บนยอดตึกสูงเสียดฟ้าใจกลางเมือง ห้องทำงานของผู้บริหารที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู กลับเต็มไปด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด แสงไฟสีนวลจากโคมไฟตั้งโต๊ะส่องกระทบเข้ากับใบหน้าของ ตะวันที่กำลังจ้องมองรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดอย่างเหม่อลอย ตัวเลขและกราฟที่พุ่งสูงขึ้นราวกับจรวดไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีแม้แต่น้อย เพราะเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตลอดห้าปี คือชีวิตส่วนตัวที่ว่างเปล่าราวกับหลุมดำ
เสียงแจ้งเตือนไลน์จากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างมือดึงสติของตะวันให้กลับมาสู่ปัจจุบัน ชื่อของแฟนหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบริษัทปรากฏหราบนหน้าจอ พร้อมข้อความสั้นๆ "วันนี้กลับดึก มีประชุมถึงเช้า"
ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ข้อความแบบนี้เขาได้รับจนชินไปเสียแล้ว ไบร์ทเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในสายตาใครหลายคน ทั้งหล่อ รวย เก่ง และมีวิสัยทัศน์ แต่ในฐานะคนรัก ไบร์ทแทบไม่มีเวลาให้เขาเลย ตารางชีวิตของอีกฝ่ายแน่นเอี๊ยดทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไบร์ทอุทิศทุกนาทีให้กับงานและธุรกิจ จนตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ส่วนเกินในชีวิตเขา
แรกๆตะวันเข้าใจ เขาบอกตัวเองว่าไบร์ทกำลังสร้างอนาคตให้กับพวกเขา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความเข้าใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความเหงา ความเหงาที่เกาะกินหัวใจจนด้านชา คืนแล้วคืนเล่าที่ตะวันต้องนอนคนเดียวบนเตียงกว้างๆ ในคอนโดหรูของไบร์ท หรือบางครั้งเขาก็กลับไปนอนที่คอนโดของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกโดดเดี่ยว ไบร์ทแทบไม่เคยถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
“เหนื่อยจัง” ตะวันพึมพำกับตัวเองเบาๆ ร่างกายของเขาอ่อนล้าจากการทำงานหนักไม่แพ้ไบร์ท แต่จิตใจกลับอ่อนล้ากว่าหลายเท่า เขารู้สึกเหมือนกำลังแบกความสัมพันธ์นี้อยู่คนเดียว
โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายจาก ข้าวฟ่าง เพื่อนสนิทคนเดียวของตะวันที่รู้ไส้รู้พุงเขาดีที่สุด
“ไงคุณมึง ทำหน้าเหมือนโดนผัวทิ้งอีกแล้วเหรอ” ข้าวฟ่างกรอกเสียงหยอกล้อมาตามสาย ตะวันยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบอะไร
“นี่ๆๆๆ คืนนี้ไปผับกันไหม กูเจอผับเปิดใหม่แถวทองหล่อ เห็นว่าเด็ดมาก ทั้งเพลง ทั้งบรรยากาศ ดีเจก็แซ่บ! ไปปลดปล่อยหน่อย อกหักทิพย์แบบมึงเนี่ยแหละต้องโดน!”
ตะวันลังเล เขาไม่ค่อยชอบเที่ยวผับเท่าไหร่ ปกติเขาจะชอบอะไรที่เงียบๆมากกว่า แต่อารมณ์ตอนนี้ความเบื่อหน่ายมันรุนแรงจนเขาอยากจะหนีไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง
“ไปดีไหมวะฟ่าง” ตะวันตอบเสียงแผ่ว
“ไปดิ! คิดมากอะไรยะ มาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่ได้แดนซ์นานแล้วนะมึง เดี๋ยวเอวแข็ง” ข้าวฟ่างคะยั้นคะยอไม่หยุด “มึงมาหากูที่คอนโดเลยนะ เดี๋ยวกูแต่งหน้าทำผมให้เอง รับรองคืนนี้ได้ผู้ติดไม้ติดมือกลับบ้านแน่นอน!”
ตะวันหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างน้อยการได้อยู่กับเพื่อนก็อาจจะช่วยให้เขาลืมเรื่องแย่ๆ ไปได้บ้าง
“โอเคๆ เจอกัน”
หลังจากวางสายจากข้าวฟ่าง ตะวันก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แสงไฟระยิบระยับของมหานครยามค่ำคืน เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากความสัมพันธ์นี้ หรือต้องการอะไรจากชีวิตกันแน่ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกตอนนี้คือความต้องการที่จะหลบหนี หลีกหนีจากความจริงอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไป
เวลาสองทุ่มกว่าๆ ตะวันก้าวเข้ามาในคอนโดของข้าวฟ่าง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสตูดิโอแต่งหน้าส่วนตัวย่อมๆ ข้าวฟ่างกำลังง่วนอยู่กับการเลือกเสื้อผ้าให้เขา ตะวันเลือกเสื้อเชิ้ตสีดำตัวหลวมๆ กับกางเกงยีนส์ฟอกสีซีดๆ ซึ่งเป็นสไตล์ที่เขาชอบ ใส่สบายๆ และไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก
“โธ่มึง! นี่จะไปผับหรือจะไปซื้อของหน้าปากซอย” ข้าวฟ่างโวยวายทันทีที่เห็นชุดของเขา “คืนนี้ต้องเด่น ต้องเริ่ด! มานี่เลย กูเตรียมชุดไว้ให้แล้ว”
ข้าวฟ่างหยิบเสื้อเชิ้ตผ้าซาตินสีดำสนิทเนื้อบางเบาที่ดูพริ้วไหวออกมาจากตู้ พร้อมกับกางเกงสแล็คเข้ารูปสีเดียวกันที่ดูทันสมัย “ใส่กับโซ่เล็กๆ ตรงเอวหน่อยนะ เอาให้แบบว่า...เดินเข้าไปปุ๊บ ผู้เหลียวหลังหมด!”
ตะวันทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมเปลี่ยนตามที่เพื่อนบอก เมื่อสวมชุดที่ข้าวฟ่างเตรียมไว้ ตะวันก็อดแปลกใจไม่ได้ เสื้อผ้าพวกนี้ช่วยขับเน้นรูปร่างเพรียวบางของเขาให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันตา ประกอบกับใบหน้าหวานๆ ที่ข้าวฟ่างบรรจงแต่งเติมให้ดูคมเข้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับดวงตาที่ถูกแต่งแต้มด้วยอายไลเนอร์สีเข้ม ทำให้เขาดูแปลกตาไปจากลุคหนุ่มออฟฟิศที่ดูเรียบร้อย สุภาพ
“เป็นไงล่ะ! นี่แหละ ตะวันในเวอร์ชันที่หายไปนาน!” ข้าวฟ่างปรบมือเสียงดังอย่างพอใจ
“เวอร์ชันที่หายไปนาน?” ตะวันทวนคำอย่างงงๆ
“ก็เวอร์ชันที่สดใส มีชีวิตชีวาไงมึง ตั้งแต่มึงคบกับอีพี่ไบร์ทนะ มึงก็กลายเป็นคนกรอบๆ ไม่มีสีสันเลย ดูสิ หน้าซีดเป็นไก่ต้มตลอดเวลา คืนนี้แหละ จะปลุกวิญญาณความสดใสของมึงกลับคืนมา” ข้าวฟ่างพูดพร้อมกับดันหลังตะวันให้เดินออกจากห้อง
เสียงเพลงบีทหนักๆ จากเครื่องเสียงที่กระหึ่มไปทั่วบริเวณ ทำให้ผนังผับสั่นสะเทือนตามจังหวะ แสงไฟเลเซอร์หลากสีสาดส่องไปทั่วฟลอร์เต้นรำ ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันราวกับปลากระป๋อง ต่างคนต่างโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างอิสระไร้กังวล
ตะวัน ที่ปกติไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ ถึงกับยืนนิ่งไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาดท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ แต่ข้าวฟ่างกลับลากเขาฝ่าฝูงชนไปยังมุมหนึ่งของผับที่ดูไม่พลุกพล่านนัก ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มให้เขาแก้วหนึ่ง
“ดื่มนี่ซะ จะได้ผ่อนคลาย” ข้าวฟ่างยื่นแก้วค็อกเทลสีฟ้าสดใสมาให้ “รับรองว่าอร่อย ไม่แรงมากหรอก”
ตะวันจิบเครื่องดื่มอย่างช้าๆ รสชาติหวานซ่อนเปรี้ยวผสมกับความซ่าของโซดา ทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เขามองไปรอบๆผับที่เต็มไปด้วยผู้คนหัวเราะ พูดคุย และเต้นอย่างสนุกสนาน บางคนก็กำลังนัวเนียกันอย่างโจ่งแจ้ง ตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน
“ไปเต้นกันมึง อย่ามัวแต่นั่งจิบเบียร์อยู่เลย” ข้าวฟ่างลากตะวันไปที่ฟลอร์เต้น ตะวันในตอนแรกก็ยังเก้ๆ กังๆ แต่เมื่อดนตรีเข้าครอบงำร่างกาย เขาก็เริ่มขยับตัวตามจังหวะอย่างช้าๆ จากทีละน้อยก็กลายเป็นความคล่องแคล่วและพลิ้วไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกปลดปล่อยจากพันธนาการบางอย่างที่รัดตรึงมานาน
เขาสะบัดศีรษะไปตามจังหวะเพลง แขนยกขึ้นเต้นอย่างสนุกสนาน ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เคยเกาะกินหัวใจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงความสนุกสนานที่เข้ามาแทนที่ เขาเต้นราวกับไม่มีใครอยู่ในสายตา ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาผ่านท่วงท่าการเต้น
แสงไฟเลเซอร์สีม่วงสาดส่องกระทบใบหน้าของตะวัน ทำให้เขาดูมีเสน่ห์น่าค้นหาเป็นพิเศษ มีหลายสายตาจับจ้องมาที่เขา
ข้าวฟ่างเองก็เต้นอยู่ข้างๆเขาอย่างสนุกสนานเช่นกัน พอเพลงจบ ข้าวฟ่างก็ดึงตะวันให้เดินไปหาที่นั่งพัก
“สุดยอดไปเลยมึง! ไม่ได้เห็นมึงเต้นแบบนี้นานมากแล้วนะเนี่ย” ข้าวฟ่างหอบเล็กน้อย แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตะวันเองก็หอบไม่แพ้กัน แต่รู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน
“กูก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเต้นได้ขนาดนี้เหมือนกัน” ตะวันพูดพร้อมกับหัวเราะ
ในขณะที่ตะวันกำลังดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่มุมบาร์ เขาไม่ได้เต้น ไม่ได้คุยกับใคร แค่นั่งมองมาที่ฟลอร์เต้นรำด้วยแววตาที่เต็มประกายบางอย่างที่ตะวันไม่สามารถอธิบายได้ เขาคนนั้นคือ เซย์ เจ้าของผับแห่งนี้ที่ตะวันเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
เซย์ไม่ได้มีท่าทางโอ้อวดหรือพยายามดึงดูดความสนใจ แต่กลับมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ผู้คนต้องหันไปมอง เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา คมเข้ม ดวงตาเรียวคมที่จับจ้องมาที่ตะวันทำให้หัวใจของตะวันเต้นระรัวอย่างประหลาด ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่มองไม่เห็น ตะวันรู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต เขามองตอบเซย์โดยไม่รู้ตัว และในวินาทีนั้น เซย์ก็ส่งยิ้มบางๆมาให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้หวานหยด แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์อันตรายที่ยากจะต้านทาน
ตะวันรีบหลบสายตาอย่างเขินอาย หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาก้มหน้าลงจิบน้ำต่อ พยายามไม่สนใจสายตาที่ยังคงจับจ้องมาที่เขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเซย์ยังคงติดตา
“มองอะไรมึง” ข้าวฟ่างถามเมื่อเห็นตะวันเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
“เปล่า” ตะวันตอบเสียงแผ่ว ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าเขากำลังมองใครอยู่
“มองอะไรของมึงไม่รู้ แต่กูจะไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมานะ” ข้าวฟ่างพูดจบก็เดินหายเข้าไปในฝูงชน ตะวันเหลืออยู่คนเดียวท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มและผู้คนที่ไม่รู้จัก
เขายังคงรู้สึกถึงสายตาของเซย์ที่จับจ้องมาที่เขา ตะวันพยายามจะไม่มองไปทางนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็พบว่าเขากำลังลุกขึ้นเดินตรงมาทางเขา
หัวใจของตะวันเต้นระรัวยิ่งกว่าเดิม เขารู้สึกประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เซย์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ร่างสูงโปร่งที่ปกคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำสนิททำให้เซย์ดูน่าเกรงขามแต่ก็มีเสน่ห์ไปในคราวเดียวกัน กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกของตะวัน
“เต้นเก่งจังเลยนะครับ” เซย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคมกริบของเขายังคงจับจ้องมาที่ตะวันไม่วางตา
ตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลเวียนเร็วขึ้นจนร้อนไปทั้งตัว เขาไม่รู้จะตอบอะไรดี ได้แต่ก้มหน้าลงมองแก้วเครื่องดื่มในมือ
“ชื่ออะไรครับ” เซย์ถามต่อ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความนุ่มนวล
“ตะ...ตะวันครับ” ตะวันตอบเสียงสั่นๆ
เซย์ยิ้มอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ตะวันใจละลาย เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้มาก่อนจากใคร ไม่ใช่รอยยิ้มสุภาพแบบไบร์ท แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเสน่ห์แพรวพราว
“ผมเซย์ครับ เจ้าของที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ตะวัน” เซย์พูดพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าตะวัน
ตะวันลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือของเซย์ สัมผัสเพียงไม่กี่วินาทีก็ทำให้ตะวันรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าบางอย่างที่วิ่งแล่นไปทั่วร่าง
“ไม่ได้เจอคนเต้นได้ใจเท่าคุณนานแล้วนะครับ” เซย์พูดพร้อมกับกระชับมือตะวันเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเขาสนใจตะวันจริงๆ
ตะวันหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะตอบอะไร เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกผู้ชายคนนี้ดึงดูด แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากจะขัดขืน
“มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ” เซย์ถามต่อ ยังคงจับมือของตะวันไว้
“มากับเพื่อนครับ แต่เพื่อนไปเข้าห้องน้ำ” ตะวันตอบ
“งั้นระหว่างรอเพื่อน คุยกับผมหน่อยได้ไหมครับ” เซย์เอ่ยชวน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
ตะวันพยักหน้าเบาๆ ไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร ในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอและโดดเดี่ยวที่สุดนี้ การมีใครสักคนให้พูดคุยด้วย แม้จะเป็นคนแปลกหน้า ก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เซย์ปล่อยมือจากตะวัน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเริ่มชวนตะวันคุยเรื่องราวต่างๆ นานา ตั้งแต่เรื่องดนตรี ไปจนถึงเรื่องทั่วไปที่ทำให้ตะวันรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ตะวันพบว่าเซย์เป็นคนพูดเก่ง มีอารมณ์ขัน และดูเหมือนจะเข้าใจเขาอย่างน่าประหลาดใจ เซย์ถามคำถามที่ทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนถูกเปิดใจ และทุกคำตอบของตะวันก็ถูกรับฟังอย่างตั้งใจ
“คุณดูมีความสุขเวลาเต้นนะครับ” เซย์พูดขึ้นเมื่อบทสนทนาเริ่มเงียบลงชั่วขณะ “ปกติเป็นคนสนุกสนานแบบนี้หรือเปล่า”
ตะวันส่ายหน้า “ไม่ค่อยครับ ปกติผมจะ...ค่อนข้างชอบอยู่เงียบๆ”
“งั้นวันนี้คือการปลดปล่อยงั้นสิ” เซย์ยิ้มมุมปาก “ผมว่าคุณควรจะปลดปล่อยตัวเองให้บ่อยกว่านี้นะครับ ตะวัน”
คำพูดของเซย์เหมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ตะวันรู้สึกถึงความเข้าใจ ความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้รับจากไบร์ท ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไบร์ทไม่เคยสนใจว่าเขาจะมีความสุขหรือเปล่า เขาแค่คาดหวังให้ตะวันอยู่ข้างๆ ในวันที่เขามีเวลาให้เท่านั้น
บทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เวลาผ่านไปเร็วราวกับสายลม ตะวันลืมไปเสียสนิทว่าข้าวฟ่างหายไปไหน ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองมีแฟนแล้ว และลืมไปเสียสนิทว่าโลกแห่งความเป็นจริงอันน่าเบื่อหน่ายยังคงรอเขาอยู่
เขารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในโลกของเซย์ โลกที่เต็มไปด้วยแสง สี เสียง และความเร่าร้อน ที่ไม่เหมือนกับโลกใบเดิมที่เขารู้จักเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงเวลาที่ผับใกล้จะปิด ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับ ข้าวฟ่างที่เดินกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเขากำลังคุยกับเซย์อย่างออกรส
“มึง...นี่ใคร” ข้าวฟ่างกระซิบถามตะวันเบาๆ
“อ๋อ นี่คุณเซย์เจ้าของผับ” ตะวันแนะนำด้วยรอยยิ้มที่ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า
ข้าวฟ่างทำตาโตเล็กน้อย เธอรู้จักชื่อเสียงของเซย์ดีในฐานะเจ้าของผับชื่อดังผู้เข้าถึงยาก ไม่คิดว่าตะวันเพื่อนผู้แสนจะเรียบร้อยของเธอจะสามารถทำความรู้จักกับคนแบบเซย์ได้
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เซย์ยิ้มให้ข้าวฟ่างอย่างสุภาพ
“เช่นกันค่ะ” ข้าวฟ่างตอบเสียงอ่อน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย เซย์ก็ยื่นนามบัตรให้ตะวัน “ถ้ามีปัญหาอะไร หรืออยากจะมาปลดปล่อยอีก โทรหาผมได้เลยนะครับตะวัน ยินดีต้อนรับเสมอ”
ตะวันรับนามบัตรมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกำลังได้รับบางสิ่งบางอย่างที่อันตราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
เมื่อตะวันกับข้าวฟ่างเดินออกมาจากผับ ข้าวฟ่างก็เริ่มซักไซ้ไล่เรียงไม่หยุด “อะไรยังไงยะ ทำไมถึงได้ไปคุยกับเจ้าของผับได้ กูเห็นนะสายตาที่เขามองมึงน่ะ!”
ตะวันยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ไม่ได้มีอะไรหรอกมึง แค่คุยกันนิดหน่อย” ตะวันตอบปัดๆ
แต่ในใจของตะวันกลับคิดถึงเรื่องของเซย์ เขาจำรอยยิ้มของเซย์ เสียงทุ้มต่ำที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยประกายความเร่าร้อน
คืนนั้น ตะวันกลับถึงคอนโดของไบร์ทในยามวิกาล คอนโดที่ว่างเปล่าไร้ร่าฝของไบร์ท ทำให้ความเหงาเข้าจู่โจมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันมาพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป มันไม่ใช่ความเหงาที่แสนจืดชืดแบบเดิม แต่เป็นความเหงาที่ปะปนกับความรู้สึกตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็น และแรงดึงดูดที่ปฏิเสธไม่ได้ต่อคนแปลกหน้าคนนั้น
เขาเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบนามบัตรของเซย์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง นิ้วเรียวไล้ไปตามตัวอักษรบนนามบัตรอย่างช้าๆ หัวใจของเขายังคงเต้นระรัวเมื่อนึกถึงรอยยิ้มของเซย์
ตะวันรู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่นั้นผิดบาป เขามีแฟนอยู่แล้ว มีไบร์ทที่ถึงแม้จะไม่มีเวลาให้ แต่ก็เป็นคนดีและรักเขามาก แต่ในคืนนี้ ความต้องการที่จะได้รับความสนใจ
.
.
.
.
.
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาปลุกตะวัน ให้ตื่นจากห้วงนิทรา ร่างกายเขารู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อยจากเมื่อคืน แต่ในหัวกลับปลอดโปร่งอย่างประหลาด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ข้อความจากไบร์ทเมื่อคืนยังคงเป็นข้อความเดิม “วันนี้กลับดึก มีประชุมถึงเช้า” ตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไบร์ทคงยังไม่กลับ ไม่สิ...ไบร์ทคงไม่ได้กลับเลยมากกว่า
ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อภาพของ เซย์ ผุดขึ้นมาในความคิด ใบหน้าคมเข้ม รอยยิ้มอันตราย คำพูดชวนคุยและสัมผัสจากมือที่อบอุ่นยังคงติดอยู่ในความจำ ตะวันพยายามจะสลัดภาพเหล่านั้นออกไป เขามีแฟนแล้ว แฟนที่ดี แม้จะไม่มีเวลาให้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้กับใครอื่น
เขาจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะแต่งตัวไปทำงานตามปกติ เมื่อมาถึงที่ทำงาน ตะวันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่ข้าวฟ่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานกลับส่งยิ้มกริ่มมาให้
“หน้าตาสดใสจังนะ คืนนี้ไปต่อไหม” ข้าวฟ่างกระซิบถาม
“บ้า! ไม่มีอะไรหรอก” ตะวันตอบเสียงอ่อย พยายามหลบสายตา
“เหรออออ...กูเห็นนะว่าใครส่งมึงถึงหน้าผับน่ะ” ข้าวฟ่างเลิกคิ้วสูง “เจ้าของผับเลยนะมึง ไม่ธรรมดา!”
ตะวันหน้าแดงก่ำ ไม่คิดว่าข้าวฟ่างจะสังเกตเห็น เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ในใจกลับยอมรับว่าสิ่งที่ข้าวฟ่างพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง
ตกบ่าย ในขณะที่ตะวันกำลังจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเหม่อลอย เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น คราวนี้เป็นไลน์จากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ที่เป็นรูปวิวผับที่เขาไปเมื่อคืน หัวใจของตะวันก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
เซย์ส่งข้อความมา : " สวัสดีครับคุณตะวัน ผมรู้สึกดีใจนะที่ได้คุยกับคุณ"
ตะวันอึ้งไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าเซย์จะทักมาจริงๆ เขาควรจะตอบหรือไม่ตอบดี ความคิดต่างๆตีกันอยู่ในหัว เขาพยายามหาเหตุผลดีๆ ที่จะตอบกลับไป แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็นและความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
"สวัสดีครับคุณเซย์...ขอบคุณนะครับที่ชวนคุยเมื่อคืน" ตะวันพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ข้อความของเซย์ก็ถูกส่งกลับมา
: "เรียกผมเซย์เฉยๆก็ได้ครับ ไม่ต้องมีคุณหรอก ตะวันน่ารักดีนะครับเวลาเต้น"
ใบหน้าของตะวันเห่อร้อนขึ้นมาทันที คำชมของเซย์ทำให้เขารู้สึกเขินอายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไบร์ทไม่เคยชมเขาแบบนี้ ไม่เคยสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ
"ขอบคุณนะครับ" ตะวันตอบกลับไปสั้นๆ
หลังจากนั้นบทสนทนาระหว่างตะวันกับเซย์ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งบ่าย พวกเขาคุยกันเรื่องดนตรี หนังสือที่ชอบ หนังที่เพิ่งดูไป และเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน เซย์เป็นคนช่างสังเกตและเป็นผู้ฟังที่ดี เขาทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับคนที่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ตะวันไม่เคยได้รับจากไบร์ทเลย
ยิ่งคุยตะวันก็ยิ่งรู้สึกว่าเซย์ไม่ใช่แค่เจ้าของผับที่มีเสน่ห์น่าค้นหา เขาแตกต่างจากไบร์ทอย่างสิ้นเชิง ไบร์ทเป็นเหมือนหนังสือเรียนที่จัดระเบียบทุกอย่างไว้อย่างเป็นระบบ ส่วนเซย์เป็นเหมือนนวนิยายผจญภัยที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึงและปริศนาที่ชวนให้ค้นหา
เย็นวันนั้น เมื่อตะวันกลับมาถึงคอนโดของไบร์ท ไบร์ทยังไม่กลับ โต๊ะอาหารเองก็ยังว่างเปล่า
ตะวันเดินเข้าห้องนอนอย่างเหม่อลอย พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง ข้อความสุดท้ายจากเซย์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังคงค้างอยู่บนหน้าจอ : "คืนนี้ว่างไหมครับ? ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมอยากชวนตะวันไปดื่มอะไรเบาๆ คุยกันต่อได้ไหมครับ"
หัวใจของตะวันเต้นระรัว เขาควรจะตอบตกลงไหม? เขารู้ดีว่ามันผิด แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่กัดกินหัวใจมานานมันเรียกร้องหาใครสักคนที่จะมาเติมเต็ม และเซย์ดูเหมือนจะตอบโจทย์นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตะวันนึกถึงไบร์ท ไบร์ทผู้ที่กำลังมุ่งมั่นกับงานของตัวเอง คงไม่มีเวลามาสนใจว่าเขาจะไปไหนหรือทำอะไร เขาคงจะกลับมาในตอนเช้าที่ตะวันกำลังจะไปทำงานอยู่ดี
ความคิดเหล่านี้ผลักดันให้ตะวันตัดสินใจเลือกทางที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเลือก
"ว่างครับ" ตะวันพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเปลี่ยนใจ
ข้อความถูกส่งไปแล้ว ความรู้สึกตื่นเต้นผสมปนเปกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่กำลังถูกเหยียบย่ำ ทำให้ตะวันรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ในคราวเดียวกัน
สองชั่วโมงต่อมา ตะวันก้าวเข้ามาในร้านอาหารที่เซย์นัดไว้ มันไม่ใช่ผับที่เสียงดังอึกทึก แต่เป็นร้านที่มีเพลงเบาๆ คลอเบาๆ แสงไฟสลัวๆ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น
เซย์นั่งรออยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่ง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆ และกางเกงยีนส์สีเข้ม ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อคืน แต่กลับดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก เมื่อเซย์เห็นตะวันเดินเข้ามา เขาก็ส่งยิ้มต้อนรับทันที
“มาแล้วเหรอครับตะวัน เชิญเลย” เซย์ผายมือเชิญ
ตะวันนั่งลงตรงข้ามเซย์ ความรู้สึกประหม่ากลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อเซย์เริ่มชวนคุยความประหม่าของตะวันก็ค่อยๆคลายลง
“สั่งอะไรดีครับ” เซย์ถาม “ที่นี่อาหารอร่อยหลายอย่างเลย”
ตะวันสั่งอาหารง่ายๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มบทสนทนาที่ไหลลื่นไม่ต่างจากเมื่อคืนนี้ พวกเขาคุยกันอย่างเปิดอกมากขึ้น เซย์เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาให้ฟังเล็กน้อย ถึงการเป็นเจ้าของผับที่ดูเหมือนจะหรูหรา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความรับผิดชอบและแรงกดดันมากมาย
“คุณดูแตกต่างจากที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ” ตะวันพูดอย่างตรงไปตรงมา “ตอนแรกคิดว่าคุณเซย์จะเป็นคนเจ้าชู้ เจ้าสำราญ”
เซย์หัวเราะเบาๆ “ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปหรอกครับ ปกติผมก็ไม่ค่อยชวนใครมาดื่มแบบนี้นะ”
คำพูดของเซย์ทำให้ตะวันรู้สึกพิเศษขึ้นมาทันที เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกให้ความสำคัญ และถูกปฏิบัติราวกับเป็นคนสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตะวันโหยหามาตลอดแต่ไม่เคยได้รับ
บทสนทนาเริ่มลึกซึ้งขึ้น เมื่อตะวันเริ่มเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองบ้าง แม้จะไม่ได้เล่าเรื่องไบร์ททั้งหมด แต่เขาก็เล่าถึงความรู้สึก ความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวัน และความต้องการที่จะได้ปลดปล่อยตัวเอง
เซย์รับฟังทุกคำพูดของตะวันอย่างตั้งใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจและห่วงใย ซึ่งทำให้ตะวันรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ บางครั้งชีวิตมันก็ต้องการอะไรใหม่ๆบ้าง” เซย์พูดพร้อมกับเอื้อมมือมาวางบนหลังมือของตะวัน สัมผัสนั้นกลับทำให้หัวใจของตะวันสั่นไหวอย่างรุนแรง
ตะวันไม่ได้หดมือกลับ เขายอมให้เซย์กอบกุมมือของเขาไว้ ราวกับกำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาเองก็ต้องการสัมผัสนี้
“คุณเซย์...ไม่สิ คุณเซย์..” ตะวันเงยหน้ามองเซย์
เซย์ยิ้มบางๆ แล้วกระชับมือของตะวันแน่นขึ้น “เซย์เฉยๆ ก็ได้ครับตะวัน”
บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ความเงียบเข้าปกคลุม แต่เป็นความเงียบที่มีความรู้สึกที่อัดแน่น ความปรารถนา และแรงดึงดูดที่ยากจะปฏิเสธ
เมื่ออาหารหมดจาน เซย์ก็ชวนตะวันไปที่คอนโดของเขา อ้างว่าจะชวนไปดื่มไวน์ดีๆ ที่เขาเก็บไว้ ตะวันลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามีพลังบางอย่างกำลังควบคุมเขาอยู่
เขาเดินตามเซย์ออกจากร้านไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าก้าวแต่ละก้าวที่เขาก้าวเดินไปนั้นกำลังนำพาเขาไปสู่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา
คอนโดของเซย์ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นคุมโทนสีเข้ม ดูหรูหรา เซย์รินไวน์แดงให้ตะวันแก้วหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆเขา
“หวังว่าคุณจะชอบนะครับ” เซย์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
ตะวันจิบไวน์ช้าๆ รสชาติเข้มข้นของไวน์ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
บทสนทนาเปลี่ยนไปสู่เรื่องส่วนตัวมากขึ้น เซย์ถามถึงความสัมพันธ์ของตะวันกับแฟน ตะวันเล่าเพียงว่าเขามีแฟนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อไบร์ท
“คุณดูเหงาๆ นะครับตะวัน” เซย์พูดขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย “ผมสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
คำพูดของเซย์ทำให้กำแพงในใจของตะวันพังทลายลง น้ำตาที่อัดอั้นมานานเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ตะวันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกล้าร้องไห้ต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เซย์ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย รู้สึกเหมือนมีคนเข้าใจเขา
เซย์ไม่พูดอะไร เขาแค่ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น โอบไหล่ตะวันเบาๆ แล้วลูบหัวปลอบโยนอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเซย์ทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมจากความเหงาที่เกาะกินหัวใจมานาน
“ไม่เป็นไรนะครับ” เซย์กระซิบข้างหูตะวัน “คุณไม่ได้อยู่คนเดียวนะ”
คำพูดนั้นทำให้ตะวันยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เขาซบหน้าลงกับไหล่ของเซย์ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอิสระ
เมื่อตะวันรู้สึกดีขึ้น เซย์ก็ประคองใบหน้าของตะวันขึ้นมา ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่แดงก่ำของตะวัน
“คุณสวยมากนะครับตะวัน” เซย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนา “สวยกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย”
ตะวันมองหน้าเซย์ หัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ และในวินาทีนั้น ตะวันก็ยอมจำนนต่อแรงปรารถนาที่เกิดขึ้นภายในใจของตัวเอง
เขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เขารู้แค่ว่าในตอนนี้ เขากำลังต้องการเซย์ ต้องการใครสักคนที่โอบกอดเขาไว้ และทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว
ริมฝีปากของเซย์ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากที่อุ่นร้อนสัมผัสกับริมฝีปากของตะวัน ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มความลุ่มหลงมากขึ้นเรื่อยๆ จูบนั้นมีแรงดึงดูด และความเร่าร้อนที่ตะวันไม่เคยได้รับจากใคร
ตะวันตอบรับจูบนั้นอย่างไม่รู้ตัว มือของเขายกขึ้นโอบรอบคอของเซย์ ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงความรู้สึกที่ปะปนกันระหว่างความผิดบาปและความต้องการ
.
.
.
.
.
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องนอนหรูหราของคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ตะวัน ลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่โอบกอดเขาอยู่ ใบหน้าของเซย์ อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่นิ้ว ลมหายใจอุ่นๆรดรินอยู่ข้างแก้ม แขนแกร่งของเซย์ยังคงโอบเอวเขาไว้แน่น ราวกับไม่อยากให้เขาจากไปไหน
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาในความจำราวกับฟิล์มภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำ ตะวันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่จนจุกอก เขาเพิ่งนอนกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ไบร์ท แฟนของเขา เขาโกงความรู้สึกของไบร์ท โกงความเชื่อใจที่อีกฝ่ายมอบให้
เซย์ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาคู่คมค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นตะวันจ้องมองอยู่ เซย์ก็ส่งยิ้มบางๆ ให้ “อรุณสวัสดิ์ครับตะวัน” เสียงทุ้มแหบพร่าในยามเช้าทำให้ตะวันรู้สึกวูบไหวอีกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ตะวันตอบเสียงแผ่ว พยายามดึงมือของตัวเองที่สอดประสานอยู่กับมือของเซย์ออก แต่เซย์กลับกระชับมือแน่นขึ้น
“ไม่ต้องรีบครับ” เซย์พูดพร้อมกับจูบลงบนหน้าผากของตะวันอย่างอ่อนโยน สัมผัสที่แสนอบอุ่นนั้นทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนถูกปลอบประโลม
ตะวันลุกขึ้นนั่งบนเตียง หันหลังให้เซย์เพื่อหลบซ่อนความสับสนในแววตา “ผมต้องไปทำงานแล้วครับ”
เซย์ลุกขึ้นนั่งตาม โอบแขนรอบเอวของตะวันจากด้านหลัง “คุณยังไม่อยากกลับใช่ไหมครับตะวัน?”
คำถามนั้นทำให้ตะวันนิ่งไปชั่วขณะ เขายอมรับกับตัวเองว่าเขาไม่อยากกลับ ไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าในคอนโดของไบร์ท ไม่อยากกลับไปสู่ความสัมพันธ์ที่จืดชืดและไร้สีสัน
“ผมต้องไปจริงๆครับ” ตะวันตอบเสียงหนักกว่าเดิม ถึงแม้ในใจจะยังลังเล
เซย์ยอมปล่อยตะวัน แต่ก็ยังคงมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียดาย ตะวันรีบลุกไปเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่นาฬิกาบนฝาผนัง ยังพอมีเวลาที่จะกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดของไบร์ทก่อนไปทำงาน
“ผมไปส่งนะครับ” เซย์เสนอเมื่อตะวันเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเรียกแท็กซี่เองได้” ตะวันปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาไม่อยากให้ใครมาเห็นเขากับเซย์อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานของไบร์ท
เซย์ไม่เซ้าซี้ เขาแค่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินไปส่งตะวันถึงหน้าประตูคอนโด “ไว้เจอกันอีกนะครับ” เซย์พูดพร้อมกับรั้งตะวันเข้ามาจูบลาอย่างดูดดื่ม จูบนั้นทำให้ตะวันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวอีกครั้ง
เมื่อออกมาจากคอนโดของเซย์ ตะวันรีบก้าวเท้าไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
ตลอดสัปดาห์นั้น ตะวันและเซย์ ยังคงติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางไลน์และโทรศัพท์ บทสนทนาของพวกเขาลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เซย์ส่งข้อความหาตะวันตลอดวัน คอยถามไถ่ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เหนื่อยไหม มีอะไรอยากระบายหรือเปล่า และทุกๆคืน เซย์ก็จะชวนตะวันไปทานข้าวหรือดื่มอะไรเบาๆด้วยกัน
ตะวันรู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นผิด แต่มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธเซย์ได้ เซย์เติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปจากชีวิตของเขา เขาให้ความสนใจ ให้ความรัก ให้ความสำคัญ ทำให้ตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนพิเศษ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาโหยหามาตลอดแต่ไม่เคยได้รับจากไบร์ท
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกผิดต่อไบร์ทก็ยังคงอยู่ในใจของตะวัน ทุกครั้งที่ไบร์ทส่งข้อความมา หรือโทรศัพท์มาถามไถ่เรื่องงาน ตะวันก็จะรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เขามักจะโกหกไบร์ทว่าอยู่กับเพื่อน หรือไปทำงานดึกๆ ทำให้ไบร์ทที่ปกติก็ไม่ได้สนใจเรื่องส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว ก็ไม่ได้เอะใจอะไร
วันหนึ่งในระหว่างที่ตะวันกำลังคุยโทรศัพท์กับเซย์อยู่หน้าห้องน้ำในออฟฟิศ กันต์เพื่อนสนิทของไบร์ทซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน เดินผ่านมาพอดี กันต์ชำเลืองมองมาที่ตะวันด้วยแววตาที่มีคำถาม ตะวันรีบกดวางสายจากเซย์อย่างรวดเร็ว ทำตัวไม่ถูก
“คุยกับใครน่ะตะวัน” กันต์ถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่แววตาของเขากับมีแต่ความสงสัย
“คุยกับ...เพื่อนครับ” ตะวันตอบเสียงตะกุกตะกัก
กันต์พยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองตะวันด้วยสายตาที่ทำให้ตะวันรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่ากันต์กำลังจับสังเกตอะไรบางอย่างอยู่
ความสัมพันธ์ระหว่าง ตะวันกับเซย์ ดำเนินไปอย่างลับๆ มาได้ประมาณหนึ่งเดือน พวกเขาพบกันเกือบทุกคืนที่ไบร์ทไม่ว่าง ตะวันเริ่มคุ้นชินกับการโกหกไบร์ท และเริ่มเคยชินกับการมีเซย์อยู่เคียงข้าง
ในคืนวันศุกร์ที่แสนวุ่นวาย ไบร์ทส่งข้อความมาบอกว่าเขาต้องไปต่างจังหวัดด่วน มีเรื่องงานสำคัญที่ต้องไปจัดการ ตะวันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจ เขาสามารถใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับเซย์ได้โดยไม่ต้องกังวล
เซย์ชวนตะวันไปงานปาร์ตี้ส่วนตัวที่ผับของเขา เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ สำหรับคนสนิทเท่านั้น ตะวันตอบตกลงอย่างกระตือรือร้น เขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับเซย์ให้มากที่สุด
บรรยากาศในงานปาร์ตี้เป็นกันเอง ผู้คนไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนสนิทของเซย์ ตะวันรู้สึกผ่อนคลายและสนุกสนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เซย์ดูแลเขาเป็นอย่างดี คอยรินเครื่องดื่มให้ พาไปแนะนำเพื่อนๆ ทำให้ตะวันรู้สึกเป็นตัวเอง
ขณะที่ตะวันกำลังยืนคุยกับเพื่อนของเซย์อยู่มุมหนึ่ง สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับเงาร่างคุ้นตาที่เพิ่งเดินเข้ามาในผับ หัวใจของตะวันหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม ร่างนั้นคือ กันต์เพื่อนสนิทของไบร์ท!
ตะวันตัวแข็งทื่อ เขาไม่คิดว่ากันต์จะมาที่นี่ กันต์ไม่ใช่คนที่เที่ยวผับ และที่สำคัญ กันต์รู้ว่าผับแห่งนี้เป็นของเซย์ เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน?
กันต์ไม่ได้มาคนเดียว เขากำลังคุยกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ตะวันไม่รู้จัก กันต์เดินเข้ามาในโซนวีไอพี ซึ่งเป็นที่ที่เซย์มักจะนั่งอยู่ ตะวันเห็นกันต์พยักหน้าทักทายเซย์อย่างสุภาพ ราวกับทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน
ตะวันรีบหลบสายตา ไม่กล้าสบตากับกันต์ เขารู้สึกเหมือนมีสายตานับร้อยคู่กำลังจ้องมองมาที่เขา ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีใครสนใจเขาเลยด้วยซ้ำ เขารู้สึกประหม่าและกระวนกระวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เซย์ที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของตะวันก็เดินเข้ามาหา “เป็นอะไรไปครับตะวัน ดูไม่ค่อยสบายใจเลย”
“เปล่าครับ” ตะวันตอบเสียงตะกุกตะกัก พยายามยิ้มให้เป็นปกติที่สุด “แค่รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยน่ะครับ”
เซย์มองตามสายตาของตะวัน และเห็นกันต์กำลังยืนคุยกับเพื่อนของเขาอยู่ เซย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานนัก กันต์ก็เดินเข้ามาใกล้โซนที่ตะวันยืนอยู่ เขาหันมาสบตากับตะวันเข้าพอดี ใบหน้าของกันต์ไม่มีรอยยิ้มเหมือนเคย มีแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและจับผิด ตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกันต์มองทะลุปรุโปร่ง
“ตะวัน ใช่ไหมครับ” กันต์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
ตะวันตัวแข็งทื่อ ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ
“มาทำอะไรที่นี้นะครับ” กันต์พูดต่อ แต่รอยยิ้มของเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความยินดีแม้แต่น้อย “ไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่”
เซย์ยืนอยู่ข้างๆตะวัน เขาสังเกตเห็นความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง “รู้จักกันด้วยเหรอครับ”
“อ๋อ ครับ…นี่เพื่อนร่วมงานของแฟนผมครับ” ตะวันรีบตอบอย่างรวดเร็ว พยายามทำให้เสียงของตัวเองเป็นปกติที่สุด
กันต์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะพอใจกับคำตอบของตะวัน แต่แววตาของเขาก็ยังคงมีความสงสัย
บทสนทนาดำเนินไปอย่างอึดอัด ตะวันพยายามตอบคำถามของกันต์เท่าที่จำเป็น และพยายามที่จะไม่หลุดอะไรที่สุ่มเสี่ยงออกไป แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของกันต์ที่คอยจับจ้องมาที่เขาตลอดเวลา
เมื่อกันต์ขอตัวไปคุยกับเพื่อนของเขา ตะวันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ราวกับแบกภูเขาออกจากอก
“คุณกับเพื่อนร่วมงานของแฟนคุณดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่นะครับ” เซย์พูดขึ้น ดวงตาของเขาจ้องมองตะวันอย่างพิจารณา
“ก็...ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ครับ” ตะวันตอบปัดๆ
เซย์ไม่ถามอะไรต่อ เขารู้ดีว่าตะวันกำลังปิดบังอะไรบางอยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้ เพราะเขารู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
หลังจากคืนนั้น ตะวันก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นทุกวัน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตาดูอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ทำอะไร ก็จะรู้สึกเหมือนมีกันต์คอยตามติดอยู่ตลอด ความกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผยทำให้เขานอนไม่หลับ
.
.
.
.
.
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!