ดินแดนอสูรมีทั้งหมดเก้าเมืองใหญ่
และมีราชันอสูรปกครอง ไม่มีการตั้งชื่อเมืองให้เกิดความยุ่งยาก
ก็เพียงเรียกขานตามลำดับฝีมือของราชันแต่ละตน
เรียกได้ว่าทุกสิบปี
ชื่อเมืองจะเปลี่ยนไปตามพลังของผู้ปกครอง อย่างเมืองอสูรที่สี่
ที่กลุ่มของโจจื่อเสียนมาถึงในตอนนี้
ข่าวการต่อสู้และข่าวการปรากฏกายของเทพธิดาชั้นสูง
ส่งไปถึงทั้งเก้าเมืองก่อนที่ทั้งกลุ่มจะมาถึงเสียอีก
พอกลุ่มคนทั้งห้าผ่านเข้าเมืองมา จึงตกเป็นที่สนใจของเหล่าอสูรทุกระดับ
สิ่งปลูกสร้างในดินแดนอสูรค่อนข้างแตกต่างจากดินแดนมนุษย์
ด้วยความที่อสูรเหล่านี้มักมีร่างกายใหญ่โต
สิ่งปลูกสร้างก็เลยใหญ่โตคล้ายถ้ำขนาดยักษ์
โจจื่อเสียนพาทั้งกลุ่มมาถึงปราสาทที่สร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่ และมีค่ายกลล้อมรอบกำแพงเอาไว้อย่างแน่นหนา บนยอดปราสาทมีรูปปั้นของราชันอสูรกางปีกเกาะอยู่
"เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่"
คำถามของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์
ไม่ได้ทำให้โจจื่อเสียนหันไปสนใจ เพราะดวงตากลมโตเอาแต่เพ่งมองไปยังยอดปราสาท
ในใจหวนคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต
เจ้าหญิงแห่งเมืองอสูรที่สี่แห่งนี้
ในอดีตก็คือหนึ่งในสตรีของเทพอสูรบรรพกาลเทียนจวิน
มิหนำซ้ำความงามของนางยังถือว่าเป็นหนึ่งในแดนอสูร
ในช่วงเวลาที่เขาถูกกักขังไม่รู้ว่านางจะเป็นอย่างไร
"เสียนเอ๋อ เป็นอะไรไป?"
เห็นร่างบอบบางในอ้อมอกนิ่งไป
หนานเฟิ่งหวงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
"ข้าไม่เป็นไร ท่านวางข้าลงเถิด
ผลึกอยู่ที่นี่แหละ"
ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย
แต่ก็ยังโอบประคองเอวคอดกิ่วเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย ส่วนโจจื่อเสียนก็ไม่คิดหลบเลี่ยง
เพราะมองเห็นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของหนานเฟิ่งหวง
เมื่อจิตวิญญาณหลอมเข้ากับดวงไฟไม่มีวันดับ
โจจื่อเสียนก็ได้ทักษะเพิ่มขึ้น คือทักษะส่องจิต
ที่สามารถมองเข้าไปถึงจิตวิญญาณของผู้อื่น
และไม่เพียงเสี้ยวดวงจิตของมหาเทพเท่านั้นที่โจจื่อเสียนมองเห็น
จิตวิญญาณของเทพธิดาผู้งดงามก็เช่นกัน
แต่ที่น่าตื่นตะลึงก็คือ
ดวงจิตที่สมควรจะบริสุทธิ์อย่างดวงจิตเทพกลับมีแต่เงาดำชั่วร้าย นั่นก็หมายความว่า
เซิ่งหนี่ว์มีร่างเป็นเทพแต่จิตวิญญาณเป็นมาร
ถึงแม้โจจื่อเสียนจะรู้ว่านางมีจิตใจไม่ดี แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นนี้
หน้าประตูเมืองมีอสูรระดับสูงออกมาต้อนรับคนทั้งห้าด้วยความเคารพนบนอบ
เรียกได้ว่าราชันอสูรที่สี่
เปิดเมืองต้อนรับเทพธิดาชั้นสูงด้วยความเต็มอกเต็มใจ ซึ่งเรื่องนี้
แท้จริงแล้วก็เป็นเจตนาของโจจื่อเสียน เพราะอสูรเฒ่าผู้นี้เป็นพวกมักมาก
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ขอเพียงงดงามเป็นหนึ่ง อสูรชราต้องอยากลิ้มลอง
หากจะพูดให้ถูกก็คือ
เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์กำลังถูกโจจื่อเสียนหลอกใช้งานโดยไม่รู้ตัว
โถงกว้างใหญ่ภายในปราสาทหินใหญ่โต
บนเก้าอี้สูงขึ้นไปจากพื้นเท่าบันไดสิบขั้น
ราชันอสูรที่สี่จับจ้องสตรีผมสีเงินยวงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาแวววาว
มุมปากอ้าค้างแทบจะมีน้ำหยด
โจจื่อเสียนเห็นแล้วต้องกัดฟันกรอด
นึกอยากจะดึงทึ้งผมตัวเองขึ้นมา อุตส่าห์หวังจะใช้ประโยชน์จากเทพธิดาคนงาม
แต่ที่ไหนได้ ดันลืมไปว่าตนเองในตอนนี้งดงามกว่านางตั้งไม่รู้กี่เท่า
แล้วมีหรือเจ้าอสูรลามกจะสนใจแม่เทพธิดาตัวจริง
"แม่นางน้อยคงจะเป็นเทพธิดากระมัง
ช่างงดงามเหลือเกิน" วาจากรุ้มกริ่มของราชันอสูรดังก้องโถงกว้าง
สร้างความตลกขบขันให้เหล่าข้าทาสบริวารที่ยืนเรียงแถวอยู่สองฟากข้าง
จนมีเสียงหัวเราะตามมา
ด้วยความหงุดหงิดเป็นทุนเดิม
โจจื่อเสียนกำลังตั้งท่าจะยกมือเท้าสะเอวเอ่ยปากด่า
"นางหาใช่เทพธิดา แต่เป็นภรรยาข้า!" จู่ๆ
น้ำเสียงเหยียบเย็นที่ฟังแล้วหนาวจนเสียดกระดูกก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะโห่ฮาปากของเหล่าอสูร
ฝ่ามือเรียวบางที่กำลังจะยกขึ้นต้องหยุดชะงักลง
โจจื่อเสียนก้มมองฝ่ามือที่ถูกจับอย่างกะทันหัน
ก่อนจะเงยมองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษข้างกาย เห็นอีกฝ่ายมีใบหน้าเย็นชา
ซ้ำยังคล้ายจะโกรธเคือง
สงสัยจะหึงกระมัง ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด
มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวก็รู้ หึหึ
"ข้าไม่ใช่เทพธิดาเจ้าค่ะ แต่เป็นนาง"
โจจื่อเสียนชี้ไปที่ร่างระหงที่ยืนด้านซ้ายมือของหนานเฟิ่งหวง
ก่อนจะหันกลับมาฉีกยิ้มเอียงอายให้ราชันอสูร ดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มยกขึ้นทัดผมที่ใบหู
"แต่เสียนเอ๋อต้องขอบคุณท่านราชันนะเจ้าคะ
ที่มองเห็นเด็กสาวธรรมดาอย่างข้าเป็นเทพธิดา
ราชันอย่างท่านก็หล่อเหลามากเลยเจ้าค่ะ"
"ฮ่า
ๆ สาวน้อย นอกจากงดงามแล้ว ปากยังหวานอีกด้วย ข้าชักอยากรู้เสียแล้ว
ว่าร่างกายเจ้าจะหวานสักแค่ไหน"
"อ๊ะ!"
คราวนี้หนานเฟิ่งหวงไม่จับที่มือ
แต่รั้งเอาเอวคอดกิ่วให้ร่างบางเข้ามาแนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง
ใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์ เปลี่ยนเป็นถมึงทึง
"ห้ามพูดกับชายอื่นเยี่ยงนั้นอีก!"
ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เรียกว่าอะไร
แต่รู้ว่าในอกมันร้อนราวไฟสุม ไม่ชอบที่จะเห็นโจจื่อเสียนทำท่าทำทางสนิทสนมกับกับผู้ใด
"เห...? พูดอย่างไรหรือเจ้าคะ?" โจจื่อเสียนได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ
ทำหน้าตาใสซื่อมองสบตาชายหนุ่มราวกับคนไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน หึงจริงๆ ด้วย
ฮะๆ
ซือซานเห็นการกระทำของผู้เป็นนายแล้วเกือบจะสำลัก
ไม่รู้ว่ามรดกของผู้สร้างจะยังสำคัญอยู่หรือไม่ แค่มีคุณหนูโจอยู่ใกล้ เจ้านายของเขาก็มีจวนจะครบเจ็ดอารมณ์อยู่แล้ว
หากจะว่าไปการที่จะทำให้เสี้ยวดวงจิตของมหาเทพอย่างหนานเฟิ่งหวงเกิดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้นั้นมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นดวงจิตที่ลงมาจุติเป็นมนุษย์
แต่กับมหาเทพเทียนหลงหรือบุตรของผู้สร้างที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หรือบางทีอาจจะไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ เพราะมหาเทพเทียนหลงเองก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้
นอกจากซือซาน
พลังแห่งความหึงหวง
ทำให้โถงกว้างตกอยู่ในความเงียบ
รังสีเย็นเหยียบไม่ได้มีเพียงบนร่างของชายหนุ่มผู้หล่อเหลา
แต่ยังมีบนร่างของหญิงงามอย่างเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์อีกด้วย
หลายหมื่นปีมานี้นางเคยเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าบุรุษเผ่าพันธุ์ใดต่างก็พากันสนใจแต่นาง
แล้วจู่ๆ กลับมีเด็กสาวที่เป็นเพียงมนุษย์อ่อนแองดงามเกินหน้า หากรับได้
ก็คงไม่ใช่เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์แล้ว มิหนำซ้ำความหึงหวงจนออกนอกหน้าของหนานเฟิ่งหวง
ยังสร้างความเจ็บปวดให้นางเข้าไปอีก
"โจจื่อเสียน! เจ้าอย่าได้มัวมาทำตัวไร้ยางอายอยู่
คงลืมไปแล้วกระมังว่าพวกเรามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด!!"
เสียงเย็นชาของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์
ทำให้ราชันอสูรรวมทั้งเหล่าบริวารพึ่งจะมองเห็นการมีอยู่ของสตรีผู้มีความงามอีกคนหนึ่ง
"โอ้ว!
วันนี้ข้าได้ต้อนรับหญิงงามถึงสองนางเลยหรือนี่ ฮ่า ๆ ดี! ๆ"
ราชันอสูรถึงกับหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ
แต่เสียงหัวเราะก็ต้องติดอยู่ในลำคอ เพราะคำพูดต่อมาของเทพธิดาคนงาม
"ข้าหาใช่สตรีที่เจ้าจะล้อเล่นได้!
อยู่ที่นี่เจ้าเป็นราชันก็จริง แต่สำหรับเทพธิดาที่มาจากดินแดนเทพอย่างข้า
เจ้ามันก็แค่มดปลวก! อย่าได้บังอาจ!!!"
แสงทองบนร่างระหงเริ่มส่องประกาย
ทำให้บริวารอสูรเบื้องล่างหายใจลำบาก
เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์คล้ายจะเอาความโกรธเกรี้ยวและความแค้นเคืองที่มีต่อโจจื่อเสียนมาลงกับพวกเหล่าบรรดาอสูรทั้งหลาย
ราชันอสูรที่สี่ยังมิทันตอบโต้
หมอกสีม่วงพร้อมกลิ่นหอมหวานก็ลอยผ่านประตูห้องโถงเข้ามา
"อย่าคิดว่าเป็นเทพธิดา
แล้วจะมาดูถูกเผ่าพันธุ์อสูรของข้าได้ ที่นี่หาใช่ดินแดนเทพของเจ้า!!"
เงาร่างงดงามของสตรีชุดม่วงวาบผ่านกลุ่มของโจจื่อเสียน ก่อนจะปรากฏขึ้นข้างกายอสูรราชัน
"ฉิงฉิง!!"
ใบหน้างดงาม มองไปยังร่างเด็กสาวในชุดสีฟ้าด้วยความประหลาดใจ
"เจ้ารู้จักข้า?"
ราชันอสูรเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน
จนทำให้ลืมวาจาหยามเหยียดของเทพธิดาคนงามไปชั่วขณะ
ทุกสายตาในโถงกว้างต่างจับจ้องไปที่เด็กสาวผมสีเงินยวง
โจจื่อเสียนเผลอพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าไปมารัวๆ รีบหยิกต้นขาตัวเอง
จะไม่ให้เทียนจวินลืมตัวได้อย่างไร ก็สตรีตรงหน้าเคยเป็นสตรีของเขา
เมื่อถูกดวงตาคมกริบจ้องมออย่างสำรวจ
โจจื่อเสียนจำต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
"เอ่อ..คือ พวกเรามาเรื่องผลึกของผู้สร้าง"
วาจานี้สร้างความตกตะลึงให้กับอสูรทุกตนที่อยู่ที่นี่
โดยเฉพาะผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองอสูร
ในดินแดนมนุษย์
ผลึกนี้จะถูกเรียกว่าผลึกเซียนบรรพกาล
แต่หากเป็นดินแดนอื่นที่สิ่งมีชีวิตมีอายุขัยยืนยาว ย่อมรู้เรื่องราวของมันเป็นอย่างดี
ฉิงที่เก้า หรือเจ้าหญิงอันดับที่เก้า
แห่งเมืองอสูรที่สี่ มองผ่านแขกผู้มาเยือนด้วยสายตาเย็นชา ผลึกอยู่กับจิตวิญญาณของนางมาตั้งแต่ถือกำเนิด เรื่องนี้ไม่สมควรมีผู้ใดรู้ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์
น่าแปลกที่ดวงตาคู่งามไม่สะดุดความหล่อเหลาของหนานเฟิ่งหวง แต่กลับไปหยุดมองร่างบอบบางของโจจื่อเสียนนิ่งนาน
ความคุ้นเคยที่ส่งผ่านดวงตากลมโต
ทำให้เจ้าหญิงเผ่าพันธุ์อสูรใจเต้นแรง
"เสียนเอ๋อ! เจ้ามองอะไรนักหนา!"
"หา?"
น้ำเสียงดุดันของบุรุษข้างกายทำให้สติของโจจื่อเสียนกลับคืนมา
รีบย้ายสายตากลับมามองใบหน้าหล่อเหลา เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าหึงกระทั่งสตรี
"มองข้า!" เท่านั้นยังไม่พอ ฝ่ามือหนายังประทับลงที่ข้างแก้มไม่ยอมให้ใบหน้าเล็กหันกลับไป
"ห๊ะ!" เด็กสาวได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ
อ้าปากพะงาบๆ
"หึหึ"
เสียงหัวเราะในลำคอของฉิงที่เก้าทำให้โจจื่อเสียนรู้สึกอับอายจนหน้าแดง
ก้มหน้างุด บ่นอู้อี้ในลำคอ "พี่เฟิ่ง ดูสิท่านทำข้าอับอายผู้อื่นหมดแล้ว"
นอกจากจะไม่นึกอายแล้ว
หนานเฟิ่งหวงยังกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก ยิ่งเห็นการกระทำของชายหนุ่มโจจื่อเสียนก็ได้แต่คิดอย่างกลัดกลุ้ม
สงสัยว่าข้าจะคิดร้ายกับผู้อื่นไม่ขึ้นกระมัง
ถึงได้ลงมือทีไรเป็นต้องเข้าตัวทุกที
ความโกรธเรื่องผลึกของเจ้าหญิงเมืองอสูรมลายหายไปสิ้น
เพราะไม่เพียงแค่รู้สึกคุ้นเคยกับโจจื่อเสียน
แต่ยังมีรอยยิ้มกว้างของเด็กสาวร่างอวบอ้วนที่ยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสอง
ฉิงฉิงย่อมจำมังกรน้อยของเทพอสูรบรรพกาลได้
เพราะไข่ใบนี้นางเป็นคนมอบให้เขาเองกับมือ
ในขณะที่หนานเฟิ่งหวงและโจจื่อเสียนทำให้บรรยากาศในห้องโถงกลับมาครึกคื้น
ผู้ที่ต้องกลับมาไร้ตัวตนอีกครั้งอย่างเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ก็ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นเป็นเท่าตัว
"พวกเราควรเอาผลึกแล้วไปได้แล้ว!
นี่ก็เสียเวลามามากแล้ว!"
แรงกดดันในร่างเทพธิดาเริ่มแผ่กระจายไปทั่ว จิตวิญญาณในร่างแผ่รังสีอำมหิต
รักกันมากใช่ไหม! ได้!
หลังจากที่ข้าได้ผลึกมาครบเมื่อไหร่ ข้าจะทำให้พวกเจ้าอยู่ไม่สู้ตาย!!
ในเมื่อนางไม่ได้ใจจากเสี้ยวดวงจิตของมหาเทพเทียนหลงดวงนี้
ก็ควรจะทำลายมันทิ้งไปพร้อมกับนางเด็กมนุษย์ ก็แค่รอให้เทียนหลงส่งดวงจิตลงมาจุติใหม่
และที่สำคัญนางต้องได้ผลึกทั้งหมดมาครอบครอง
เพื่อต่อรองกับมหาเทพ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments