ย้อนเยาพันธนาการศาลเจ้า
ค่ำคืนในหมู่บ้านอิเคดะเงียบเชียบเหมือนโลกทั้งใบตกอยู่ในความมืดมิด ลมหนาวพัดแรงจนต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมหมู่บ้านโยกไปมา ใบไม้แห้งกระทบกันเบาๆ คล้ายเสียงกระซิบของวิญญาณที่หายไปนาน เสียงมันบาดใจเหมือนกับเสียงเรียกร้องจากบางสิ่งที่อยู่นอกสายตา
หากใครได้เดินทางมาที่นี่ในค่ำคืนเช่นนี้ คงไม่อาจหลีกหนีความรู้สึกที่แผ่กระจายอยู่ในอากาศ—ความเงียบที่ไม่เป็นมิตร ความอึดอัดที่ทำให้ทุกคนที่ก้าวเข้ามาอยากออกไปให้เร็วที่สุด แต่สำหรับผู้ที่เกิดและเติบโตที่นี่ กลับเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องยอมรับว่า โลกนี้ไม่เคยสงบสุข
ภายในบ้านอิเคดะ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสนิทสะท้อนออกมาจากทุกมุมห้อง ทุกสิ่งในบ้านดูเหมือนจะถูกลืมเลือน ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดมิดที่มองไม่เห็น แม้แต่แสงไฟก็ยังเบาลงเหมือนมีบางสิ่งคอยกลืนกินความสดใสไปอย่างช้าๆ
มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ มีหญิงสาวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง—เธอมีผิวขาวซีดราวกับไม่มีชีวิต ใบหน้าของเธอไม่ได้สะท้อนถึงอายุที่แท้จริง สายตาของเธอไม่เคยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งที่เธอมองเห็นเหมือนจะหลุดลอยไปในความว่างเปล่า ราวกับเธอไม่อาจหยุดยั้งเวลาหรือหนีจากมันได้
หญิงสาวนั้นคืออายาเมะ หัวหน้าตระกูลอิเคดะ หญิงผู้ที่อายุหลายพันปีแล้ว แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับหญิงสาวในวัยสามสิบเท่านั้น อายาเมะไม่ได้แก่เฒ่าด้วยเวลา เธอเป็นเพียงหนึ่งในสัญญาที่ถูกทำขึ้นกับศาลเจ้า หลายปีผ่านไป เธอไม่เคยเห็นตัวเองเปลี่ยนแปลง ยกเว้นในความเจ็บปวดที่รากลึกในจิตใจ
คืนนี้—คืนนี้มาริจะเป็นคนถัดไปที่ต้องสานต่อชะตากรรมที่หลีกหนีไม่พ้น สัญญาที่ถูกผูกมัดและเงื่อนงำที่ไม่มีทางหลีกหนี
ห้องโถงที่มืดมิดกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงใดใดแทรกแซง ความเงียบที่ครอบงำทำให้ทุกสิ่งในบ้านอิเคดะดูเหมือนจะอยู่ในภาวะนิ่งเฉย ความเย็นเยียบจากภายนอกแทรกซึมเข้ามาในห้อง ทั้งๆ ที่ประตูและหน้าต่างถูกปิดมิดชิด แต่ลมหนาวที่พัดผ่านยังคงทำให้ห้องนี้หนาวจับใจ
เสียงฝีเท้าเบาๆ ก้าวเข้ามาทำลายความเงียบ มาริ—เด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยที่จะต้องเผชิญกับชะตากรรมของตระกูลอิเคดะ แต่เธอกลับรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในอากาศ เธอรู้ว่าเวลาของเธอกำลังจะมาถึงแล้ว
มาริยืนอยู่ตรงกลางห้อง เธอคงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาที่เอ่อออกมาในดวงตาของเธอ เธอคงไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความกลัวที่เธอรู้สึกในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่มีเสียงพูดใดๆ แต่สายตาของเธอสะท้อนถึงความสิ้นหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อายาเมะหันมองมาริด้วยความสงสาร น้ำเสียงที่แผ่วเบาของเธอกระทบถึงหัวใจของมาริ ความสงบที่ปกคลุมอยู่ในตัวอายาเมะทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งหนักแน่นขึ้น
“มาริ…” เสียงของอายาเมะดังขึ้นช้าๆ ไม่เร่งรีบเหมือนเสียงของลมที่พัดผ่านต้นไม้ในยามค่ำคืน
มาริหันหน้ามาทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความสงสัยที่เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบได้
“ข้า… ข้าจะทำตามหน้าที่ของตระกูลได้หรือไม่…” น้ำเสียงของมาริสั่นเครือ มันแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดที่เธอไม่สามารถหลีกหนีจากชะตากรรมนี้ได้
อายาเมะยิ้มบางๆ เธอไม่ตอบคำถามนั้น แต่พรรณนาออกมาในรูปแบบของความทรงจำที่หลั่งไหลออกมาในขณะนั้น
“พวกเขา… ทุกคนที่ถูกส่งไปจะต้องทนทุกข์และกลายเป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้า พวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์—ไม่อาจกลับมา” อายาเมะพูดถึงผู้ที่เคยถูกส่งไปก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความมืดที่ล้อมรอบ ทุกคำที่เธอพูดเหมือนจะนำพาความทุกข์มาให้
“แต่… พวกเขาก็ไม่ได้หายไป พวกเขาอยู่ที่นั่น ตลอดไป”
ทุกๆ คนที่ถูกส่งไป—มันไม่ใช่แค่การจากไป มันคือการกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำสาปนั้น เป็นวิญญาณที่หลุดพ้นจากร่างกาย พวกเขาจะต้องหลอมรวมกับศาลเจ้าและสานต่อความมืดมิดที่ไม่อาจถอนตัวออกมาได้
มาริรู้ดีว่าคำสาปนี้ไม่ได้มีทางออก ไม่ว่ากี่ปีจะผ่านไป ความมืดนั้นก็ยังคงอยู่ที่นี่ ไม่เคยไปไหน ไม่มีใครสามารถหนีพ้นจากสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว
น้ำตาของมาริเริ่มไหลลงมากับลมหายใจที่เธอพยายามข่มกลั้น เสียงลมหายใจของเธอแผ่วเบาเหมือนกับเสียงของวิญญาณที่ร่ำไห้อยู่ในเงามืดข้างๆ
“ข้ากลัว… ข้าไม่อยากไป…” มาริกล่าวออกมาเบาๆ
แต่คำตอบที่อายาเมะให้ไม่ได้ปลอบใจเธอเลย
“ไม่มีใครสามารถหนีได้หรอก… มาริ”
ทำในห้องนั้นยังคงเต็มไปด้วยความเงียบที่น่ากลัว ความเงียบที่เหมือนจะกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ทั้งมาริและอายาเมะยังคงยืนอยู่ในความมืด แต่ทว่าใจของทั้งสองกลับถูกโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
อายาเมะเงียบงัน หญิงสาวที่ดูไม่ต่างจากวิญญาณที่เดินอยู่บนโลกมนุษย์ เธอเฝ้ามองมาริอย่างอ่อนโยน แต่อย่างไรก็ตามในดวงตาของเธอก็สะท้อนแววความเศร้าและความยอมรับในชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การมองไปยังเด็กสาวตรงหน้าไม่ต่างจากการมองไปยังตัวเองเมื่อหลายพันปีก่อน
ในหลายปีที่ผ่านมา มีคนมากมายที่เคยอยู่ในตำแหน่งเดียวกับมาริ ทุกคนต้องเผชิญกับความรู้สึกเดียวกัน คำสาปที่ติดตามพวกเขามาเป็นเวลานาน ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปที่ใด ก็ไม่มีที่หลบซ่อนที่ปลอดภัย สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็แค่เดินตามคำสั่งแห่งศาลเจ้าเท่านั้น
มาริรู้ดีว่าคำพูดของอายาเมะเป็นความจริง แต่ความกลัวในใจของเธอกลับไม่สามารถสงบลงได้ เธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านจากทุกทิศทาง คล้ายกับมีมือของบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังยื่นออกมาจับหัวใจของเธอและบีบมันให้เจ็บปวด
การหายไปของคนในตระกูลอิเคดะคือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถลืมได้ ความทรงจำเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในใจของทุกคนเหมือนกับความมืดที่ไม่เคยหายไป คนที่ถูกส่งไปไม่ใช่แค่การจากไปทางร่างกาย แต่เป็นการสูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตน พวกเขาจะไม่กลับมา ไม่ว่าจะเป็นผ่านกาลเวลาแค่ไหน
“พวกเขาไปไหนกัน…” มาริถามเสียงสั่น เธอหลับตาลงเพื่อปิดกั้นความรู้สึก แต่ภาพทุกอย่างยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในหัวใจ
“พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของคำสาป… พวกเขาจะไม่กลับมาอีก…” อายาเมะตอบพลางหันกลับไปมองหน้าต่างที่ถูกปิดมิดชิด ราวกับเธอสามารถเห็นบางสิ่งที่มองไม่เห็น
มีบางอย่างในดวงตาของอายาเมะที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย—ความเจ็บปวดที่คอยกัดกินจิตใจของเธอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน เธอเคยเจอสิ่งนี้มาก่อน เคยสัมผัสมันมาก่อน บางทีเธออาจจะไม่อยากให้มาริได้พบกับมัน แต่ในที่สุด ทุกคนในตระกูลอิเคดะก็จะต้องพบกับมัน
การเงียบงันที่แผ่ขยายออกไปในห้องทำให้มาริรู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างรอคอยเธออยู่ ความมืดที่คลุมเครือยังคงอยู่รอบๆ ตัวเธอ บางทีอาจจะเป็นเงาของผู้ที่เคยถูกส่งไปก่อนหน้า พวกเขาอาจจะอยู่ที่นั่น—อยู่ในความมืดใต้พิธีกรรมของศาลเจ้าที่คอยรอเวลาที่จะดึงตัวเธอไป
มาริไม่สามารถหันหลังกลับได้ แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่าคำสาปนี้คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้เธอจะรู้ดีว่าไม่มีใครหลบหนีจากมันได้ แต่ก็ยังคงไม่อาจยอมรับความจริงนั้นได้อย่างสมบูรณ์
“หัวหน้าตระกูลคะ…” มาริเรียกเสียงเบา แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ความเงียบในห้องดูหนักหน่วงขึ้น อายาเมะหันมองด้วยสายตาที่แสนลึกซึ้งและเศร้า
“เจ้าไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว… ทุกคำถามที่เจ้าถาม ตัวข้าเองก็เคยถามในวันนั้น” อายาเมะตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนาน
“มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมรับมัน…” มาริพึมพำเบาๆ พยายามหาทางที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
“เจ้าสามารถหนีได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น มาริ… ความกลัวจะพาเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง… แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะรู้ว่าไม่มีที่ไหนหลบซ่อน…” อายาเมะพูดออกมาเหมือนกับเสียงของวิญญาณที่เก่าแก่และถูกทำให้สูญหายไปในกาลเวลา
ความกลัวในตัวมาริทวีความรุนแรงขึ้น สายตาของเธอจดจ้องไปยังมือที่ขาวซีดของตัวเอง ค่อยๆ ลูบไปที่ข้อมือเหมือนพยายามปลอบตัวเอง แต่มันไม่ช่วยอะไร ความหนาวเย็นเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ เสมือนร่างกายของเธอกำลังถูกพาไปยังที่ไหนสักแห่งที่เต็มไปด้วยความมืด
“ข้า… ข้ากลัว…” มาริพูดออกไปเสียงสั่นเครือ ก่อนที่น้ำตาจะร่วงหล่นลงบนพื้นเบาๆ ราวกับหยาดฝนที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อายาเมะหันมามองด้วยความเห็นใจ เธอเข้าใจดีถึงความกลัวที่มาริรู้สึก เพราะเธอก็เคยผ่านมาแล้ว แต่ในตอนนี้ ไม่มีอะไรสามารถช่วยได้ การยอมรับมันเป็นทางเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้
“การยอมรับไม่ใช่ความพ่ายแพ้ มาริ…” อายาเมะพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างเงียบๆ เช่นกัน
ความมืดภายในห้องเหมือนจะกดทับทุกสิ่งให้ตกอยู่ในความเงียบที่อึดอัด ทุกเสียงที่เคยมีในห้อง ตอนนี้ถูกกลืนหายไป เหลือเพียงแค่ลมหายใจที่แผ่วเบาของมาริที่กำลังสะท้อนในหูเธอ ราวกับเธอกำลังหายใจร่วมกับความมืดที่แทรกซึมอยู่ในอากาศ
สายตาของมาริที่ยังคงจับจ้องไปที่พื้นห้อง เห็นเพียงแค่ความมืดที่ทออยู่ใต้เท้าเหมือนกับเงาของสิ่งที่หายไปแล้ว มันแผ่กระจายไปทั่วห้องจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ในโลกที่ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง แม้แต่ความฝันก็ยังไม่ได้ผลักดันให้เธอหนีจากที่นี่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 4
Comments