเอ่ยเสียงค่อย

"เห้อเด็กสมัยนี้"เจ้าเสี่ยวส่ายหัวราวกับผู้เฒ่าที่อายุมากแล้ว

สองมือเจ้าเสี่ยวกำลังเก็บเบอร์รี่ แต่ในหัวกลับล่องลอยไปที่อื่น

"เอ่อเจ้าว่าข้าต้องหลอมรวมวิญญาณกี่ดวงหรือ ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง"เจ้าเสี่ยวถามวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างๆ วิญญาณทำหน้าสงสัย เพราะเจ้าหนูนี่ไม่มีรากปราณด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงถามข้ามไปขั้นเก้าแล้ว แต่ในสมองของวิญญาณนึกถึงวิชาหนึ่งได้ จึงไม่ค่อยแปลกใจเพราะวิชานี้แทบจะมีกันทุกดาวว่ากันว่าวิชานี้เป็นของสำนักใหญ่สำนักหนึ่งที่เผยแพร่มันออกมาให้คนที่ไม่มีรากปราณได้ฝึกกัน

"เจ้าต้องหลอมรวมวิญญาณให้ได้สองเท่าถึงจะเกิดตัวอ่อนวิญญาณขึ้นมา หากเจ้าหลอมรวมได้ถึงสิบเท่าของวิญญาณดั่งเดิม เจ้าก็จะมีทารกวิญญาณ หากใครไม่มีรากปราณในร่างก็จะมีในร่างวิญญาณแทน" สองเท่าของวิญญาณก่อนดูดซับ เจ้าเสี่ยวครุ่นคิดและรู้สึกว่าทำไมวิญญาณดวงนี้พูดออกมาเหมือนรู้จักวิชาที่ตนฝึกเป็นอย่างดี เขาจึงถามลองเชิงอีกฝ่าย

"ท่านไม่แปลกเลยรึว่าทำไมข้าถึงถามเรื่องนี้ทั้งทีข้าไม่มีรากปราณ"

"เจ้าหนูวิชาที่เจ้าฝึกแทบจะมีกันทุกดาว ข้าจะไม่รู้จักมันได้หรือ เรื่องที่น่าประหลาดใจก็มีอยู่บ้าง คือการที่เจ้าสามารถพูดคุยกับข้าได้"

มีกันทุกดาวหรือ มิใช่ว่า วิชาที่ตนได้รับเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ไร้ผู้ต่อกรหรอกหรือ หรือว่าเจ้าวิญญาณวิปริตนั่นหลอกข้า ไม่ใช่สิวิญญาณตนนี้บอกว่ามันแปลกใจที่ข้าสื่อสารกับมันได้ แสดงว่า ต้องมีบางขั้นตอนของวิชาที่ต่างเป็นแน่

"แล้วข้ามีพลังวิญญาณตอนแรกเท่าไหร่หรือ"เจ้าเสี่ยวพลันเปลี่ยนเรื่องคุย

"เผ่ามนุษย์ยุคหินอย่างเจ้าอยู่น่าจะไม่เกินเจ็ดสิบนะ"ไม่เกินเจ็ดสิบหรือ งั้นแสดงว่าแค่ข้าหลอมรวมวิญญาณอีกตน ข้าก็จะมีตัวอ่อนวิญญาณแล้วสินะ เจ้าเสี่ยวคิดได้เช่นนี้พลันล้มเลิกแผนการหลอมรวมวิญญาณไว้ก่อน "ค่อยทำตอนกลางคืนแล้วกันเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น" เจ้าเสี่ยวไม่คุยต่ออีก เปลี่ยนมาตั้งใจเก็บผลไม้ป่าแทน

ตกดึก เสียงอันเคยหูดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าเสี่ยวที่ตั้งใจว่าจะไปหลอมรวมวิญญาณดวงสุดท้ายก่อนพลันหยุดชะงักเพราะส่วนล่างนั้นกระตุกเร้าไม่หยุด เจ้าเสี่ยวจำต้องนั่งลงร่ำเรียนกระบวนท่าใหม่เป็นเพื่อนเจ้าเสี่ยวน้อยอีกครั้งหลังเสร็จกิจ เหลือบมองเห็นว่าเสี่ยวสองหลับไปแล้ว เขาก็เดินออกจากถ้ำขึ้นไปที่เนินเขาอีกครั้ง พอถึงจุดสูงสุดแล้ว เจ้าเสี่ยวนั่งลงบนหินก้อนหนึ่ง เจ้าเสี่ยวเอ่ยปากทักวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปลดปล่อยไม่ได้มีแต่ทางเดียว"

"ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ มีใครที่ไม่รู้บ้าง"เจ้าเสี่ยวชะงักอยู่พักนึงแต่ต้องทำเป็นนิ่ง เพราะจะมาปล่อยไก่ต่อหน้าวิญญาณพวกนี้ไม่ได้

"แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ปลดปล่อยแบบใดมีความสุขที่สุด"

"แน่นอนว่าต้องเป็นการปลดปล่อยข้างใน"เจ้าเสี่ยวยิ้มเยาะ

"ผิด การปลดปล่อยที่มีความสุขที่สุด คือการนั่งดูกิจกรรมเข้าออกของคนที่รู้จักแบบสดๆ กับเพื่อนไงเล่า"

"นี่ นี่ข้าไม่เชื่อ เจ้าโกหก"

"ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าวิญญาณประสบการณ์น้อยเอ๋ย เจ้าไม่อยากรู้หรือว่ามันเป็นเช่นใด แค่หลอมรวมกับข้า ข้าจะให้เจ้าลองสัมผัสประสบการณ์นั้นครั้งหนึ่ง เป็นไง เจ้าสนใจหรือไม่" วิญญาณน้อยทำท่าเหนียมอาย เขามิอาจเทียบแผ่นหน้าที่หนากับมนุษย์ยุคไร้อารยะธรรมหรอกนะ

"งั้นก็ถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ"วิญญาณขี้อายพลันวิ่งเข้าตัวเจ้าเสี่ยวอย่างไว ทันใดนั้นสัญญาเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นในใจเจ้าเสี่ยว

"หึ แค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป"เจ้าเสี่ยวยิ้มกลิ่ม คล้ายว่าไอ้วิญญาณวิปริตจะรู้สึกได้ จึงทำให้เขานึกถึงสัญญาอัปยศที่ตนได้ทำกับวิญญาณสมควรตายนั่น ความภาคภูมิที่เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรให้วิญญาณหลอมรวมง่ายๆ พลันหายไปในพริบตา

หลังวิญญาณดวงสุดท้ายหลอมรวมสำเร็จ เจ้าเสี่ยวรู้สึกว่าในวิญญาณของตนมีสิ่งอื่นเพิ่มเข้ามา หากมีกระจกที่ส่องเห็นวิญญาณได้ จะพบว่าในวิญญาณของเจ้าเสี่ยวมีตัวอ่อนมนุษย์สีทองอยู่ในนั้น แต่การเปลี่ยนแปลงกลับไม่จบอยู่แค่นี้ เจ้าตัวอ่อนมนุษย์พลันดึงดูดวิญญาณโดยรอบเข้าหาร่างกายเจ้าเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง หากใครที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้มาเห็น จะพบว่าในเนินเขานี้คล้ายกับมีดวงอาทิตย์ดวงเล็กดวงหนึ่งพุดขึ้นมา ในวิญญาณของเจ้าเสี่ยว ตัวอ่อนมนุษย์ดูดซับวิญญาณและเติบโตด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจากตัวอ่อนค่อยๆ กลายเป็นทารกมนุษย์ ผ่านไปเกือบสามสิบนาทีสถานการณ์จึงค่อยๆ สงบลง ความมืดมิดในหัวของเจ้าเสี่ยว เขาลืมตาวิญญาณขึ้น ก้มลงสำรวจร่างกายเปล่าเปลือยอันเล็กจ้อยของตน ตอนนี้ในหัวเจ้าเสี่ยวช่างโปร่งโล่งสบายเหลือเกิน ความคิดแล่นด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเมื่อครู่นับสิบเท่า เมื่อเจ้าเสี่ยวลืมตาขึ้นโลกนี้ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เส้นสายหลากสีล่องลอยอย่างไร้ทิศทาง เมื่อเข้าสู่ร่าง ความรู้สึกที่เหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกับโลกก็พุดขึ้น

"นี่ นี่คือพลังฟ้าดินสินะหรืออีกชื่อก็คือพลังปราณ" เจ้าเสี่ยวสัมผัสความรู้สึกที่ได้อาบพลังปราณฟ้าดินอยู่นาน จนค่อยๆ ได้สติ เจ้าเสี่ยวนึกถึงคำพูดที่วิญญาณตอนกลางวันพูด ว่าต้องค่อยๆ ดูดซับพลังวิญญาณไปทีละระดับ แต่เขากลับดูดมาจนเติบโตกลายเป็นทารกวิญญาณในรวดเดียว

"แสดงว่าวิชาที่ข้าฝึกแม้อาจจะมีที่มาเดียวกัน แต่คนละระดับสินะ"

"แต่ใหนพลังเทพข้าละ เจ้าวิญญาณวิปริตนั้นบอกว่ามันเป็นวิชาระดับที่หากถ่ายทอดให้คนอื่นจะโดนฟ้าฝ่าเชียวนะ"

"นี่มันแค่ช่วยให้คนที่ไม่มีรากปราณฝึกปราณได้เท่านี้หรอกรึ แค่ช่วยให้เร็วกว่าคนอื่นเฉยๆ เองหนิ"เจ้าเสี่ยวอดผิดหวังไม่ได้ แต่ไม่นานนักเขาก็กลับมาอยู่กลับความเป็นจริง เจ้าเสี่ยวหันไปถามวิญญาณใกล้ๆ

"นี่เจ้า ขั้นของการฝึกปราณมีอะไรบ้างหรือ"

"เจ้าหนู เจ้าจะรู้อะไรไปมากมายขนาดนั้น รอเจ้าฝึกสามระดับที่ข้าบอกสำเร็จก่อน เจ้าค่อยมาถามใหม่นะ"

"ขั้นแรกคือขั้นรวบรวมปราณ มีสิบระดับ"

"ขั้นที่สองคือขั้นหลอมปราณ"

"ขั้นที่สามคือขั้นปราณบริสุทธิ์"

"ส่วนทารกวิญญาณที่เจ้ามีอยู่คือขั้นที่เก้าของเส้นทางการบำเพ็ญตน"ขั้นที่เก้าเลยหรือเจ้าเสี่ยวพึมพำ

"แล้วขั้นที่เก้ามันแข็งแกร่งแค่ไหนหรือ"

"ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนูพลังวิญญาณทำให้เจ้าควบคุมพลังปราณได้ดีขึ้นหากเจ้าไม่มีพลังปราณเจ้าว่าเจ้าจะแข็งแกร่งหรือไม่เล่า" วิญญาณเห็นเจ้าหนุ่มยุคหินนี่ทำสีหน้าซังกะตาย ก็อดพูดไม่ได้

"เจ้าไม่ต้องเศร้าไป มันก็ยังมีพลังที่สมเป็นขั้นที่เก้าอยู่ เจ้าลองควบคุมสิ่งของดูสิ"ดวงตาเจ้าเสี่ยวเป็นประกาย เขาเหลือบไปเห็นหินก้อนหนึ่ง จึงเรียกเข้าหาตัว เสียงตุบดังขึ้น หินนั้นลอยเข้าหัวของเขาอย่างจัง เจ้าเสี่ยวแทบหมดสติลงตรงนั้น

วิญญาณผู้เห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะดัง ไม่สนว่าเด็กหนุ่มจะอายหรือไม่ วิญญาณเช็ดน้ำตาที่ไม่อยู่จริงพลางกล่าว

"เห็นแก่เจ้าที่ทำให้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะบอกเจ้าอีกสักอย่างแล้วกัน อย่างที่บอกขั้นที่เก้าใช้ควบคุมพลังปราณให้ดีขึ้น เจ้าก็สามารถควบคุมพลังปราณภายนอกให้กับคนที่เจ้าเลือก เขาจะสามารถดูดซับพลังปราณได้เร็วขึ้นหรืออาจจะเลื่อนระดับโดยตรง" เจ้าเสี่ยวเอามือกุมหัวพลางคิดไปด้วย

นี่มันก็เหมาะมากไม่ใช่รึกับขั้นตอนการเป็นเทพของเรา แค่ควบคุมพลังปราณให้ผู้คนสัมผัสถึงพวกเขาก็จะคิดว่าเราเป็นผู้ประทานให้ เจ้าเสี่ยวตกอยู่ในภวังค์ความคิด รู้สึกตัวอีกที วิญญาณดวงนั้นก็ลอยหายไปแล้ว เห็นดังนี้เจ้าเสี่ยวก็เดินกลับไปนอน

รุ่งเช้า สองเสี่ยวเดินไปเก็บผลไม้ป่าเช่นเดิม เจ้าเสี่ยวคิดจะควบคุมพลังปราณให้เจ้าเสี่ยวสองลองเป็นคนแรก เพราะเขาเห็นว่าเจ้าเสี่ยงน้อยมีรากปราณ ที่จริงเขาดูทุกคนในเผ่าหมดแล้ว พวกเขามีรากปราณกันหมดนี่ทำให้เจ้าเสี่ยวซึมกับเรื่องที่ตนไม่มีรากปราณในร่างอยู่พักใหญ่ เหตุผลที่ให้เจ้าเสี่ยวน้อยลองก่อนก็มีอีกเหตุผลเช่นกัน คือ เทพจะขาดผู้รับใช้ได้เช่นไร หากเขาลงไปปั้นดินปั้นทราย เขาจะเหลือความศักดิ์สิทธิ์ที่ใดอีก

“เจ้าเสี่ยวน้อย ข้ามีอะไรดีๆ สอนให้แก่เจ้า” เจ้าเสี่ยวพูดกับคนข้างๆ และเขาใช้พลังวิญญาณยกให้หินก้อนหนึ่งลอยขึ้นและควบคุมให้มันพุ่งไปอัดต้นไม้อย่างแรง

“เป็นเช่นไร เจ้าอยากเรียนหรือไม่” เสี่ยวสองตาวาวเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง นี่คือการทำให้สิ่งของลอยได้เชียวนะ แม้แต่หัวหน้าเผ่ายังทำไม่ได้ พี่ชายต่างบิดามารดาของตนเป็น เทพ หรือ เจ้าเสี่ยวสองได้สติจากความอึ้งตลึง พลันพยักหน้าหงึกๆ

“ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็นั่งลง” เจ้าเสี่ยวกดไหล่ของเสี่ยวคนน้องให้นั่งลง เขาโบกไม้โบกมือเพื่อรวบรวมพลังปราณรอบข้างให้เข้ามารวมกัน พอได้ขนาดที่ตนคิดว่าพอแล้วก็ผลักเข้าไปในร่างของเสี่ยวคนน้อง ทันใดนั้น!

“พี่!! ท้องข้าจะแตก!!” เจ้าเสี่ยวสองตะโกนสุดเสียง

"พี่!!!"

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!