A PIECE OF PIANGRAK:
“จอดตรงนี้เลยค่ะ นี่บ้านฉันเอง”
“โอเคเลย เดี๋ยวเราอย่าพึ่งลงจากรถนะ”
ทันทีที่พูดจบ พี่ปัณณ์ก็รีบลงจากรถ แล้ววิ่งมาเปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ พร้อมกับเยื่อนมือมาตรงหน้าฉัน
“จับมือพี่ไว้สิ แล้วก็เอาของที่อยู่บนตักเราส่งมาด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
แล้วฉันก็ยื่นของทั้งหมดให้เขา ก่อนจะเอื้อมไปจับมือข้างนั้นของพี่ปัณณ์เอาไว้แน่น ๆ ด้วยแรงดึงจากคนตัวโตกว่า จึงทำให้ฉันสามารถลุกขึ้นจากเบาะรถได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ฉันมั่นใจมากว่าเขาต้องสังเกตเห็นความเคอะเขินของฉันแน่นอน
ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนมันก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนะ ทำไมวันนี้มันถึงรู้สึกร้อนแปลก ๆ แถมใจก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
“เดี๋ยวพี่ช่วยขนของเข้าบ้านนะ”
“วางตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันขนเอง แค่นี้ก็รบกวนพี่มากพอแล้ว”
ที่สำคัญคือฉันจะให้เขาเจอภาคินไม่ได้เด็ดขาด เพราะเจ้าเด็กนั่นต้องสร้างเรื่องแน่
“พี่เต็มใจ ไม่รบกวนเลย ให้เอาไปไว้ที่ครัวเลยไหม”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะพี่ปัณณ์”
ทำไมพี่เขาถึงเป็นคนดีได้ขนาดนี้นะ สนใจแบ่งความเป็นคนดีมาให้เจ้าเด็กมีปัญญาที่ชื่อว่าภาคินหน่อยไหมคะ
“อือ งั้นพี่ตามใจเราละกัน”
แล้วฉันก็ขัดใจพี่ปัณณ์จนทำให้เขาหน้าหงอยเหมือนลูกแกะถูกทิ้งจนได้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกผิดนะ แต่ปัญหาบางอย่างมันก็ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้พี่เข้าบ้านนะ แต่จะให้ใครเห็นสภาพบ้านตอนนี้ไม่ได้จริง ๆ ไว้พี่มาครั้งหน้าฉันจะเตรียมชาพีชอุ่น ๆ ให้นะ”
พอเขาได้ยินแบบนั้น ก็ยิ้มออกมาทันที
“ได้ แล้วจะรอนะ ดีใจจังที่เรายังจำได้”
“อยู่กับฉันทั้งที มันก็ต้องมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นสิ”
เวลาที่ฉันกับพี่ปัณณ์ไปอ่านหนังสือด้วยกัน เขามักจะสั่งแต่ลาเต้แก้วใหญ่เสมอ แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เขาก็จะสั่งชาพีชแทน เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ในการเลือกเครื่องดื่มโดยแท้
“รู้ไหมว่าความน่ารักของคนเรามันก่ออาชญากรรมได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็คงจะมีคดีติดตัวจนนับไม่ถ้วนแล้วล่ะ”
ในขณะที่ฉันกับพี่ปัณณ์กำลังช่วยกันขนของลงจากรถ พวกเราก็คุยกันมาก โดยเฉพาะเรื่องสมัยม.ปลาย หรือไม่ก็เรื่องที่มหาลัย
แต่แล้วฉันก็ถูกแรงปริศนาของใครบางคนกระชากไปทางด้านหลัง จนร่างกายของฉันแนบชิดติดกับตัวเขา
จากนั้นฉันก็สะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะพยายามหันกลับไปมองเจ้าของแรงปริศนา แต่ก็ถูกเขาบังคับให้หันกลับไปทางเดิม
แขนหนาอันแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแสนสวย ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาโอบกอดช่วงไหล่ของฉัน
เขาโน้มหน้าลงมาใกล้เสียจนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดต้นคอฉันอยู่อย่างเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ
และเสียงกระซิบแหบพร่าที่ดังขึ้นตรงข้างหู ก็เป็นดั่งมนตร์สะกด ที่ทำให้ตัวฉันแข็งทื่อราวกับท่อนไม้
“ทำอะไรอยู่เหรอครับพี่เพียง”
“คุณภาค ปล่อยฉันนะ!”
เสียงโวยวายของฉันเรียกให้พี่ปัณณ์หันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดทันที
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกผมแค่ชื่อ พอเติมคำว่าคุณแล้วมันฟังดูห่างเหินม้ากมาก สงสัยว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันนานเกินไป จนพี่ลืมอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผมเคยขอเอาไว้แล้ว”
ภาคินแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ พลางปั้นหน้าเศร้า และเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาดี ๆ ก็จะพบว่ามีหยาดน้ำใส ๆ ไหลออกมาด้วย
นี่สกิลการแสดงเขาพัฒนาขนาดนี้เลยเหรอ คนบ้าอะไรสั่งน้ำตาตัวเองได้วะ ฉันคงจะประมาทกับเด็กนี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เอ่อ นี่น้องที่เราพูดถึงเหรอเพียง ดูสนิทกันดีนะ”
“ความจริงก็...”
“ใช่ พวกเราเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากที่สุดในโลก ผมก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่อุตส่าห์มาส่งพี่เพียงของผมนะครับ”
ทำไมฉันรู้สึกว่าเขาดูจะเน้นคำว่าของผมจังเลย
ว่าแต่รีบปล่อยสักทีเถอะ อึดอัดจะตายชัก
“พี่ชื่อปัณณ์ เป็นทั้งรุ่นพี่มัธยม แล้วก็รุ่นพี่มหาลัยของเพียงรัก”
“อ๋อ~ รุ่นพี่”
“ตั้งแต่รู้จักกันมา พี่ก็ดูแลเพียงเป็นอย่างดี ถ้าเห็นว่าเพียงมีปัญหา พี่ก็พร้อมช่วยอย่างเต็มใจ กับอีแค่เรื่องที่ถูกใครบางคนทิ้งไว้กลางห้าง หรือโดนแกล้งให้แบกของจำนวนมากขนาดนี้กลับบ้านคนเดียว มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามีคนเข้าไปช่วย และถ้าไอ้เวรนั่นมันคิดจะให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งขึ้นแท็กซี่ แล้วแบกของเยอะขนาดนี้กลับมาเอง มันก็คือคนเฮงซวยขนานแท้ เอาล่ะ พี่ไม่รบกวนเวลาของพวกเธอแล้วดีกว่า เจอกันที่มหาลัยนะเพียง แล้วก็ห้ามลืมอะไรนะ?”
“เค้กแครอท”
“เก่งมากเด็กดี พี่ไปละ” คนตัวสูงหันมาส่งยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที
คือที่เขาพูดออกมาแบบนั้น แสดงว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลยเหรอ
ไม่หรอก ฉันว่าคนที่ฉลาดซะจนน่ากลัวอย่างพี่ปัณณ์ คงจับต้นชนปลายเรื่องราวได้ด้วยตัวของเขาเอง มันอาจจะแปลกตั้งแต่ที่ฉันพูดว่า น้องขอออกไปทำธุระแล้วจะกลับมารับฉันไม่ทัน หรือไม่ก็คงแปลกตั้งแต่ที่เห็นของในตะกร้ารถเข็นแล้วล่ะมั้ง เพราะพี่ปัณณ์รู้ว่าฉันไม่กินน้ำอัดลมกับขนมกรุบกรอบ
แถมตอนที่เขาหันมาถามเรื่องเค้กแครอท ก็ดูเหมือนจะส่งสายตายียวนไปท้าทายคนที่อยู่ข้างหลังฉันเสียด้วย
ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันไม่เคยเห็นพี่ปัณณ์โหมดนี้เลย นึกว่าจะเป็นแบบผู้ชายนุ่มนิ่ม อบอุ่น รักสงบ และดีต่อใจสตรี ไม่คิดว่าเขาจะมีมุมโหดหน้านิ่งที่โคตรกร้าว แถมทรงปากเวลาด่าคนก็ฟาดยับจนน่าประทับใจ
“อ้าว ไอ้เวรนี่แม่งหลอกด่ากู” ภาคินสบถเสียงเบา
“...”
“เธอก็เก่งดีนี่ แบกของกลับมาได้หมดเลย เหอะ” เขาแค่นหัวเราะในลำคอ
“...”
“ทำไม ถ้าไม่ใช่มัน เธอก็จะไม่ยอมพูดด้วยเลยใช่ไหม”
“นี่คุณจะปล่อยฉันได้ยัง อึดอัดจะตายอยู่แล้ว”
ฉันเริ่มออกแรงดิ้นเพื่อหวังจะหลุดออกจากพันธนาการของอ้อมแขนนี้ แต่แล้วก็มีสัมผัสนุ่มนิ่มอันแสนแปลกประหลาดมาคลอเคลียที่ข้างคอ
“อ๊ะ” ลิ้นร้อนดุจเหล็กเผาที่ฝังลงไปบนผิวคอ พร้อมกับแรงดูดคลึงที่ถาโถมมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ร่างกายของฉันอ่อนยวบยาบ ความเนิ่นนานทำให้เรี่ยวแรงค่อย ๆ หายไปช้า ๆ ในขณะที่เจ้าของอ้อมกอดแข็งแกร่งที่กักขังฉันไว้อย่างแน่นหนา กำลังสนุกสนานกับการหยอกล้อร่างกายและความรู้สึกของฉัน เมื่อสัมผัสร้อนฉ่าบรรจงลากขึ้นมาที่หลังใบหู แล้วต่อด้วยจังหวะขบเม้มด้วยฟันคม สองสิ่งนี้ทำให้ร่างกายของฉันกระตุกรับอย่างห้ามไม่ได้
และทุกอย่างก็หยุดลง ราวกับพายุคลั่งที่สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเธอไปสภาพนี้ มันยังจะกล้ารับของจากเธออยู่ไหม”
“ทำแบบนี้ทำไม”
“เพราะฉันเกลียดเธอ”
“...”
แม้ว่าเพียงรักจะไม่ได้หันไปมองสีหน้าที่แท้จริงของภาคิน ยามที่เขากำลังพูดจาประชดประชันด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
แต่ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมเธอถึงไม่เคยรู้สึกชิน เวลาที่ได้ยินคำ ๆ นี้จากปากเขา
ทั้งที่เขาก็พูดกับเธอออกจะบ่อยครั้ง แล้วมันก็เป็นคำพูดแรก ๆ ที่ใช้ตอกย้ำเธอในเวลาที่เขาไม่พอใจ
หรือที่จริงแล้วอาจจะไม่มีใครชิน เมื่อได้ยินมันเลยก็ได้
“ฉันไม่มีวันปล่อยให้เธอไปมีความสุขกับใครหน้าไหนทั้งนั้น”
คำพูดที่แสนดุดันของภาคิน ทำให้คนที่พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของเขานิ่งไป
“งั้นก็ขังฉันไว้ดี ๆ แล้วก็กอดฉันไว้แน่น ๆ”
“...”
“ยามใดที่อิสระเข้าข้างกัน ปีกคู่นี้จะพาฉันบินไปจนไกลลับ”
“...”
“คุณเอาเวลาไปเกลียดฉันให้มากเถอะ”
“...”
“เผื่อมันจะทำให้คุณไม่รู้สึกอะไรในวันที่ได้ยินคำว่าเกลียดจากฉัน”
“...”
“ฉันเกลียดคุณ”
นั่นคงเป็นคำพูดที่ทำให้เกิดเสียงของเงียบดังที่สุดแล้ว
หากลองเงี่ยหูฟังดี ๆ ก็อาจจะได้ยินเส้นด้ายแห่งความอดทนที่ขาดสะบั้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถึงภาคินจะแกล้งเธอ หรือพูดจารุนแรงกับเธอหลายต่อหลายครั้ง แต่ปฏิกิริยาเดียวที่เธอมักจะโต้ตอบ ก็คือการถอนหายใจแล้วก็เดินหนีไป ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องที่เกินจะให้อภัย การมีปากเสียงกับเขาก็เป็นการโต้ตอบที่เธอเลือกหยิบมาใช้
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอไม่เคยทำ ก็คือการพูดคำว่าเกลียด มันคงเป็นจิตใต้สำนึกของเธอที่ไม่อยากให้ใครเจ็บปวดเพราะคำนี้ ๆ อย่างที่เธอเป็น
แต่ภาคินกลับมองว่ามันเป็นเหมือนเกม ๆ หนึ่ง ซึ่งถ้าทำให้เพียงรักพูดคำว่าเกลียดออกมาได้ เขาจะชนะ
พอมาถึงวันที่เธอพูดคำว่าเกลียดออกมาจากใจที่เกลียดชังจริง ๆ
จู่ ๆ คำถามมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ว่าทำไมชัยชนะครั้งนี้ถึงไม่สร้างความสุขให้กับเขาเลย
มันเอาแต่สร้างความเจ็บปวดและความเสียใจ จนรู้สึกชาไปหมด
อารมณ์ด้านลบที่ถาโถมใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ก็กลายเป็นแรงผลักตัวเขาให้เข้าสู่โหมดของคนเสียสติเต็มตัว
ภาคินสลัดร่างเล็กออกจากอ้อมแขนของเขา ก่อนจะคว้าข้อมือบอบบางขึ้นมา แล้วลากเธอเข้าบ้านไป
“ปล่อย!” สีหน้าของร่างบางบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด จากการที่เธอถูกฉุดกระชากมาตลอดทาง
เมื่อถึงห้องนั่งเล่น ภาคินก็เหวี่ยงร่างเล็กของเธอลงบนโซฟาอย่างแรง แม้ว่าเธอจะพยายามวิ่งหนีไปให้พ้น แต่ก็ถูกคนแรงเยอะกว่าฉุดรั้งเอาไว้ทัน ในที่สุดโอกาสหนีของเธอก็หมดลง เมื่อเขากดร่างของเธอเอาไว้อย่างแนบแน่น
“เกลียดฉัน จะหนีไปจากฉัน นี่เธอละเมออยู่เหรอ”
“...”
“เธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ตั้งแต่ที่เข้ามาเป็นส่วนเกินของครอบครัวฉันแล้ว และคนอย่างฉัน ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้ ไม่มีอะไรที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ”
“เอาสิ”
ร่างบางตอบด้วยเสียงแผ่วเบาที่ไร้เรี่ยวแรง พอเขามองมาเห็นใบหน้าสวยที่ไม่มีการแสดงอารมณ์ใด ๆ กับแววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่มีแม้แต่หยดน้ำตา ใจเขาก็กระตุกวูบจนหล่นไปกองอยู่ที่พื้น
เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาคิด
“ว่าง่ายแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่เหนื่อย” เขาแสร้งพูดด้วยท่าทีที่ไม่พอ
“ใช่ จะได้ไม่เหนื่อยอีกต่อไปแล้ว”
พอเห็นท่าทีที่แปลกไปของหญิงสาวใต้ร่าง ภาคินจึงตัดสินใจผละออกจากร่างของเธอ แล้วลุกไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบ ๆ ส่วนเพียงรักก็ยังคงเหม่อมองไปที่เพดานสีขาวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอเวลาผ่านไปชั่วขณะ จู่ ๆ เธอก็เดินไปที่ครัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เมื่อภาคินสังเกตเห็นท่าทางที่ไม่ชอบมาพากลของเธอ จึงตามไปดู
ปรากฏว่าสิ่งเห็นนั้นกลับทำให้เขาช็อกจนทำอะไรไม่ถูก เพราะเพียงรักกำลังใช้มีดเล่มคมกรีดลงบนข้อมือข้างซ้ายของเธอโดยปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย รอยบาดที่ค่อนข้างลึกทำให้ของเหลวสีแดงหลั่งไหลออกมาจากร่างกายราวกับสายน้ำ
เธอมองไปที่ภาคิน แล้วยิ้มปนหัวเราะให้กับเขา
“จะได้จบ ๆ ไปสักที”
เมื่อเธอพูดจบก็หยิบมีดขึ้นมาหวังจะกรีดซ้ำที่รอยเดิมให้ลึกขึ้น แต่ครั้งนี้เธอไม่อาจทำสำเร็จได้เหมือนกับครั้งแรก เพราะคนที่อยู่ในเหตุการณ์เข้ามาห้ามไว้ได้ทันเวลา ร่างสูงที่แทบจะประคองสติของตัวเองไม่อยู่ รีบวิ่งเข้าไปหยุดยั้งการกระทำของเธออย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะคว้ามีดออกไปแล้วขว้างมันลงถังขยะทันที
แม้ว่าเขาจะตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนสมองไม่อาจจะสั่งการได้อีกต่อไป แต่ร่างกายแสนฉลาดก็สั่งให้เขาดึงตัวเธอเข้ามากอดโดยอัตโนมัติ
ทันทีที่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นส่งไปถึงเธอ น้ำตาของเขาก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ทำไมล่ะเพียง ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ ทำไม...”
“...”
“คุณช่วยสัญญากับผมได้ไหม ว่าจะไม่ทำแบบนี้ ได้โปรดตอบมาว่าจะไม่ทำอีก ผมขอร้องนะเพียง อย่าหนีผมไปด้วยวิธีนี้อีกเลยนะที่รัก ไม่ ไม่เอา ไม่เอาอีกแล้ว ไม่... ฮึก ผมขอโทษ”
ร่างสูงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มหวานที่แหบพร่า แม้จะสะอึกสะอื้นจนพูดออกไปอย่างยากเย็น แต่ถ้อยคำเหล่านั้นก็ส่งไปถึงคนตัวเล็ก
เธอผละออกจากอ้อมกอดของเขาเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ดูจะไม่ยอมหยุดไหลบนใบหน้าของคนตัวสูงอย่างอ่อนโยน
พอเขาเหลือบไปเห็นแผลที่ข้อมือของเธอ มันก็ทำให้สติค่อย ๆ ฟื้นขึ้นทีละน้อย จากนั้นเขาก็อุ้มคนตัวเล็กขึ้นมา แล้วเดินไปที่รถอย่างเร่งรีบ ก่อนจะขับไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 9
Comments