ในขณะที่ดินแดนเก้าอสูรกำลังเกิดการต่อสู้
ร่างของเทพอสูรเทียนจวินที่เคยอยู่ในค่ายกลของมหาเทพก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดินแดนเก้าอสูร
การต่อสู้ห้าต่อห้าเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด
แม้ทางฝ่ายของโจจื่อเสียนจะดูเหมือนเสียเปรียบ แต่กลับยังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
อภิหารปลิวว่อนท้องฟ้า
ทั้งฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลมพายุหมุน
หรือกระทั่งเพลิงที่ลุกท่วมท่ามกลางสายฝน
ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
หากจะนับตามจริงเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ถือว่ามีพลังมากที่สุด
บางทีอาจจะมากกว่าโฉ่วเหมินทั้งห้าเสียอีก แต่นางกลับไม่คิดลงมือจริงจัง
เพียงแค่รอโอกาส
แต่สิ่งที่เทพธิดาผู้งดงามไม่รู้ก็คือ
เทียนจวินมักมีสัมผัสไวกับศัตรูเป็นพิเศษ
โจจื่อเสียนสัมผัสกลิ่นอายที่ไม่มีวันลืมเลือนได้ตั้งแต่ก่อนที่ร่างของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์จะออกมาจากไส้ตะเกียงเสียอีก
หึ! เทพธิดาหน้าตาย คิดจะแอบเล่นงานข้าเหมือนคราวที่แล้วอีกหรือ อย่าฝันไปหน่อยเลย!
"อ๊ากกก!" เสียงโหยหวนของหนึ่งในโฉ่วเหมินดังขึ้นทันที
ที่ถูกแส้สายฟ้าของโจจื่อเสียนฟาดบนปีกสีดำขนาดใหญ่
หากเป็นเมื่อก่อน คงจะไม่ใช่แค่ฟาด
แต่คงถูกถอนขนปีกออกจนหมด
ที่โจจื่อเสียนกล้าเปิดฉากต่อสู้ไม่ใช่เพราะเก่งกว่าเทพอสูรเหล่านี้
แต่เพราะรู้จุดอ่อนของโฉ่วเหมินทั้งห้าเป็นอย่างดี
เมื่อจุดอ่อนถูกล่วงรู้
ทำให้อสูรที่เหลือทั้งสี่ เริ่มระวังตัวแจไม่กล้าลงมือส่งเดช
และในขณะที่ทุกคนกำลังต่อสู้ติดพัน
สะเก็ดไฟจากไส้ตะเกียงขนาดเล็กก็พุ่งเข้าไปในร่างของโจจื่อเสียนโดยไม่รู้ตัว มุมปากของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ยกยิ้มเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น
ก่อนจะสะบัดมือเบาๆ ซัดร่างของหนึ่งในโฉ่วเหมินกระเด็นออกไปไกล
"เทพธิดา?!!!"
มาถึงตอนนี้ทุกคนถึงพึ่งจะเห็นการมีตัวตนของเทพธิดาชั้นสูง
ที่สมควรจะอยู่แต่ในดินแดนเทพ มาปรากฏกายอยู่ที่นี่
ความงดงามเหนือสามัญของนางทำให้การต่อสู้หยุดชะงักลง
เพราะสามโฉ่วเหมินที่เหลือถอนตัวออกมา
"เหตุใดเทพธิดาเหนือชั้นฟ้าอย่างท่านถึงได้มาอยู่ร่วมกับมนุษย์พวกนี้?"
เซิ่งหนี่ว์หาได้สนใจจะตอบคำพวกเหล่าผู้เฝ้าประตู ร่างงดงามกะพริบหายไป ปรากฏกายเบื้องหน้าหนานเฟิ่งหวง
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่หนึ่งในเก้าดวงจิตที่ถูกแยกออกมา
แต่เซิ่งหนี่ว์ก็ยังอยากให้หนานเฟิ่งหวงมองนางเพียงผู้เดียวอยู่ดี
แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก
ร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าก็กะพริบหายไป
"เสียนเอ๋อ!!!"
"คุณหนู!!!"
เพราะความสนใจของหนานเฟิ่งหวงมีเพียงแค่โจจื่อเสียน
มิหนำซ้ำยังผูกวิญญาณไว้ด้วยกัน
ย่อมสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังพุ่งเข้าไปทำลายจิตวิญญาณของโจจื่อเสียนได้
สองแขนรวบร่างบอบบางที่กำลังจะล้มเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
"เสียนเอ๋อเป็นอะไรไป?!"
"วิญญาณข้า! โอ๊ย!"
มังกรน้อยรีบคืนร่างลงมาหาเจ้านายด้วยใบหน้าแตกตื่น
"คุณหนู! เจ้านาย!
ทะ..ท่าน รอเดี๋ยวนะ ข้าหายาก่อน"
ขวดโอสถสารพัดชนิดถูกเรียกออกมากองเป็นภูเขาเลากา แต่กลับไร้ยาที่จูจูต้องการ "มันหายไปไหนของมันน๊า!!
ข้าเก็บไว้ตรงนี้นี่!!"
เทียนจวินที่วิญญาณกำลังเจ็บปวดคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เห็นท่าทางของมังกรโง่งมก็นึกอยากจะเตะโด่งเจ้าตัวดีออกไปให้ไกล
"เจ้าหมูโง่! ไม่ต้องหาแล้ว!
เจ้าจะเอาขวดโอสถพวกนั้นมากลบฝังข้าหรือไงห๊ะ!!! อั้ก แฮ่กๆ"
"อ่าา แหะ ขออภัยเจ้าค่ะ ก็ข้าหามันไม่เจอนี่เจ้าคะ"
ซือซานไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าควรจะร้องไห้ให้นายบ่าวคู่นี้ดี
ทำได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเรียกไข่มุกเก้าชีวิตของตนเองออกมายื่นให้ผู้เป็นนาย
เพื่อป้อนให้คุณหนูโจ
เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
พร้อมกับหันหน้าเข้าหา
ยกวงแขนกอดรอบลำคอแกร่งซุกใบหน้าลงบนบ่ากว้างด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
แต่มุมปากกลับยกยิ้มชั่วร้าย ลอบส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์
ที่ปรากฏกายมายืนอยู่เบื้องหลังหนานเฟิ่งหวง
"เสียนเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดวิญญาณเจ้าถึงบาดเจ็บได้กัน?"
น้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของบุรุษที่เคยไร้อารมณ์
ยิ่งทำให้ไส้ตะเกียงในดวงจิตของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ลุกโชติช่วง พร้อมๆ
กับสะเก็ดไฟในจิตวิญญาณของเทียนจวินเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
เมื่อหลายหมื่นปีก่อน
เทพอสูรบรรพกาลผู้เป็นอมตะ ต้องการจะมีทักษะแยกวิญญาณเป็นอย่างมาก
ถึงขั้นพยายามคิดค้นด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่พยายามอยู่นาน
เทียนจวินก็ได้เบาะแสเกี่ยวกับตะเกียงอมตะ หากจะพูดให้ถูกคือเป็นเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ปล่อยข่าวครึ่งจริงครึ่งเท็จให้เทียนจวินตามหาบ่อศักดิ์สิทธิ์
แต่ในข่าวของนางกลับมีความจริงที่เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ไม่เคยรู้
นั่นก็คือความลับที่แท้จริงของตะเกียง
และกว่าที่นางจะรู้
เวลานี้มันย่อมสายเกินไปแล้ว
ในเมื่อตะเกียงอมตะช่วยให้เทพธิดาเซิ่งหนี่ว์
แยกดวงจิตส่วนหนึ่งออกจากร่างมาจุติได้ นั่นก็หมายความว่า
หากเทียนจวินที่ต้องการทักษะแยกวิญญาณก็ต้องเรียนรู้มันจากไฟที่ไม่มีวันดับ
และเทพธิดาที่คิดทำลายผู้อื่น
ก็เป็นฝ่ายมอบดวงไฟอมตะมาให้เทียนจวินด้วยตัวเอง
โจจื่อเสียนซุกใบหน้าลงบนซอกคอแกร่งเพื่อหลบสายตาผู้คน
"พี่เฟิ่ง ขอข้าอยู่อย่างนี้สักครู่เถิด"
หนานเฟิ่งหวงเห็นท่าทางอ่อนเพลียของอีกฝ่ายจึงกระชับอ้อมแขนกอดแผ่นหลังบอบบางเอาไว้เป็นการตอบรับคำขอ
สายตาคมกริบมองไปยังโฉ่วเหมินทั้งห้า คล้ายต้องการข่มขู่กลายๆ
ทางด้านผู้เฝ้าประตูทั้งห้าก็ไม่คิดจะเปิดฉากต่อสู้เป็นครั้งที่สอง เพราะสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของกลุ่มผู้บุกรุก ร่างของโฉ่วเหมินทั้งห้าจึงกะพริบหายไป
ส่วนร่างระหงของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ยังยืนนิ่งอย่างสง่างาม
แม้ในใจจะทั้งเจ็บทั้งแค้น แต่สีหน้ากลับดูอบอุ่นอ่อนโยน
เทียนจวินใช้ทักษะแยกจิตที่เคยคิดค้นได้พร้อมกับพลังสายฟ้าในร่าง
ค่อยๆ หลอมสะเก็ดไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ในดวงวิญญาณของตัวเองอย่างช้าๆ
แสงไฟที่ไม่มีวันดับเริ่มหายเข้าไปรวมอยู่กับจิตวิญญาณของเทียนจวินทีละเล็กทีละน้อย
เมื่อเห็นคุณหนูโจเงียบไป
ซือซานก็หันไปสนใจกองภูเขาโอสถของจูจู
"เจ้าควรเก็บพวกมันกลับไปได้แล้วกระมัง"
"อ่า ได้ๆ"
เด็กสาวร่างอวบที่พึ่งจะนึกขึ้นได้ รีบเรียกขวดโอสถกลับเข้าไปไว้ในมิติจนหมด
พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมของการต่อสู้มาบัดนี้กลับกลายเป็นเงียบสงัด
ในพื้นที่ห่างไกลยังมีอสูรชั้นสูงหลายเผ่าพันธุ์คอยเฝ้าจับตามองอยู่ไม่ห่าง
อึก! จู่ๆ
ใบหน้างดงามของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ก็เปลี่ยนเป็นเหยเก สองมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกำแน่น ค่อยๆ ก้าวถอยหลังห่างออกจากกลุ่ม
ไฟในตะเกียงอมตะที่ซ่อนอยู่ในดวงจิตกำลังหรี่ลงทีละเล็กละน้อย
โดยที่นางมิอาจต้านทาน
จิตวิญญาณของเทียนจวินกำลังสว่างเจิดจ้า
ไม่นาน ตะเกียงอมตะก็ดับสนิท
ผลกระทบของมันคือจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของเทพธิดาเซิ่งหนี่ว์ถูกทำลาย
ร่างสั่นเทาทรุดลงกับพื้น โดยไร้คนสนใจ
ส่วนจิตวิญญาณในร่างโจจื่อเสียนถูกแยกออกเป็นสองดวง
ในที่สุดเทียนจวินก็ทำสำเร็จ
เหลือเพียงหาทางส่งดวงจิตอีกดวงเข้าไปในร่างเดิมที่ถูกขังอยู่ในค่ายกล
พอคิดไปถึงค่ายกล
เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลา
ไม่รู้ว่าควรจะหาทางแก้แค้นมหาเทพหน้าตายอย่างไรดี
แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของหนานเฟิ่งหวง ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง
ช่างเถิด เขาก็แค่ร่างแยก
เอาไว้ส่งดวงจิตกลับเข้าไปในร่างเดิมเมื่อไหร่
ค่อยไปสู้กับเจ้ามหาเทพนั่นอีกทีก็แล้วกัน
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หนานเฟิ่งหวงยกฝ่ามือข้างหนึ่งสัมผัสแก้มขาวนวลด้วยความเป็นห่วง
"ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องห่วง"
จูจูฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้านายปลอดภัย
ซือซานเห็นแล้วมุมปากก็อดที่จะยกยิ้มตามไม่ได้
ทั้งสี่ต่างพากันลืมเลือนเทพธิดาชั้นสูงไปเสียสนิท
ยิ่งเห็นเช่นนี้ เซิ่งหนี่ว์ที่จิตวิญญาณบาดเจ็บก็ยิ่งแค้นเคือง ข้าเคยทำได้แล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ข้าก็ต้องทำได้ ความต้องการสังหารลุกโชนขึ้นภายในใจของเทพธิดา ผู้ที่บังอาจมาทำให้เทียนหลงสนใจมันต้องตายอย่างทรมาน!
ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น!
ร่างงดงามค่อยยันกายลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
กัดฟันทนกับความเจ็บปวด "ในเมื่อแม่นางโจไม่เป็นอะไรแล้ว เฟิ่งหวง
พวกเราก็ควรเดินทางต่อกันได้แล้วกระมัง"
หนานเฟิ่งหวงมองสบตาคู่งามเพื่อถามความเห็น
แต่คำตอบที่ได้คือโจจื่อเสียนถูใบหน้ากับบ่ากว้างไปมา ก่อนจะพูดจาออดอ้อน
"เสียนเอ๋อยังเหนื่อยอยู่เล็กน้อย พี่เฟิ่งอุ้มน้องไปหน่อยน๊า"
ความใกล้ชิดทางกายที่เด็กสาวกระทำเพียงเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นกลับทำให้หัวใจของหนานเฟิ่งหวงอ่อนยวบ
รีบอุ้มร่างบอบบางลอยขึ้นจากพื้น
"ได้! พี่เฟิ่งจะอุ้มเจ้าเอง"
ซือซานเห็นการกระทำของเจ้านายแล้ว
ต้องยกสองมือปิดหน้า เขาไม่เชื่อว่าผู้เป็นนายจะไม่รู้ว่าคุณหนูผู้นี้เสแสร้ง
แล้วเหตุใดยังยอมทำตามอย่างว่าง่ายเช่นนั้น หากมหาเทพเทียนหลงรู้เข้า
มีหวังได้รีบเรียกดวงจิตกลับคืนเป็นแน่
เซิ่งหนี่ว์กัดฟันมองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด
จำต้องเรียกตะเกียงหมื่นปีออกมา เพื่อต้องการให้หนานเฟิ่งหวงหันมาสนใจ แต่นางก็ต้องผิดหวังอย่างแรง
ตะเกียงหมื่นปีเป็นเพียงตะเกียงที่ถูกสร้างเลียนแบบตะเกียงอมตะ
พลังของมันใช้ได้แค่ในดินแดนมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ในดินแดนอสูร ไหนเลยจะมีพลังกล้าแข็งพอที่จะส่องหาผลึกได้
ใบหน้างามล้ำที่เปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง
สร้างความสะใจให้กับโจจื่อเสียนเป็นอย่างมาก
เด็กสาวยกยิ้มอ่อนหวานเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยเสียงอันดัง
"พี่เฟิ่งเจ้าคะพวกเราควรไปเมืองอสูรที่สี่
เสียนเอ๋อรู้ว่าผลึกอยู่ที่ใด"
ในเวลานี้ไม่ว่าโจจื่อเสียนจะพูดหรือทำอะไร
หนานเฟิ่งหวงย่อมทำตามอย่างไม่มีอิดออด
ในที่สุดทั้งห้าก็มุ่งหน้าไปยังเมืองอสูรที่สี่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments