CHAPTER 04: ผลลัพธ์ (2) [มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับผู้มีอารมณ์อ่อนไหว]

A PIECE OF PHAKIN:

“แผลที่ข้อมือของเธอเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเอ่ยถามทันทีหลังจากที่เห็นหมอเดินออกมาจากห้องตรวจ

“แผลลึกพอสมควรแต่ไม่ถึงกับสาหัสนะ ไอ้ที่แย่จริง ๆ เห็นจะเป็นอาการทางใจ ว่าแต่เราเป็นอะไรกับเขาล่ะพ่อหนุ่ม แฟนเหรอ?”

“น้องชายครับ”

“งั้นลองไปคุยกับหมอคนนี้ดู เขาเป็นหมอประจำตัวของยัยหนูนี่ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ดีนะที่ครั้งนี้แค่กรีดข้อมือ ถ้าเอาตัวเองไปรมไซยาไนด์เหมือนรอบที่แล้ว ผมคงไม่ไหว หัวใจจะวาย ถ้าเพื่อนเขาทำ PCR ให้ไม่ทัน หรือส่งโรงบาลช้าไปนิดเดียว ยัยหนูนี่คงได้ไปลงโลงสมใจ”

“...”

“ไม่ต้องมองผมแบบนั้น รู้จักกันดี ผมเป็นเพื่อนสนิทพ่อเขา”

“อ้อ... ครับ”

เอาจริงไหม ผมไม่ได้อึ้งกับอะไรเลย นอกจากปากหมอ คือมันแจ๋วดีจังวะ

“ตอนนี้หนูเพียงกำลังหลับอยู่นะ จะเข้าไปเยี่ยมก็ไปเถอะ” พอหมอเดินออกไป ผมก็เข้าไปดูเพียงรักทันที

ร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มกำลังฝันอะไรอยู่นะ แต่หวังว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เธอมีความสุข

ผมยื่นมือไปลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้อง เพื่อไปหาหมอคนนั้น

ณ ร้านกาแฟของโรงพยาบาล

“ใช่คุณภาคินหรือเปล่าคะ”

“สวัสดีครับ ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขอโทษที่รบกวนเวลาของคุณหมอทั้งที่ไม่ได้นัดไว้ ตามที่แจ้งไปตอนคุยโทรศัพท์ว่าผมเป็นน้องไม่แท้ เกรงว่าการคุยอย่างจริงจังคงจะไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้ผมที่มีโอกาสได้กลับมาดูแลพี่เพียง จึงอยากรับรู้เรื่องนี้ในมุมของการนำมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น”

“หมอเข้าใจดีค่ะ ยังไงก็ผ่อนคลายก่อนนะคะ”

“งั้นเข้าเรื่องเลยนะครับ สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่”

“ก่อนอื่นหมออยากให้คุณรู้ว่าคนไข้เคยได้รับความสะเทือนใจอย่างหนักถึง 3 ครั้งในช่วงเวลาที่ค่อนข้างใกล้กัน เริ่มต้นจากภาวะ PTSD หรือที่เรียกว่าภาวะบาดเจ็บทางอารมณ์ ซึ่งเกิดจากตอนที่จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จากเหตุการณ์ที่เลวร้าย ด้วยวุฒิภาวะที่น้อยเกินกว่าจะจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ คุณก็จะมีโอกาสเห็นเด็กสาววัย 10 ขวบคนหนึ่งที่มีบุคลิกเฉยชา พูดน้อย เก็บตัว หลีกเลี่ยงสังคมและการเดินทาง หวาดระแวง แล้วก็นอนไม่หลับ พอเด็กในวัยนั้นพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจึงทำให้การหลั่งของโดปามีนผิดปกติไป”

“โดปามีน?”

“ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาแล้วจะทำให้คนเรารู้สึกพอใจหรือมีความสุขน่ะ”

“งั้นก็แสดงว่า...”

“อย่างที่คุณเข้าใจ ในกรณีของเธอ ฮอร์โมนตัวนี้มันหลั่งน้อยกว่าคนปกติ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้โดยไม่รักษา เธอก็จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าอย่างที่คุณเห็น หมอคิดว่าอาการของเธอมันควรจะดีขึ้นถ้าได้สภาพแวดล้อมที่ดี แต่เมื่อประมาณห้าปีก่อนที่เธอมาตรวจ หมอแทบจะทรุดเลย เพราะอาการของเธอมันไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น แล้วก็แย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งหมอก็ไม่รู้ว่าชีวิตก่อนหน้าที่เธอจะเสียคุณพ่อไป แท้จริงแล้วเจออะไรมาบ้าง เพราะเธอไม่เคยเล่าอะไรให้หมอฟังเลย  ทุกครั้งที่มาก็จะเอาแต่ถามหมอว่า มันยังมีเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกเศร้าหรือเจ็บปวดได้มากกว่านี้อีกไหม เพราะเธอไม่รู้สึกถึงอะไรอีกแล้ว อ้าว... น้ำตาไหลเลย โอเคอยู่ไหมคะ? ยังฟังไหวหรือเปล่า?”

ในขณะที่ผมนั่งฟังหมอเล่าอย่างเงียบ ๆ ก็ไม่รู้เลยว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน ผมพยายามกลั้นมันไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับกระดาษทิชชู่ที่คู่สนทนาส่งมาให้

“หมอพูดต่อเลยครับ ผมโอเค”

เป็นการโอเคที่ไม่โอเคที่สุดแล้ว

ถ้าตอนนี้สามารถขออะไรได้สักอย่าง ผมอยากจะขอร้องอดีต ว่าอย่าพึ่งทำให้ผมรู้สึกผิดไปมากกว่าเลย

“แต่มันจะมีช่วงนึงที่อาการเธอดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นช่วงม.ปลายนะ เธอเริ่มแสดงความรู้สึกมากขึ้น มีสีหน้าที่สดใสมากขึ้น แต่พอผ่านไปได้ระยะหนึ่ง อาการก็ทรุดลงอีก แถมคราวนี้ยังเอาภาวะสิ้นยินดีมาฝากหมอด้วย”

“ภาวะสิ้นยินดี?”

“เป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยซึมเศร้า ซึ่งมันจะทำให้คนไข้ ไม่สุข ไม่เศร้า ไม่รู้สึกยินดียินร้าย เฉยเมยต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสิ่งที่หมอไม่อยากให้เกิดที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ นั่นก็คือคนไข้เลือกที่จะทำร้ายตัวเอง นี่ก็ครั้งที่ 3 แล้ว”

“ครั้งที่ 3?”

“ครั้งแรกเธอกินยานอนหลับเกินขนาด ครั้งที่สองนี่แรงสุดเลย คือเธอขังตัวเองไว้ในตู้กับแก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ ซึ่งหมอก็ไม่รู้ว่าไปเอาของอันตรายแบบนั้นมาได้ยังไง แต่โชคดีที่มันไม่ได้เข้มข้นจนทำให้เสียชีวิตในทันที แล้วเพื่อนเธอก็เอามาส่งโรงพยาบาลทัน ครั้งที่สามก็ครั้งนี้แหละ กรีดข้อมือนี่ถือว่าเบาสุดแล้วในบรรดาเรื่องที่เธอทำมาแล้ว”

“ไม่เบาหรอกครับ ตอนแรกเธอจะกรีดซ้ำที่รอยเดิม แต่ผมห้ามไว้ทัน”

“คุณพระ!”

“แล้วแบบนี้ผมต้องทำยังไงครับ”

“ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือการที่เธอไม่ยอมพูดหรือระบายความรู้สึกแย่ ๆ ออกมาเลย เพราะบาดแผลใจที่ทำให้เธอระแวงและไม่ไว้ใจใคร รวมถึงอุปนิสัยที่มักจะคิดถึงความรู้สึกคนอื่นก่อนเสมอ มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เธอเล่าความทุกข์บางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจ”

“...”

“พอได้ยินว่าคุณจะมาดูแลเธอ หมอก็โล่งใจ เธอจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว แต่ถ้าตัวคุณเองเริ่มรู้สึกแย่หรือจิตตกเมื่อไหร่ก็นัดหมอมาได้ เพราะจิตแพทย์อย่างหมอเอง ก็ต้องพึ่งจิตแพทย์อีกคนเหมือนกัน ดูแลผู้ป่วยซึมเศร้าต้องเข้าใจเขาเยอะหน่อย”

“ครับ”

พอกล่าวลาและแยกย้ายกับหมอ ผมก็รีบวิ่งกลับไปดูเพียงรักทันที

เมื่อผมเปิดประตูห้องออก จะพบกับร่างเล็กที่แสนคุ้นกำลังนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

ด้วยความกังวลเกินเหตุเพราะเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นหมาด ๆ ผมจึงรีบเดินไปนั่งบนเตียงผู้ป่วยที่เธอใช้อยู่ ก่อนจะถือวิสาสะหยิบมือเล็กที่แสนบอบบางขึ้นมากุมไว้หลวม ๆ

ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดบนข้อมือข้างซ้าย ยังคงตอกย้ำว่าผมเป็นคนที่ทำร้ายเธอ

“เจ็บมากไหม” ผมถามออกไปด้วยความยากลำบาก เพราะก้อนสะอื้นที่เกิดจากการกลั้นน้ำตาไว้ มันจุกอยู่เต็มคอ

“...” ไม่มีเสียงตอบใดจากคนข้าง ๆ มีเพียงการส่ายหน้า และรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้น

พอผมเห็นสีหน้าของเธอที่เริ่มดีขึ้น ผมก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป

มันเสียใจและรู้สึกผิดที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายเธอ

ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าการที่เธอเอาแต่เมิน เอาแต่เฉยชา มันเป็นเพราะนิสัยที่เย่อหยิ่ง

แต่ไม่เคยคิดที่จะมองเห็นความรู้สึกข้างในที่มันแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่เหลืออะไรจะให้พังทลายอีกต่อไป

ในขณะที่ผมค่อย ๆ ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา คนตัวเล็กก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชู่ จากนั้นก็พับทบมันให้มีขนาดเล็กลง ก่อนจะนำมาซับหยาดน้ำใสที่ไหลเปรอะไปทั่วหน้าผม

“ขอโทษ ฮึก”

“ทำไมถึงเอาแต่พูดขอโทษแบบนี้ล่ะ”

“ในที่สุดคุณก็ยอมพูดกับผม คุณเอาแต่เงียบ แล้วก็เงียบ จนผม...”

“...”

“อย่าเงียบสิเพียง”

“ก็ถ้าคุณไม่ยอมหยุดร้องไห้ ฉันก็จะไม่คุยกับคุณ”

“ฮื้อ ยัยคนใจร้าย เธอจะไม่ให้คนรู้สึกผิดเขาเสียใจหน่อยเหรอ ฉันเกือบจะทำให้เธอต้อง...”

“ฉันตัดสินใจของฉันเอง คุณไม่เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย”

“ขอร้องล่ะ เธอช่วยโกรธฉัน ด่าฉัน ตีฉันได้ไหม อย่าปล่อยผ่าน อย่าเดินหนี อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”

“คุณอยากรู้ไหม ว่าทำไมฉันถึงหลีกเลี่ยงการปะทะอารมณ์ หรือสถานการณ์แย่ ๆ เพราะฉันเกลียดปัญหายุ่งเหยิงที่จะตามมาที่สุด มันทำให้ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างมันยากไปหมด แล้วคุณรู้ไหมว่าวิธีไหนที่จะทำให้มันง่ายขึ้น แถมไม่ทำร้ายใครด้วย”

“...”

“มันก็คือการเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ส่วนจะเอาออกแบบชั่วคราวหรือถาวร ก็ค่อยคิดดูอีกที”

“เธอทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายขนาดนี้ได้ไง นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่ตัวละครในเกมสักหน่อยที่คิดจะลบก็ลบกันได้ง่าย ๆ”

“เวลาเจอเรื่องยาก ๆ ในชีวิตหลายเรื่องพร้อมกัน บางทีเรื่องที่ยากน้อยกว่า มันก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา ถ้าเกิดวันนี้ฉันตายไป คุณก็อาจจะรู้สึกผิด เศร้า เสียใจ แต่เชื่อสิว่าเวลาที่ผ่านไป จะค่อย ๆ ลบภาพและเรื่องราวของฉัน จนสุดท้ายคุณก็จะลืมฉัน”

“มันก็แค่ข้ออ้างทั้งนั้น ทำไมเธอดูถูกความรู้สึกของคนที่ต้องอยู่กับความสูญเสียแบบนี้ล่ะ เธอพูดออกมาได้ไงว่าสักวันฉันจะต้องลืม คนตายไปแล้วจะมารับรู้ได้ไง ว่าคนอยู่จะรู้สึกทรมาณและเสียใจแค่ไหน กว่าจะผ่านได้ไปสักนาที กว่าจะไปถึงจุดที่ทำใจได้ เธอเองก็เคยผ่านมันมาแล้ว ฉันถามหน่อยว่าลืมได้หรือเปล่า”

“...”

“ถ้าวันนี้คนที่ตายเป็นฉัน เธอจะ...” ในขณะที่ผมพูดยังไม่ทันจบ เธอก็เอามือปิดปากผม

“พอแล้ว อย่าพูดเรื่องน่ากลัวสิ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะเอามือเล็ก ๆ นั่นออกไป

“กลัว? เธอเห็นความตายของตัวเองเป็นเรื่องง่าย แต่กลับมากลัวว่าคนอื่นจะตายเนี่ยนะ แค่นี้มันก็ชัดแล้ว ว่าเธอรู้ดีว่าสิ่งที่คนอยู่ต้องแบกรับมันสาหัสแค่ไหน แต่เธอกล้าผลักมันมาให้ฉัน แล้วทำมาแสร้งปลอบกันว่าสักวันฉันจะลืม ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองรู้ดีที่สุดเลย ว่าคนที่จะลืมได้ มันมีแค่คนที่ตายไปแล้วเท่านั้น สุดท้ายฉันก็จะไม่ลืมและต้องอยู่กับความรู้สึกผิดไปทั้งชีวิต ทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้อยู่แล้ว ทำไมเธอทำแบบนี้ ทำไมเธอใจร้ายขนาดนี้อะเพียง ทำไม...”

“...”

“ถ้าเธอโกรธฉัน เกลียดฉันที่เอาแต่รังแกเธอ อย่าเอาคืนด้วยการทำให้ฉันตายทั้งเป็นเลยนะ ขอร้องล่ะ”

“...”

“ฉันต้องทำยังไงเธอถึงจะยอมรับปากว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองอีก ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ใช่ไหมที่ฉันเอาความสุขของเธอไป แล้วยังมาขออะไรแบบนี้อีก งั้นตอบมาสิว่าต้องการความสุขนั่นหรือเปล่า ถ้าเธออยากได้คืน ฉันจะทำลายมือคู่ทิ้งนี้ซะ คิดว่ามันคงพอที่จะแลกกับความสุขทั้งหมดของเธอได้ ”

“ไม่... ไม่เอานะคุณภาค ฮึก มือของคุณมันสำคัญมาก คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฮึก โอเค ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก”

หยาดน้ำใส ๆ ที่ไหลคลอดวงตาสวยหยดลงบนแขนของผม มือเล็กที่สั่นระริกเลื่อนมากุมมือผมทั้งสองข้างราวกับเป็นสิ่งของที่หวงแหน เธอคงกลัวจริง ๆ ว่าผมจะทำอะไรบ้า ๆ ลงไป

สุดท้ายเธอก็ยังเป็นเพียงรักคนเดิมที่ใจดีและคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ

“...”

“คุณเสียสติไปแล้วใช่ไหม คิดแบบนี้ออกมาได้ไง แล้วคุณจะวาดรูป จะเล่นดนตรี จะทำสิ่งที่รักต่อไปได้ยังไงถ้าไม่มีมัน นี่มันยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีกนะ แล้วก็มาว่าแต่ฉันใจร้าย คุณนั่นแหละที่ใจร้ายที่สุด คุณต่างหากที่อยากให้ฉันรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต โอ๊ย! นี่แขนคนหรือเหล็ก ทำไมมันแข็งอย่างนี้”

แล้วเธอก็โวยวายและร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กสาวตัวน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาแล้วฟาดลงไปที่ต้นแขนผมแบบเน้น ๆ หนึ่งที แต่ต้นแขนผมมันมีแต่มัดกล้าม จึงไม่แปลกที่คนตีจะเจ็บแทน

ส่วนผมก็คลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา เพราะสภาพของเธอตอนนี้มันน่าเอ็นดูมาก จนผมเผลอเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเธออย่างไม่รู้ตัว

“งั้นเรากลับบ้านกันนะ”

“อือ กลับกันเถอะ”

IN A PIECE OF PIANGRAK’S REMEMBRANCE:

ในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงัด มีเพียงแค่พ่อบ้านกับแม่บ้านเท่านั้นที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้าน แม้จะเป็นตอนบ่ายสามกว่า ๆ ที่แดดจัดจ้า แต่ก็สัมผัสไม่ได้ถึงความอบอุ่นของบ้านหลังนี้เลย

หากมองไปยังสวนหย่อมขนาดใหญ่หน้าบ้านซึ่งมีบ่อน้ำพุขั้นอยู่ตรงกลาง ก็จะเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของเด็กชายวัย 10 ขวบคนหนึ่ง เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งและเอาแต่ก้มหน้ามองไปที่พื้นหญ้า หวังจะเจอของสำคัญที่ทำหล่นหายไป

แหวนเงินขาวที่มีชื่อของเขาสลักไว้

เพราะมันเป็นสิ่งของมีค่าชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายที่พ่อของเขามอบให้ จึงจะทำหายไม่ได้เด็ดขาด

แล้วเด็กชายก็วิ่งตามหาแหวนวงนั้นต่อไปอย่างเอาเป็นเอาตายโดยที่ไม่ยอมบอกใคร

ทำหายเองก็ต้องตามหาเอง ถ้าคุณพ่ออยู่ต้องพูดแบบนี้แน่นอน เด็กชายคิด

หลังจากเด็กชายตัวน้อยตามหาของได้พักใหญ่ ก็กลายเป็นที่ผิดสังเกตของเด็กสาวคนหนึ่ง เธอสวมใส่ชุดเดรสดำคอปกกะลาสี ในมือเล็ก ๆ ก็ถือวรรณกรรมเล่มหนาเตอะเรื่องโปรดไว้

หลังจากที่เธอได้มองดูท่าทีของเด็กชายสักพัก จึงรู้ว่าเขาต้องทำของหายแน่นอน

“ผมขอโทษครับคุณพ่อ ฮึก ฮือ” เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นจากเด็กชายทำให้เธอสะดุ้งไปด้วยความตกใจ ก่อนจะรู้สึกเห็นใจในเวลาถัดมา

“มันหายไปแล้ว ฮือ ผม ผมขอโทษ ฮึก”

สุดท้ายเด็กสาวก็ตัดสินใจช่วยหาของอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเด็กชายทำของอะไรหาย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นแหวนวงสำคัญแน่

แสงแดดยามบ่ายคล้อยกระทบกับผืนน้ำในบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ ประกายวิบวับของโลหะเงินที่สะท้อนเข้ามาในดวงตากลมโตของเด็กสาว เรียกความสนใจให้เธอชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ

ปรากฎว่าแหวนวงสำคัญที่เด็กชายกำลังตามหาอยู่นั้น ลงไปนอนเอ้งแม้งใต้ก้นบ่อเสียแล้ว

ไปทำอีท่าไหนนะ ถึงได้หล่นมาอยู่ตรงนี้ เธอคิด

เด็กสาววางหนังสือที่อยู่ในมือลง ก่อนจะจุ่มแขนลงไปในบ่อน้ำเพื่อจะหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมา และด้วยเวลาเดียวกันนี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินมาพบเธอ

ด้วยท่าทางพิกลของเด็กสาว เขาจึงเอ่ยคำทักทายขึ้นด้วยความสงสัย

“หนูเพียง ทำอะไรอยู่คะ” เธอสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยสภาพที่เปียกปอน

“เสียงดังไปแล้วค่ะพี่ภาม เค้าตกใจนะ”

“โอ๋ ๆ พี่ขอโทษ ว่าแต่นี่มัน...”

“เค้าฝากพี่ภามเอาไปให้ภาคได้ไหมคะ ดูสิ น้องร้องไห้ใหญ่แล้ว”

“ทำไมถึงไม่เอาไปให้เองล่ะคะ”

“เค้าไม่อยากโดนหาเรื่อง”

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้ ส่วนเราก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ วันหลังถ้ามีของหล่นลงไปในบ่อนี้อีก ก็เรียกป้าแม่บ้านนะ น้ำมันลึก ถ้าไม่ระวังแล้วเราตกลงไปนี่แย่เลย”

“ค่ะ”

ความทรงจำชิ้นถัดมาของเด็กสาว ก็คือภาพที่เด็กชายคนนั้นร้องไห้หนักกว่าเดิม เมื่อเห็นของที่ทำหายไปกลับมาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะประดับรอยยิ้มอันแสนเจิดจรัสบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ

นั่นเป็นรอยยิ้มที่ดีนะ

เป็นรอยยิ้มแห่งความปิติที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง

และทุกครั้งที่เด็กชายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขาก็จะเป็นเหมือนตะวันอีกดวงที่ทอแสงอบอุ่นและสดใสจากที่ไกล ๆ สำหรับเด็กสาวเสมอ

ด้วยเหตุนี้เอง เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันจึงงดงามจนไม่อาจลบเลือนจากใจเธอได้เลย

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!