บทที่ 4 ประวัติของเหล่ากษัตริย์
ความจริงแล้วตำแหน่งราชาและราชินีนั้นได้มาจากการที่ทุกคนได้ผ่านภารกิจอันทรงเกียรติ์เพื่อที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลของวิเศษทั้ง 5 โดยตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในโลกเวทมนตร์ แต่ว่ามันก็ต้องแลกมาด้วยความอดทนและความพยายามเพราะการที่จะผ่านภารกิจในการเป็นผู้ดูแลของวิเศษได้นั้นถือเป็นสิ่งที่ยากมากพร้อมทั้งมีกฎระเบียบที่เคร่งครัด หลังจากที่ได้รับตำแหน่งนี้แล้วทุกคนก็จะมีปราสาทและบริวารเปรียบดั่งกับกษัตริย์ แต่ปราสาทจะต้องตั้งอยู่ในที่ที่หางไกลจากผู้คนและยากต่อการค้นพบทุกคนจะมีเหล่าบริวารมากมายที่เป็นผู้ติดตามซึ้งก่อนหน้าที่จะได้เป็นผู้ติดตามได้ ผู้ติดตามทุกคนจะต้องรับการชำระล้างร่างกายเพื่อถวายความภักดีต่อองค์ราชาและราชินี หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเดินทางไปยังสถานที่ของตนเพื่อคอยดูและปกป้องของวิเศษ กษัตริย์แต่ละพระองค์จะมีความโดดเด่นและแตกต่างกันมากตามตำแหน่งที่ได้ซึ่งคนที่เป็นคนตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นคือพ่อมดเอเดน นอกจากนั้นแล้วประวัติผู้ดูแลก็ยังมีการเขียนประวัติขึ้นมาอีกด้วยโดยประวัติของเหล่ากษัตริย์แต่ละองค์ได้ถูกเขียนขึ้นว่าประวัติของกษัตริย์ผู้ครอบครองของวิเศษทั้ง 5 องค์แรกคือ ราชินีหิมะเดิมทีนั้นนางคือเผ่าพันธุ์แม่มด เป็นราชินีผู้ครอบครองปราสาทน้ำแข็งโดยปราสาทถูกสร้างขึ้นที่สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งบนยอดเขาที่ไร้ซึ่งผู้คนผู้ติดตามนางคือภูติหิมะ ปราสาทของนางมีความงดงามเฉกเช่นเพชรที่ส่องแสงระยิบระยับราวกับกระจกสะท้อน นางดูแลและปกป้องปราสาทมานานหลายร้อยปีจนวันหนึ่งนางได้ถูกลูซิเฟอร์เข้าโจมตีปราสาทและบริวารของนางก็ถูกฆ่าทิ้งจนเกือบหมดพร้อมกับนางเองก็ถูกลูซิเฟอร์ผนึกเอาไว้ที่ภูเขาน้ำแข็ง นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของปราสาทเหล่านี้คือเวทมนต์ที่ใช้สร้างปราสาทนั้นจะมีการปกปิดปราสาทเอาไว้ไม่ให้ใครมองเห็นได้มันจึงทำให้คนภายนอกเห็นปราสาทน้ำแข็งแห่งนั้นเป็นเพียงภูเขน้ำแข็งธรรมดาลูกหนึ่ง นอกจากผู้ที่มีความแข็งแกร่งกว่าราชินีจึงจะสามารถมองเห็นได้ซึ่งคนนอกจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อราชินีเป็นผู้ยินยอมให้เห็นเท่านั้น แม้ว่าปราสาทของราชินีหิมะมีทั้งการถูกปรับเปลี่ยนและสร้างใหม่อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการสร้างปราสาทเลย
คนที่ 2 คืออารอนราชาแห่งเงาเขาคือเผ่าพันธุ์แวมไพร์ อารอนมีพลังเวทย์และร่างกายที่แข็งแกร่งเขาสร้างปราสาทเอาไว้ในความมืดมิดและเรียกว่าปราสาทของตนว่าปราสาทรัตติกาลซึ่งที่นี่มียามที่เป็นผู้รักษาการอย่างแน่นหนาและมีผู้ติดตามคือเหล่าแวมไพร์จำนวนหนึ่ง แม้ว่าปราสาทของเขาจะดูเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยความลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน เขาอาศัยอยู่ที่นั่นมานานแต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นโดยปราสาทของเขาได้ถูกลูซิเฟอร์โจมตีต่อจากราชินีหิมะทั้งปราสาทและผู้ติดตามก็ถูกฆ่าล้างเช่นเดียวกัน แต่ทว่าหลังจากการโจมตีครั้งนั้นก็ทำให้เกิดสงครามขึ้น และในที่สุดการทำสงครามครั้งนั้นก็ทำให้ดวงจิตของลูซิเฟอร์ก็แตกสลาย มันจึงทำให้ปราสาทอีกสามแห่งไม่ถูกโจมตีและอยู่อย่างสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายคนก็มักจะคิดว่าเรื่องพวกนี้คือนิทานปรัมปรา
มีผู้คนเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแต่บางคนก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้นเพราะไม่เคยมีใครเจอปราสาทของเหล่ากษัตริย์เลยและไม่ว่าจะยังไงก็ตามการหาปราสาทของเหล่ากษัตริย์ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่ดีถึงแม้ว่าจะไปถึงยังสถานที่ตั้งของปราสาทแล้วแต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อยู่ดี หลังจากที่เวลาผ่านไปเนินนานได้มีคนมากมายพยายามค้นหาปราสาททั้ง 5 แห่งนี้ทั้งในอดีตและปัจจุบันแต่ว่าการค้นหาปราสาทของราชาและราชินีนั้นมีความยากที่แตกต่างกันด้วยความที่ปราสาทเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคแรกเริ่มของโลกเวทมนตร์จึงได้มีการรายมนต์ตราและเวทมนตร์โบราณที่คอยปกป้องดูแลปราสาทกับผู้ติดตามและยังมีการรายเวทมนต์ที่แข็งแกร่งสำหรับปิดทางเข้าเพื่อการป้องกันการถูกโจมตีอีกด้วยจึงทำให้ไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้เลย หลังจากที่อนาตาเซียอ่านประวัติของผู้ดูแลย่อๆแล้วเธอก็เริ่มคิดพิจารณาและเตรียมวางแผนขึ้นมาทันที
“ฉันจะรวบรวมของวิเศษยังไงละเนี่ย“ เสียงอนาตาเซียถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกจนใจ “ตอนนี้คนแรกที่ควรตามหาก่อนก็คืออารอน แต่ฉันจะออกไปตามหาเขายังไงล่ะหรือจะออกไปตามหาเขาตามมสถานที่ต่างๆ แต่ฉันจะออกไปตามหาเขาได้ที่ไหนล่ะฉันแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวของเขาเลย” พูดจบอนาตาเซียก็ล้มตัวนอนบนเตียงและหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
หลังจากนั้นอนาตาเซียก็ต้องกลับไปยังสตาเดเฟียเพราะกำหนดวันมาทัศนศึกษาได้สิ้นสุดลงแล้วเธอทำได้เพียงกลับไปยังสถานที่ของเธอและทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอพยายามทำทุกอย่างเหมือนเดิมแม้ว่าครั้งนี้เธอจะรู้สึกกลุ้มใจมากเพราะเธอยังต้องตามหาของวิเศษที่เธอเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน
ห้องสมุดโรงเรียนสตาเดเฟีย
หลังจากเลิกเรียนอนาตาเซียจะมายังห้องสมุดทุกวันตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดที่ไหนเธอก็ไปมาจนหมดแล้วแต่เธอก็ทำได้เพียงหาข้อมูลไปเรื่อยๆแม้ว่าจะหาไม่เจอก็ตาม
“ตอนนี้ฉันหาข้อมูลของผู้ดูแลของวิเศษไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเล็กข้อมูลน้อยก็ไม่มีหนักกว่าตอนไปหาข้อมูลป่าเมอแลนด์เยอะเลย” อนาตาเซียพูดขึ้นด้วยความเหนื่อยล้า “ทำไงดีอ่านต่อไม่ไหวแล้วลองไปหาเบลินด้าดีกว่าบางทีเธออาจจะมีอะไรที่สามารถช่วยเราได้” พูดจบอนาตาเซียก็ไปหาเบลินด้าที่บ้านทันที
“บ้านของเบลินด้า
ก๊อกๆๆ “เบลินด้าเธออยู่ในย้ารึเปล่า”
“ได้ยินแล้วกำลังจะไปเปิดประตู” ทันทีที่เบลินด้าพูดจบลงประตูบ้านของเธอก็เปิดรับอนาตาเซียด้วยความยินดี “มีอะไรเข้ามาข้างในก่อน”
“เฮ้อ! เบลินด้า” อนาตาเซียนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า
“เป็นอะไรดูเธอเหนื่อยๆนะ”
“เธอพอจะรู้จักผู้ดูแลของวิเศษทั้ง 5 ที่เป็นของวิเศษประจำโลกเวทมนตร์ไหม”
“เอ่อ เธออยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมหรอ”
“ฉันก็แค่อยากรู้น่ะ เธอพอจะรู้รึเปล่า”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เก่าแก่มากฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถ้าเธออยากรู้จริงๆฉันก็มีวิธีช่วยเธอนะ”
“วิธีช่วยหรอ”
“ใช่ มีอยู่วิธีหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้นว่ามาเลย”
“เดี๋ยวก่อนเธอฟังฉันพูดก่อนวิธีที่ว่านี่ก็คือเธอต้องไปซื้อข่าวที่ตรอกไดร์รึแกร์นด”
“ตรอกไดร์รึแกร์นดหรอ”
“ใช่ แต่ฉันขอเตือนเธอก่อนว่าถ้าไม่แน่ใจจริงๆอย่าไปเลยดีกว่าคือมันค่อนข้างไม่ดีเท่าไหร่ เพราะที่นั่นมักจะเป็นที่รวมตัวของพวกพ่อมดแม่มดชั้นล่างที่จะทำแต่เรื่องสกปรกน่ะ ทางที่ดีถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปที่นั่นดีกว่า” เบลินด้าพูดเตือนพร้อมกับบอกกฎของที่นั่นให้อนาตาเซียฟังอย่างละเอียด
“อ๋อ หรอเป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นฉันจะเก็บเรื่องนี้ไปคิดอีกทีก็แล้วกัน”
“อืม”
“ว่าแต่เดี๋ยวนี้เธอทำอะไรบ้างเบลินด้า”
“ก็ทำงานปกตินั่นแหละ”
“จริงหรอ ฉันเห็นเธอไปหาคาเล็บบ่อยๆตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอทั้งสองไปถึงไหนแล้ว”
“เธอนี่” เบลินด้าพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและบิดไปมาด้วยความเขินอาย “ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรสักหน่อยเธอเลิกพูดมั่วได้แล้ว”
“ก็ได้ๆ ฉันไม่แซวเธอแล้ว หวังว่าเธอจะสามารถย้อมรับความรู้สึกของตัวเองได้นะ” อนาตาเซียพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ”
“อนาตาเซียเธอพูดแบบนี้อีกแล้วนะ”
“เอาล่ะๆฉันไม่พูดแล้ว”
“เธออยากรู้เรื่องของผู้ดูแลทำไมหรอ”
“ฉันก็แค่อยากรู้นิดหน่อยแล้วก็ส่งสัยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่มีในห้องสมุด”
“อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” เบลินด้าตอบและพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่นานทั้งสองพูดคุยกันจนดึกในที่สุดอนาตาเซียก็กลับห้องและพักผ่อนตามปกติเหมือนกับที่เคยเป็นมา
ณ ซากปรักหักพังของคฤหาสน์รัตติกาลอารอนเดินไปรอบๆตามสถานที่ที่เคยเป็นปราสาทของตัวเองด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ถ้าพวกนั้นจะยังตามหาเราอยู่รึเปล่า เราจะให้พวกมันเจอตัวเราไม่ได้ไม่อย่างนั้นคทาก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่ฉันก็ไม่สามารถลงไปเอามันมาได้เพราะฉันไม่ได้มีร่างจริงๆที่จะสัมผัสมัน เฮ้อ! ทำยังไงคทาถึงจะปลอดภัยได้โดยสนิทใจนะ” เสียงอารอนกล่าวกับตัวเองในขณะที่อารอนกำลังนั่งกลุ้มใจอยู่ที่โขดหินเขาก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมีท่าทางบาดเจ็บนางล้มตัวลงนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เมื่ออารอนสั่งเกตดีๆก็พบว่าบริเวณที่นางอยู่นั้นเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งมากมายห้อมล้อมกระจายออกมาเป็นวงกว้างรอบตัวนาง เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัยทันที “ใครกันมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วทำไมรอบร่างกายถึงมีเกล็ดน้ำแข็งกระจายอยู่เต็มไปหมด” อารอนพูดขึ้นด้วยความสงสัยและเดินตรงไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที “ราชินีหิมะ” อารอนที่พบกับราชินีหิมะพูดขึ้นด้วยความตกใจ “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่”อารอนนั่งลงดูสภาพร่างกายของราชินีหิมะด้วยความเป็นห่วง
“ราชาแห่งเงานายเองหรอ”
“ใช่ ฉันเอง”
“พวกเราแย่แล้ว ลูซิเฟอร์กำลังตามหาของวิเศษฉันถูกพวกนั้นตามล่าจนต้องหนีมาเรื่อยๆจนมาถึงที่นี่”
“ห่ะ เธอเป็นยังไงบ้าง”
“โชคดีที่สลัดพวกมันหลุดออกไปได้”
“แล้วตอนนี้ดาบมาทอร์อยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้ฉันเอามันไปไว้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง”
“เด็กผู้หญิงหรอ”
“ใช่”
“เอาล่ะฉันจะช่วยเธอเอง” พูดจบอารอนก็พยุงราชินีหิมะและตรงไปหาอนาตาเซียที่โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียด้วยความเร่งรีบ “อนาตาเซียๆ” เสียงอารอนที่กำลังพยุงราชินีหิมะเข้ามาทางหน้าต่างพูดขึ้น ขณะนั้นเองอนาตาเซียที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็ลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย
“ใครกันมาดึกดื่นป่านนี้”
“อนาตาเซียฉันเอง”
“ใครหรอ” อนาตาเซียที่พยายามลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบากเอ่ยขึ้น
“ฉันเอง อารอน”
ทันทีที่อนาตาเซียได้ยินชื่อของเขาเธอก็รีบลุกขึ้นมาทันที “อารอนนายเองหรอ”
“ใช่ อนาตาเซียฉันมีเรื่องอยากจะให้เธอช่วย”
“เกิดอะไรขึ้น”
อารอนพาราชินีหิมะที่กำลังบาดเจ็บมาหาอนาตาเซียและขอให้อนาตาเซียช่วยทันที “เธอช่วยราชินีหน่อยได้ไหม”
“ราชินีหิมะ”
“เธอรู้จักราชินีหิมะด้วยหรอ”
“ใช่”
“ทำไมเธอถึง......”
“เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเถอะช่วยคนเจ็บก่อน ว่าแต่ทำไมราชินีเป็นแบบนี้เกิดอะไรขึ้น”
“นางถูกคนตามล่าเธอสามารถช่วยราชินีได้ไหม”
“ฉันขอดูอาการก่อนนะ” พูดจบอนาตาเซียก็รีบเข้าไปดูอาการทันที ระหว่างนั้นเองลูเซียที่กำลังหลับอยู่ก็ขึ้นมา เมื่ออารอนเห็นดังนั้นเขาจึงใช้เวทมนต์ทำให้ลูเซียหลับไปโดยไม่รู้ตัวทันที
“อารอนเพื่อนของฉันไม่เป็นอันตรายนายไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”
“ตอนนี้ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“เอาล่ะฉันจะพาราชินีหิมะไปรักษาตัวที่บ้านเพื่อนของฉันเพราะอาการของราชินีค่อนข้างหนักนายช่วยพยุงราชินีหิมะไปกับฉันหน่อย”
“เพื่อนของเธอที่ว่าสามารถเชื่อใจได้รึเปล่า” อารอนถามขึ้นด้วยความรู้สึกไม่ไว้ใจ
“ได้สิ”
“แต่ฉันว่า”
“ราชาแห่งเงาเชื่อเธอเถอะ” ราชินีหิมะที่อ่อนแรงเอ่ยขึ้น
“แต่ว่าเรื่องนี้”
“อนาตาเซียคือคนที่ฉันฝากดาบมาทอร์เอาไว้นายเชื่อใจเธอเถอะ”
“เธอเนี่ยนะเด็กคนนั้น”
“เชื่ออนาตาเซียเถอะฉันไว้ใจอนาตาเซีย” เมื่อราชินีหิมะพูดจบอารอนก็ช่วยอนาตาเซียพยุงราชินีหิมะและมุ่งหน้าไปที่บ้านของเบลินด้าทันที ตอนแรกเบลินด้าก็ไม่เข้าใจแต่เธอก็ไม่ได้คัดค้านอะไรพร้อมกับช่วยราชินีหิมะอย่างเต็มที่จบนางปลอดภัยเมื่อรักษาให้ราชินีหิมะเรียบร้อยแล้วเบลินด้าจึงขอให้อนาตาเซียเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังและอารอนเองก็ต้องการให้นางเล่าเรื่องของนางกับราชินีหิมะเช่นกัน อนาตาเซียจึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่ทั้งสองคนสงสัยให้ฟังจนหมด
“เฮ้อ! ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอเคยเจอเรื่องแบบนี้ด้วย” เบลินด้าเอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอเองก็กำลังคิดจะรวบรวมของวิเศษสินะ”
“ใช่”
“เอาล่ะถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกเธอเรื่องที่ซ้อนของคทาเหนือพิภพก็ได้”
“จริงหรอ”
“แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะสามารถหามันเจอได้ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“หลังจากที่ราชินีหิมะอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ฉันจะพาราชินีไปจากที่นี่” อารอนตอบ
“ทำไมล่ะ นายจะไม่ช่วยฉันหาคทาหรอ”
“ตอนนี้ราชินีหิมะก็ถูกทำร้ายเป้าหมายของพวกมันคงจะเป็นผู้ดูแลทั้งของวิเศษทั้ง 5 ถ้าฉันอยู่ที่นี่เธอก็จะมีอันตรายและถูกตกเป็นเป้าเพื่อที่ของวิเศษจะได้ปลอดภัยเราจะให้มันเข้ามาใกล้เธอไม่ได้ อีกอย่างฉันน่ะไม่สามารถพาเธอไปได้เพราะที่นั่นสามารถไปได้เฉพาะคนที่มีร่างจริงๆเท่านั้นสูญเสียร่างไปจนเกือบหมดแล้วถ้าเข้าไปอีกคนจะกลายเป็นวิญญาณจริงๆ ถึงฉันจะสามารถจับต้องสิ่งของได้และปรากฎตัวได้ในบางครั้งแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้อยู่ดี
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้ล่ะ” อนาตาเซียถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ก่อนที่ฉันจะเอาคทาไปซ่อนในโลกของคนตายฉันได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่มีในตอนนั้นของฉันไปหมดแล้วตอนนี้ฉันก็เปรียบเสมือนกับคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งสถานที่ที่เป็นโลกของคนตายหากเธอมีพลังที่อ่อนแอมันจะกัดกินร่างของเธอจนค่อยๆกลายเป็นวิญญาณตอนนั้นฉันเองที่บาดเจ็บอยู่แล้วก็เกือบจะไม่รอดเมื่อกลับออกมาก็เหมือนกับคนที่ไร้ซึ่งร่างกายทำได้เพียงพื้นฟูพลังให้กลับมาเหมือนเดิม หากเข้าไปด้านในอีกครั้งก็จะกลายเป็นวิญญาณหรือไม่ก็สลายกลายเป็นผงธุลี ความจริงแล้วฉันเป็นคนลบความทรงจำของตัวเองเพื่อที่ถ้าหากฉันถูกจับตัวไปแล้วพวกนั้นจะได้ไม่สามารถเอาข้อมูลอะไรไปจากฉันได้และจะได้ไม่มีใครรู้ว่าฉันซ่อนคทาเอาไว้ที่ไหนพร้อมกับปกปิดตัวเองไม่ให้ใครรู้ว่าฉันคือใครฉันเองได้ร่ายคาถาทำพันธสัญญากับก้อนหินทำให้ตัวเองต้องเข้าไปอยู่ในนั้น เพื่อรักษาชีวิตและความปลอดภัยของตัวเองโดยเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเจอสมุดบันทึกความทรงจำของฉันจึงจะกลับมา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเธอฉันบอกได้เพียงที่อยู่ของคทาแต่ไม่สามารถไปกับเธอได้ฉันกับราชินีหิมะจะล่อพวกมันให้ห่างจากเธอและทำให้พวกมันคิดว่าฉันกับราชินียังมีของวิเศษอยู่ เอาล่ะเข้าเรื่องกันในวันฮาโลวีนจะมีคฤหาสน์ที่มืดมิดแห่งหนึ่งปรากฏออกมาให้เธอมองไปที่ดวงจันทร์ในคืนนั้นแล้วมองไปตามแสงจันทร์ที่ส่องลงมาเมื่อนั้นเธอจะเจอกับคฤหาสน์ที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้ความมืด คฤหาสน์นั่นคือหนึ่งในทางเข้าไปยังโลกของวิญญาณและคฤหาสน์จะปรากฏแค่วันนั้นวันเดียวเท่านั้น เธอจะต้องหาทางเข้าไปเอากุญแจมาให้ได้โดยคนที่เก็บกุญแจทางเข้าคือเวสลีย์ ซองส์ หนึ่งในแวมไพร์ที่เก่งกาจและโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดเขาสามารถฆ่าคนได้ภายในพริบตา และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเขาไม่ต้อนรับเผ่าอื่นนอกจากเผ่าแวมไพร์ฉะนั้นคนที่จะไปเอากุญแจจะต้องเป็นเผ่าแวมไพร์เท่านั้นซึ่งเรื่องนี้เธอต้องไตร่ตรองดีๆ เวสลีย์เก็บกุญแจเอาไว้กับตัวและนอกจากนั้นแล้วยังมีเวลาไม่นานที่จะไปเอากุญแจ ฉันว่าเธอควรวางแผนเอาไว้และคิดว่าจะให้ใครเป็นคนเข้าไปเอา ส่วนทางเข้าโลกของคนตายอยู่ที่ด้านบนสุดของคฤหาสน์ทันทีที่เธอเข้าไปมันจะเหมือนกับกับโลกที่เธออยู่เพียงแต่ที่นั่นจะเต็มไปด้วยหมอกควันและไม่มีต้นไม้ใบไม้ที่สามารถเติบโตได้มีเพียงความมืดมิดและความสิ้นหวังเท่านั้นครั้งนี้เธอต้องหาคนที่ไว้ใจได้ที่จะช่วยเธอเอากุญแจ เพราะถ้าไม่มีกุญแจเธอก็เข้าไปไม่ได้ ฉันเองคงช่วยเธอได้แค่นี้”
“แล้วถ้าเป็นเผ่าอื่นจะไม่สามารถเอากุญแจมาได้เลยหรอ”
“อย่างที่ฉันบอกเขาไม่ต้อนรับเผ่าอื่นและกุญแจก็อยู่ที่ตัวของเขาถ้าเธอแตะโดยตัวเขาแค่เพียงปลายเส้นผมร่างกายของเธอก็จะเจ็บปวดเหมือนกับถูกไฟเผา”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้ มันมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ” อนาตาเซียถามต่อ
“ฉันรู้ว่ามันฟังดูแปลกแต่เรื่องนี้มันเกิดจากการที่เขาจงเกลียดจงชังเผ่าอื่นเพราะในสมัยก่อนการมีความรักต่างเผ่าพันธุ์ถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยและต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่เท่านั้นจึงจะสามารถแต่งงานกันได้ส่วนคนที่พ่อแม่กีดกันก็มีทางเลือกไม่มากซึ่งถ้าไม่ทำตามที่พ่อแม่ห้ามก็มักจะหนีตามกันหรือไม่ก็แอบแต่งงานกันอย่างลับๆ มันเลยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจยากและวุ่นวายในสมัยนั้น คนที่เวสลีย์รักคือแม่มดธรรมดานางหนึ่งด้วยการที่ครอบครัวของนางไม่สนับสนุนให้ทั้งสองคนรักกันพ่อแม่ของฝ่ายหญิงจึงกีดกันทุกอย่างเขาให้นางไปแต่งงานกับคนที่พวกเขาเลือกซึ้งก็คือลูกชายของคนใหญ่คนโตในสมัยนั้นซึ่งก็คือหนึ่งในเผ่าเอลฟ์ นางผู้นั้นเองก็ไม่สามารถทำอะไรไม่ได้จึงต้องจำใจตกลงแต่งงานกับเอลฟ์คนนั้น แต่แทนที่เขาจะเข้าใจและเห็นใจคนรักที่ถูกบังคับแต่เวสลีย์กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นและยังไม่ได้รู้สึกเห็นใจนางที่ถูกบังคับเลยแม้แต่น้อยเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกทรยศหักหลัง เมื่อเป็นดังนั้นความรักก็แปลเปลี่ยนเป็นความแค้นเขาสะสมความแค้นที่มีต่อเผ่าอื่นเอาไว้มากมายโดยเฉพาะพ่อมดแม่มดกับเอลฟ์และเขาก็ได้ยื่นคำสัจว่าจะไม่รักใครอีก หลังจากนั้นเขาจึงมุ่งหน้าฝึกฝนตัวเองให้เก่งจนความสามารถของเขาเป็นที่เลื่องลือมันจึงทำให้เขาได้รับหน้าที่เป็นคนดูแลกุญแจ แต่นานวันความเกลียดชังนั่นมันก็ยิ่งมากและถูกสะสมมาเรื่อยๆจนกลายเป็นพลังทำลายล้างเหมือนกับคำสาปส่งผลให้หากเผ่าอื่นแตะตัวเขาไฟแค้นที่อยู่ในใจก็จะทำงานทันทีโดยการทำให้ร่างกายของผู้นั้นทรมานเหมือนกับกำลังถูกไฟเผา ฉะนั้นแล้วทางที่ดีอย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงจะดีกว่าหาคนที่เป็นเผ่าเดียวกันกับเขาจะถือเป็นทางออกที่ดีมากกว่า”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 18
Comments