ตะวันผิดฤดู
บนยอดตึกสูงเสียดฟ้าใจกลางเมือง ห้องทำงานของผู้บริหารที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู กลับเต็มไปด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด แสงไฟสีนวลจากโคมไฟตั้งโต๊ะส่องกระทบเข้ากับใบหน้าของ ตะวันที่กำลังจ้องมองรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดอย่างเหม่อลอย ตัวเลขและกราฟที่พุ่งสูงขึ้นราวกับจรวดไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีแม้แต่น้อย เพราะเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตลอดห้าปี คือชีวิตส่วนตัวที่ว่างเปล่าราวกับหลุมดำ
เสียงแจ้งเตือนไลน์จากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างมือดึงสติของตะวันให้กลับมาสู่ปัจจุบัน ชื่อของแฟนหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบริษัทปรากฏหราบนหน้าจอ พร้อมข้อความสั้นๆ "วันนี้กลับดึก มีประชุมถึงเช้า"
ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ข้อความแบบนี้เขาได้รับจนชินไปเสียแล้ว ไบร์ทเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในสายตาใครหลายคน ทั้งหล่อ รวย เก่ง และมีวิสัยทัศน์ แต่ในฐานะคนรัก ไบร์ทแทบไม่มีเวลาให้เขาเลย ตารางชีวิตของอีกฝ่ายแน่นเอี๊ยดทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไบร์ทอุทิศทุกนาทีให้กับงานและธุรกิจ จนตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ส่วนเกินในชีวิตเขา
แรกๆตะวันเข้าใจ เขาบอกตัวเองว่าไบร์ทกำลังสร้างอนาคตให้กับพวกเขา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความเข้าใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความเหงา ความเหงาที่เกาะกินหัวใจจนด้านชา คืนแล้วคืนเล่าที่ตะวันต้องนอนคนเดียวบนเตียงกว้างๆ ในคอนโดหรูของไบร์ท หรือบางครั้งเขาก็กลับไปนอนที่คอนโดของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกโดดเดี่ยว ไบร์ทแทบไม่เคยถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
“เหนื่อยจัง” ตะวันพึมพำกับตัวเองเบาๆ ร่างกายของเขาอ่อนล้าจากการทำงานหนักไม่แพ้ไบร์ท แต่จิตใจกลับอ่อนล้ากว่าหลายเท่า เขารู้สึกเหมือนกำลังแบกความสัมพันธ์นี้อยู่คนเดียว
โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายจาก ข้าวฟ่าง เพื่อนสนิทคนเดียวของตะวันที่รู้ไส้รู้พุงเขาดีที่สุด
“ไงคุณมึง ทำหน้าเหมือนโดนผัวทิ้งอีกแล้วเหรอ” ข้าวฟ่างกรอกเสียงหยอกล้อมาตามสาย ตะวันยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบอะไร
“นี่ๆๆๆ คืนนี้ไปผับกันไหม กูเจอผับเปิดใหม่แถวทองหล่อ เห็นว่าเด็ดมาก ทั้งเพลง ทั้งบรรยากาศ ดีเจก็แซ่บ! ไปปลดปล่อยหน่อย อกหักทิพย์แบบมึงเนี่ยแหละต้องโดน!”
ตะวันลังเล เขาไม่ค่อยชอบเที่ยวผับเท่าไหร่ ปกติเขาจะชอบอะไรที่เงียบๆมากกว่า แต่อารมณ์ตอนนี้ความเบื่อหน่ายมันรุนแรงจนเขาอยากจะหนีไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง
“ไปดีไหมวะฟ่าง” ตะวันตอบเสียงแผ่ว
“ไปดิ! คิดมากอะไรยะ มาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่ได้แดนซ์นานแล้วนะมึง เดี๋ยวเอวแข็ง” ข้าวฟ่างคะยั้นคะยอไม่หยุด “มึงมาหากูที่คอนโดเลยนะ เดี๋ยวกูแต่งหน้าทำผมให้เอง รับรองคืนนี้ได้ผู้ติดไม้ติดมือกลับบ้านแน่นอน!”
ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างน้อยการได้อยู่กับเพื่อนก็อาจจะช่วยให้เขาลืมเรื่องแย่ๆ ไปได้บ้าง
“โอเคๆ เจอกัน”
หลังจากวางสายจากข้าวฟ่าง ตะวันก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แสงไฟระยิบระยับของมหานครยามค่ำคืน เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากความสัมพันธ์นี้ หรือต้องการอะไรจากชีวิตกันแน่ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกตอนนี้คือความต้องการที่จะหลบหนี หลีกหนีจากความจริงอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไป
เวลาสองทุ่มกว่าๆ ตะวันก้าวเข้ามาในคอนโดของข้าวฟ่าง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสตูดิโอแต่งหน้าส่วนตัวย่อมๆ ข้าวฟ่างกำลังง่วนอยู่กับการเลือกเสื้อผ้าให้เขา ตะวันเลือกเสื้อเชิ้ตสีดำตัวหลวมๆ กับกางเกงยีนส์ฟอกสีซีดๆ ซึ่งเป็นสไตล์ที่เขาชอบ ใส่สบายๆ และไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก
“โธ่มึง! นี่จะไปผับหรือจะไปซื้อของหน้าปากซอย” ข้าวฟ่างโวยวายทันทีที่เห็นชุดของเขา “คืนนี้ต้องเด่น ต้องเริ่ด! มานี่เลย กูเตรียมชุดไว้ให้แล้ว”
ข้าวฟ่างหยิบเสื้อเชิ้ตผ้าซาตินสีดำสนิทเนื้อบางเบาที่ดูพริ้วไหวออกมาจากตู้ พร้อมกับกางเกงสแล็คเข้ารูปสีเดียวกันที่ดูทันสมัย “ใส่กับโซ่เล็กๆ ตรงเอวหน่อยนะ เอาให้แบบว่า...เดินเข้าไปปุ๊บ ผู้เหลียวหลังหมด!”
ตะวันทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมเปลี่ยนตามที่เพื่อนบอก เมื่อสวมชุดที่ข้าวฟ่างเตรียมไว้ ตะวันก็อดแปลกใจไม่ได้ เสื้อผ้าพวกนี้ช่วยขับเน้นรูปร่างเพรียวบางของเขาให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันตา ประกอบกับใบหน้าหวานๆ ที่ข้าวฟ่างบรรจงแต่งเติมให้ดูคมเข้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับดวงตาที่ถูกแต่งแต้มด้วยอายไลเนอร์สีเข้ม ทำให้เขาดูแปลกตาไปจากลุคหนุ่มออฟฟิศที่ดูเรียบร้อย สุภาพ
“เป็นไงล่ะ! นี่แหละ ตะวันในเวอร์ชันที่หายไปนาน!” ข้าวฟ่างปรบมือเสียงดังอย่างพอใจ
“เวอร์ชันที่หายไปนาน?” ตะวันทวนคำอย่างงงๆ
“ก็เวอร์ชันที่สดใส มีชีวิตชีวาไงมึง ตั้งแต่มึงคบกับอีพี่ไบร์ทนะ มึงก็กลายเป็นคนกรอบๆ ไม่มีสีสันเลย ดูสิ หน้าซีดเป็นไก่ต้มตลอดเวลา คืนนี้แหละ จะปลุกวิญญาณความสดใสของมึงกลับคืนมา” ข้าวฟ่างพูดพร้อมกับดันหลังตะวันให้เดินออกจากห้อง
เสียงเพลงบีทหนักๆ จากเครื่องเสียงที่กระหึ่มไปทั่วบริเวณ ทำให้ผนังผับสั่นสะเทือนตามจังหวะ แสงไฟเลเซอร์หลากสีสาดส่องไปทั่วฟลอร์เต้นรำ ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันราวกับปลากระป๋อง ต่างคนต่างโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างอิสระไร้กังวล
ตะวัน ที่ปกติไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ ถึงกับยืนนิ่งไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาดท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ แต่ข้าวฟ่างกลับลากเขาฝ่าฝูงชนไปยังมุมหนึ่งของผับที่ดูไม่พลุกพล่านนัก ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มให้เขาแก้วหนึ่ง
“ดื่มนี่ซะ จะได้ผ่อนคลาย” ข้าวฟ่างยื่นแก้วค็อกเทลสีฟ้าสดใสมาให้ “รับรองว่าอร่อย ไม่แรงมากหรอก”
ตะวันจิบเครื่องดื่มอย่างช้าๆ รสชาติหวานซ่อนเปรี้ยวผสมกับความซ่าของโซดา ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เขามองไปรอบๆผับที่เต็มไปด้วยผู้คนหัวเราะ พูดคุย และเต้นอย่างสนุกสนาน บางคนก็กำลังนัวเนียกันอย่างโจ่งแจ้ง ตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน
“ไปเต้นกันมึง อย่ามัวแต่นั่งจิบเบียร์อยู่เลย” ข้าวฟ่างลากตะวันไปที่ฟลอร์เต้น ตะวันในตอนแรกก็ยังเก้ๆ กังๆ แต่เมื่อดนตรีเข้าครอบงำร่างกาย เขาก็เริ่มขยับตัวตามจังหวะอย่างช้าๆ จากทีละน้อยก็กลายเป็นความคล่องแคล่วและพลิ้วไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกปลดปล่อยจากพันธนาการบางอย่างที่รัดตรึงมานาน
เขาสะบัดศีรษะไปตามจังหวะเพลง แขนยกขึ้นเต้นอย่างสนุกสนาน ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เคยเกาะกินหัวใจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงความสนุกสนานที่เข้ามาแทนที่ เขาเต้นราวกับไม่มีใครอยู่ในสายตา ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาผ่านท่วงท่าการเต้น
แสงไฟเลเซอร์สีม่วงสาดส่องกระทบใบหน้าของตะวัน ทำให้เขาดูมีเสน่ห์น่าค้นหาเป็นพิเศษ มีหลายสายตาจับจ้องมาที่เขา
ข้าวฟ่างเองก็เต้นอยู่ข้างๆเขาอย่างสนุกสนานเช่นกัน พอเพลงจบ ข้าวฟ่างก็ดึงตะวันให้เดินไปหาที่นั่งพัก
“สุดยอดไปเลยมึง! ไม่ได้เห็นมึงเต้นแบบนี้นานมากแล้วนะเนี่ย” ข้าวฟ่างหอบเล็กน้อย แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตะวันเองก็หอบไม่แพ้กัน แต่รู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน
“กูก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเต้นได้ขนาดนี้เหมือนกัน” ตะวันพูดพร้อมกับหัวเราะ
ในขณะที่ตะวันกำลังดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่มุมบาร์ เขาไม่ได้เต้น ไม่ได้คุยกับใคร แค่นั่งมองมาที่ฟลอร์เต้นรำด้วยแววตาที่เต็มประกายบางอย่างที่ตะวันไม่สามารถอธิบายได้ เขาคนนั้นคือ เซย์ เจ้าของผับแห่งนี้ที่ตะวันเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
เซย์ไม่ได้มีท่าทางโอ้อวดหรือพยายามดึงดูดความสนใจ แต่กลับมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ผู้คนต้องหันไปมอง เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา คมเข้ม ดวงตาเรียวคมที่จับจ้องมาที่ตะวันทำให้หัวใจของตะวันเต้นระรัวอย่างประหลาด ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่มองไม่เห็น ตะวันรู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต เขามองตอบเซย์โดยไม่รู้ตัว และในวินาทีนั้น เซย์ก็ส่งยิ้มบางๆมาให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้หวานหยด แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์อันตรายที่ยากจะต้านทาน
ตะวันรีบหลบสายตาอย่างเขินอาย หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาก้มหน้าลงจิบน้ำต่อ พยายามไม่สนใจสายตาที่ยังคงจับจ้องมาที่เขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเซย์ยังคงติดตา
“มองอะไรมึง” ข้าวฟ่างถามเมื่อเห็นตะวันเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
“เปล่า” ตะวันตอบเสียงแผ่ว ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าเขากำลังมองใครอยู่
“มองอะไรของมึงไม่รู้ แต่กูจะไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมานะ” ข้าวฟ่างพูดจบก็เดินหายเข้าไปในฝูงชน ตะวันเหลืออยู่คนเดียวท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มและผู้คนที่ไม่รู้จัก
เขายังคงรู้สึกถึงสายตาของเซย์ที่จับจ้องมาที่เขา ตะวันพยายามจะไม่มองไปทางนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็พบว่าเขากำลังลุกขึ้นเดินตรงมาทางเขา
หัวใจของตะวันเต้นระรัวยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เซย์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ร่างสูงโปร่งที่ปกคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำสนิททำให้เซย์ดูน่าเกรงขามแต่ก็มีเสน่ห์ไปในคราวเดียวกัน กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกของตะวัน
“เต้นเก่งจังเลยนะครับ” เซย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคมกริบของเขายังคงจับจ้องมาที่ตะวันไม่วางตา
ตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลเวียนเร็วขึ้นจนร้อนไปทั้งตัว เขาไม่รู้จะตอบอะไรดี ได้แต่ก้มหน้าลงมองแก้วเครื่องดื่มในมือ
“ชื่ออะไรครับ” เซย์ถามต่อ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความนุ่มนวล
“ตะ...ตะวันครับ” ตะวันตอบเสียงสั่นๆ
เซย์ยิ้มอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ตะวันใจละลาย เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้มาก่อนจากใคร ไม่ใช่รอยยิ้มสุภาพแบบไบร์ท แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเสน่ห์แพรวพราว
“ผมเซย์ครับ เจ้าของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ตะวัน” เซย์พูดพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าตะวัน
ตะวันลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือของเซย์ สัมผัสเพียงไม่กี่วินาทีก็ทำให้ตะวันรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าบางอย่างที่วิ่งแล่นไปทั่วร่าง
“ไม่ได้เจอคนเต้นได้ใจเท่าคุณนานแล้วนะครับ” เซย์พูดพร้อมกับกระชับมือตะวันเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเขาสนใจตะวันจริงๆ
ตะวันหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะตอบอะไร เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกผู้ชายคนนี้ดึงดูด แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากจะขัดขืน
“มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ” เซย์ถามต่อ ยังคงจับมือของตะวันไว้
“มากับเพื่อนครับ แต่เพื่อนไปเข้าห้องน้ำ” ตะวันตอบ
“งั้นระหว่างรอเพื่อน คุยกับผมหน่อยได้ไหมครับ” เซย์เอ่ยชวน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
ตะวันพยักหน้าเบาๆ ไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร ในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอและโดดเดี่ยวที่สุดนี้ การมีใครสักคนให้พูดคุยด้วย แม้จะเป็นคนแปลกหน้า ก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เซย์ปล่อยมือจากตะวัน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเริ่มชวนตะวันคุยเรื่องราวต่างๆ นานา ตั้งแต่เรื่องดนตรี ไปจนถึงเรื่องทั่วไปที่ทำให้ตะวันรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ตะวันพบว่าเซย์เป็นคนพูดเก่ง มีอารมณ์ขัน และดูเหมือนจะเข้าใจเขาอย่างน่าประหลาดใจ เซย์ถามคำถามที่ทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนถูกเปิดใจ และทุกคำตอบของตะวันก็ถูกรับฟังอย่างตั้งใจ
“คุณดูมีความสุขเวลาเต้นนะครับ” เซย์พูดขึ้นเมื่อบทสนทนาเริ่มเงียบลงชั่วขณะ “ปกติเป็นคนสนุกสนานแบบนี้หรือเปล่า”
ตะวันส่ายหน้า “ไม่ค่อยครับ ปกติผมจะ...ค่อนข้างชอบอยู่เงียบๆ”
“งั้นวันนี้คือการปลดปล่อยงั้นสิ” เซย์ยิ้มมุมปาก “ผมว่าคุณควรจะปลดปล่อยตัวเองให้บ่อยกว่านี้นะครับ ตะวัน”
คำพูดของเซย์เหมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ตะวันรู้สึกถึงความเข้าใจ ความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้รับจากไบร์ท ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไบร์ทไม่เคยสนใจว่าเขาจะมีความสุขหรือเปล่า เขาแค่คาดหวังให้ตะวันอยู่ข้างๆ ในวันที่เขามีเวลาให้เท่านั้น
บทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เวลาผ่านไปเร็วราวกับสายลม ตะวันลืมไปเสียสนิทว่าข้าวฟ่างหายไปไหน ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองมีแฟนแล้ว และลืมไปเสียสนิทว่าโลกแห่งความเป็นจริงอันน่าเบื่อหน่ายยังคงรอเขาอยู่
เขารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในโลกของเซย์ โลกที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง และความเร่าร้อน ที่ไม่เหมือนกับโลกใบเดิมที่เขารู้จักเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงเวลาที่ผับใกล้จะปิด ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับ ข้าวฟ่างที่เดินกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเขากำลังคุยกับเซย์อย่างออกรส
“มึง...นี่ใคร” ข้าวฟ่างกระซิบถามตะวันเบาๆ
“อ๋อ นี่คุณเซย์เจ้าของผับ” ตะวันแนะนำด้วยรอยยิ้มที่ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า
ข้าวฟ่างทำตาโตเล็กน้อย เธอรู้จักชื่อเสียงของเซย์ดีในฐานะเจ้าของผับชื่อดังผู้เข้าถึงยาก ไม่คิดว่าตะวันเพื่อนผู้แสนจะเรียบร้อยของเธอจะสามารถทำความรู้จักกับคนแบบเซย์ได้
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เซย์ยิ้มให้ข้าวฟ่างอย่างสุภาพ
“เช่นกันค่ะ” ข้าวฟ่างตอบเสียงอ่อน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย เซย์ก็ยื่นนามบัตรให้ตะวัน “ถ้ามีปัญหาอะไร หรืออยากจะมาปลดปล่อยอีก โทรหาผมได้เลยนะครับตะวัน ยินดีต้อนรับเสมอ”
ตะวันรับนามบัตรมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกำลังได้รับบางสิ่งบางอย่างที่อันตราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
เมื่อตะวันกับข้าวฟ่างเดินออกมาจากผับ ข้าวฟ่างก็เริ่มซักไซ้ไล่เรียงไม่หยุด “อะไรยังไงยะ ทำไมถึงได้ไปคุยกับเจ้าของผับได้ กูเห็นนะสายตาที่เขามองมึงน่ะ!”
ตะวันยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ไม่ได้มีอะไรหรอกมึง แค่คุยกันนิดหน่อย” ตะวันตอบปัดๆ
แต่ในใจของตะวันกลับคิดถึงเรื่องของเซย์ เขาจำรอยยิ้มของเซย์ เสียงทุ้มต่ำที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยประกายความเร่าร้อน
คืนนั้น ตะวันกลับถึงคอนโดของไบร์ทในยามวิกาล คอนโดที่ว่างเปล่าไร้ร่าฝของไบร์ท ทำให้ความเหงาเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันมาพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป มันไม่ใช่ความเหงาที่แสนจืดชืดแบบเดิม แต่เป็นความเหงาที่ปะปนกับความรู้สึกตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็น และแรงดึงดูดที่ปฏิเสธไม่ได้ต่อคนแปลกหน้าคนนั้น
เขาเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบนามบัตรของเซย์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง นิ้วเรียวไล้ไปตามตัวอักษรบนนามบัตรอย่างช้าๆ หัวใจของเขายังคงเต้นระรัวเมื่อนึกถึงรอยยิ้มของเซย์
ตะวันรู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่นั้นผิดบาป เขามีแฟนอยู่แล้ว มีไบร์ทที่ถึงแม้จะไม่มีเวลาให้ แต่ก็เป็นคนดีและรักเขามาก แต่ในคืนนี้ ความต้องการที่จะได้รับความสนใจ
.
.
.
.
.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments