ค่ำคืนในหมู่บ้านอิเคดะเงียบเชียบเหมือนโลกทั้งใบตกอยู่ในความมืดมิด ลมหนาวพัดแรงจนต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมหมู่บ้านโยกไปมา ใบไม้แห้งกระทบกันเบาๆ คล้ายเสียงกระซิบของวิญญาณที่หายไปนาน เสียงมันบาดใจเหมือนกับเสียงเรียกร้องจากบางสิ่งที่อยู่นอกสายตา
หากใครได้เดินทางมาที่นี่ในค่ำคืนเช่นนี้ คงไม่อาจหลีกหนีความรู้สึกที่แผ่กระจายอยู่ในอากาศ—ความเงียบที่ไม่เป็นมิตร ความอึดอัดที่ทำให้ทุกคนที่ก้าวเข้ามาอยากออกไปให้เร็วที่สุด แต่สำหรับผู้ที่เกิดและเติบโตที่นี่ กลับเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องยอมรับว่า โลกนี้ไม่เคยสงบสุข
ภายในบ้านอิเคดะ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบสนิทสะท้อนออกมาจากทุกมุมห้อง ทุกสิ่งในบ้านดูเหมือนจะถูกลืมเลือน ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดมิดที่มองไม่เห็น แม้แต่แสงไฟก็ยังเบาลงเหมือนมีบางสิ่งคอยกลืนกินความสดใสไปอย่างช้าๆ
มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ มีหญิงสาวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง—เธอมีผิวขาวซีดราวกับไม่มีชีวิต ใบหน้าของเธอไม่ได้สะท้อนถึงอายุที่แท้จริง สายตาของเธอไม่เคยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งที่เธอมองเห็นเหมือนจะหลุดลอยไปในความว่างเปล่า ราวกับเธอไม่อาจหยุดยั้งเวลาหรือหนีจากมันได้
หญิงสาวนั้นคืออายาเมะ หัวหน้าตระกูลอิเคดะ หญิงผู้ที่อายุหลายพันปีแล้ว แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับหญิงสาวในวัยสามสิบเท่านั้น อายาเมะไม่ได้แก่เฒ่าด้วยเวลา เธอเป็นเพียงหนึ่งในสัญญาที่ถูกทำขึ้นกับศาลเจ้า หลายปีผ่านไป เธอไม่เคยเห็นตัวเองเปลี่ยนแปลง ยกเว้นในความเจ็บปวดที่รากลึกในจิตใจ
คืนนี้—คืนนี้มาริจะเป็นคนถัดไปที่ต้องสานต่อชะตากรรมที่หลีกหนีไม่พ้น สัญญาที่ถูกผูกมัดและเงื่อนงำที่ไม่มีทางหลีกหนี
ห้องโถงที่มืดมิดกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงใดใดแทรกแซง ความเงียบที่ครอบงำทำให้ทุกสิ่งในบ้านอิเคดะดูเหมือนจะอยู่ในภาวะนิ่งเฉย ความเย็นเยียบจากภายนอกแทรกซึมเข้ามาในห้อง ทั้งๆ ที่ประตูและหน้าต่างถูกปิดมิดชิด แต่ลมหนาวที่พัดผ่านยังคงทำให้ห้องนี้หนาวจับใจ
เสียงฝีเท้าเบาๆ ก้าวเข้ามาทำลายความเงียบ มาริ—เด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยที่จะต้องเผชิญกับชะตากรรมของตระกูลอิเคดะ แต่เธอกลับรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในอากาศ เธอรู้ว่าเวลาของเธอกำลังจะมาถึงแล้ว
มาริยืนอยู่ตรงกลางห้อง เธอคงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาที่เอ่อออกมาในดวงตาของเธอ เธอคงไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความกลัวที่เธอรู้สึกในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่มีเสียงพูดใดๆ แต่สายตาของเธอสะท้อนถึงความสิ้นหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อายาเมะหันมองมาริด้วยความสงสาร น้ำเสียงที่แผ่วเบาของเธอกระทบถึงหัวใจของมาริ ความสงบที่ปกคลุมอยู่ในตัวอายาเมะทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งหนักแน่นขึ้น
“มาริ…” เสียงของอายาเมะดังขึ้นช้าๆ ไม่เร่งรีบเหมือนเสียงของลมที่พัดผ่านต้นไม้ในยามค่ำคืน
มาริหันหน้ามาทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความสงสัยที่เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบได้
“ข้า… ข้าจะทำตามหน้าที่ของตระกูลได้หรือไม่…” น้ำเสียงของมาริสั่นเครือ มันแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดที่เธอไม่สามารถหลีกหนีจากชะตากรรมนี้ได้
อายาเมะยิ้มบางๆ เธอไม่ตอบคำถามนั้น แต่พรรณนาออกมาในรูปแบบของความทรงจำที่หลั่งไหลออกมาในขณะนั้น
“พวกเขา… ทุกคนที่ถูกส่งไปจะต้องทนทุกข์และกลายเป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้า พวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์—ไม่อาจกลับมา” อายาเมะพูดถึงผู้ที่เคยถูกส่งไปก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความมืดที่ล้อมรอบ ทุกคำที่เธอพูดเหมือนจะนำพาความทุกข์มาให้
“แต่… พวกเขาก็ไม่ได้หายไป พวกเขาอยู่ที่นั่น ตลอดไป”
ทุกๆ คนที่ถูกส่งไป—มันไม่ใช่แค่การจากไป มันคือการกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำสาปนั้น เป็นวิญญาณที่หลุดพ้นจากร่างกาย พวกเขาจะต้องหลอมรวมกับศาลเจ้าและสานต่อความมืดมิดที่ไม่อาจถอนตัวออกมาได้
มาริรู้ดีว่าคำสาปนี้ไม่ได้มีทางออก ไม่ว่ากี่ปีจะผ่านไป ความมืดนั้นก็ยังคงอยู่ที่นี่ ไม่เคยไปไหน ไม่มีใครสามารถหนีพ้นจากสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว
น้ำตาของมาริเริ่มไหลลงมากับลมหายใจที่เธอพยายามข่มกลั้น เสียงลมหายใจของเธอแผ่วเบาเหมือนกับเสียงของวิญญาณที่ร่ำไห้อยู่ในเงามืดข้างๆ
“ข้ากลัว… ข้าไม่อยากไป…” มาริกล่าวออกมาเบาๆ
แต่คำตอบที่อายาเมะให้ไม่ได้ปลอบใจเธอเลย
“ไม่มีใครสามารถหนีได้หรอก… มาริ”
ทำในห้องนั้นยังคงเต็มไปด้วยความเงียบที่น่ากลัว ความเงียบที่เหมือนจะกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ทั้งมาริและอายาเมะยังคงยืนอยู่ในความมืด แต่ทว่าใจของทั้งสองกลับถูกโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
อายาเมะเงียบงัน หญิงสาวที่ดูไม่ต่างจากวิญญาณที่เดินอยู่บนโลกมนุษย์ เธอเฝ้ามองมาริอย่างอ่อนโยน แต่อย่างไรก็ตามในดวงตาของเธอก็สะท้อนแววความเศร้าและความยอมรับในชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การมองไปยังเด็กสาวตรงหน้าไม่ต่างจากการมองไปยังตัวเองเมื่อหลายพันปีก่อน
ในหลายปีที่ผ่านมา มีคนมากมายที่เคยอยู่ในตำแหน่งเดียวกับมาริ ทุกคนต้องเผชิญกับความรู้สึกเดียวกัน คำสาปที่ติดตามพวกเขามาเป็นเวลานาน ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปที่ใด ก็ไม่มีที่หลบซ่อนที่ปลอดภัย สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็แค่เดินตามคำสั่งแห่งศาลเจ้าเท่านั้น
มาริรู้ดีว่าคำพูดของอายาเมะเป็นความจริง แต่ความกลัวในใจของเธอกลับไม่สามารถสงบลงได้ เธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านจากทุกทิศทาง คล้ายกับมีมือของบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังยื่นออกมาจับหัวใจของเธอและบีบมันให้เจ็บปวด
การหายไปของคนในตระกูลอิเคดะคือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถลืมได้ ความทรงจำเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในใจของทุกคนเหมือนกับความมืดที่ไม่เคยหายไป คนที่ถูกส่งไปไม่ใช่แค่การจากไปทางร่างกาย แต่เป็นการสูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตน พวกเขาจะไม่กลับมา ไม่ว่าจะเป็นผ่านกาลเวลาแค่ไหน
“พวกเขาไปไหนกัน…” มาริถามเสียงสั่น เธอหลับตาลงเพื่อปิดกั้นความรู้สึก แต่ภาพทุกอย่างยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในหัวใจ
“พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของคำสาป… พวกเขาจะไม่กลับมาอีก…” อายาเมะตอบพลางหันกลับไปมองหน้าต่างที่ถูกปิดมิดชิด ราวกับเธอสามารถเห็นบางสิ่งที่มองไม่เห็น
มีบางอย่างในดวงตาของอายาเมะที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย—ความเจ็บปวดที่คอยกัดกินจิตใจของเธอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน เธอเคยเจอสิ่งนี้มาก่อน เคยสัมผัสมันมาก่อน บางทีเธออาจจะไม่อยากให้มาริได้พบกับมัน แต่ในที่สุด ทุกคนในตระกูลอิเคดะก็จะต้องพบกับมัน
การเงียบงันที่แผ่ขยายออกไปในห้องทำให้มาริรู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างรอคอยเธออยู่ ความมืดที่คลุมเครือยังคงอยู่รอบๆ ตัวเธอ บางทีอาจจะเป็นเงาของผู้ที่เคยถูกส่งไปก่อนหน้า พวกเขาอาจจะอยู่ที่นั่น—อยู่ในความมืดใต้พิธีกรรมของศาลเจ้าที่คอยรอเวลาที่จะดึงตัวเธอไป
มาริไม่สามารถหันหลังกลับได้ แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่าคำสาปนี้คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้เธอจะรู้ดีว่าไม่มีใครหลบหนีจากมันได้ แต่ก็ยังคงไม่อาจยอมรับความจริงนั้นได้อย่างสมบูรณ์
“หัวหน้าตระกูลคะ…” มาริเรียกเสียงเบา แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ความเงียบในห้องดูหนักหน่วงขึ้น อายาเมะหันมองด้วยสายตาที่แสนลึกซึ้งและเศร้า
“เจ้าไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว… ทุกคำถามที่เจ้าถาม ตัวข้าเองก็เคยถามในวันนั้น” อายาเมะตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนาน
“มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมรับมัน…” มาริพึมพำเบาๆ พยายามหาทางที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังจะมาถึง
“เจ้าสามารถหนีได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น มาริ… ความกลัวจะพาเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง… แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะรู้ว่าไม่มีที่ไหนหลบซ่อน…” อายาเมะพูดออกมาเหมือนกับเสียงของวิญญาณที่เก่าแก่และถูกทำให้สูญหายไปในกาลเวลา
ความกลัวในตัวมาริทวีความรุนแรงขึ้น สายตาของเธอจดจ้องไปยังมือที่ขาวซีดของตัวเอง ค่อยๆ ลูบไปที่ข้อมือเหมือนพยายามปลอบตัวเอง แต่มันไม่ช่วยอะไร ความหนาวเย็นเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ เสมือนร่างกายของเธอกำลังถูกพาไปยังที่ไหนสักแห่งที่เต็มไปด้วยความมืด
“ข้า… ข้ากลัว…” มาริพูดออกไปเสียงสั่นเครือ ก่อนที่น้ำตาจะร่วงหล่นลงบนพื้นเบาๆ ราวกับหยาดฝนที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อายาเมะหันมามองด้วยความเห็นใจ เธอเข้าใจดีถึงความกลัวที่มาริรู้สึก เพราะเธอก็เคยผ่านมาแล้ว แต่ในตอนนี้ ไม่มีอะไรสามารถช่วยได้ การยอมรับมันเป็นทางเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้
“การยอมรับไม่ใช่ความพ่ายแพ้ มาริ…” อายาเมะพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างเงียบๆ เช่นกัน
ความมืดภายในห้องเหมือนจะกดทับทุกสิ่งให้ตกอยู่ในความเงียบที่อึดอัด ทุกเสียงที่เคยมีในห้อง ตอนนี้ถูกกลืนหายไป เหลือเพียงแค่ลมหายใจที่แผ่วเบาของมาริที่กำลังสะท้อนในหูเธอ ราวกับเธอกำลังหายใจร่วมกับความมืดที่แทรกซึมอยู่ในอากาศ
สายตาของมาริที่ยังคงจับจ้องไปที่พื้นห้อง เห็นเพียงแค่ความมืดที่ทออยู่ใต้เท้าเหมือนกับเงาของสิ่งที่หายไปแล้ว มันแผ่กระจายไปทั่วห้องจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ในโลกที่ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง แม้แต่ความฝันก็ยังไม่ได้ผลักดันให้เธอหนีจากที่นี่
ความมืดรอบตัวมาริยังคงเหมือนกับมีชีวิต มันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะกลืนกินทุกอย่างไว้ ความกลัวยังคงเกาะกุมหัวใจของเธออย่างหนักหน่วง ในคืนก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะนิ่งสงบ แต่สำหรับมาริเอง ความสงบเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้ความวิตกกังวลรุนแรงขึ้นไปอีก
เธอไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ในห้องนั้นยังคงมีแสงไฟจากตะเกียงที่ส่องให้ความอบอุ่นเบาๆ ในบรรยากาศที่น่ากลัว ราวกับไฟนั้นคือสิ่งเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในขณะที่ตัวมาริกลับรู้สึกเหมือนกับกำลังจะถูกทิ้งให้อยู่ในโลกมืดที่ไม่มีวันกลับ
“พรุ่งนี้… ข้าจะต้องไป…” มาริคิดในใจ เธอยังคงยืนอยู่ในห้องอันมืดมิด ร่างของเธอกลายเป็นเพียงเงาที่หลบอยู่ในความมืด ทำให้ไม่สามารถแยกแยะระหว่างตัวตนของเธอกับความว่างเปล่าได้อย่างชัดเจน
มาริค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดหน้า ดวงตาของเธอเริ่มพร่าเลือนจนเกือบจะมองไม่เห็น เสียงลมหายใจของเธอดังก้องอยู่ในหู ราวกับทุกอย่างรอบตัวเธอไม่ได้มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
เธอคิดถึงภาพของผู้ที่เคยถูกส่งไปก่อนหน้า คนเหล่านั้นที่ไม่มีวันกลับมา ทุกคนต้องเดินไปสู่ศาลเจ้าในคืนนั้น เพียงเพื่อจะกลายเป็นวิญญาณที่ไม่มีใครสามารถเรียกชื่อได้อีก คำสาปของตระกูลนี้มันรัดรึงและไม่ยอมปล่อยให้ใครหลุดพ้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับการสูญเสียตัวตนของตนเอง แต่ทุกคนที่เคยทำสัญญากับศาลเจ้าก็ต้องสูญเสียเวลาและความหวัง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้มาริรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงเข้าไปในความมืดลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงก้าวเท้าที่เบาบางจากทางด้านหลังทำให้มาริสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองเห็นเงาของอายาเมะที่ยืนอยู่ที่ประตู เธอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หัวหน้าตระกูลมาถึง แต่ในใจเธอกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
อายาเมะยืนอยู่ในเงามืด ไม่เหมือนคนธรรมดา แต่เหมือนกับบางสิ่งที่ไม่มีวันตาย สภาพของเธอดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
“เจ้ากลัวหรือไม่…” อายาเมะเอ่ยถามเสียงเบา ความเยือกเย็นจากน้ำเสียงของเธอทำให้มาริรู้สึกเหมือนกับมันกำลังคลี่คลายความกลัวในใจออกมาเป็นชั้นๆ
มาริไม่ตอบอะไร เธอเพียงแต่หลบสายตาของอายาเมะไป เพราะคำถามนี้มันไม่ได้มีคำตอบสำหรับเธอ เธอรู้ดีว่าไม่ว่าจะตอบไปยังไง ก็ไม่สามารถหนีจากชะตากรรมของตัวเองได้
“เจ้าไม่ต้องกลัว หากเจ้าเตรียมตัว…” อายาเมะพูดด้วยท่าทางที่สงบ เหมือนกับว่าเธอเข้าใจความกลัวของมาริเป็นอย่างดี
“เตรียมตัว?” มาริถามด้วยเสียงแผ่วเบา เธอมองไปที่อายาเมะเหมือนพยายามค้นหาคำตอบที่บางทีอาจจะไม่อยู่ในที่นี้
“เจ้าจะเข้าใจเมื่อมันถึงเวลา… ความกลัวนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา” อายาเมะพูด ก่อนจะยิ้มบางๆ อย่างเศร้าๆ ที่ไม่มีความหวังในนั้นเลย
มาริยังคงยืนอยู่ท่ามกลางความมืด และไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่มันไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบที่เธออยากฟังได้
การเดินทางในคืนพรุ่งนี้จะเป็นการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับ ทุกคนที่เคยยืนอยู่ในจุดนี้ก็ไม่เคยกลับมา มาริจะต้องเป็นคนต่อไปที่จะสูญเสียทุกสิ่งที่เธอเคยมี ความมืดที่อยู่รอบตัวเธอเหมือนกำลังจะกลืนกินทุกสิ่งในรอบตัว จนเธอไม่สามารถหาคำตอบได้
เธอพยายามหลับตา แต่มันกลับทำให้ภาพทั้งหมดที่เธอพยายามหลีกหนีมันยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น ความรู้สึกของการสูญเสีย มันเหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอไปแล้ว ไม่ว่าจะพยายามหนีไปไหนก็ไม่อาจจะลบล้างมันได้
“มันคงไม่มีทางเลือก…” มาริพูดออกมาอย่างพึมพำ มันไม่ใช่คำพูดที่เธออยากพูด แต่ในตอนนี้ มันเหมือนกับเธอไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้
อายาเมะยืนเงียบ ไม่พูดอะไรอีก เมื่อเธอเห็นมาริที่เริ่มยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว
“พรุ่งนี้… ทุกสิ่งจะเริ่มต้น…” อายาเมะพูด
คำพูดนี้สะท้อนออกมาเหมือนคำสั่ง แต่มันก็เปรียบเสมือนการบอกลา มาริจะต้องจากไปจากทุกสิ่งที่เธอรู้จักและกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำสาปที่ไม่อาจหลีกหนี
มาริหลับตาลงอีกครั้ง น้ำตาของเธอหยดลงมาที่มือ ขณะที่ภาพของผู้คนที่เคยถูกส่งไปยังศาลเจ้าปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ แต่ในที่สุด ร่างกายของเธอก็จะต้องเดินไปสู่เส้นทางเดียวกับพวกเขา
ในที่สุดแล้ว ความมืดจะกลืนกินทุกสิ่ง และมาริจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันตลอดกาล
อายาเมะยืนมองมาริด้วยแววตาที่เย็นชา แต่ในความเย็นชานั้นกลับแฝงไปด้วยความสงสารบางอย่างที่มาริไม่สามารถเข้าใจได้ มาริยืนนิ่ง มือทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นกุมอกเหมือนกำลังพยายามปิดกั้นความเจ็บปวดที่กำลังจะเข้ามา แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่น้ำเสียงที่อายาเมะใช้พูดกลับสร้างความสับสนให้กับเธอ
“เจ้าจะเข้าใจในเร็วๆ นี้…” อายาเมะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับว่าเธอได้ทำนายอนาคตของมาริไว้แล้ว
มาริพยักหน้าเบาๆ เธอไม่สามารถบอกว่าเธอเข้าใจหรือไม่เข้าใจ มันเป็นแค่คำพูดที่หลุดออกมาโดยไม่มีความหมายอะไรจริงๆ ในตอนนี้ ไม่มีคำพูดใดที่จะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้ นอกจากความเงียบที่เกือบจะฆ่าเธอให้ตายไปทีละนิด
“ข้ากลัว… ข้ากลัวว่า…” มาริพึมพำออกมาเสียงเบา น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ มันเป็นเสียงของคนที่หมดหนทางแล้ว
อายาเมะหันมามองเธออีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ท่าทางนั้นเหมือนกับกำลังจะดึงมาริออกจากความมืดที่เริ่มกลืนกินเธอไปทีละนิด
“ความกลัวนั้น… ไม่อาจช่วยอะไรได้หรอก มาริ” อายาเมะพูด ราวกับรู้ดีว่าอีกไม่นานมาริก็จะต้องเผชิญกับสิ่งที่หนีไม่พ้น
มาริไม่ตอบอะไร เธอแค่ยืนนิ่ง ความรู้สึกภายในใจของเธอกำลังต่อสู้กันเอง เธอต้องการจะวิ่งหนี แต่ขาเธอกลับไม่ขยับ ความกลัวที่ยิ่งมากขึ้นกลับทำให้เธอรู้สึกติดอยู่ในห้วงของความมืดรอบตัว
“ทุกอย่างจะจบลงในไม่ช้า… เมื่อเจ้าเดินเข้าไปในศาลเจ้า” อายาเมะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความจริงจังและความเยือกเย็นที่มาริไม่อาจปฏิเสธได้
คำพูดเหล่านั้นทำให้มาริรู้สึกเหมือนถูกผลักเข้าไปในความมืดที่ไม่มีวันออกมาได้ เธอยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม คำสาปจากบรรพบุรุษของเธอกำลังจะกลายเป็นความจริง
“เมื่อเจ้าทำพิธีแล้ว เจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องศาลเจ้า… แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าจะสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมี” อายาเมะพูดด้วยท่าทางที่ไร้ความรู้สึก
มาริรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งที่หนักหน่วงกระแทกเข้ามาในหัวใจของเธอ ทุกสิ่งที่เธอเคยรู้จักและรักจะต้องหายไปในไม่ช้า ขณะที่เธอจะต้องสละทุกอย่างเพื่อพิทักษ์ศาลเจ้าของตระกูล
“ข้า… ข้าจะเป็นเหมือนคนก่อนๆ หรือไม่…” มาริถามเสียงสั่น เมื่อเธอคิดถึงผู้หญิงในตระกูลที่เคยถูกส่งไปเพื่อปกป้องศาลเจ้า และไม่มีใครกลับมาอีกเลย
อายาเมะเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ขาดความปรานี
“ใช่… เจ้าจะกลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ ที่ไม่มีวันหลุดพ้นจากคำสาปนี้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ตัวแทนคนใหม่จะถูกเลือกขึ้นมา”
คำพูดนี้ทำให้มาริรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งที่เธอเคยมี จะถูกตัดขาดออกไปจากชีวิตของเธอ เธอจะต้องจากลาทุกสิ่งที่เคยรู้จักไปตลอดกาล และจะถูกบังคับให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ… ทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้…” มาริพูดออกมาด้วยความเจ็บปวดในใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องเป็นคนที่รับภาระนี้
อายาเมะเงียบไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอยิ้มบางๆ เงียบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวมาริอย่างอ่อนโยน
“คำถามนี้ ไม่มีคำตอบที่เจ้าจะชอบหรอก มาริ สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ คือเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่จะมาถึง… และยอมรับมัน” เธอกล่าวพร้อมเสียงที่หนักแน่นและไม่มีการขัดขืน
มาริหลับตาลง สงบสติอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสับสนและความกลัว จากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น มองไปที่อายาเมะที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอรู้สึกเหมือนกำลังเดินไปสู่จุดสิ้นสุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงไปสู่ความมืดที่ไม่อาจกลับมาได้
“พรุ่งนี้… ข้าจะไป… ข้าจะทำตามที่ต้องทำ” มาริพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
อายาเมะพยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ “ใช่… เมื่อเจ้าก้าวเท้าออกไปในคืนนั้น ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป”
มาริยืนนิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง ความกลัวยังคงหลอนเธอ แต่ในแววตาของเธอก็มีความมุ่งมั่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นจากความเข้าใจบางอย่าง แม้เธอจะไม่อาจหนีจากชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ แต่สิ่งที่เธอรู้ก็คือ เธอไม่อาจยอมแพ้โดยไม่มีการต่อสู้
“ข้าจะทำตามทางที่ถูกกำหนด แม้จะเป็นทางที่เต็มไปด้วยความมืดมิด…” มาริกล่าวกับตัวเอง พร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า รู้ดีว่าเธอกำลังเดินไปสู่จุดที่ไม่อาจกลับหลังได้
อายาเมะมองมาริเดินไปอย่างเงียบๆ ความเยือกเย็นในตัวเธอสะท้อนออกมาในทุกก้าวที่มาริย่างไป ขณะที่อากาศในห้องเริ่มหนาวเย็นยิ่งขึ้น เหมือนกับว่าคำสาปกำลังคืบคลานเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ…
เสียงลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในห้องโถงของศาลเจ้าท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงนั้นแทรกซึมไปตามผนังไม้เก่าๆ สะท้อนกับบรรยากาศที่แสนเยือกเย็นและห่างไกลจากโลกภายนอก ในห้องนั้นมีแสงเทียนริบหรี่ที่ส่องออกมาจากมุมห้อง ใบหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงนั้นซีดเซียว และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
เธอคือนายหญิงคนก่อนที่เคยถูกเลือกและส่งไปพิทักษ์ศาลเจ้า เปรียบเสมือนหนึ่งในเงาของมาริในอนาคตที่ต้องเดินตามเส้นทางนี้
เธอชื่อว่า อาโอะ หญิงสาววัย 15 ปีที่ต้องยอมเสียสละเพื่อคำสาปอันน่าสยดสยองนั้น
ในวันนั้น อาโอะยืนอยู่ตรงหน้าศาลเจ้า พร้อมกับการถูกสั่งให้เดินทางไปยังที่ที่เธอไม่เคยรู้จัก ก่อนที่คำสาปจะเริ่มต้น เธอได้มองไปที่บ้านที่เธอจากมา แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ภาพของพ่อแม่ที่เฝ้ามองด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า ทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้ง
“ข้าจะต้องจากไปแล้วหรือ?” อาโอะถามเสียงเบา ราวกับถามไปยังลมและท้องฟ้า สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้
เธอเคยถามคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านไป แต่ทุกครั้งที่เธอได้ยินคำตอบกลับมา ก็เป็นเพียงเสียงเงียบที่กดทับอยู่ภายในใจ
การเดินทางของเธอเริ่มต้นจากจุดนี้—ศาลเจ้าท่ามกลางป่าใหญ่ มันถูกตั้งอยู่ในที่ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครผ่านไปมา ชีวิตของเธอและของผู้หญิงคนอื่นที่ถูกส่งไปที่นั่นเหมือนกับการตัดสินที่ไร้ความเห็นใจ ทั้งที่ไม่เคยมีใครถามว่าเธอต้องการหรือไม่
ความรู้สึกของอาโอะในตอนนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ หัวใจของเธอหนักหน่วงกับการเดินเข้าสู่สถานที่นั้น แต่ความกลัวก็ไม่สามารถทำให้เธอหยุดยืนอยู่ตรงนั้นได้ เมื่อเธอผ่านประตูศาลเจ้ามาแล้ว ทุกสิ่งรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
ภายในศาลเจ้าไม่เหมือนที่ไหนที่เธอเคยเห็น มันเต็มไปด้วยมืดมิดจนแทบไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ทุกสิ่งในนั้นดูเหมือนจะหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว บรรยากาศรอบๆ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเฝ้าจับตามอง
วันแล้ววันเล่าเธออยู่ในสถานที่นั้น—ทั้งร่างกายและจิตใจเริ่มผุพัง ทุกคืนที่ผ่านไป เธอไม่เคยเห็นแสงสว่างจากโลกภายนอกแม้แต่น้อย ในความมืดนั้นมีเพียงเสียงกระซิบของผู้ที่เคยมาและจากไปแล้ว เสียงนั้นดังเข้ามาในหูเธอเป็นระยะ
“เจ้าจะต้องไป…ไม่สามารถหวนกลับได้” เสียงที่แหบแห้ง และเศร้าเสียใจเริ่มเข้ามาในหูอาโอะทุกวัน เหมือนกับการย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่เธอไม่อาจหลีกหนี
แต่แล้วในคืนหนึ่ง เธอก็พบตัวเองยืนอยู่ในห้องที่มืดสนิท ไร้ซึ่งทุกสิ่งที่เคยรู้จัก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ เสียงกระซิบจากอดีตยังคงดังซ้ำๆ ย้ำเตือนถึงสิ่งที่เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ในที่สุด เธอก็ยอมรับมัน สุดท้ายไม่ว่าจะพยายามหาทางหนีอย่างไร ความจริงที่เธอต้องเผชิญก็คือการต้องสละตัวตนของเธอเพื่อรักษาคำสาปของตระกูล ความทรมานและความโศกเศร้าเริ่มกลืนกินทุกสิ่งที่เคยเป็นตัวตนของเธอ
และนั่นคือการเสียสละ อาโอะยืนนิ่งต่อคำถามนั้น ร่างกายของเธอเหมือนจะหนักอึ้ง แต่ก็ยังยืนอยู่ได้ด้วยแรงที่เหลืออยู่ในตัว ความคิดของเธอกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อหลายปีก่อน เมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็กสาวที่ไม่เข้าใจความหมายของคำสาปนั้นมากนัก และไม่เคยรู้ว่าเธอกำลังเดินทางมาถึงจุดนี้
ในช่วงเวลานั้น ทุกสิ่งที่เธอได้รับรู้คือคำสัญญาที่ถูกกำหนดโดยตระกูล เธอไม่เคยมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามหรือปฏิเสธมัน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่การมาถึงจุดนี้ที่เธอไม่สามารถย้อนกลับไปได้
การเสียสละไม่ใช่แค่การจากลา แต่เป็นการละทิ้งชีวิตเดิมๆ ที่เธอเคยมี เพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกครั้งที่มีผู้หญิงคนใหม่ถูกส่งไป พวกเธอจะต้องพบกับความมืดมิดและความเหงาที่ไม่มีใครจะเข้าใจได้ แม้แต่คนที่เคยผ่านมันมาก่อน
“ข้ารู้…” อาโอะพูดออกมาเสียงเบา ขณะที่เธอหันไปมองที่เงาของผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นเช่นนี้”
หญิงสาวข้างๆ ยิ้มออกมาบางๆ เหมือนเข้าใจในความสับสนของอาโอะ “เราทุกคนไม่ได้เลือกที่เกิด แต่เรามีหน้าที่เลือกวิธีตาย… หรือจะกล่าวอีกอย่างคือการเลือกที่จะยอมรับชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้ว” คำพูดนั้นทำให้อาโอะรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอถูกบีบแน่นขึ้นทุกขณะ
เสียงลมที่พัดผ่านเข้ามาทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนจะสั่นไหว ราวกับศาลเจ้านี้กำลังต้อนรับการเสียสละใหม่ๆ ที่จะมาถึง ผู้หญิงทุกคนที่ผ่านไปมาที่นี่ต้องเสียสละตัวเองเพื่อให้คำสาปยังคงอยู่และศาลเจ้าดำเนินตามคำสัญญาที่เคยทำไว้
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดหรือ?” เสียงของหญิงสาวดังก้องในหูอาโอะ ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย
อาโอะรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้วได้ เธอกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรแห่งการเสียสละที่ไม่เคยสิ้นสุด และจะยังคงมีคนรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องเดินทางมาที่ศาลเจ้านี้ต่อไป
คำพูดของหญิงสาวคนเก่าเริ่มก้องอยู่ในใจของอาโอะ “เราเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกเลือกมาเพื่อเติมเต็มคำสาป… ตราบใดที่คำสาปยังคงอยู่ ทุกคนในตระกูลนี้จะต้องจ่ายราคาด้วยชีวิตเพื่อรักษามันเอาไว้”
การเดินทางของอาโอะเริ่มหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ เธอไม่สามารถมองเห็นอนาคตที่ชัดเจนได้ เหมือนโลกทั้งโลกค่อยๆ มืดลงรอบตัวเธอ แม้แต่ภาพของพ่อแม่ที่เคยยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยเธอได้
ในที่สุด อาโอะหันไปมองทางเข้าอีกครั้ง ก่อนที่คำพูดสุดท้ายของหญิงสาวจะตามมา
“เจ้าจะได้เห็นมัน… ความสิ้นหวังที่แท้จริง”
ศาลเจ้าที่เงียบสงบดูเหมือนจะตอบรับคำพูดนั้นด้วยความเงียบอันแปลกประหลาด ยิ่งนานไป ทุกสิ่งก็ยิ่งขยายออกไปในทิศทางที่ไม่มีวันหวนกลับมาได้
อาโอะยืนอยู่ในห้องมืดสนิท ร่างของหญิงสาวที่มองไม่เห็นใบหน้าเต็มไปด้วยความมืดดูเหมือนจะค่อยๆ หายไปจากสายตาเธอ เสียงกระซิบยังคงค้างอยู่ในหู แม้จะพยายามขับไล่ความคิดเหล่านั้นออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ ความรู้สึกอึดอัดและหนาวเหน็บเข้าครอบงำทุกส่วนของร่างกาย
“มันไม่เคยจบ… ไม่มีวันจบ…” อาโอะพึมพำกับตัวเอง มือของเธอยกขึ้นกุมหัว เหมือนกับว่าพยายามจะหลีกหนีจากความคิดที่กัดกินจิตใจของเธอเอง
เธอยังคงยืนอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ ที่ที่เป็นทั้งบ้านและคุกของเธอ ทุกสิ่งที่เธอเคยรู้สึกไม่เคยมีความหมายอะไรอีกต่อไป ทุกอย่างมันค่อยๆ จางหายไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่าและความมืดมิดที่ไร้ซึ่งการตอบกลับ
ความทรมานที่เธอได้รับมันไม่เหมือนกับการบาดเจ็บทางร่างกาย แต่เป็นการเจ็บปวดในจิตใจที่ค่อยๆ สร้างรอยแผลที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ทุกๆ วัน ทุกๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป ความรู้สึกที่หนักหน่วงกดทับเธอให้ยิ่งจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความเศร้า
วันแล้ววันเล่า เธอใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่นี้เหมือนกับว่าไม่มีสิ
คืนที่เงียบสงบ ร่างของอาโอะยืนอยู่ในห้องลึกสุดของศาลเจ้า ขณะที่สายลมพัดผ่านช่องประตูไม้เก่า เสียงกรอบไม้แตกดังเบาๆ เหมือนจะเป็นเสียงกระซิบจากโลกแห่งอดีต การยืนอยู่ในสถานที่นี้ทำให้เธอรู้สึกถึงความหลอนที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจ ลมหายใจของเธอกลายเป็นสิ่งที่อัดอั้น เธอรู้สึกได้ถึงความมืดมิดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่งรอบตัว
หลายปีที่ผ่านมา อาโอะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์อีกต่อไป เธอเหมือนกับส่วนหนึ่งของวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด เส้นทางของเธอไม่ได้ถูกกำหนดโดยเธอเอง แต่กลับถูกลากไปตามคำสาปที่มาจากตระกูลของเธอ การถูกเลือกเป็นผู้เสียสละสำหรับศาลเจ้าดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เสียงของหญิงสาวที่เคยยืนอยู่ข้างๆ เธอค่อยๆ จางหายไป เหลือแต่เพียงความเงียบที่บีบให้หัวใจของอาโอะรู้สึกหนักหน่วง ความเจ็บปวดในจิตใจที่ถูกสะสมมาเป็นเวลานานทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นอนาคตที่สดใสได้ การเสียสละของเธอเริ่มกลายเป็นความทรมานที่ค่อยๆ กัดกินทั้งจิตใจและร่างกาย
เธอจำได้ดีถึงคำพูดของหญิงสาวที่เคยถูกส่งไปก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความมืดมิดนั้น พวกเธอทุกคนถูกตัดสินให้ต้องเผชิญหน้ากับความเหงาและความสิ้นหวังในศาลเจ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนในตระกูลนี้ต่างต้องเสียสละ ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครที่เคยหลุดพ้นจากคำสาปนี้ได้
“เจ้าก็จะเป็นเช่นนั้น…” คำพูดนั้นดังขึ้นในใจของอาโอะ ขณะที่เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ในความมืด ความเจ็บปวดจากการรู้ว่าตัวเองจะต้องเดินตามเส้นทางเดียวกันกับผู้หญิงเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต
ในห้วงเวลานี้ ความคิดของอาโอะย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เธอยังเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง ในวันนั้นที่เธอเคยได้ยินคำพูดจากปากของผู้เป็นหัวหน้าตระกูลเกี่ยวกับคำสาปที่ต้องสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทุกคำที่พูดออกมาเหมือนกับคำสั่งที่ไม่มีทางเลือก การเสียสละจากรุ่นสู่รุ่นคือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อรักษาความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล แม้ว่าในใจเธอจะเต็มไปด้วยความสงสัยและความขัดแย้ง แต่สุดท้ายเธอก็รู้ดีว่าไม่มีทางหนี
แม้แต่ในวันที่เธอถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไป เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีการสละชีวิตเช่นนี้ ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจากการสละทิ้งชีวิตเดิมๆ ทำให้เธอรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เคยรู้จักมันค่อยๆ จางหายไปจากชีวิตของเธอ เหลือเพียงแค่การต่อสู้กับความคิดภายในจิตใจ ที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
อาโอะมองไปที่รูปภาพของหญิงสาวรุ่นก่อนๆ ที่ถูกส่งไปในแต่ละปี บางคนได้หายไปตลอดกาล บางคนกลับมาแล้วไม่มีคำพูดใดที่จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ การสูญเสียเหล่านั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น เธอเคยหวังว่าหากได้หลีกหนีจากความเป็นจริงนี้ คงจะสามารถกลับไปมีชีวิตเหมือนเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหวังนั้นเริ่มเลือนหายไป
เธอจำได้ดีถึงวันที่การเสียสละของเธอเริ่มต้นในคืนที่มืดมิด คืนนั้นไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นในศาลเจ้าที่อัดแน่นไปด้วยความอึดอัด ภายในหัวใจของอาโอะเต็มไปด้วยความกลัวและความหวาดหวั่น ทุกก้าวของเธอในห้องนี้เหมือนการเดินเข้าไปในความมืดที่ไม่รู้ว่าจะพบอะไร การถูกเลือกให้เป็นผู้เสียสละไม่ได้หมายความว่าเธอจะได้พักผ่อน แต่กลับเป็นการเริ่มต้นของความทุกข์ทรมานที่ไม่มีวันสิ้นสุด
“การเสียสละ… ไม่มีวันจบ…” อาโอะพึมพำออกมาอีกครั้ง ขณะที่เธอยังคงยืนนิ่งในห้องที่เงียบสงัด ความคิดของเธอกลับไปยังผู้หญิงหลายๆ คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิด และความเหงาที่ไม่มีวันจบในศาลเจ้านี้
ทุกคำที่ถูกพูดออกมาเหมือนกับเสียงของอดีตที่ยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในทุกๆ ย่างก้าวของเธอ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!