เมื่อวันโลกาวินาศมาถึงเสียงสังข์ครั้งแรกเริ่มขึ้นให้ระบบสุริยะพังทลาย ทั้งเทวทูต มนุษย์ตายหมดสิ้นยกเว้นบางจำพวกเท่านั้น
เหตุการณ์น่าสะพรึงเกิดทุกหย่อมย่าน แม่รักลูกเพียงใดยังต้องผละให้กินนม ผู้หญิงตั้งครรภ์คลอดลูกก่อนกำหนด เด็กแรกเกิดตกใจผมหงอกขาวโพลนทั้งศีรษะ
เสียงสังข์ดังขึ้นครั้งที่สอง สิ่งที่ตายทั้งหมดจะฟื้นชีพขึ้นใหม่ ไม่รู้ว่าไหนก่อนหลัง ทุกคนดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดโกลาหลอลหม่าน โมงยามที่เกิดขึ้นเหมือนลูกประคำร่วงหล่นลงสู่พื้น
ทุ่งตราชั่งวันที่ไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ ที่นั่นเต็มไปด้วยสิ่งสุดสะพรึง แสงตะวันสาดคนชั่วใกล้ขนาดแกนตัวผู้กับกระปุกขวดยา
ได้ยินเสียงโต๊ะครูผู้มีเอฟซีไลฟ์สดสอนกีตาบกูนิงย้อนหลัง Ep.12 เป็นภาพและเสียงย้อนปลุกทรงจำด้วยเอไอยังทำงานสม่ำเสมอ
สองเดือนต่อมา สโนว์ไวท์อมมีแนะนำให้อดัมไปสอนหนังสือที่มัสยิด ชวนหมาด บูหยงพี่เขยสอนเป็นเพื่อนสักคน
ที่มัสยิดอื่นๆเขามีระบบสอนชายคาทั่วแล้ว แต่หมู่บ้านไม่มีใครทำเพื่อเด็กๆ หวังพึ่งกรรมการคงยาก โต๊ะฮารีเมาซึ่งควบคุมกรรมการสุเหร่าทั้งหมดไม่มีทางเริ่มต้น
“มันจะดีหรือครับ” น้ำเสียงอดัมไม่มั่นใจ
รู้กันอยู่มัสยิดเต็มไปด้วยก๊วนโต๊ะฮารีเมากับพวกนั่งหน้าสลอน ยิ่งตอนนี้โต๊ะอีหม่ามวารีจะวางมือ พวกเขาเร่งรีบแต่งตัวผู้นำคนใหม่ ไม่อยากให้ใครเดินเฉียดมัสยิดเสียด้วยซ้ำ
“ป๊ะคงดีใจที่เห็นอดัมทำได้” พี่ให้เหตุผลน่าฟังไม่น้อย
ป๊ะไม่ได้บังคับให้เป็นครูหรือเจ้าของปอเนาะ ทำได้ทั้งเปิดเผยและปิดบัง ทุกคนมีสิทธิ์ในความเชื่อและศรัทธาตามกำลัง
ให้เรียนกีตาบกลางคืน กลางวันเรียนสามัญโรงเรียนประจำจังหวัด ให้ควบคู่กันไปในตอนนั้น
สอนให้รู้จักความรับผิดชอบ เอาตัวให้รอด ท่ามกลางปัญหาตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่คิดเป็นทำเป็น
มองเห็นป๊ะวันจูงจักรยานไม่มีเบรก เพื่อนๆพากันหัวเราะเยาะ เหมือนคนบ้าเดินหลงทางเข้าโรงเรียน
“ก็ได้ครับ” อดัมรับปาก
สองสัปดาห์ต่อมาชวนพี่เขยเริ่มสอน หนังสือ ผู้ปกครองส่งลูกมาเรียน ดีใจที่เด็กๆไม่เที่ยวเกเรวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ได้ยินข่าวที่อื่นมีระบบชายคามัสยิดนานแล้ว
ความเคลื่อนไหวนี้โต๊ะฮารีเมามองไม่พอใจ นัก ได้แต่เคี้ยวฟันกราวๆ ที่อื่นมีเรียนชายคามัสยิดนาน ขืนขัดขวางตรงๆมันน่าเกลียด คุยหาทางออกกับคู่หูหลายคืน
สามเดือนต่อมามีข่าวร้ายดังขึ้น อยากเป็นโต๊ะอีหม่ามแข่งกับบาวยีวา ขณะงานผ่านราบรื่น สอนเพื่อหวังผลประโยชน์อาดบแฝง
ให้ตายสิ พวกนี้คิดอะไร ที่อื่นเจริญก้าวหน้า สอนเด็กๆ พวกเขาไม่น่าสาดสีดำลงบนผ้าขาวสะอาดของเด็กๆเลย
“เขารีบละหมาดวันศุกร์ ไอ้บ้านั่นพาหญิงขึ้นสวรรค์”โต๊ะ ยีวาพูดดังๆ
ข่าวพาโสเภนีเที่ยวน้ำตกวันศุกร์ดังลั่นทุกวงซุบซิบนินทา ลูกโต๊ะครูสอนแต่พาหญิงขายตัวเที่ยวช่างอัปยศสิ้นดี
ดวงตาโต๊ะ ยีวาถลนออกนอกเบ้า เขาคิดได้เพียงรีบตัดไฟแต่ต้นลมดีที่สุด เขาชี้คนขับพาหญิงสาวหายทางโค้งหมวดสมบัติ ใกล้กับทางออกสวนยางกาหมิง
อิบลิสมารร้ายชิงชังแสง ข่าวแจกจ่ายออกราวอาหารชิ้นเลิศชอบให้หมู่บ้านตกอยู่ในความมืดรุ่นต่อรุ่นอีกนานแค่ไหนกันนะ
“ใครว่ะ” ใครคนหนึ่งในกลุ่มถาม
“อดัม” เขาตอบด้วยเสียงเย็นชา
นั่นเป็นอาหารชั้นดี ถูกเสริฟจากอิบลิสมารร้าย ให้ร่วมนั่งทานเนื้อเน่าเหม็นสนุกสนาน ทิ่มอกทะลุหัวใจลูกชายโต๊ะครู
ทุกคนรู้ดี การละเมิดประเวณีเป็นบาปใหญ่ ตูฮันเกลียดชังไม่มองหน้า จะถูกลงโทษในทะเลเพลิงอย่างสาสมในวันตัดสิน แต่ในวันนี้อดัม ถูกตัดสินก่อนเสียงแตรสังข์เรียบร้อยแล้ว
จริงๆวันนั้นไปซื้ออะไหล่ซ่อมแวะละหมาดในเมือง ไม่คิดตอบโต้พวกดื้อด้านหูเบานับร้อยๆครัว มีเขาอีกคนก็อิบลิสแปลงร่างให้โต๊ะ ยีวาผู้ท่องจำ ใครผิดประเวณีห้ามเป็นผู้นำพิธีละหมาดตลอดไป
ใช่แล้ว มารร้ายล้วงคอให้โต๊ะ ยีวาถึงขั้นยอมถูกไฟนรกลน งัดไม้เด็ดมาเตะสกัดลูกโต๊ะครู ไม่อยากให้เขามายุ่งเกี่ยวกิจการมัสยิดอย่างเบ็ดเสร็จ
เพื่อแก้ปัญหาทั้งมวล อดัมตัดสินใจลาออก ทันที ทั้งๆที่กำลังไปได้ดี เด็กๆกำลังสนุกสนานกับการเรียนหนังสือ
นั่นเท่ากับยอมรับผิด เข้าทางแผนการณ์ร้ายโต๊ะ ยีวา เช้ายันค่ำใช้ถ้อยคำขว้างปาครูร่างสลบไสล ให้หมอเสือคาบร่างลากโยนลงหลุมทั้งๆที่ยังมีลมหายใจรวยริน
ป๊ะอาการทรุดหนัก อดัมพารักษาที่โรงพยาบาล หนึ่งสัปดาห์ อาการก็ไม่ดีขึ้นจึงพากลับบ้าน ให้อยู่ท่ามกลางลูกหลานดูใจโอกาสสุดท้าย
อดัมให้ผู้รู้อ่านยาซีนขอพรผ่านช่วงลำบากผ่านพ้นด้วยดี ชวนพี่สาวอย่าได้ละเลยช่วงสำคัญ ทุกคนมีสิทธิ์พบวันใบไม้แห่งชีวิตร่วงลำต้น
ทั้งๆที่อาการป๊ะน่าเป็นห่วง สโนว์ไวท์ทั้งเจ็ด ไม่มีใครนึกพักค้างคืน อ้างงานวุ่นวายรับปากมาใหม่ตอนเช้า
เพียงลมอรุณอรุ่งที่โฉบผ่านปลายเตียง ป๊ะถูกนำขึ้นท้องฟ้า ขณะลูกสาวทั้งเจ็ดนอนกอดสามีสุขใจ ช่วงที่ป๊ะอำลาน้ำตาซึมไม่รู้ตัว ไม่มีพี่สาวเหลือเฝ้าไข้สักคน
อดัมแว่วได้ยินเสียงหวูดเขาควายก้องดัง มันส่งเสียงถึงขุนเขาทางทิศตะวันตก สะท้อนกลับมาในหมู่บ้าน เสียงเรียกร้องเชิญชวนมาเรียนหนังสือที่บาลัย
ชวนนึกถึงเสียงเป่าแตรสังข์ครั้งที่สอง ทุกคนไปรวมตัวกันที่ทุ่งพิพากษา ป๊ะและมะยืนนำหน้า ลูกและหลานทั้งหมดด้วยความสะพรึ่ง
นึกถึงเตรียมหนังสือมลายู เตรียมสอนให้ลูกศิษย์และชาวบ้าน หลังจากเสียงหวูดเขาควายร้องดังที่บาลัย เป็นสัญญาณแสดงการเรียนจะเริ่มต้นอีกไม่นาน
นับจากนี้ ไม่ได้ยินเสียงหวูดเขาควายอีกแล้ว เขาเดินทอดน่องที่ริมคลองให้รู้สึกดีขึ้น ไอหนาวจากมวลน้ำปนสายลม เยือกเย็นลุกลามถึงกระดูกชั้นใน
พวกเขากลับกันตอนค่ำ แวะเวียนมาไม่นานก็ชวนกันกลับบ้าน สายใยพ่อลูกขาดตอนไหน ไม่คิดถึงตอนเล็กๆต่างมีความหลังอยู่ที่บ้านริมคลอง มีป๊ะดูแล อยากเห็นลูกๆวันถึงที่ชานชลาสุดท้าย
อดัมได้ยินเสียงพี่สาวพูดแก้เก้อเข้าหูอดัมเป็นวาเรสดูแล ออกเรือนก็ตัดป๊ะออกไม่เหลือเยื่อใยกันเลยหรือ
มีครอบครัวแล้วไม่ต้องดูแล เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น มันเป็นหน้าที่บุตรที่ดีโอนย้ายจากอีกคนหนึ่งไม่ได้
ป๊ะสิ้นใจก่อนอาทิตย์ขึ้นนำความเศร้าเสียใจสู่บ้านริมคลอง สัปดาห์ก่อนป๊ะกำชับผู้อ่านตัลกินเชิญจากดาลาที่ผูกพัน
จารึกถึงโต๊ะครูผู้ยากไร้
แสนอาลัยยามจรไกลใกล้ฟ้าสาง
น้ำตาคนรักใคร่ไหลเป็นทาง
สุดอ้างว้างดั่งดวงดาวจากนภา
ผู้เริ่มจุดคบไฟส่องลานแจ้ง
คอยให้แสงสาดไฟกิเลสกล้า
ฉุดผู้คนพ้นแพร่งแหล่งมายา
แม่ทัพหน้าผู้หาญกล้าฝ่าผจญ
ในสีดำมืดค่ำอารยธรรมสมัย
เป็นแสงไฟนำทางกลางสับสน
หวังแสงธรรมฝ่าข้ามความมืดมน
ผลักผู้คนให้พ้นหลักปลักมายา
เป็นโต๊ะครูผู้ต้นคิดวิทยาสรรค์
ประทับตราดารุลอามานไว้ศึกษา
หวังสืบสานสู่แสงเทียนกาญจนา
เป็นพฤกษากลิ่นอบอวลสวนวิมาน
ไม่เคยบ่นปล่อยวางหมดทางสู้
ยอมทนอยู่แม้โรคร้ายเร้ารุกราน
ยังสอนสั่งเหล่าศิษย์แต่วันวาน
หวังสืบสานเป็นตำนานฝ่าผองภัย
เป็นโต๊ะครูเฝ้าดูเคียงคู่ศิษย์
คือมิ่งมิตรในชุมชนร่วมสมัย
เกือบสิ้นแรงในก้าวกล้าแทบขาดใจ
หนักเพียงใดขอทุ่มใจไม่เว้นวัน
ไม่ตัดพ้อท้อแท้แพ้สังขาร
ประณิธานแน่วแน่ไม่แปรผัน
คงยืนอยู่เป็นครูไว้แทบชีวัน
แม้นานวันไม่ลืมครูผู้พลีตน
อดัมปิดตาขณะน้ำตารื้นตรงขอบ มองเห็นรุ้งตัวหนึ่งกำลังกินน้ำ โค้งซ้ายขวาจมหายไปในแอ่งลึกและกว้าง มันเป็นรุ้งตัวใหญ่กว่าที่เคยเห็นมาก่อน ป๊ะมองเห็นความงาม ขณะเหินสู่ฟากฟ้าแล้วสินะ
มองรุ้งด้านบนคงสวยงามมากเลยใช่มั้ยป๊ะ ชั่วชีวิตมีเพียงครั้งเดียว ป๊ะเป็นผู้เดินทางไปก่อน อดัมกับพี่สาว ก็จะฝังกูโบร์แห่งเดียวกับป๊ะทีหลัง ไม่ลืมหรอก ทุกคนต้องมีการเฝ้ากูโบร์เจ็ดวันเจ็ดคืนช่วยตอนสืบสวนยังไงล่ะ
ป๊ะถูกนำไปฝังที่กูโบร์ใกล้บ้าน มีอ่านตัลกีนเหนือหลุม เป็นร่ำลาครั้งสุดท้าย รำลึกถึงตอนยังมีชีวิต
ในตอนกลางคืนเชิญผู้รู้ทำปาเดียะอุทิศให้ผู้ล่วงลับเพื่อชดใช้สิ่งที่บกพร่องจากละหมาด ถือบวช ที่อายุสิบห้าปี สิ้นชีพเท่าไหร่ก็หักลบออกเพื่อไม่ประมาท
พิธีนำข้าวสารวางบนกระบอกไม้ไผ่เลื่อนเป็นตัวกลางผู้ส่งพูด กอบิลตูฮาซา ผู้รับพูดตอบ วากับตูกาฮาซา ขึ้นกับอายุมากน้อยเท่าใด นับจากอายุสิบห้าปีผู้ชาย อายุเก้าปีสำหรับเพศหญิง
เสร็จแล้วมีคนมาซื้อข้าวสาร แบ่งเงินให้ผู้ทำพิธีเท่าๆกัน ครั้งมีชีวิตป๊ะเคยบอกทำพิธีกับโต๊ะครูดาลาสมัยเรียนปอเนาะครั้งหนึ่ง
นอกจากนั้นให้อ่านอัล-กุรอ่านที่กูโบร์เจ็ดวันเจ็ดคืนช่วงถูกสอบสวน ทำบุญเลี้ยงอาหารอุทิศให้ป๊ะด้วย
ทำบุญคืนสุดท้ายกำชับพี่สาวทุกคนให้หลานร่วมงาน แต่พูดไม่ออกได้แต่นิ่งเงียบ พี่สาวน่าจะมาครบสักคืน พวกเขาหายหัวไปไหนกันหมดนะ
ให้ตายสิ นี่พวกเขาออกมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือยังไงกัน
ภายหลังที่ป๊ะเสียชีวิต ความเงียบเหงา ความโศกเศร้าแผ่ซ่านทั่วบริเวณที่เจ็ดไร่และบ้านริมคลอง
อดัมได้ยินนาเชดจากวิทยุคลื่นสั้น เห็นป๊ะที่สอนหนังสือ นั่งล้อมวงทานช้าวตอนค่ำกับลูกๆ เสียงวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ป๊ะชอบเปิดฟังแว่วมาจากหิ้งกลางบ้าน
วันคืนเคลื่อนผ่านด้วยความเงียบเหงาเสมอที่บ้านริมคลอง ม๊ะยังไม่นำผักขายที่ตลาดนัด แกยังอาลัยคู่ชีวิตอีกนานทีเดียว
พี่สาวอยากให้แต่งงาน จะมีคนช่วยเหลือมะที่ชราลงทุกวัน อดัมตอบไม่รู้จะแต่งกับใคร ไม่เคยนึกรักใครนอกจากดรุณี
สโนว์ไวท์อมมีเสนอแต่งงานกับครูมารียะ พี่ๆหัวเราะครืนราวได้ยินเรื่องตลก เธอเป็นหลานมะเอง ลึกๆแล้วพี่สาวไม่รู้อดัมพอใจที่ได้แต่งงานคนอายุมาก แทนแผลใจห้องสมุดแห่งความหลังนั้น
“หม้ายไม่มีลูก”เสียงดังจากสโนว์ไวท์สุอาดะ คนที่ป๊ะยกให้เป็นลูกบุญธรรมคนนั้น
“สี่สิบยังทันมีลูกนะ”สโนว์ไวท์อมมีแนะนำ
เขากับมารียะอายุห่างกันสิบปี เป็นเนื้อคู่ได้แต่งงานกันจริงๆ ภารกิจมีผู้สืบสันดานคงไม่ใช่เรื่องง่าย ดูสิ ขนาดมะยังต้องบนบานแพะเขาทอง
“ก็แล้วแต่นะครับ”
“อาทิตย์หน้ามะจะไปคุยดูนะ”มะพูดขึ้น
มะรับปากนำเรื่องนี้ไปหารือกับมารียะ เธอเป็นหลานสาวแท้ๆ คิดว่าอายุก็มากแล้ว น่าจะพูดโน้มน้าวตกลงได้ไม่ยาก
เป็นตามคาด บาว ยีวาให้น้องเคลียร์โต๊ะอีหม่ามขึ้นรักษาการณ์ผู้นำ ทั้งๆที่หมาด บูหยงเหมาะสมกว่าใคร
“คนเตะเมีย เป็นโต๊ะอีหม่ามได้ยังไง” บาว ยีวาประกาศ
สามีสโนว์ไวท์ฮาซานะ เตะเมียครั้งเดียว ในหมู่บ้านผู้รู้หายากยิ่งกว่าทอง น่าอนุโลมความผิดกันได้ บาว ยีวาไม่มีความรู้ แต่อาศัยเวทมนต์โต๊ะฮารีเมาคุ้มกะลาหัวกล้าแหวกนรกโผล่แท่นเทศนาธรรมเช่นนั้น ไม่รู้หรือ ผู้รู้หนึ่งคนพาผู้คนออกจากนรกหนึ่งพันคนเป็นเช่นใด
บาว ยีวามองแต่หัวคนอื่น ตั้งตัวเป็นหมอน้ำมนต์ไสยศาสตร์ต้องห้ามร้ายแรงกว่าหมาด บูหยงหลายเท่าตัว
ไม่รู้ดอกหรือเล่นกับมนต์ดำนั้นสุ่มเสี่ยง พลาดพลั้งขั้นตกนรกหมกไหม้ หมู่บ้านสวนวิมานตอนนี้เป็นเมืองโพล้เพล้ถูกอิบลิสออกล่าเหยื่อ สองตัวตึงเริงร่ายในทะเลสีดำสนุกสนาน
ทั้งบาลัยคลองขวางและสุเหร่าสวนวิมาน ตอนนี้ในหมู่บ้านไม่มีใครสอน วันอาทิตย์ค่ำลงเงียบกริบ แห้งแล้งไปด้วยบรรยากาศเรียนหนังสือ หันหลังให้กับความไม่รู้ ที่เจ้าของบ้านเองก็ยินดีปรีดายิ่งนัก
นานๆมีธรรมสัญจรชวนให้ละหมาดสักครั้ง พวกเขาเป็นกลุ่มใหม่ที่เข้ามาแจ้งเกิดไม่อ่านกีตาบกูนิง ใช้วิธีนั่งบรรยายแทน บาวยีวาที่สอนหนังสือไม่เป็นยิ่งมีโต๊ะฮารีเมาคอยให้ท้ายก็แจ้งเกิดได้สง่างามยิ่งนัก
เดิมๆนั้นมีสำนักคิดใหม่จดๆจ้องๆอยู่ก่อน แต่เกรงใจป๊ะยึดหัวหาดสอนระบบบาลัยเข้มแข็ง พวกเขาอดทนรอคอยให้ขุนศึกคนสุดท้ายแขวนดาบ
สำนักคิดใหม่มองธรรมสัญจรไม่ใช่เป้าหมายพวกเขาพุ่งเป้าที่บาลัยและโต๊ะครูเจ้าของแหล่งผิดอุตริกรรม
พวกเขาท่องจำขึ้นสมอง ยั่งกับเหาที่ได้กลิ่นเลือดมนุษย์ อุตริกรรมเป็นสิ่งลุ่มหลง ทุกลุ่มหลงต้องลงนรกสถานเดียว
สำนักคิดใหม่หวังฟื้นฟูหมู่บ้านสวนวิมานปลอดอุตริกรรม ห้ามอ่านหนังสือในกูโบร์ ห้ามทำบุญให้ตาย ห้ามอ่านบทกวีฉลองวันเกิดศาสดา ล้างให้ขาวสะอาดสักที
อดัมได้ยินข่าวพักหลังนี้ สองผู้เฒ่าเดินคล้องแขนคนหนุ่มไปแหล่งเงินบริจาคเสมอ คงยักคอเป็นสัญญาณรับส่งกันลงตัว ไม่มีชุมชนใดโจมตีง่ายดายไปกว่ามีคนไม่รู้ปกครองอีกแล้ว
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่บาว ยีวาสั่งห้ามไม่ให้เยี่ยมกูโบร์ ใครตายห้ามเฝ้าเจ็ดวัน ต่อไปนี้ไม่มีอ่านบทกวีอุตริ เอาใจสำนักคิดใหม่ตั้งแต่เสาเข็มยังไม่ทันปัก
“เราจะพัฒนาทุกด้าน อีกไม่นานจะได้มัสยิดหลังใหม่แล้ว”
วันรายาปีนั้นชาวบ้านไม่กล้าเข้ากูโบร์ ได้แต่เกาะรั้วดูบรรพชนในหลุมตาปริบๆ เข้าเยี่ยมกูโบร์เคยเป็นสิ่งปกติปฏิบัติมาอย่างช้านานแล้ว
อดัมมองสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นเหนือหมู่บ้านสวนวิมานไม่ผิดอะไรพายุและคลื่นคลั่งที่เคลื่อนพลขึ้นบก
ชาวบ้านเคลิบเคลิ้มในมนต์ดำแปลงร่างและหายตัวได้ของมนุษย์วิเศษ หอบเอาพายุและคลื่นคลั่งเกยท่าหน้าบาลัยเหมือนปากปีศาจขนาดใหญ่ ต่างจ้องกลืนให้สิ้นซาก
คืนนั้นฝันได้พลัดหลงเข้าในเมืองไร้แสงดาว บ้านเรือน ผู้คนตกอยู่ในความมืดมิด ผู้คนหูดุ่มเดินลงพงรกเต็มไปด้วยงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็หาได้กลัวอันตรายใดๆ
สาวกอิบลิสลำเลียงอำนาจมืดผ่านครูหมอคำรามใส่ทุกเช้าเย็นตามบ้านเรือนผู้ ถนนหนทาง ช่องพลีเดินริมลำคลอง ที่ยากไร้เข็ญก็คอยให้ร้ายนินทา ส่วนที่ลืมตาอ้าปากได้ ก็คุยโม้โอ้อวดเก่งเหนือใคร
หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่เคยเห็นสายรุ้งงาม ทุกคนชอบเดินก้มค้อมคารวะปีศาจ ไม่ยอมมองดวงดารางดงาม พอใจแบบคนตาบอดเดินดุ่มในความมืดมิด พากันกลัวมนุษย์ผู้แปลงร่างเป็นนักเลงครูหมอเสือกันอย่างพร้อมเพรียง
เช้าวันอาทิตย์มาเยือนอีกครั้ง ขณะที่สาละวนกับงานซ่อมโทรทัศน์อยู่นั้น มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมาจอดหน้าร้าน ผู้มาเยือนถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งลงตรงกันข้ามโต๊ะซ่อมพะรุงพะรัง
“อดัมช่วยคิดชื่อใหม่ให้หน่อยสิ” บาว ยีวาพูดขึ้นทันทีที่นั่งลง
อดัมมองหน้าผู้นำคนใหม่ คงมาส่งข่าวได้รับเงินบริจาคเป็นทางการแล้วกระมัง
ชื่อเดิมสุเหร่าตักวาแปลว่ากลัว ป๊ะเป็นคนตั้งและจดทะเบียน ความภาคภูมิใจชาวบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยลงแรงสร้างบ้านของพระเจ้าสำเร็จอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีด้วยกัน
รู้กันทั่วสำนักคิดใหม่บริจาคแลกเปลี่ยนชื่อใหม่ประสงค์หลงลืมอดีตที่ผิดเพี้ยน เช้านี้อุตส่าห์ขับรถแจ้งข่าวให้เอ่ยปากยินดีด้วยกระมัง
“ยังใช้ได้ รื้อทิ้งทำไมครับ” อดัมพูดขึ้น
สำนักคิดใหม่มอบเงินมีเงื่อนไขให้เปลี่ยนชื่อด้วย ตั้งใจให้ชุมชนลืมหลงรากเหง้าผ่านป้าย ให้ลูกหลานนั่งด่าทอบรรพชนในวันข้างหน้า
“เงินเจ็ดล้าน” บาว ยีวาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ อดัมนึกคำป๊ะอย่าซื้อขายศาสนาดังก้องในหู
แกอุตส่าห์มาถึงร้านซ่อม อยากอวดเขาเหมาะสมกว่าใครๆ ติดต่อได้เงินบริจาคหนนี้เป็นฝีมือล้วนๆกระมัง
“ชำรุดก็ซ่อมได้นี่ครับ” อดัมพูดเสียงเครียด
มัสยิดหลังเดิม ชาวบ้านร่วมลงทุนลงแรงห้าแสนบาท อยากได้ใหม่ก็ใช้วิธีเดิมทุกคนได้ผลบุญดีกว่ารับเงินมาแต่มีข้อแลกเปลี่ยนไม่ดีกว่าหรือ
สำนักคิดใหม่มีนานแล้ว เพิ่งเดินทางถึงสวนวิมาน คนรุ่นป๊ะเขาหาจุดร่วมสงวนจุดต่างยืนในพื้นที่ไม่ปรักปรำ ไม่เคลื่อนไหวรุนแรงราวกับพายุร้ายแบบนี้
“ถ้าป๊ะอยู่คงไม่พูดแบบนี้”น้ำเสียงเครียดขรึม
ชายสองคนแห่งสวนวิมาน คิดตัวเองดีกว่าคนอื่น ชอบตัดสินใจแทน ทำให้เคยชินต่อการใช้อำนาจบาตรใหญ่ แกผิดหวังที่ไม่ยินดีด้วย ท่าทางยังลำพองใจถือเป็นขาใหญ่มีชาวบ้านสนับสนุนมากกว่า หารู้ไม่ว่ากำลังไล่คนไม่รู้หลงดีใจกับเงินทองยอมทิ้งสิ่งดั้งเดิมเอาไว้ข้างหลัง
“ตายายเป็นโจรต้องเป็นด้วยหรือ” บาวยีวาพูดตามวาทกรรมให้สลายขั้ว
“ต้องการเงินให้ผมจัดงานกุศลดูก่อนดีมั้ย ” อดัมมองหน้า ตอบเสียงแข็งกร้าว
หากภาพผู้ร้ายคือทำบุญเลี้ยงอาหารอุทิศกุศลผลบุญให้ผู้ตายบอกถึงสังคมสามัคคี โอบอุ้มความมีน้ำใจต่อกัน ก็สมควรที่จะส้องสุมกำลังผลักไสให้พายุและคลื่นคลั่งสงบลงให้ได้
คนรุ่นก่อนแบ่งกันชัดเจน สำนักคิดใหม่ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ ทำบุญเลี้ยงอาหารให้ผู้ล่วงลับได้ จัดงานอ่านบทกวี ไม่ได้ผิดหลักอะไร ไม่ชอบก็ให้สงบในที่ตั้งอย่าพิพากษาฝ่ายตรงข้าม
“มึงหาเงินไม่ได้หรอก” แกพูดเคี้ยวฟัน ตาแดงกล่ำสีเลือด ราวเพิ่งกัดคนไม่นาน
ดูเขาสิ ยืนกรานจัดงานกุศลหาเงินดื้อด้านไม่ฟังใครยั่งกะคนบ้า ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย อดัมเป็นสัตว์บาดเจ็บ มีแผลเหวอะสลักแผ่นหลังคนเลวแห่งสวนวิมาน
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังป๊ะเสียชีวิตทุกภาพเดินสู่หน้าผาล้มละลายความเชื่อและศรัทธาสอนมาทั้งชีวิต
หมู่บ้านไม่ใช่เปลี่ยนเพียงเสาไฟฟ้า มันลากบางสิ่งกลืนในกาลเวลาด้วยเช่นกัน ความที่อยากได้มัสยิดหลังใหม่ วันรายาปีนั้นไม่มีใครกล้าเข้ากูโบร์เช่นปีก่อนๆ กลัวคำสั่งสองผู้เฒ่า ที่มีหูตามากเหมือนสับปะรด
อดัมเห็นภาพแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด วัยเยาว์ท่ามกลางพี่สาวคอยแผ่ไออบอุ่นเกิดความสบายใจเหมือนได้กลิ้งเกลือกในห้วยทิพย์อันรื่นรมย์ด้วยดอกไม้ สายน้ำและเกลียวคลื่นแห่งทรงจำทั้งมวล
อดัมได้ยินฟ้าคำรามแต่ไกล เมฆฝนสีเทาบดบังท้องฟ้าส่งสัญญาณใกล้เวลาฝนตก หลังกลับจากห้องสมุดรีบเก็บเสื้อผ้าที่แขวนไว้ก่อนเที่ยง วิ่งกลับเข้าห้องพักห้องเปิดหน้าต่ามองเห็นบ้านเกิด คล้ายกระจกส่องหน้าในเทพนิยายสโนว์ไวท์กับคนแคระ มีขนาดใหญ่มีอากาศธาตุเป็นพื้นผิวกระจกแทนคำถามผุดพราย ทุกสิ่งหมุนตามโลกต้อนสิ่งใหม่เข้าแทนที่เสมอ
ดรุณีโผล่ในสวนดอกไม้มีหนังสือหลากชนิด เธอเคยฝากคำสละสลวยให้ฟัง โลกมีหนังสือ ในหนังสือดั่งมีชีวิต
ภาพหวนคืนขณะช่วยเก็บหนังสือเข้าชั้นเรียงตามหมวด ดรุณีมองหน้านิ่งนาน รอยยิ้มผุดขึ้นเป็นถ้อยคำพิสวาส เห็นเงาสีดำโฉบลงช้าๆจากฝ้าเพดาน ได้ยินเสียงฝีเท้าอิบลิสย่ำกรอบแกรบในป่าหนังสือ กระซิบข้างหูเบาๆ ให้หลงเคลิบเคลิ้มราวถูกมนต์สะกด มันได้ผลักให้สวมกอดสาวใหญ่ในวงแขน
“เมื่อยมาก นวดให้หน่อยสิ” ดรุณีเรียกขึ้น
อดัมกลืนน้ำลาย คอแห้ง ใจสั่น ขณะสองมือนวดคลึงลำคอขาวผ่อง กลิ่นหอมฟุ้งเข้าจมูก ยกมือบีบลำคอเบาๆไล่ลงตามลำตัว มือซุกซนไปถึงยกทรงขนาดใหญ่
ดรุณีนอนราบลงกับพื้นกระดาน ไม่สนใจคราบฝุ่นรอยรองเท้า อดัมเลื่อนกระโปรงพ้นหัวเข่า ปลีน่องทั้งสองล้อเล่นแสงนีออนนวลใย เขาเริ่มบีบนวดจากข้อเท้า ไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนหอยเดินบนโคลน
เสียงกระซิบยุยงให้เขารุกไล่พ้นบริเวณหัวเขา บีบเน้นที่โคนขา เสียงนั้นให้เขาเอื้อมมือถอดกางเกงชั้นใน
พลันนึกถึงอดัมเอื้อมมืดปลิดผลไม้คุลดีในสวนสวรรค์ ก่อนถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์ หลายพันปีก่อน อิบลิสตัวนั้นตามติดอดัมให้ถอดเสื้อผ้าดรุณีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
“ไปปิดประตูก่อนสิ” ดรุณีเอ่ยเสียงสั่นเครือ
อดัมดึงชายกระโปรงลงกลับที่เดิม เสียงอิสลิสหายลับ เขาเห็นเงาสีดำหายไปในฝ้าเพดานสีขาว ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น ตัดสินใจไม่ปิดประตูแต่ไปเก็บหนังสือเข้าชั้นต่อ
“รู้ไหม ต่อไปเธอจะเป็นนักเขียน” ดรุณีพูดขึ้น ขณะลุกขึ้นเริ่มเก็บหนังสือเข้าชั้นวาง พยายามตัดใจลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“ผมไม่รู้ทำยังไง” อดัมตอบ
ดวงตาเปล่งประกายวาว สำหรับนักเขียนคำคือฝันที่ห่างไกลเสียเหลือเกิน
“เธอเริ่มอยู่ยังไงล่ะ” อดัมถามด้วยสายตา
“ไม่ต้องเรียนจบอักษรศาสตร์หรือครับ”
“บางคนชั้นเพียงชั้นปอสี่ก็มีนะ”
“ผมเข้าใจผิดตั้งนาน”อดัมพูดตื่นเต้นตาเป็นประกายฝัน
“นักเขียนต้องอ่านเป็นพื้นฐานยังไงล่ะ”
“งั้นผมลองดูนะครับ” อดัมมองหน้าดรุณี
“พี่จะเป็นกำลังใจให้เสมอนะ”เธอใส่จริงใจและในดวงตาดำขลับ
ดรุณีเป็นเทพธิดาสุดขอบฟ้า ปรากฏตัวได้ตลอดเวลา นึกถึงหนังสือ ห้องสมุด เธอก็เกาะสายรุ้งเจ็ดสีมาเยือนอย่างทันใจ
“ครับ”เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาหวิว
บอกเหตุผลไม่ได้หรอก ลมสายใดให้พบกันได้เหนียวแน่น ทุกครั้งที่พบเหมือนได้เหาะเหินในอากาศไปด้วยกัน คิดถึงตอนที่พบกันแทบไม่ซ้ำฉาก มองตา กอดรัด สนทนา ตลอดห้าปีเต็มที่ห้องสมุดแห่งนั้น
ช่วยเก็บเกี่ยวความรื่นรมย์ขณะมองสายรุ้งงาม ใช้เวลาอีกนานเพียงใด ที่สลัดสาวใหญ่ทรงเสน่ห์ไปจากชีวิตสักที
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 15
Comments