NovelToon NovelToon

เจ้าสาวในหอคอย

ขอแนะนำตัวละครงับ

คาร์มิลเลียน

หญิงสาวที่เสียครอบครัวตั้งแต่เด็กและถูกนำมาขังไว้ที่หอคอยเธอมีรูปร่างที่สวยใครเห็นก็หลงเสนห์

และคนต่อไป “เซอร์รัส คาร์มิลเลียน” บุตรแห่งลอร์ดไคอัส ชายผู้ที่ปากร้ายและเย็นชา

ดินแดนแห่งรัตติกาล…เคยมีสองตระกูลแวมไพร์ยิ่งใหญ่ที่ครองแผ่นดินผืนเดียวกัน

“อัลเธียร์” ตระกูลแห่งเวทมนตร์และวิญญาณ

“คาร์มิลเลียน” ตระกูลแห่งพละกำลังและเลือดบริสุทธิ์

สองเผ่าพันธุ์ไม่เคยอยู่ร่วมกันได้ ความขัดแย้งค่อยๆ สะสม กลายเป็นสงครามเลือดที่ยืดเยื้อกว่า 200 ปี…

กระทั่งในค่ำคืนอันโหดร้าย ดวงจันทร์เปล่งแสงสีแดงดั่งโลหิต…มันคือคืนสุดท้ายของตระกูลอัลเธียร์

เสียงกรีดร้องดังก้องทั่วปราสาทเวทแห่งอัลเธียร์ เปลวไฟเผาผลาญปีกตะวันออกของปราสาท เหล่าแวมไพร์แห่งคาร์มิลเลียนบุกเข้ามาด้วยฝีเท้าอำมหิต

“พ่อ…แม่…!”

เด็กหญิงวัยห้าขวบผู้มีนัยน์ตาสีแดงเรืองแสง สะอื้นอย่างหวาดกลัว เธอหลบซ่อนอยู่หลังม่านผ้า แต่สายตานั้นเห็นทุกอย่างเห็นพ่อแม่ของเธอถูกแทงทะลุหัวใจด้วยหอกโลหิต

ก่อนที่พ่อของเธอจะสิ้นใจ เขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเขาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้า “ลอร์ดไคอัส” ผู้นำแห่งตระกูลคาร์มิลเลียน

“ข้าขอร้อง…อย่าฆ่าลูกสาวข้า…” น้ำเสียงสั่นเครือ เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ลอร์ดไคอัสเลิกคิ้วอย่างเย็นชา “เธอคือลูกแห่งอัลเธียร์…สายเลือดแห่งเวทมนตร์สินะ”

‘‘ข้าต้องการให้เธอเป็นภรรยาของลูกเจ้าในอนาคตทุกอย่างจะเป็นของเจ้าโดยปราสจากคำสาปพวกเจ้าจะมีดินแดนที่สงบสุข ถ้าหากไม่ตกลงแม้กายข้าตายแผ่นดินที่ข้าเคยปกครองทุกอย่างจะมอดไหม้ไปในพริบตาตระกูลพวกเจ้าจะตายไม่เหลือสิ้นดี ‘‘พ่อของหญิงสาวเอ่ย

“งั้นก็ให้เธอ……ผูกตระกูลเราไว้ด้วยพันธะโลหิต…”

เสียงรอบด้านเงียบงัน แม้แต่นักรบของคาร์มิลเลียนยังชะงัก

“เงื่อนไขเดียว…” ไคอัสเอ่ยอย่างเด็ดขาด “เธอต้องไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกตลอดกาล…ถ้าหากมีแม้แต่แววแห่งพลัง ข้าจะเป็นคนลงมือฆ่าเธอด้วยตัวเอง”

พ่อของเธอพยักหน้ารับ…และในวินาทีนั้น หอกสุดท้ายก็แทงทะลุอกของเขา

ดวงตากลมโตของเด็กหญิงเต็มไปด้วยน้ำตา และจดจำทุกอย่างราวถูกสลักไว้ในเลือด…

สิบสามปีต่อมา

หอคอยเอลเลอเนียร์ หอคอยที่สูงที่สุดในแดนคาร์มิลเลียน

ที่นั่นคือที่คุมขังของ “ลูนา อัลเธียร์” แวมไพร์สาวผู้ไร้พลังเวทมนตร์ ถูกปิดผนึกพลังตั้งแต่วัยห้าขวบ และไม่เคยออกจากหอคอยแม้แต่ก้าวเดียว

เธอเติบโตอย่างเงียบงันในเงามืด…ภายใต้สายตาจับจ้องของเหล่าองครักษ์…ไม่มีใครคุยกับเธอ ไม่มีใครกล้าสบตาเธอ…

เว้นเสียแต่ชายคนหนึ่ง

“เซอร์รัส คาร์มิลเลียน” บุตรแห่งลอร์ดไคอัส ผู้ที่ถูกลิขิตให้เป็นสามีในอนาคตของเธอ

ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีแดงฉาน ผมออกดำออกน้ำตาลสนิทและออร่าของเลือดบริสุทธิ์ที่แรงกล้าจนทำให้ผู้คนรอบข้างต้องหลบสายตา

เขาไม่เคยยิ้มให้เธอ ไม่เคยพูดดีด้วย…แต่เขาก็มาเยี่ยมเธอทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง โดยไม่เคยขาดเลยสักครั้งเดียว

“เจ้าจำอะไรได้ไหม…ในคืนนั้น” เขาถามเธอในคืนหนึ่ง โดยไม่หันมามอง

ลูนาเพียงจ้องมองแผ่นหลังของเขา…และกระซิบเบาๆ

“ข้าจำได้ทุกอย่าง…รวมถึงเสียงของดาบที่พ่อเจ้าฆ่าพ่อข้าด้วย” ดวงตาสีแดงหันมาสบสายตากับดวงตาสีสีแดงออกม่วงนิดๆ…ความเงียบปกคลุมหอคอยอีกครั้ง

และในความเงียบนั้น…พันธะโลหิตก็เริ่มส่งเสียงเรียกของมันอีกครั้งหนึ่ง…

แดดสีเทาที่เล็ดลอดผ่านม่านเมฆหนาทึบของดินแดนคาร์มิลเลียน สาดลงมาบนหอคอยเอลเลอเนียร์ที่ตั้งตระหง่านดั่งเงาแห่งคำสาป

วันนี้…คือวันที่คำสั่งจากเบื้องบนถูกส่งมายังหอคอยสูงสุด ลูนา อัลเธียร์ จะได้รับอนุญาตให้ “ออกจากหอคอย” เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี

“เจ้าจะได้เดินในวังเป็นเวลาไม่เกินสองชั่วโมง”

เสียงของแม่บ้านชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ห้ามเดินออกนอกเขต ห้ามพูดกับใคร และอย่าคิดแม้แต่จะหนีแม้เพียงเศษเสี้ยวความคิด”

ลูนาไม่ตอบ เธอเพียงแต่มองออกไปยังหน้าต่าง…ภายนอกหอคอยยังคงเหมือนเดิมเย็นชา ห่างไกล และไร้หัวใจ แต่วันนี้…เธอจะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง

เสียงเปิดประตูไม้บานใหญ่ดังขึ้น

ร่างของหญิงสาววัยสิบแปดในชุดผ้าคลุมสีหม่น เดินออกมาด้วยกิริยาสงบเยือกเย็น

ผิวเธอขาวดั่งหิมะ นัยน์ตาสีแดงอมม่วงลึกล้ำดั่งต้องคำสาป เส้นผมสีบลอนด์ยาวสลวยพลิ้วไหวกับสายลมเย็นเฉียบของยามเช้า เมื่อเธอเดินผ่านเหล่าทหารและบริวารของวัง ไม่มีใครกล่าวคำทักทาย มีเพียงสายตานับสิบคู่จับจ้องอย่างระแวง ปนความรังเกียจ

บางคนกระซิบ…

“นั่นน่ะหรือ…นังแม่มดอัลเธียร์”

“เธอสวยก็จริง…แต่นั่นคือปีศาจในคราบราชินี”

“ลูกของศัตรูจะไม่มีวันเป็นราชินีพวกเราได้…”

ลูนาได้ยินทุกคำชัดเจน แต่เธอเพียงยืดตัวตรง และยิ้มบางๆ โดยไม่ตอบโต้อะไรเลย เธอคุ้นชินกับความเงียบ คุ้นชินกับการเป็นนักโทษแต่ไม่เคยชินกับแววตาเหล่านั้น

แววตาที่ทั้งเหยียดหยาม และ…หวาดหวั่นในเสน่ห์ของเธอ แม้ผู้คนจะรังเกียจเธอเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครละสายตาได้เลย เพราะเธอสวยเกินกว่าจะเป็นเพียงลูกหลานของศัตรู…

ณ ลานกลางวัง ท่ามกลางทหาร ข้าราชบริพาร และสายลมหนาว

“เซอร์รัส คาร์มิลเลียน” ยืนอยู่ตรงนั้น

ชายหนุ่มผู้มีผมดำขลับและดวงตาสีแดงฉาน จ้องมองร่างของหญิงสาวที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้

“หืม…ในที่สุดเจอกันในแสงแดดเสียที” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดนิดๆ ลูนาหยุดมองเขา นัยน์ตาสีแดงอมม่วงไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย

“ท่านดูผิดหวังที่ข้าไม่ตายอยู่ในหอคอย”

“ไม่หรอก” เซอร์รัสยิ้มเย็น “เพราะข้ายังไม่ได้ทำให้เจ้าทรมานมากพอด้วยซ้ำ”

“ข้าก็หวังเช่นกัน…” เธอตอบด้วยเสียงเรียบ “เพราะหากมันทรมานพอ…ข้าอาจจะได้ลืมภาพวันที่พ่อเจ้าฆ่าพ่อข้าและแม่ข้าเสียที”

ความเงียบโรยตัวลงท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดผู้คนรอบข้างไม่กล้าหายใจแรง แต่ก็ยังจับจ้องพวกเขาทั้งคู่อย่างอดไม่ได้ เพราะแม้จะเป็นศัตรูกันเพียงใด

ทั้ง “ลูนา อัลเธียร์” และ “เซอร์รัส คาร์มิลเลียน”

กลับเป็นภาพสะกดสายตาของทั้งวังราวกับคำทำนายที่เคยกล่าวไว้…

“เมื่อเลือดของสองตระกูลผสานกัน…โลกของเงามืดจะเปลี่ยนแปลงตลอดกาล” แต่ใครจะรู้ว่า…

การพบกันในวันนี้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของพลังที่เกินกว่าทุกคนจะควบคุมได้…

หอคอย

‘‘เจ้าจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้”

เสียงขององครักษ์ผู้หนึ่งดังขึ้นขณะส่งชุดราตรีผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มให้ลูนา

หญิงสาวรับมันมาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

“ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสังคมมา 13 ปี…แล้วจู่ๆ ก็จะให้ไปร่วมงานเลี้ยงงั้นหรือ”

“มันคือคำสั่งจากลอร์ดไคอัส…เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”

ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์คาร์มิลเลียนเรืองแสงด้วยเปลวเทียนสีเลือด เสียงดนตรีคลาสสิกล่องลอยปนกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเหล่าแวมไพร์ชนชั้นสูง

พวกเขามาจากตระกูลต่างๆ ที่อยู่ใต้การปกครองของคาร์มิลเลียน แต่สิ่งที่ทุกสายตาจับจ้องในค่ำคืนนี้…ไม่ใช่ไวน์เลือดชั้นดี หรือเครื่องเพชรจากแดนเหนือแต่คือหญิงสาวผู้ถูกขนานนามว่า “แม่มดแห่งอัลเธียร์” ที่ปรากฏตัวท่ามกลางแสงไฟ

ลูนาในชุดราตรีสีเลือด มีผ้าคลุมบางเบาสีดำสนิทปกคลุมไหล่เส้นผมสีบรอนซ์ถูกรวบขึ้นเผยลำคอขาวดั่งหยกดวงตาสีแดงอมม่วงนิดๆที่ไร้อารมณ์กลับดูลึกลับจนไม่มีใครกล้าสบตานานเกินห้าวินาที

และผู้ที่ยืนรออยู่ที่แท่นสูงสุดของห้อง…คือชายผู้หนึ่งที่ทำให้บรรยากาศทั้งงานสงบลงทันทีที่เขาขยับปลายนิ้ว เซอร์รัส คาร์มิลเลียน

เจ้าของดวงตาสีเลือดที่กำลังจ้องหญิงสาวอย่างไม่ปิดบังความเย็นชา

“ในที่สุดเจ้าก็รู้จักแต่งตัวให้สมกับเป็นคู่หมั้นของข้า”

“ไม่ใช่เพราะข้าอยากทำ” ลูนาตอบเสียงเรียบ “แต่ข้าเบื่อชุดนักโทษเต็มทีแล้ว”

เซอร์รัสหัวเราะในลำคอ พลางโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูของเธอ

“ถ้าเจ้าอยากเป็นอิสระ…ก็จงทำตัวให้น่ามองไว้ก่อนจะเป็นของข้า”

ลูนาข่มอารมณ์ ไม่ตอบโต้อะไรอีก

เพราะในใจของเธอ…รู้ดีว่า ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในและเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง…

ภายในงาน

สายตาของเหล่าชนชั้นสูงต่างมองเธอด้วยทั้งความหลงใหลและริษยาหลายคนเอ่ยกระซิบ

“ดูสิ…เธอเหมือนเจ้าหญิงต้องคำสาป”

“ถ้าเธอไม่ใช่ลูกหลานของศัตรู…ข้าคงหลงรักไปแล้ว”

แต่เสียงหนึ่งที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุด…ก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง

“นานแล้วนะ ลูน่า…เจ้าจำข้าได้ไหม?

ลูนาเบือนหน้าไป และดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยชายหนุ่มคนหนึ่งยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น เขามีผมสีทองซีด ดวงตาสีฟ้าใสราวกับไม่ใช่แวมไพร์…

ไลโอเนล บุตรชายคนรองของตระกูลรองอันดับหนึ่งที่เคยร่วมรบกับอัลเธียร์ในอดีต เขาเป็นเพียงเด็กชายที่เคยยิ้มให้เธอครั้งสุดท้าย ก่อนสงครามจะพรากทุกสิ่งไป

“เจ้ากลับมายิ้มอีกครั้งแล้วสินะ” ไลโอเนล กระซิบแผ่ว “ข้ายังจำสายตาเจ้าตอนร้องไห้ได้เลย”

ก่อนที่ลูนาจะตอบอะไร เซอร์รัสก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเธออีกครั้ง และ…คว้าแขนเธอแน่น

“เจ้าจะคุยกับใครก็ได้ แต่ไม่ใช่กับมัน”

“ท่านไม่มีสิทธิ์…!” ลูนาหันมาจะเถียง แต่…

ทันใดนั้น…เธอรู้สึกปวดหัวรุนแรง ภาพรอบตัวเริ่มสั่นไหว

เสียงในหัวกระซิบ

“ลูนา…เวลาของเจ้าใกล้ถึงแล้ว…ปลุกพลังของเจ้าสิ…”

ดวงตาสีแดงอมม่วงเริ่มส่องประกายอย่างผิดปกติ…และในพริบตา ไฟจากตะเกียงเวททั้งห้อง ก็ดับลงพร้อมกันโดยไร้คำอธิบาย ทุกคนหยุดนิ่ง เหล่าทหารชักอาวุธ ดวงตาเซอร์รัสหรี่ลงอย่างคาดเดาไม่ได้

ลูนายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด…หอบหายใจแรงเธอไม่ได้ร่ายเวท…เธอไม่ได้คิดจะปลุกพลัง…

แต่พลังนั้น…กำลังปลุกตัวมันเองจากความโกรธ ความกลัว…และความเจ็บปวดที่ถูกกดทับมาตลอด 13 ปี

ตอนที่2

เธอใช้เวท!”

เสียงตะโกนของแม่ทัพคนหนึ่งดังก้องกลางห้องโถง ทันทีที่ไฟเวทดับลงโดยไร้สาเหตุ ดวงตาทุกคู่เบิกกว้าง จ้องมองร่างของหญิงสาวผมบลอนด์ที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางความมืดที่แผ่กระจายไปราวคลื่นอสูร

เซอร์รัสหันขวับไปมองลูนา ดวงตาแดงฉานของเขาฉายแวววูบไหว

“เจ้าทำอะไร?” เสียงของเขาต่ำและเย็นเฉียบจนแม้แต่นักรบยังกลืนน้ำลายไม่ลง

“ข้า…ไม่ได้ทำ…”

ลูนาพยายามพูด เสียงเธอสั่น และแผ่นอกขยับขึ้นลงด้วยลมหายใจที่ควบคุมไม่อยู่ เธอรู้…ว่าพลังเวทบางอย่างในกายตื่นขึ้น แต่เธอไม่ได้ร่ายเวท ไม่ได้กระทำ ไม่ได้แม้แต่จะตั้งใจ!

“จับตัวเธอไว้” เสียงของลอร์ดไคอัสดังขึ้นเหนือหัว เหมือนคำพิพากษาจากเงามืด ทหารแวมไพร์ในชุดเกราะโลหิตพุ่งเข้ามา

แขนของลูนาถูกตรึงด้วยโซ่เวทสีดำสนิท ร่างของเธอทรุดลงกับพื้นหินเย็นยะเยือก พร้อมเสียงกระซิบจากผู้คนรอบด้าน

“คำสาปมันเริ่มแล้ว…”

“แม่มดนั่น…นางกำลังจะตื่นขึ้น”

ลูนาถูกลากตัวไปยังห้องลงทัณฑ์ใต้ดินลึกสุดของคฤหาสน์คาร์มิลเลียน

ไม่ใช่ในฐานะเจ้าสาวของทายาท แต่ในฐานะ นักโทษผู้ละเมิดพันธะโลหิต พันธะที่พ่อของเธอแลกมาด้วยชีวิต…กำลังถูกฉีกทิ้ง

ห้องลงทัณฑ์ใต้ดินลึกสุดของคฤหาสน์คาร์มิลเลียนเย็นเฉียบจนลมหายใจกลายเป็นไอขาว

เธอถูกตรึงไว้กลางห้องบนแท่นหิน ถูกมัดด้วยโซ่ที่ออกแบบมาเพื่อพันธนาการแวมไพร์ผู้มีเวท

ร่างของเธอสั่นเทิ้ม เส้นผมบลอนด์กระจายบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงประตูห้องเปิดออก…และเซอร์รัสก็เดินเข้ามาช้าๆเขาไม่ได้แต่งตัวหรูหราเช่นในงานเลี้ยงแต่ใบหน้ากลับไร้ความอ่อนโยนใดๆ ทั้งสิ้น

“เจ้ารู้ไหมว่า ถ้าเป็นใครอื่น…ข้าคงฆ่าไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ ขณะเดินวนรอบแท่นหินที่เธอถูกมัดไว้

ลูนาจ้องเขาด้วยดวงตาสั่นไหว

“ข้าไม่ได้…ข้าสาบาน…ข้าไม่ได้ร่ายเวท…มันแค่…มันเกิดขึ้นเอง…”เซอร์รัสชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนก้าวเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหูเธอ

“ถ้าเจ้าโกหก…เจ้าจะไม่ได้เห็นแสงวันพรุ่งนี้”

ลูนาเม้มปากแน่น กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อเธอไม่ร้อง ไม่อ้อนวอน เพราะศักดิ์ศรีของเลือดอัลเธียร์…จะไม่ยอมให้เธอร้องขอแม้แต่ชีวิตของตัวเอง แต่เซอร์รัส…กลับยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา

“…ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

ลูนาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“เจ้าจะถูกลงโทษด้วยวิธีของคาร์มิลเลียน ไม่ใช่เพราะข้าเมตตา แต่เพราะเจ้ายังมีประโยชน์อยู่”

และทันใดนั้น…

เขาชักมีดพิธีกรรมขนาดเล็กออกมา และกรีดลงบนฝ่ามือของเธอช้าๆ เลือดสีแดงเข้มไหลริน…

นั่นคือการ “ผนึกซ้ำ” พิธีกรรมที่รุนแรงกว่าการผนึกเวทครั้งแรก

เจ็บปวดยิ่งกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเจอมา

ดวงตาของลูนาเบิกกว้าง เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่กัดกินตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงกระดูกสันหลัง

เวทมนตร์ของเธอ…ถูกผนึกใหม่แต่คราวนี้ มันเจ็บยิ่งกว่าตายเป็นร้อยครั้ง เซอร์รัสจ้องมองเธอเงียบๆและแม้เขาจะไม่พูด…แต่แววตานั้น มีบางสิ่งปนเปื้อนอยู่ บางสิ่งที่อันตรายกว่าเวทมนตร์ใดๆ

เสียงลมหอนของคืนเดือนมืดพัดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆราวกับกำลังร่ำไห้แทนใครบางคน

ร่างของหญิงสาวผู้ถูกล่ามด้วยโซ่เวทนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาสีแดงอมม่วงที่เคยเปล่งประกายกลับหลับพริ้มโดยไม่มีทีท่าจะลืมขึ้นมาอีก

ลูนา อัลเธียร์…กำลังจะตาย

ร่างกายของเธออ่อนแอจากการถูกผนึกเวทซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลือดของแวมไพร์บริสุทธิ์ไม่อาจฟื้นตัวได้ หากหัวใจยังเต็มไปด้วยบาดแผลทางจิตวิญญาณ

แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นเพราะต่อให้เธอตาย ก็ไม่มีใครจะร้องไห้ให้เธออยู่ดี แม่บ้านคนเดิมเดินเข้ามาตรวจอาการเธอในยามรุ่งสาง ดวงตาเหี่ยวย่นหรี่ลงขณะสัมผัสผิวกายเย็นเฉียบของลูนา

“อุณหภูมิร่างกายตกต่ำเกินไป…แม้แต่เลือดยังไม่ไหลเวียน”

นางถอนหายใจ ก่อนจะกระซิบเสียงเบา

“เด็กโง่…แค่เงียบอยู่ในเงามืดไปตลอดก็คงรอดแล้วแท้ๆ”

ไม่นานมากนัก คำสั่งจากลอร์ดไคอัสถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว

“ให้ขังเธอและส่งกลับหอคอยห้ามมีผู้ใดเข้าเยี่ยม ห้ามให้เลือด ห้ามรักษา หากจะรอด…ก็ให้รอดด้วยตัวเอง”

นั่นคือโทษทัณฑ์สุดท้ายของบุตรสาวแห่งตระกูลศัตรูแวมไพร์สาวผู้เป็นเพียงพันธะในเงื่อนไขเก่าแก่

สองวันต่อมา

ร่างของลูนาถูกลำเลียงกลับขึ้นหอคอยสูงสุดอีกครั้งด้วยรถม้าเวทไม่มีใครกล้าสัมผัสเธอ ไม่มีใครเอ่ยแม้แต่คำพูดดีๆ สักคำเดียว

แม้แต่เซอร์รัส…ก็ไม่มา

เขาหายตัวไปหลังจากพิธีกรรมผนึกจบลง ไม่มีใครเห็นเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร

ค่ำคืนนั้น ห้องเดิม ผนังเดิม ลมหนาวเดิมๆ …

ลูนาได้แต่นอนตัวสั่นบนเตียงไม้เก่า โดยมีเพียงแสงจันทร์สีเทาเลือนรางลอดผ่านลูกกรงหน้าต่าง หัวใจของเธอเต้นแผ่วเบา

ความหนาวเยือกเข้าแทนที่เลือดในกาย ราวกับความตายกำลังกระซิบอยู่ข้างหู

“เจ้าถูกลืมแล้ว…ลูนา อัลเธียร์”

“ไม่มีใครต้องการเจ้า ไม่มีใครเชื่อใจเจ้า…”

“แม้แต่เขา…ผู้ที่เจ้าถูกบังคับให้เป็นของเขา…ก็ไม่กลับมา”

น้ำตาอุ่นหยดหนึ่งไหลลงข้างแก้มซีด

ลูนารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายไป…ไม่มีพลัง ไม่มีศักดิ์ศรี และไม่มีแม้แต่ความทรงจำที่อบอุ่นพอจะเก็บไว้ปลอบใจ แต่ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นคู่หนึ่งก็ดังขึ้นบริเวณบันไดหอคอย และประตูเหล็กของห้องเธอก็ถูกผลักออกอย่างแรง ชายผู้มีนัยน์ตาสีเลือดก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เซอร์รัส คาร์มิลเลียน

เขามองร่างที่นอนซมจนแทบไม่หายใจอยู่บนเตียง ร่างกายบอบบางของเธอดูเล็กลงราวกับจะจางหายไป

“ทำไม…” เสียงของเขาแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

“…เจ้าถึงยังไม่ตาย?”

ดวงตาของลูนาเปิดขึ้นช้าๆ เธอจ้องเขาด้วยแววตาหม่นแสงริมฝีปากแห้งผากค่อยๆ ขยับ…

“เพราะข้ายังไม่ได้…แก้แค้น”และวินาทีนั้นเอง

สายลมในห้องก็พลันเย็นเฉียบจนแก้วน้ำบนโต๊ะแตกเสียงดัง เวทมนตร์…ตื่นขึ้นอีกครั้ง

แม้เธอจะป่วยใกล้ตาย แต่จิตใจของเธอแข็งแกร่งเกินจะดับลง เซอร์รัสเบิกตากว้างเขาเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นเองว่าผู้หญิงตรงหน้า ไม่ใช่เพียงภรรยาตามคำสัญญาแต่คือเปลวเพลิงแห่งคำสาป…

ที่หากเขาประมาทเพียงนิดเดียวทั้งอาณาจักรอาจจะลุกเป็นไฟ

ผ่านมาอีกวันกับความเจ็บปวดที่เหมือนตายทั้งเป็นเสียงลมหอนของค่ำคืนพัดกระทบหน้าต่างหอคอยอย่างแผ่วเบา ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวงจะมอบแสงให้โลกใบนี้ ลูนานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผ้าห่มบางคลุมกาย ผิวซีดไร้สีเลือด และริมฝีปากยังคงแห้งแตก ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง และเงาสูงของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

เซอร์รัส คาร์มิลเลียน เดินเข้ามาอย่างเงียบงันท่าทางของเขายังคงเย็นชา สายตาเรียบเฉยแต่นัยน์ตาสีเลือดของเขา…กลับฉายแววลังเลเขายืนอยู่ปลายเตียง มองหญิงสาวที่ยังมีลมหายใจแผ่วเบาอยู่ตรงหน้า

“พลังของเธอ…ยังไม่หมด”

เขาคิดในใจ น้ำเสียงของพ่อยังดังก้องในหู“หากนางยังเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวของเวท…นางต้องตาย”เขา…ควรจะรายงานมันทันทีแต่กลับยังไม่ทำและนั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง “ทรยศ” ต่อตระกูลของตัวเอง

“น่าสมเพช…” เซอร์รัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาเย็นยะเยือก

“เจ้ารู้ไหม ว่าข้าแปลกใจทุกครั้งที่ยังเห็นเจ้าไม่ตาย”

ลูนาลืมตาช้าๆ ดวงตาสีแดงอมม่วงอ่อนๆมีแต่ความอ่อนแรง…แต่แฝงไว้ด้วยประกายดุดัน

เธอจ้องเขา…นิ่ง และเย้ยหยัน

“เจ้ามาที่นี่เพื่อหวังว่าจะเห็นข้าหมดลมหายใจใช่ไหม?” เสียงของเธอแหบพร่า แต่ทุกคำพูดชัดเจนและแทงใจ

เซอร์รัสขมวดคิ้ว ดวงตาแดงฉานของเขาหรี่ลงเล็กน้อย

“ข้าคิดว่าเจ้าก็น่าจะรู้นะ ว่าเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบางเฉียบ…พลังของเจ้ากำลังกลับมา ไม่ใช่หรือ?”

“…แล้วจะทำไม?” ลูนาเอ่ยช้าๆ พร้อมรอยยิ้มเหี้ยม

“เจ้ากลัวงั้นหรือ เซอร์รัส? หรือเจ้ากำลังลังเลว่าจะไปฟ้องพ่อเจ้าดีไหม?”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง กำหมัดแน่น เธอเดาถูก

ลูนาเห็นแบบนั้นก็ยิ้มเย็น เสียงเธอเริ่มเข้มขึ้น ทั้งที่ยังนอนซม

“หากเจ้าคิดจะให้ข้าตาย ก็รีบจัดการเสียแต่ตอนนี้เลย…แต่ถ้ายังกล้าลังเล ก็แปลว่าเจ้ากลัวข้ามากกว่าที่เจ้ากล้ารับ”

คำพูดนั้นเหมือนมีดที่แทงเข้าใจกลางอกของชายหนุ่ม เซอร์รัสก้าวเข้ามาใกล้ เตียงสั่นจากแรงที่เขาตบขอบไม้ดัง “ปึง!”

“ข้ากลัวเจ้า?!” เสียงของเขาแทบคำราม

“อย่าหลงตัวเองนักลูนา! ข้าแค่ไม่อยากเปลืองมือกับคนที่ใกล้ตายอยู่แล้ว!”

แต่ลูนากลับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงยังไม่ละไปจากเขาแม้แต่วินาทีเดียว

“ถ้าเจ้ารอให้ข้าตาย…ก็คงผิดหวังหน่อยนะ เซอร์รัส

เพราะข้าจะอยู่…อยู่ให้นานพอจะทำให้เจ้าต้องก้มหัวให้ข้าในสักวัน” เขาชะงักไปทันทีและในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น…หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะหญิงสาวตรงหน้าที่ควรเป็นเพียง “ของแลกเปลี่ยน” ในสงคราม

กลับจ้องเขาอย่างเท่าเทียม ราวกับศัตรูที่คู่ควรจะประมือ…

เซอร์รัสหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเขาไม่อยากให้นางเห็นว่าในดวงตาของเขา…มีบางสิ่งกำลังสั่นไหวก่อนจะเดินออกไป เขาทิ้งประโยคสุดท้ายไว้

“หากเจ้าคิดจะใช้พลังอีกครั้ง…คราวนี้ข้าจะไม่อ่อนมือ”

และบานประตูหอคอย…ก็ปิดลงอย่างดัง ปังปล่อยให้ลูนานอนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางลมหายใจที่ยังอ่อนแรงแต่ในหัวใจของเธอมีแต่ความโศกเศร้าที่ไม่อาจแสดงออกมาได้

เปลวเพลิง…เพิ่งจะเริ่มลุกขึ้นอีกครั้ง

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!