เธอใช้เวท!”
เสียงตะโกนของแม่ทัพคนหนึ่งดังก้องกลางห้องโถง ทันทีที่ไฟเวทดับลงโดยไร้สาเหตุ ดวงตาทุกคู่เบิกกว้าง จ้องมองร่างของหญิงสาวผมบลอนด์ที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางความมืดที่แผ่กระจายไปราวคลื่นอสูร
เซอร์รัสหันขวับไปมองลูนา ดวงตาแดงฉานของเขาฉายแวววูบไหว
“เจ้าทำอะไร?” เสียงของเขาต่ำและเย็นเฉียบจนแม้แต่นักรบยังกลืนน้ำลายไม่ลง
“ข้า…ไม่ได้ทำ…”
ลูนาพยายามพูด เสียงเธอสั่น และแผ่นอกขยับขึ้นลงด้วยลมหายใจที่ควบคุมไม่อยู่ เธอรู้…ว่าพลังเวทบางอย่างในกายตื่นขึ้น แต่เธอไม่ได้ร่ายเวท ไม่ได้กระทำ ไม่ได้แม้แต่จะตั้งใจ!
“จับตัวเธอไว้” เสียงของลอร์ดไคอัสดังขึ้นเหนือหัว เหมือนคำพิพากษาจากเงามืด ทหารแวมไพร์ในชุดเกราะโลหิตพุ่งเข้ามา
แขนของลูนาถูกตรึงด้วยโซ่เวทสีดำสนิท ร่างของเธอทรุดลงกับพื้นหินเย็นยะเยือก พร้อมเสียงกระซิบจากผู้คนรอบด้าน
“คำสาปมันเริ่มแล้ว…”
“แม่มดนั่น…นางกำลังจะตื่นขึ้น”
ลูนาถูกลากตัวไปยังห้องลงทัณฑ์ใต้ดินลึกสุดของคฤหาสน์คาร์มิลเลียน
ไม่ใช่ในฐานะเจ้าสาวของทายาท แต่ในฐานะ นักโทษผู้ละเมิดพันธะโลหิต พันธะที่พ่อของเธอแลกมาด้วยชีวิต…กำลังถูกฉีกทิ้ง
ห้องลงทัณฑ์ใต้ดินลึกสุดของคฤหาสน์คาร์มิลเลียนเย็นเฉียบจนลมหายใจกลายเป็นไอขาว
เธอถูกตรึงไว้กลางห้องบนแท่นหิน ถูกมัดด้วยโซ่ที่ออกแบบมาเพื่อพันธนาการแวมไพร์ผู้มีเวท
ร่างของเธอสั่นเทิ้ม เส้นผมบลอนด์กระจายบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงประตูห้องเปิดออก…และเซอร์รัสก็เดินเข้ามาช้าๆเขาไม่ได้แต่งตัวหรูหราเช่นในงานเลี้ยงแต่ใบหน้ากลับไร้ความอ่อนโยนใดๆ ทั้งสิ้น
“เจ้ารู้ไหมว่า ถ้าเป็นใครอื่น…ข้าคงฆ่าไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ ขณะเดินวนรอบแท่นหินที่เธอถูกมัดไว้
ลูนาจ้องเขาด้วยดวงตาสั่นไหว
“ข้าไม่ได้…ข้าสาบาน…ข้าไม่ได้ร่ายเวท…มันแค่…มันเกิดขึ้นเอง…”เซอร์รัสชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนก้าวเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหูเธอ
“ถ้าเจ้าโกหก…เจ้าจะไม่ได้เห็นแสงวันพรุ่งนี้”
ลูนาเม้มปากแน่น กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อเธอไม่ร้อง ไม่อ้อนวอน เพราะศักดิ์ศรีของเลือดอัลเธียร์…จะไม่ยอมให้เธอร้องขอแม้แต่ชีวิตของตัวเอง แต่เซอร์รัส…กลับยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา
“…ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
ลูนาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าจะถูกลงโทษด้วยวิธีของคาร์มิลเลียน ไม่ใช่เพราะข้าเมตตา แต่เพราะเจ้ายังมีประโยชน์อยู่”
และทันใดนั้น…
เขาชักมีดพิธีกรรมขนาดเล็กออกมา และกรีดลงบนฝ่ามือของเธอช้าๆ เลือดสีแดงเข้มไหลริน…
นั่นคือการ “ผนึกซ้ำ” พิธีกรรมที่รุนแรงกว่าการผนึกเวทครั้งแรก
เจ็บปวดยิ่งกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเจอมา
ดวงตาของลูนาเบิกกว้าง เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่กัดกินตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงกระดูกสันหลัง
เวทมนตร์ของเธอ…ถูกผนึกใหม่แต่คราวนี้ มันเจ็บยิ่งกว่าตายเป็นร้อยครั้ง เซอร์รัสจ้องมองเธอเงียบๆและแม้เขาจะไม่พูด…แต่แววตานั้น มีบางสิ่งปนเปื้อนอยู่ บางสิ่งที่อันตรายกว่าเวทมนตร์ใดๆ
เสียงลมหอนของคืนเดือนมืดพัดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆราวกับกำลังร่ำไห้แทนใครบางคน
ร่างของหญิงสาวผู้ถูกล่ามด้วยโซ่เวทนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาสีแดงอมม่วงที่เคยเปล่งประกายกลับหลับพริ้มโดยไม่มีทีท่าจะลืมขึ้นมาอีก
ลูนา อัลเธียร์…กำลังจะตาย
ร่างกายของเธออ่อนแอจากการถูกผนึกเวทซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลือดของแวมไพร์บริสุทธิ์ไม่อาจฟื้นตัวได้ หากหัวใจยังเต็มไปด้วยบาดแผลทางจิตวิญญาณ
แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นเพราะต่อให้เธอตาย ก็ไม่มีใครจะร้องไห้ให้เธออยู่ดี แม่บ้านคนเดิมเดินเข้ามาตรวจอาการเธอในยามรุ่งสาง ดวงตาเหี่ยวย่นหรี่ลงขณะสัมผัสผิวกายเย็นเฉียบของลูนา
“อุณหภูมิร่างกายตกต่ำเกินไป…แม้แต่เลือดยังไม่ไหลเวียน”
นางถอนหายใจ ก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“เด็กโง่…แค่เงียบอยู่ในเงามืดไปตลอดก็คงรอดแล้วแท้ๆ”
ไม่นานมากนัก คำสั่งจากลอร์ดไคอัสถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว
“ให้ขังเธอและส่งกลับหอคอยห้ามมีผู้ใดเข้าเยี่ยม ห้ามให้เลือด ห้ามรักษา หากจะรอด…ก็ให้รอดด้วยตัวเอง”
นั่นคือโทษทัณฑ์สุดท้ายของบุตรสาวแห่งตระกูลศัตรูแวมไพร์สาวผู้เป็นเพียงพันธะในเงื่อนไขเก่าแก่
สองวันต่อมา
ร่างของลูนาถูกลำเลียงกลับขึ้นหอคอยสูงสุดอีกครั้งด้วยรถม้าเวทไม่มีใครกล้าสัมผัสเธอ ไม่มีใครเอ่ยแม้แต่คำพูดดีๆ สักคำเดียว
แม้แต่เซอร์รัส…ก็ไม่มา
เขาหายตัวไปหลังจากพิธีกรรมผนึกจบลง ไม่มีใครเห็นเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร
ค่ำคืนนั้น ห้องเดิม ผนังเดิม ลมหนาวเดิมๆ …
ลูนาได้แต่นอนตัวสั่นบนเตียงไม้เก่า โดยมีเพียงแสงจันทร์สีเทาเลือนรางลอดผ่านลูกกรงหน้าต่าง หัวใจของเธอเต้นแผ่วเบา
ความหนาวเยือกเข้าแทนที่เลือดในกาย ราวกับความตายกำลังกระซิบอยู่ข้างหู
“เจ้าถูกลืมแล้ว…ลูนา อัลเธียร์”
“ไม่มีใครต้องการเจ้า ไม่มีใครเชื่อใจเจ้า…”
“แม้แต่เขา…ผู้ที่เจ้าถูกบังคับให้เป็นของเขา…ก็ไม่กลับมา”
น้ำตาอุ่นหยดหนึ่งไหลลงข้างแก้มซีด
ลูนารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายไป…ไม่มีพลัง ไม่มีศักดิ์ศรี และไม่มีแม้แต่ความทรงจำที่อบอุ่นพอจะเก็บไว้ปลอบใจ แต่ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นคู่หนึ่งก็ดังขึ้นบริเวณบันไดหอคอย และประตูเหล็กของห้องเธอก็ถูกผลักออกอย่างแรง ชายผู้มีนัยน์ตาสีเลือดก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เซอร์รัส คาร์มิลเลียน
เขามองร่างที่นอนซมจนแทบไม่หายใจอยู่บนเตียง ร่างกายบอบบางของเธอดูเล็กลงราวกับจะจางหายไป
“ทำไม…” เสียงของเขาแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“…เจ้าถึงยังไม่ตาย?”
ดวงตาของลูนาเปิดขึ้นช้าๆ เธอจ้องเขาด้วยแววตาหม่นแสงริมฝีปากแห้งผากค่อยๆ ขยับ…
“เพราะข้ายังไม่ได้…แก้แค้น”และวินาทีนั้นเอง
สายลมในห้องก็พลันเย็นเฉียบจนแก้วน้ำบนโต๊ะแตกเสียงดัง เวทมนตร์…ตื่นขึ้นอีกครั้ง
แม้เธอจะป่วยใกล้ตาย แต่จิตใจของเธอแข็งแกร่งเกินจะดับลง เซอร์รัสเบิกตากว้างเขาเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นเองว่าผู้หญิงตรงหน้า ไม่ใช่เพียงภรรยาตามคำสัญญาแต่คือเปลวเพลิงแห่งคำสาป…
ที่หากเขาประมาทเพียงนิดเดียวทั้งอาณาจักรอาจจะลุกเป็นไฟ
ผ่านมาอีกวันกับความเจ็บปวดที่เหมือนตายทั้งเป็นเสียงลมหอนของค่ำคืนพัดกระทบหน้าต่างหอคอยอย่างแผ่วเบา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงจะมอบแสงให้โลกใบนี้ ลูนานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผ้าห่มบางคลุมกาย ผิวซีดไร้สีเลือด และริมฝีปากยังคงแห้งแตก ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง และเงาสูงของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
เซอร์รัส คาร์มิลเลียน เดินเข้ามาอย่างเงียบงันท่าทางของเขายังคงเย็นชา สายตาเรียบเฉยแต่นัยน์ตาสีเลือดของเขา…กลับฉายแววลังเลเขายืนอยู่ปลายเตียง มองหญิงสาวที่ยังมีลมหายใจแผ่วเบาอยู่ตรงหน้า
“พลังของเธอ…ยังไม่หมด”
เขาคิดในใจ น้ำเสียงของพ่อยังดังก้องในหู“หากนางยังเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวของเวท…นางต้องตาย”เขา…ควรจะรายงานมันทันทีแต่กลับยังไม่ทำและนั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง “ทรยศ” ต่อตระกูลของตัวเอง
“น่าสมเพช…” เซอร์รัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาเย็นยะเยือก
“เจ้ารู้ไหม ว่าข้าแปลกใจทุกครั้งที่ยังเห็นเจ้าไม่ตาย”
ลูนาลืมตาช้าๆ ดวงตาสีแดงอมม่วงอ่อนๆมีแต่ความอ่อนแรง…แต่แฝงไว้ด้วยประกายดุดัน
เธอจ้องเขา…นิ่ง และเย้ยหยัน
“เจ้ามาที่นี่เพื่อหวังว่าจะเห็นข้าหมดลมหายใจใช่ไหม?” เสียงของเธอแหบพร่า แต่ทุกคำพูดชัดเจนและแทงใจ
เซอร์รัสขมวดคิ้ว ดวงตาแดงฉานของเขาหรี่ลงเล็กน้อย
“ข้าคิดว่าเจ้าก็น่าจะรู้นะ ว่าเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบางเฉียบ…พลังของเจ้ากำลังกลับมา ไม่ใช่หรือ?”
“…แล้วจะทำไม?” ลูนาเอ่ยช้าๆ พร้อมรอยยิ้มเหี้ยม
“เจ้ากลัวงั้นหรือ เซอร์รัส? หรือเจ้ากำลังลังเลว่าจะไปฟ้องพ่อเจ้าดีไหม?”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง กำหมัดแน่น เธอเดาถูก
ลูนาเห็นแบบนั้นก็ยิ้มเย็น เสียงเธอเริ่มเข้มขึ้น ทั้งที่ยังนอนซม
“หากเจ้าคิดจะให้ข้าตาย ก็รีบจัดการเสียแต่ตอนนี้เลย…แต่ถ้ายังกล้าลังเล ก็แปลว่าเจ้ากลัวข้ามากกว่าที่เจ้ากล้ารับ”
คำพูดนั้นเหมือนมีดที่แทงเข้าใจกลางอกของชายหนุ่ม เซอร์รัสก้าวเข้ามาใกล้ เตียงสั่นจากแรงที่เขาตบขอบไม้ดัง “ปึง!”
“ข้ากลัวเจ้า?!” เสียงของเขาแทบคำราม
“อย่าหลงตัวเองนักลูนา! ข้าแค่ไม่อยากเปลืองมือกับคนที่ใกล้ตายอยู่แล้ว!”
แต่ลูนากลับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงยังไม่ละไปจากเขาแม้แต่วินาทีเดียว
“ถ้าเจ้ารอให้ข้าตาย…ก็คงผิดหวังหน่อยนะ เซอร์รัส
เพราะข้าจะอยู่…อยู่ให้นานพอจะทำให้เจ้าต้องก้มหัวให้ข้าในสักวัน” เขาชะงักไปทันทีและในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น…หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะหญิงสาวตรงหน้าที่ควรเป็นเพียง “ของแลกเปลี่ยน” ในสงคราม
กลับจ้องเขาอย่างเท่าเทียม ราวกับศัตรูที่คู่ควรจะประมือ…
เซอร์รัสหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเขาไม่อยากให้นางเห็นว่าในดวงตาของเขา…มีบางสิ่งกำลังสั่นไหวก่อนจะเดินออกไป เขาทิ้งประโยคสุดท้ายไว้
“หากเจ้าคิดจะใช้พลังอีกครั้ง…คราวนี้ข้าจะไม่อ่อนมือ”
และบานประตูหอคอย…ก็ปิดลงอย่างดัง ปังปล่อยให้ลูนานอนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางลมหายใจที่ยังอ่อนแรงแต่ในหัวใจของเธอมีแต่ความโศกเศร้าที่ไม่อาจแสดงออกมาได้
เปลวเพลิง…เพิ่งจะเริ่มลุกขึ้นอีกครั้ง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments