...ตอนที่2...
มาวินยังคงยืนอยู่อย่างงุนงง สมองพยายามประมวลผลสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ร่างกายกลับตอบสนองก่อน ดวงหน้าแดงซ่าน ความร้อนวิ่งแล่นขึ้นมาจนรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้
"นี่... เธอ..." เสียงของเขาสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเพียงความฝัน
อีกฝ่ายมองมา ดวงตาฉายแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
"หืม? ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?
"เธอ... เธอจูบเรา!" เสียงที่เอ่ยออกมามีทั้งความตกใจและความไม่เชื่อปะปนกัน
"ก็ใช่น่ะสิ" น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด
"เจนเป็นอะไร หรือยังไม่พอ"
มาวินในตอนนี้อ้าปากจะเถียง แต่กลับพูดไม่ออก สมองยังวุ่นวาย หัวใจยังเต้นแรงจนเจ็บแปลบไปหมด มือเผลอยกขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ราวกับต้องการยืนยันว่าความรู้สึกเมื่อครู่เป็นของจริง
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ "หรือว่า... จะให้เมทำอีกครั้งดีคะ?
หัวใจของเขากระตุกวูบ ดวงตาเบิกกว้างขึ้น รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่แรงโน้มถ่วงหรือโชคชะตากลับไม่เข้าข้าง เมื่อเท้าสะดุดอะไรบางอย่างจนเสียหลัก
และก่อนที่เขาจะล้มลงไป อ้อมแขนอีกฝ่ายก็คว้าตัวเขาไว้แน่น ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
"ระวังหน่อยสิ"
เขาเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายยังคงอยู่ใกล้เหลือเกิน... ใกล้จนแทบจะรู้สึกถึงจูบที่ยังหลงเหลืออยู่บนริมฝีปากของตัวเอง ลมหายใจสะดุด ร่างกายแข็งค้างในอ้อมแขนนั้น ทุกอย่างเงียบงันไปชั่วขณะ มีเพียงจังหวะหัวใจที่เต้นโครมครามในอก
" จะ..จะถอยไปได้หรือยัง
คนตรงหน้าเมื่อได้ยินแบบนั้นแทนที่จะยอมปล่อยแต่กลับยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังสนุกกับปฏิกิริยาของเขา
"ทำไมล่ะ? หน้าแดงเชียว" หรือว่าดีใจที่ตื่นมาแล้วได้จูบเมเป็นคนแรก
" ดะ..ดีใจบ้าอะไร เขาตอบสวนกลับไปทันที แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าใบหน้าตัวเองร้อนแทบไหม้
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออก แล้วปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แต่ไม่ทันได้ตั้งตัวดี มือของอีกฝ่ายกลับเลื่อนขึ้นมาแตะปลายคางของเขาอย่างแผ่วเบา
"รู้อะไรมั้ย ตอนเธอทำหน้าแบบนี้มันโครตน่ารักเลย
มาวินกัดริมฝีปากแน่น หัวใจยังเต้นแรงจนแทบควบคุมไม่อยู่ แต่แทนที่จะตอบโต้ เขากลับตัดสินใจเดินหนีออกมาแทน
"เดี๋ยวสิเจน" เสียงของอีกฝ่ายดังไล่ตามหลังมา
เอาไงดีวะมาวินจะหนีไปจากสถานะการนี้ยังไงดี ควรบอกไปหรือเปล่าว่าเราไม่ใช่คนชื่อเจนอะไรนั่น ไม่สิแต่ถึงจะบอกไปแล้วใครมันจะเชื่อก่อนเรื่องแบบนี้เป็นไปแทบไม่ได้เลยนะ
"นี่เมเราปวดหัวอ่ะ อยากนอนพักหน่อย
เอาวะมีแต่วิธีนี้แหละที่จะเอาตัวรอดไปได้ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าให้เมไปตามพยาบาลมั้ย
"ไม่! ไม่เป็นอะไรหรอกแค่นอนพักเดี๋ยวก็หาย ขอบคุณนะ
" งั้นเมกลับก่อนดีกว่าเจนจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้เมมาใหม่นะคะ
เห้อไปได้สักที เอาไงต่อดีวะร่างผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมเราถึงมาอยู่ในร่างเธอ ต้องหาวิธีกลับร่างตัวเองให้เร็วที่สุดแต่ก่อนอื่นหนีจากที่นี่ก่อนดีกว่า
ประตูห้องพยาบาลถูกผลักออกช้าๆ เสียงบานพับเสียดสีกันแผ่วเบา ร่างที่เดินออกมาหยุดยืนชั่วครู่ สายตาล่องลอยทอดมองไปข้างหน้า ลมหายใจหนักหน่วงก่อนจะผ่อนออกช้าๆ ราวกับต้องการปลดปล่อยบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในอก
ฝีเท้าแรกที่ก้าวออกไปเต็มไปด้วยความลังเล แต่แล้วก็เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ไม่หันกลับไปมองเบื้องหลังอีก ทางเดินที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นเย็นเฉียบสะท้อนก้องไปทั่ว ความอึดอัดบางอย่างติดค้างอยู่ในอกไม่ใช่เพราะบาดแผล แต่เป็นเพราะสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องนั้น
เมื่อพ้นจากเขตห้องพยาบาล ลมเย็นจากภายนอกพัดต้องใบหน้า ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม แต่ไม่มีเหตุผลที่จะหยุด ไม่มีเหตุผลให้หันกลับไปอีกแล้วต้องเอาชีวิตของเรากลับมาให้ได้
จริงสิเราหยิบมือถือของยัยนี่มาด้วยหนิขอดูช่องทางติดต่อคนอื่นหน่อยแล้วกัน ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอมือถือที่เย็นเฉียบ ราวกับอุณหภูมิของมันตัดกับไออุ่นจากฝ่ามือ หน้าจอสว่างวาบขึ้น สะท้อนแสงจางๆ บนใบหน้า แววตาฉายแววลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปแตะที่ไอคอนแชท
อะไรกันเนี่ยยัยเจนคนนี้ไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยหรอทำไมมีแต่คนชื่อเมที่คุยด้วย ต้องเป็นพวกเก็บตัวหรือไม่ก็มีปัญหากับการเข้าสังคมแน่ๆแม้แต่รูปตัวเองก็ยังไม่มีเลยนี่หว่า
สายลมยามเย็นพัดผ่านเบาๆ แสงไฟริมถนนทอดเงาลงบนพื้นซีเมนต์ เสียงเครื่องยนต์ของรถที่แล่นผ่านดังเป็นระยะ แต่ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น จิตใจกลับว่างเปล่า สายตากวาดมองไปตามถนน ฝั่งตรงข้ามมีรถเมล์คันหนึ่งกำลังแล่นมาอย่างเชื่องช้า ไฟหน้าส่องสว่างท่ามกลางความมืด รถคันนี้มีปลายทางอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ในจังหวะนั้น มันเหมือนเป็นทางเลือกเดียวที่มี
นี่เราจะไปไหนดีกลับห้องตัวเองหรอด้วยสภาพแบบนี้เนี่ยนะถ้าบังเอิยไปเจอยัยเมจะตอบว่าไงคงแปลกน่าดู หรือต่อให้กลับบ้านเจ้าของร่างก้ไม่รู้อยู่ที่ไหนอีกซวยจริงๆเลย
เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังครืดคราดเป็นจังหวะ แสงไฟถนนลอดผ่านกระจกเป็นเงาสลัวๆ ผู้โดยสารบางตา มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ และเสียงยางบดกับถนนที่เติมเต็มบรรยากาศเงียบงัน แต่จู่ๆ เสียงทุ้มแหบพร่าก็ดังขึ้นจากที่นั่งข้างๆ
"กลับบ้านหรอสาวน้อย?
ชายคนนั้นเอนตัวเข้ามาใกล้ตัว กลิ่นบุหรี่จางๆ ปะปนมากับกลิ่นเหงื่ออับชื้น แขนเสื้อของเขาขยับเล็กน้อยก่อนที่เสียงนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง
"ว่าไงทำไมไม่ตอบล่ะ?
สายตาตวัดมองอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด กรามกัดแน่นข่มอารมณ์ที่เริ่มเดือด มือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นเริ่มเกร็งขึ้น เขาพยายามข่มอารมณ์ไว้ให้มากที่สุด
" แล้วยุ่งอะไรด้วยนี่ลุงออกๆไปไกลๆดิ๊
พูดไปก็เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้รับการเตือนอะไรเลยสักนิด กลับกันยงส่งยิ้มแปลกๆกลับมาอีก
"แหม่คุณหนูไม่เห็นต้องพุดจาแรงๆใส่กันเลย แค่อยากคุยด้วยเฉยๆเอง
อารมณ์ขุ่นมัวปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่
"พูดฟังไม่รู้เรื่องหรือไงวะ บอกให้ไปไกลๆ
เสียงกระแทกชัดเจนจนคนอื่นบนรถเริ่มหันมามอง บางคนทำเป็นไม่สนใจ แต่บางสายตาก็เริ่มจับจ้องมาที่ตรงนี้จนอีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แบบน่าขนลุก
"โมโหง่ายจังเลยนะคนสวย
เพื่อตัดปัญหาเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นทันที พยายามเปลี่ยนที่นั่ง หรือถ้าไม่ได้ ก็เตรียมกดกริ่งลงจากรถเมล์ทันทีขณะกำลังจะลุกขึ้นทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงฉุดรั้งที่ข้อมือ
"เดี๋ยวจะรีบไปไหน
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆ แต่ชัดเจนพอให้ฉันชะงัก รู้ตัวอีกที มือแข็งแรงของเขาก็จับข้อมือไว้แน่นพอให้หยุด แต่ไม่แรงจนเจ็บ สัมผัสนั้นร้อนกว่าที่คิด ตัดกับอากาศเย็นจากแอร์บนรถเมล์จนรู้สึกแปลกๆ นี่ถ้าเป็นร่างกายของเราจริงๆไอลุงเวรนี่ได้ลงไปนอนกับพื้นแล้ว
"ปล่อย
"นั่งด้วยกันก่อนสิคนสวย
ยังไม่ทันที่จะออกแรงเพิ่มเพื่อสะบัดหนี จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง
"มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ
เสียงนั้นนิ่งแต่ทรงพลัง เพียงได้ยินเท่านั้น ไอ้โรคจิตที่นั่งอยู่ ก็ชะงัก แล้วหันไปมองคนที่เข้ามาแทรกอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคาย ดวงตาเข้มที่จ้องมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่กดดัน บรรยากาศรอบตัวเขาเงียบขรึมจนรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ทำให้คนตรงหน้าชะงักไป
"ผมถามว่ามีปัญหาอะไร" เขาย้ำอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงต่ำกว่าเดิม
โรคจิตถึงกับหัวเราะแห้งและเบือนหน้าหนีทันที
"ไม่มีอะไรหรอกก็แค่คุยเล่นกันเฉยๆ" มันพึมพำก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือที่จับ แล้วลุกเดินไปนั่งที่อื่นในที่สุด
เราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความรู้สึกหนักอึ้งในอกค่อยๆ คลายลง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนอยู่ สายตาของเขามองเราอย่างสำรวจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
"เธอโอเคใช่มั้ย
เราได้แต่พยักหน้าเบาๆเป็นการสื่อสารออกไป
"งั้นก็ดีแล้วครับ
"ขอบคุณครับ
"ครับ?
เวรแล้วไอวินลืมตัวไปเลยว่าเราตอนนี้อยุ่ในร่างผู้หญิง
"เอ่อพอดีว่าจะพูดว่าขอบคุณนะคะ แปลกจังเลยนะพูดอะไรออกไป เราได้แต่หัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่พูดไป
" ไม่หรอกครับผู้หญิงพูดครับมีเยอะแยะไป ผมเข้าใจ
"อ่อค่ะดีจังเลย
ชายหนุ่มพยักหน้ากลับเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวถอยเหมือนจะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง แต่แล้วก็หยุดกลางคันแล้วหันกลับมาถามเสียงนิ่งๆอีกครั้ง
"จะลงป้ายไหน
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเขาถามทำไม แต่ก็ตอบไปก่อนเพราะเราก็ไม่รู้จะลงที่ไหนเหมือนกัน
" อีกสองป้ายค่ะ
ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพูดสั้นๆ
"ฉันชื่อคิริน เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนจนลง"
คำพูดเรียบง่าย แต่กลับทำให้ความรู้สึกกดดันในอกเบาลงอย่างน่าประหลาด…
เสียงเบรกของรถเมล์ดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่มันจะชะลอจอดที่ป้าย ฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบกระเป๋ามาสะพายแล้วก้าวไปที่ประตูด้านหน้า คิรินลุกตามมาห่างๆ โดยไม่พูดอะไร
ก้าวแรกที่เหยียบลงบนฟุตบาท ฉันสูดลมหายใจลึกๆ ราวกับเพิ่งหลุดพ้นจากบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันเดินไปไหน ก็รู้สึกถึงแรงสะกิดเบาๆ ที่ต้นแขน พอหันกลับไปนั้นก้เห็นคิรินยืนอยู่ตรงนั้น
"บ้านอยู่แถวนี้หรอ
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย
"อ่า..อีกนิดก้ถึงแล้ว
คิรินมองไปรอบๆ ถนนยังมีรถผ่านไปมาแต่คนเดินกลับบางตา เขาขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนพูดขึ้นเสียงเรียบ
"ให้ไปส่งไหม
ไม่รู้เพราะอะไรดลใจให้เราตอบไปแบบนั้นบางทีมันอาจจะเป็นจิตสำนึกของผู้หญิงคนนี้ก็ได้
"อืม แค่ถึงหน้าซอยก็พอ" ฉันตอบกลับเบาๆ
คิรินไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้า แล้วเดินไปข้างๆฉัน จังหวะการก้าวเท้าของเขาสม่ำเสมอ ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป แต่มั่นคงพอให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้…
ระหว่างเดินก็มีเสียงข้อความดังขึ้นมาจากมือถือในกระเป่า ติีง
—"เม"
"เป็นห่วงจัง คิดถึงด้วยเจนทำอะไรอยุ่
ข้อความสั้นๆ แต่ทำให้ฉันหยุดเดินไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัว ความอบอุ่นแปลกๆ แทรกซึมเข้ามาท่ามกลางอากาศเย็นยามค่ำคืน
"เป็นอะไร เสียงของคิรินเอ่ยถามขึ้น
ฉันเงยหน้ามองเขา ดวงตาคมสบมาอย่างสงสัยเล็กน้อย ไม่ได้กดดันแต่เหมือนแค่ต้องการรู้ว่าฉันโอเคไหม
ฉันส่ายหน้าเบาๆ พลางเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า "เปล่า…ไม่มีอะไร"
เดินมาจนถึงหน้าซอย ฉันชะลอฝีเท้าก่อนจะหยุดตรงป้ายไฟข้างถนน หันไปมองคิรินที่ยังเดินมาส่งเงียบๆ ตั้งแต่ลงจากรถเมล์
"ส่งแค่นี้ก็ได้ ใกล้ถึงบ้านแล้ว" ถึงก็บ้าแล้วไอวินที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ย
"โอเค งั้นไปละ " เขาเอ่ยเรียบๆ พลางเหลือบตามองฉันนิดหนึ่ง
"อือ งั้นกลับดีๆนะ" ฉันตอบกลับไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอพูดจบ กลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเอง
คิรินพยักหน้า ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป
ฉันยืนมองแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนสายตากลับมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คืนนี้วุ่นวายกว่าที่คิด…แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นแล้วจะเอาไงต่อดีวะอยู่ที่ไหนวะเนี่ยบ้านก็กลับไม่ได้อีก
จริงด้วยไอเต้เพื่อนรักถ้าเเป็นมึงต้องเข้าใจแน่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
Abdul Rahman
เร็วววว
2025-02-12
0