เจ้าสาวในหอคอย
คาร์มิลเลียน
หญิงสาวที่เสียครอบครัวตั้งแต่เด็กและถูกนำมาขังไว้ที่หอคอยเธอมีรูปร่างที่สวยใครเห็นก็หลงเสนห์
และคนต่อไป “เซอร์รัส คาร์มิลเลียน” บุตรแห่งลอร์ดไคอัส ชายผู้ที่ปากร้ายและเย็นชา
ดินแดนแห่งรัตติกาล…เคยมีสองตระกูลแวมไพร์ยิ่งใหญ่ที่ครองแผ่นดินผืนเดียวกัน
“อัลเธียร์” ตระกูลแห่งเวทมนตร์และวิญญาณ
“คาร์มิลเลียน” ตระกูลแห่งพละกำลังและเลือดบริสุทธิ์
สองเผ่าพันธุ์ไม่เคยอยู่ร่วมกันได้ ความขัดแย้งค่อยๆ สะสม กลายเป็นสงครามเลือดที่ยืดเยื้อกว่า 200 ปี…
กระทั่งในค่ำคืนอันโหดร้าย ดวงจันทร์เปล่งแสงสีแดงดั่งโลหิต…มันคือคืนสุดท้ายของตระกูลอัลเธียร์
เสียงกรีดร้องดังก้องทั่วปราสาทเวทแห่งอัลเธียร์ เปลวไฟเผาผลาญปีกตะวันออกของปราสาท เหล่าแวมไพร์แห่งคาร์มิลเลียนบุกเข้ามาด้วยฝีเท้าอำมหิต
“พ่อ…แม่…!”
เด็กหญิงวัยห้าขวบผู้มีนัยน์ตาสีแดงเรืองแสง สะอื้นอย่างหวาดกลัว เธอหลบซ่อนอยู่หลังม่านผ้า แต่สายตานั้นเห็นทุกอย่างเห็นพ่อแม่ของเธอถูกแทงทะลุหัวใจด้วยหอกโลหิต
ก่อนที่พ่อของเธอจะสิ้นใจ เขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้า “ลอร์ดไคอัส” ผู้นำแห่งตระกูลคาร์มิลเลียน
“ข้าขอร้อง…อย่าฆ่าลูกสาวข้า…” น้ำเสียงสั่นเครือ เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ลอร์ดไคอัสเลิกคิ้วอย่างเย็นชา “เธอคือลูกแห่งอัลเธียร์…สายเลือดแห่งเวทมนตร์สินะ”
‘‘ข้าต้องการให้เธอเป็นภรรยาของลูกเจ้าในอนาคตทุกอย่างจะเป็นของเจ้าโดยปราสจากคำสาปพวกเจ้าจะมีดินแดนที่สงบสุข ถ้าหากไม่ตกลงแม้กายข้าตายแผ่นดินที่ข้าเคยปกครองทุกอย่างจะมอดไหม้ไปในพริบตาตระกูลพวกเจ้าจะตายไม่เหลือสิ้นดี ‘‘พ่อของหญิงสาวเอ่ย
“งั้นก็ให้เธอ……ผูกตระกูลเราไว้ด้วยพันธะโลหิต…”
เสียงรอบด้านเงียบงัน แม้แต่นักรบของคาร์มิลเลียนยังชะงัก
“เงื่อนไขเดียว…” ไคอัสเอ่ยอย่างเด็ดขาด “เธอต้องไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกตลอดกาล…ถ้าหากมีแม้แต่แววแห่งพลัง ข้าจะเป็นคนลงมือฆ่าเธอด้วยตัวเอง”
พ่อของเธอพยักหน้ารับ…และในวินาทีนั้น หอกสุดท้ายก็แทงทะลุอกของเขา
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงเต็มไปด้วยน้ำตา และจดจำทุกอย่างราวถูกสลักไว้ในเลือด…
สิบสามปีต่อมา
หอคอยเอลเลอเนียร์ หอคอยที่สูงที่สุดในแดนคาร์มิลเลียน
ที่นั่นคือที่คุมขังของ “ลูนา อัลเธียร์” แวมไพร์สาวผู้ไร้พลังเวทมนตร์ ถูกปิดผนึกพลังตั้งแต่วัยห้าขวบ และไม่เคยออกจากหอคอยแม้แต่ก้าวเดียว
เธอเติบโตอย่างเงียบงันในเงามืด…ภายใต้สายตาจับจ้องของเหล่าองครักษ์…ไม่มีใครคุยกับเธอ ไม่มีใครกล้าสบตาเธอ…
เว้นเสียแต่ชายคนหนึ่ง
“เซอร์รัส คาร์มิลเลียน” บุตรแห่งลอร์ดไคอัส ผู้ที่ถูกลิขิตให้เป็นสามีในอนาคตของเธอ
ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีแดงฉาน ผมออกดำออกน้ำตาลสนิทและออร่าของเลือดบริสุทธิ์ที่แรงกล้าจนทำให้ผู้คนรอบข้างต้องหลบสายตา
เขาไม่เคยยิ้มให้เธอ ไม่เคยพูดดีด้วย…แต่เขาก็มาเยี่ยมเธอทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง โดยไม่เคยขาดเลยสักครั้งเดียว
“เจ้าจำอะไรได้ไหม…ในคืนนั้น” เขาถามเธอในคืนหนึ่ง โดยไม่หันมามอง
ลูนาเพียงจ้องมองแผ่นหลังของเขา…และกระซิบเบาๆ
“ข้าจำได้ทุกอย่าง…รวมถึงเสียงของดาบที่พ่อเจ้าฆ่าพ่อข้าด้วย” ดวงตาสีแดงหันมาสบสายตากับดวงตาสีสีแดงออกม่วงนิดๆ…ความเงียบปกคลุมหอคอยอีกครั้ง
และในความเงียบนั้น…พันธะโลหิตก็เริ่มส่งเสียงเรียกของมันอีกครั้งหนึ่ง…
แดดสีเทาที่เล็ดลอดผ่านม่านเมฆหนาทึบของดินแดนคาร์มิลเลียน สาดลงมาบนหอคอยเอลเลอเนียร์ที่ตั้งตระหง่านดั่งเงาแห่งคำสาป
วันนี้…คือวันที่คำสั่งจากเบื้องบนถูกส่งมายังหอคอยสูงสุด ลูนา อัลเธียร์ จะได้รับอนุญาตให้ “ออกจากหอคอย” เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี
“เจ้าจะได้เดินในวังเป็นเวลาไม่เกินสองชั่วโมง”
เสียงของแม่บ้านชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ห้ามเดินออกนอกเขต ห้ามพูดกับใคร และอย่าคิดแม้แต่จะหนีแม้เพียงเศษเสี้ยวความคิด”
ลูนาไม่ตอบ เธอเพียงแต่มองออกไปยังหน้าต่าง…ภายนอกหอคอยยังคงเหมือนเดิมเย็นชา ห่างไกล และไร้หัวใจ แต่วันนี้…เธอจะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
เสียงเปิดประตูไม้บานใหญ่ดังขึ้น
ร่างของหญิงสาววัยสิบแปดในชุดผ้าคลุมสีหม่น เดินออกมาด้วยกิริยาสงบเยือกเย็น
ผิวเธอขาวดั่งหิมะ นัยน์ตาสีแดงอมม่วงลึกล้ำดั่งต้องคำสาป เส้นผมสีบลอนด์ยาวสลวยพลิ้วไหวกับสายลมเย็นเฉียบของยามเช้า เมื่อเธอเดินผ่านเหล่าทหารและบริวารของวัง ไม่มีใครกล่าวคำทักทาย มีเพียงสายตานับสิบคู่จับจ้องอย่างระแวง ปนความรังเกียจ
บางคนกระซิบ…
“นั่นน่ะหรือ…นังแม่มดอัลเธียร์”
“เธอสวยก็จริง…แต่นั่นคือปีศาจในคราบราชินี”
“ลูกของศัตรูจะไม่มีวันเป็นราชินีพวกเราได้…”
ลูนาได้ยินทุกคำชัดเจน แต่เธอเพียงยืดตัวตรง และยิ้มบางๆ โดยไม่ตอบโต้อะไรเลย เธอคุ้นชินกับความเงียบ คุ้นชินกับการเป็นนักโทษแต่ไม่เคยชินกับแววตาเหล่านั้น
แววตาที่ทั้งเหยียดหยาม และ…หวาดหวั่นในเสน่ห์ของเธอ แม้ผู้คนจะรังเกียจเธอเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครละสายตาได้เลย เพราะเธอสวยเกินกว่าจะเป็นเพียงลูกหลานของศัตรู…
ณ ลานกลางวัง ท่ามกลางทหาร ข้าราชบริพาร และสายลมหนาว
“เซอร์รัส คาร์มิลเลียน” ยืนอยู่ตรงนั้น
ชายหนุ่มผู้มีผมดำขลับและดวงตาสีแดงฉาน จ้องมองร่างของหญิงสาวที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้
“หืม…ในที่สุดเจอกันในแสงแดดเสียที” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดนิดๆ ลูนาหยุดมองเขา นัยน์ตาสีแดงอมม่วงไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
“ท่านดูผิดหวังที่ข้าไม่ตายอยู่ในหอคอย”
“ไม่หรอก” เซอร์รัสยิ้มเย็น “เพราะข้ายังไม่ได้ทำให้เจ้าทรมานมากพอด้วยซ้ำ”
“ข้าก็หวังเช่นกัน…” เธอตอบด้วยเสียงเรียบ “เพราะหากมันทรมานพอ…ข้าอาจจะได้ลืมภาพวันที่พ่อเจ้าฆ่าพ่อข้าและแม่ข้าเสียที”
ความเงียบโรยตัวลงท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดผู้คนรอบข้างไม่กล้าหายใจแรง แต่ก็ยังจับจ้องพวกเขาทั้งคู่อย่างอดไม่ได้ เพราะแม้จะเป็นศัตรูกันเพียงใด
ทั้ง “ลูนา อัลเธียร์” และ “เซอร์รัส คาร์มิลเลียน”
กลับเป็นภาพสะกดสายตาของทั้งวังราวกับคำทำนายที่เคยกล่าวไว้…
“เมื่อเลือดของสองตระกูลผสานกัน…โลกของเงามืดจะเปลี่ยนแปลงตลอดกาล” แต่ใครจะรู้ว่า…
การพบกันในวันนี้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของพลังที่เกินกว่าทุกคนจะควบคุมได้…
หอคอย
‘‘เจ้าจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้”
เสียงขององครักษ์ผู้หนึ่งดังขึ้นขณะส่งชุดราตรีผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มให้ลูนา
หญิงสาวรับมันมาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
“ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสังคมมา 13 ปี…แล้วจู่ๆ ก็จะให้ไปร่วมงานเลี้ยงงั้นหรือ”
“มันคือคำสั่งจากลอร์ดไคอัส…เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์คาร์มิลเลียนเรืองแสงด้วยเปลวเทียนสีเลือด เสียงดนตรีคลาสสิกล่องลอยปนกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเหล่าแวมไพร์ชนชั้นสูง
พวกเขามาจากตระกูลต่างๆ ที่อยู่ใต้การปกครองของคาร์มิลเลียน แต่สิ่งที่ทุกสายตาจับจ้องในค่ำคืนนี้…ไม่ใช่ไวน์เลือดชั้นดี หรือเครื่องเพชรจากแดนเหนือแต่คือหญิงสาวผู้ถูกขนานนามว่า “แม่มดแห่งอัลเธียร์” ที่ปรากฏตัวท่ามกลางแสงไฟ
ลูนาในชุดราตรีสีเลือด มีผ้าคลุมบางเบาสีดำสนิทปกคลุมไหล่เส้นผมสีบรอนซ์ถูกรวบขึ้นเผยลำคอขาวดั่งหยกดวงตาสีแดงอมม่วงนิดๆที่ไร้อารมณ์กลับดูลึกลับจนไม่มีใครกล้าสบตานานเกินห้าวินาที
และผู้ที่ยืนรออยู่ที่แท่นสูงสุดของห้อง…คือชายผู้หนึ่งที่ทำให้บรรยากาศทั้งงานสงบลงทันทีที่เขาขยับปลายนิ้ว เซอร์รัส คาร์มิลเลียน
เจ้าของดวงตาสีเลือดที่กำลังจ้องหญิงสาวอย่างไม่ปิดบังความเย็นชา
“ในที่สุดเจ้าก็รู้จักแต่งตัวให้สมกับเป็นคู่หมั้นของข้า”
“ไม่ใช่เพราะข้าอยากทำ” ลูนาตอบเสียงเรียบ “แต่ข้าเบื่อชุดนักโทษเต็มทีแล้ว”
เซอร์รัสหัวเราะในลำคอ พลางโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูของเธอ
“ถ้าเจ้าอยากเป็นอิสระ…ก็จงทำตัวให้น่ามองไว้ก่อนจะเป็นของข้า”
ลูนาข่มอารมณ์ ไม่ตอบโต้อะไรอีก
เพราะในใจของเธอ…รู้ดีว่า ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในและเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง…
ภายในงาน
สายตาของเหล่าชนชั้นสูงต่างมองเธอด้วยทั้งความหลงใหลและริษยาหลายคนเอ่ยกระซิบ
“ดูสิ…เธอเหมือนเจ้าหญิงต้องคำสาป”
“ถ้าเธอไม่ใช่ลูกหลานของศัตรู…ข้าคงหลงรักไปแล้ว”
แต่เสียงหนึ่งที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุด…ก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“นานแล้วนะ ลูน่า…เจ้าจำข้าได้ไหม?
ลูนาเบือนหน้าไป และดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยชายหนุ่มคนหนึ่งยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น เขามีผมสีทองซีด ดวงตาสีฟ้าใสราวกับไม่ใช่แวมไพร์…
ไลโอเนล บุตรชายคนรองของตระกูลรองอันดับหนึ่งที่เคยร่วมรบกับอัลเธียร์ในอดีต เขาเป็นเพียงเด็กชายที่เคยยิ้มให้เธอครั้งสุดท้าย ก่อนสงครามจะพรากทุกสิ่งไป
“เจ้ากลับมายิ้มอีกครั้งแล้วสินะ” ไลโอเนล กระซิบแผ่ว “ข้ายังจำสายตาเจ้าตอนร้องไห้ได้เลย”
ก่อนที่ลูนาจะตอบอะไร เซอร์รัสก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเธออีกครั้ง และ…คว้าแขนเธอแน่น
“เจ้าจะคุยกับใครก็ได้ แต่ไม่ใช่กับมัน”
“ท่านไม่มีสิทธิ์…!” ลูนาหันมาจะเถียง แต่…
ทันใดนั้น…เธอรู้สึกปวดหัวรุนแรง ภาพรอบตัวเริ่มสั่นไหว
เสียงในหัวกระซิบ
“ลูนา…เวลาของเจ้าใกล้ถึงแล้ว…ปลุกพลังของเจ้าสิ…”
ดวงตาสีแดงอมม่วงเริ่มส่องประกายอย่างผิดปกติ…และในพริบตา ไฟจากตะเกียงเวททั้งห้อง ก็ดับลงพร้อมกันโดยไร้คำอธิบาย ทุกคนหยุดนิ่ง เหล่าทหารชักอาวุธ ดวงตาเซอร์รัสหรี่ลงอย่างคาดเดาไม่ได้
ลูนายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด…หอบหายใจแรงเธอไม่ได้ร่ายเวท…เธอไม่ได้คิดจะปลุกพลัง…
แต่พลังนั้น…กำลังปลุกตัวมันเองจากความโกรธ ความกลัว…และความเจ็บปวดที่ถูกกดทับมาตลอด 13 ปี
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments