‘ใครใช้ให้เธอเรียกชื่อฉัน คนอย่างเธอไม่มีค่าพอที่จะรู้จักฉันด้วยซ้ำ แล้วก็สำเหนียกด้วยว่าฉันไม่มีวันนับญาติกับคนที่เป็นลูกติดปรสิตอย่างเธอ พี่บ้าพี่บออะไร ฉันมีพี่แค่คนเดียวเท่านั้น อ้อ ทีนี้ก็คงจะรู้แล้วสินะ ว่าควรเรียกฉันยังไง จำใส่สมองเล็ก ๆ ของเธอด้วยล่ะ’
‘ยัยกาฝาก ไปยกกล่องของเล่นที่อยู่บนนั้นลงมาซะ อย่าทำหล่นเชียวล่ะ แพง ๆ ทั้งนั้น ก็มันเป็นของที่คุณพ่อสุดที่รักของคุณแม่ซื้อให้ฉันน่ะสิ’
‘เธอก็แค่แกล้งทำเป็นฉลาดใช่ไหม ฉันรู้ว่าเธอไม่มีทางอ่านหนังสือพวกนั้นรู้เรื่องหรอก ทำตัวแบบนี้คิดว่าจะได้ใจแม่ฉันเหรอ’
‘ฉันเกลียดเธอ เมื่อไหร่เธอกับพ่อของเธอจะออกไปจากครอบครัวของฉันสักที’
นั่นเป็นชิ้นส่วนความทรงจำวัยเด็กของเพียงรัก ซึ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่แสนร้ายกาจของภาคิน
ถ้อยคำเหล่านั้นยังคงดังกึกก้องและชัดเจนในใจเธอเสมอมา ระหว่างเธอกับเขาในอดีต มันมีแต่เธอที่ต้องคอยรับมือความเจ็บปวดกับความเสียใจที่เขาสาดซัดมาอย่างไม่หยุดหย่อน
เพียงลับหลังแม่ของเขาและพ่อของเธอไป ภาคินก็เปลี่ยนจากขาวเป็นดำทันที
พอคนเป็นพ่อมาเสียตามคนเป็นแม่ไป ทุกอย่างก็เลวร้ายลงมากกว่าเดิม จนเพียงรักตัดสินใจย้ายมาเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนแถวบ้านหลังเก่า
บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำงดงามที่พ่อกับแม่สร้างไว้ บ้านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังยามเช้าหลังนั้น มันเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเยียวยาสภาพจิตใจของเธอ
แม้ว่าการย้ายออกจากบ้านครั้งนั้นจะถูกคัดค้านจากแม่เลี้ยงแสนดีของเธอก็ตามที
A PIECE OF PIANGRAK:
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากเล่าให้คุณฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักอยู่คนหนึ่ง เธอเกิดมาในครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพ่อเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่หาตัวจับยากสุด ๆ มีแม่เป็นช่างทำขนมปังชั้นเซียนและมีร้านเป็นของตัวเอง
พวกเขาต่างก็เป็นรักแรกพบของกันและกัน ซึ่งมันเริ่มจากวันที่พ่อของเธอตัดสินใจเดินเข้าไปซื้อขนมในเบเกอร์รีที่แม่เป็นเจ้าของ
และหลักฐานที่บ่งบอกถึงความรักระหว่างคนทั้งสองได้ดีสุด ก็คือเด็กสาวคนนั้น
แม้จะมีเงินทองเข้ามาไม่ขาด แต่พวกเขาต่างก็เลือกวิถีทางที่เรียบง่าย เพราะแม่ของเด็กสาวรักความเงียบสงบ เกลียดสังคมที่วุ่นวาย และถือเอาชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องใหญ่
เชื่อสิว่าเธออาจจะเกิดมาในคฤหาสน์หลังใหญ่ก็ได้ หากคนเป็นพ่อไม่ยอมตามใจแม่
และด้วยอิทธิพลจากความคิดของคนเป็นแม่ จึงทำให้เด็กสาวเติบโตมาราวกับเป็นร่างโคลนนิงของเธอ
ภายใต้บรรยากาศบ้านไม้สองชั้นหลังสีขาวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังอบใหม่ของแม่ทุกเช้าตรู่ และกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้หลากสีที่ลอยมาแตะจมูกของเด็กสาว ยามเธอวิ่งไปงอแงกับพ่อ ในตอนที่เขากำลังดูแลสวนหลังบ้าน
อ่า ฉันเป็นเด็กสาวที่มีความสุขที่ในโลก เธอคิดแบบนั้น
แต่โบราณว่าไว้ ความสุขมันแสนสั้น
แล้วอุบัติเหตุทางถนนก็พรากชีวิตแม่ของเด็กสาวไปในตอนที่เธออายุได้ 10 ขวบ
4 เดือนต่อมา พ่อของเธอก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่ แน่นอนว่าตัวของเด็กสาวเองที่ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของการกระทำนั้น ก็ได้แต่ถามและตำหนิคนเป็นพ่อว่า ทำไมถึงแต่งงานใหม่ แล้วเขาเอาแม่ของเธอไปไว้ที่ไหน
เมื่อเด็กสาวย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านภรรยาใหม่ของพ่อ มันเปรียบเสมือนกับการที่เธอเอาตัวเองไปยืนอยู่ตรงปลายสุดของขอบหน้าผา แล้วกระโดดลงไปด้านล่างหุบเหวลึกที่แสนมืดมิด ซึ่งคนที่ทำให้เธอรู้สึกแย่แบบนั้น ก็คือลูกติดของแม่เลี้ยงที่มีวัยใกล้เคียงกับเธอ
นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวอันแสนเลวร้าย ที่เกิดจากความเกลียดชังของลูกติดคนนั้น
เด็กสาวถูกเขากลั่นแกล้งสารพัด ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายและจิตใจ โดยที่เธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเธอทำผิดอะไร ผิดตรงไหน แล้วทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนี้
แม้เด็กสาวจะมีช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้รับการทะนุถนอมจากแม่และพี่ชายคนใหม่ แต่นั่นก็ไม่อาจทดแทนช่วงเวลาอันแสนเลวร้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับน้องชายคนใหม่
แล้วมันก็เกิดจุดพลิกของเรื่องราวที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่น่าเศร้าอีกครั้ง เมื่อโรคร้ายมาพรากชีวิตคนเป็นพ่อไปในตอนที่เด็กสาวอายุได้ 14 ปี และนั่นก็ทำให้เธอรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาจึงแต่งงานใหม่
เขาไม่ได้กลัวว่าเด็กสาวจะขาดความรักจากแม่
แต่เป็นเพราะเขารู้ตัวดีว่าเวลาที่จะได้อยู่กับเธอ มันแสนสั้น
ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่อาจทิ้งเด็กสาวให้ไปเผชิญหน้ากับโลกใบนี้เพียงลำพัง จึงตัดสินใจแต่งงานกับคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด เพื่อจะฝากฝังให้เธอดูแลเด็กสาวแทนเขา
มันอาจจะเป็นพรหมลิขิตหรือโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิต แต่เด็กสาวก็ไม่ได้คิดจะก่นด่าเทวดาบนฟ้าหรอกนะ เพราะเธอเชื่อมาเสมอว่าฉันต่างหากล่ะที่ลิขิต ฉันต่างหากที่อยากทำสิ่งนี้ และจะไม่มีใครมาห้ามฉันได้ทั้งนั้น
เอาล่ะ แม้ว่านิทานจะจบลงแล้ว แต่ชีวิตมันก็ต้องไปต่อ
ตอนนั้นสามีของอาฝนก็เสียไปในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับแม่ของฉันพอดี พ่อก็เลยไปคุยและทำข้อตกลงกับอาฝนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาในวัยเด็ก ว่าช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้จะทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด เพื่อพี่ภาม ภาคิน และฉัน
แม้ว่าฉันจะเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ไม่จะสนใจความเป็นไปของโลกเท่าไหร่ แต่ฉันดูออกว่าพวกท่านไม่ได้รักกัน
พ่อฉันแทบจะไม่กลับมานอนที่บ้านเลย ท่านจะกลับมาร่วมโต๊ะอาหารตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น ส่วนเวลาทั้งหมดก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่บริษัท อีกทั้งพวกเขาก็แยกห้องนอนกันด้วย ที่สำคัญคือธรรมชาติการสนทนาของคนรักมันไม่ใช่แบบนี้
มองมาจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเขาเป็นเพื่อนกัน
เพียงแต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่แม่พึ่งจะจากไปได้ไม่นาน
แล้วทำไมต้องพาฉันมาอยู่ที่นี่
เอ่อ... ฉันหมายถึงว่า ทำไมต้องพาฉันมาทรมาณอยู่ที่นี่น่ะ
แต่หลังจากที่พ่อล้มป่วยและจากฉันไป งานของอาฝนก็รัดตัวขึ้น จนเธอไม่ค่อยมีเวลามาดูแลเด็กในบ้าน ส่วนพี่ภามก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
ช่วงเวลาอันแสนสงบของฉันก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างน้อยตอนที่พี่ภามยังอยู่ เขาจะคอยช่วยฉันในเวลาที่โดนภาคินแกล้ง แต่พอพี่เขาไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันก็โดนน้องชายเขาสับเละเป็นปุ๋ยเลย
แค่นึกถึงตอนที่อยู่กับภาคิน ฉันก็รู้สึกขยาดแล้ว
ลองยกตัวอย่างสักเรื่องดีไหม เอาเรื่องนี้นี้ละกัน เขาน่ะเคยฉีกหนังสือเรียนกับการบ้านของฉันบ่อย ๆ
ตอนที่ฉันกำลังอาบน้ำอยู่ก็เคยเอาซอสถั่วเหลืองเน่ามาราดบนเตียงฉัน หนักสุดก็ปลาเน่า ทุกคนรู้ไหมว่ามันเหมือนกลิ่นศพแค่ไหน
ยังไม่หมดนะ เรื่องที่เลวที่สุดก็คือมาหาว่าฉันเป็นคนขโมยแหวนวงสำคัญของเขาไป ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเอามาวางที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องฉันแท้ ๆ ดีนะที่ตอนนั้นฉันแก้ปัญหาด้วยการเอามันไปวางในห้องของอาฝนแทน ไม่งั้นซวยแน่
แล้วที่แสบทรวงอีกเรื่อง ก็คือตอนที่เจ้าคนเสียสตินั่นเอาชุดนักเรียนของฉันไปเผาหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่วันนั้นฉันมีสอบ ทีนี้ฉันก็ต้องแก้เกมด้วยการขอใช้ยูนิฟอร์มเก่าของอาฝน เพราะเธอก็จบมัธยมต้นที่โรงเรียนนี้เหมือนกัน
แต่กลับโดนไอ้เด็กนี่หาว่าฉันเข้าไปขโมยของ และหลักฐานก็อยู่ในกระเป๋ากระโปรงตัวนี้
ภาคินเตรียมการมาอย่างยอดเยี่ยม ฉันขอศิโรราบให้กับความร้ายกาจของเขาอย่างไร้เงื่อนไข
แต่โทษที บังเอิญว่าคดีพลิกจ้ะ เพราะหลักฐานดังกล่าวกลับมีของสำคัญที่อาฝนตามหาอยู่ เธอจึงเข้าใจว่าของทั้งสองชิ้นที่เจอในกระเป๋ากระโปรงตัวนี้ คือสิ่งของที่เธอลืมเอาออกก่อนที่จะนำไปซัก
แม้ภาคินจะโวยวายและใส่ร้ายฉันอย่างเต็มที่ แต่อาฝนก็เข้าข้างฉัน พร้อมกับอธิบายเหตุผลที่ว่า ทำไมฉันถึงไม่มีทางที่จะเป็นคนเอาไป ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะเธอเป็นคนพาฉันมาที่ห้องนี้ครั้งแรกด้วยตัวของเธอเอง และเธอก็เป็นคนหยิบกระโปรงตัวนี้ให้ฉันเองกับมือ
ที่เกริ่นมายังน้อยไป เพราะนี่มันแค่เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้าน ยังไม่รวมที่โรงเรียน หรือทุกครั้งที่เราอยู่พ้นสายตาของอาฝน ภาคินก็พร้อมจะแผลงฤทธิ์แผลงเดชกับฉันเสมอ
เมื่อความเฮงซวยของน้องชายคนนี้ มาทำให้ฟางแห่งความอดทนเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง
มันทำให้ฉันได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมาก นั่นก็คือฉันไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับหมอนี่ได้อีกต่อไป
เอ่อ... อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าฉันกำลังวางแผนฆ่าเขา แล้วเอาศพไปถ่วงทะเลซะล่ะทุกคน
เพราะฉันเพียงต้องการที่จะออกไปอยู่คนเดียว หรือออกจากบ้านหลังนี้ไปเท่านั้น
วิธีเดียวที่ทำให้ฉันออกจากที่นี่ได้โดยที่อาฝนจะต้องอนุญาตและไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ก็คือการไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายที่ดีสุดของประเทศนี้ แถมโรงเรียนนั้นก็อยู่ใกล้บ้านฉันด้วย
แต่เขาลือกันว่าการสอบเข้าของที่นี่โหดหินสุด ๆ เลย แถมต้องแข่งกับเด็กหัวกะทิที่เดินทางมาสอบจากทั่วประเทศอีกด้วย
ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ฉันขอยอมลำบากอ่านหนังสือ ยอมลำบากเรียนหนักกว่าเดิมสองถึงสามเท่า เพื่อไปให้พ้น ๆ หน้าเจ้าคนเสียสตินั่น
พอสอบเข้าที่นี่ได้แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิด
อาฝนอนุญาตให้ฉันมาเรียนที่นี่ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเดิม แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอม เพราะที่นี่มันไกลจากโรงเรียนนั้นมากจริง ๆ ซึ่งเธอไม่อยากให้ฉันเหนื่อยกับการเดินทาง
แน่นอนว่าชีวิตช่วงม.ปลาย มันทำให้สุขภาพจิตของฉันดีขึ้นมาก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่ากับตอนที่อยู่กับพ่อและแม่ แต่บ้านหลังนี้ก็สามารถมอบความสุขให้ฉันได้ตลอดมา
จนกระทั่งฉันสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนี้ได้ คนที่ดีใจเกินหน้าคนสอบติดก็หนีไม่พ้นอาฝน ซึ่งเธอก็ส่งของขวัญมาให้ พร้อมกับหาเวลาว่างพาไปเลี้ยงฉลอง
เอาจริง ๆ นะ ฉันอยากรู้สาเหตุที่ว่าทำไมภาคินถึงเกลียดฉันมาโดยตลอด ว่ามันเป็นเพราะการที่พ่อของฉันกับแม่ของเขาแต่งงานกัน หรือมันเป็นเพราะการที่อาฝนชอบเอาฉันไปเปรียบเทียบกับเขา ซึ่งฉันก็พยายามอธิบายให้เธอฟังไปหลายครั้งแล้ว ว่าบางทีเราจะเอาปลามาปีนต้นไม้แข่งกับลิงไม่ได้
ภาคินเขาเกิดมาเพื่อเป็นสตาร์ล่ะ ทั้งวาดรูปเก่ง ทั้งร้องเพลงเพราะ ทั้งฝีมือการเล่นดนตรีขั้นเซียน ทั้งยังมีสมรรถภาพทางร่างกายที่ยอดเยี่ยม จึงทำให้เขาเล่นกีฬาได้ดีกว่าใคร นอกจากนี้ในแวดวงของเกมเมอร์ทั่วโลก เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา
เขาก็คืออีกหนึ่งบุคคลคุณภาพที่นาน ๆ ทีจะลงมาส่องแสงให้กับโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงฉันจะพูดถึงด้านแย่ ๆ ของเขาไว้เยอะ แต่ฉันก็อยากให้ทุกคนรู้นะว่าที่จริงเขาเป็นคนใจดี น่ารัก แล้วก็ปฎิบัติกับคนรอบข้างดีมาก เพียงแต่เขาเป็นคนดีที่เกลียดฉัน เขาจึงกลายเป็นคนเฮงซวยสำหรับฉันไปโดยปริยาย
หากมีโอกาสเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา มันจะมีห้องกว้าง ๆ โล่ง ๆ ห้องหนึ่งที่เป็นเหมือนกับพื้นที่จัดนิทรรศการแสดงรางวัลของเจ้าตัวที่ได้รับมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นถ้วยรางวัล เหรียญรางวัล โล่ห์แก้ว หรือเกียรติบัตร พวกมันต่างก็พากันสลอนหน้าอยู่จนเต็มห้อง
แต่ภาคินเคยบอกว่ารางวัลที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คือเงิน พวกเหรียญหรือถ้วยเนี่ย ได้มาก็รกห้อง ซึ่งประเด็นนี้เขาพูดถูก ฉันเห็นด้วย
ส่วนเหตุผลที่เขายังเก็บของพวกนี้ไว้อยู่ก็เป็นเพราะอาฝนนั่นเอง แม้ว่าเธอมักจะดุเขาเรื่องผลสอบ แต่เธอก็ดีใจทุกครั้งที่รู้ว่าภาคินได้รางวัลชนะเลิศ หรือทำอะไรสักอย่างจนประสบความสำเร็จ
คือเขาไม่เคยได้รางวัลอื่นนอกจากชนะเลิศ กับอันดับหนึ่งจริง ๆ นะทุกคน อีกรางวัลลักษณะหนึ่งที่เขามักจะได้คู่กันก็คือ Popular vote
อาฝนไม่เคยห้ามในสิ่งที่ภาคินอยากทำเลย แถมเธอยังสนับสนุน แล้วก็ดูจะภูมิใจกับลูกชายคนนี้สุด ๆ ด้วย ที่ไปได้สวยกับสิ่งที่ตัวเองเลือก
แต่ในทางกลับกัน ภาคินดันแย่วิชาการมาก สอบเลขมาทีนึงก็ได้ 2 หรือ 3 คะแนน ไม่ใช่ว่าข้อสอบมี 5 หรือ 10 ข้อนะ แต่นั่นมันข้อสอบปลายภาคที่มีอยู่ 100 ข้อต่างหาก
พอตัดภาพมาที่พี่ภามกับฉัน ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูง่ายและดีไปเสียหมด มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ภาคินรู้สึกเหนื่อยล่ะมั้ง ที่ไม่อาจไปสุดได้ทุกทางเหมือนฉันกับพี่ชายสุดที่รักของเขา
แต่เขาควรรู้ว่าตัวเองก็เป็นมหาเทพ และโคตรจะสุดโต่งในเรื่องที่ตัวเองถนัด จนฉันกับพี่ภามเทียบเขาไม่ติดเหมือนกัน
อันที่จริงมันก็น่าสงสาร แล้วก็น่าเห็นใจเวลาที่เห็นภาคินโดนอาฝนบ่นเรื่องผลสอบหรือเกรดเฉลี่ยของเขา แถมยังโดนบ่นคนเดียวในบ้านอีก มันก็คงกดดันแหละ แม้ว่าอาฝนจะไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องเป็นเลิศด้านวิชาการ แต่มันก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนั้น อย่างน้อยก็ขอให้ได้คะแนนสัก 30% ก็ยังดี ไม่ใช่ได้คะแนนไม่ถึง 10% ทุกวิชาอยู่แบบนี้
คือโรงเรียนนี้ตัดเกรดเฉพาะวิชาการเท่านั้น ส่วนพละ ศิลปะ หรือดนตรี จะให้แค่ผ่านกับไม่ผ่าน
แล้วเวลาอาฝนบ่นทีนะ น่ารำคาญสุด ๆ เลย เพราะเธอจะเข้าสู่โหมดมนุษย์แม่เต็มตัว ที่มักพูดอะไรซ้ำ ๆ วน ๆ ในเรื่องเดิม ๆ อยู่นั่นล่ะ เรียกได้ว่าเป็นการตอกย้ำจนกว่าคนฟังจะลงไปกองกับพื้น
แต่น่าแปลกที่ภาคินดูไม่โกรธอาฝน แถมยังดูเศร้าและกดดันทุกครั้งที่เดินออกมา เขาคงจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มันทำได้เท่านี้
อย่างไรก็ตาม เขาจะเอาอารมณ์ทุกอย่างมาลงที่ฉันไม่ได้หรือเปล่า
เอาล่ะ กลับมาที่เกือบปัจจุบันซึ่งอาฝนจะต้องเดินทางไปที่อังกฤษ เพื่อช่วยงานที่บริษัทสาขาหลักตามคำขอจากพี่ภาม และเธอก็ได้ฝากฝังปีศาจตัวร้ายไว้กับฉัน
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ฉันไม่อยากทำที่สุดในโลก แต่ทุกครั้งที่นึกถึงหน้าอาฝน ความดีงามอันแสนประเสริฐในฐานะผู้ปกครองที่คอยดูแลฉัน ก็จะคอยผุดขึ้นมาย้ำเตือนฉันว่าห้ามลืมบุญคุณของบุพการีคนนี้เด็ดขาด
ถ้าปฏิเสธเธอไป ฉันคงจะรู้สึกละอายใจหนักมาก
เพียงไม่กี่อึดใจที่พ้นสายตาของอาฝนไป เจ้าเด็กนรกนี่ก็แผลงฤทธิ์ใส่ฉันซะแล้ว ไหนจะเรื่องที่มาขโมยจูบกันอีก
แต่ยอมรับก็ได้ว่าฉันเขินจริง ไม่ได้เจอกันตั้งสามปีกว่า ๆ ภาคินโตขึ้นเยอะเลย ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีมาก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะดีได้มากกว่านี้เมื่อเขาอายุมากขึ้น เรียกได้ว่าดูดีจนทำให้ฉันใจกระตุกวูบ เชื่อสิว่าอีกประมาณ 5-10 ปีข้างหน้า เขาจะต้องหล่อกรุบกว่านี้
แล้วฉันก็โดนเจ้าเด็กนี่หาว่าเป็นฮอตเนิร์ด
ถึงฉันจะเนิร์ด แล้วก็ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ไม่เคยขาดคนคุยนะ ด้วยภาพลักษณ์ของฉันที่สวย แซ่บ และมีเสน่ห์มากนั่นเอง ซึ่งมันขัดกับตัวตนของฉันที่ติ๋มและจืดสนิท
แต่พอมีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์ความรัก จากหนุ่มหล่อเลิศแต่เฮงซวยสมัยม.ปลาย มันก็ทำให้ฉันไม่จืดอีกต่อไป สำหรับเรื่องอย่างว่านี่ขอผ่าน เพราะฉันคิดว่านี่ยังไม่ถึงเวลา แล้วก็ยังทำใจเรื่องที่ครั้งแรกมันเจ็บมากและอาจจะมีเลือดออกไม่ได้ด้วย
พอนึกถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของภาคิน ฉันว่าเขาดูเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก
เขาดูไม่ร้ายกับฉันเหมือนเดิม แต่กลับกวนประสาท ขี้เล่น แล้วก็อารมณ์ร้อน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติที่เขามักจะเป็นกับทุกคน
วันนี้อาจจะมีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นกับเขาก่อนจะมาที่นี่ก็ได้มั้ง
ถ้าจากนี้ไปเขาจะไม่ร้ายกับฉันอีก สัญญาเลยว่าจะพยายามลืมเรื่องราวหรือความรู้สึกแย่ ๆ ที่เขาเคยทำไว้กับฉัน
แต่ไม่รับปากว่าจะหายโกรธได้หรอกนะ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 9
Comments