A PIECE OF PHAKIN:
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ไม่ว่าผมจะนอนหลับไปมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา
18 ปี มันก็เป็นเวลาที่นานพอดูเลย
แต่คุณรู้ไหมครับว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ไม่นานพอที่จะสอนใคร
ผมชื่อภาคิน เป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ มีพ่อกับแม่เป็นนักธุรกิจใหญ่ แล้วก็มีพี่ชายสุดเท่ที่อายุห่างจากผม 4 ปี
มองเผิน ๆ ครอบครัวของเราอาจจะดูคล้ายกับบ้านคนรวยส่วนใหญ่ ที่มักจะเลี้ยงลูกออกมาเพื่อเป็นปัญหาของสังคมโดยเฉพาะ แต่บ้านผมไม่ใช่แบบนั้น ทั้งผมและพี่ต่างก็ได้รับความรักและการเลี้ยงดูจากคนเป็นพ่อแม่อย่างดี
แต่พระเจ้าคงจะเห็นว่าชีวิตของผมมันดีเกินหน้าเกินตาชาวบ้านชาวช่องไปหน่อย จึงพรากเอาชีวิตคุณพ่อที่ผมรักและเคารพไป ในตอนที่ผมอายุได้เพียง 9 ขวบ
แล้วไม่นานแม่ก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่ผมรู้เรื่องนี้ก็อาละวาดจนบ้านแตก
และจุดเริ่มต้นของความเกลียดชังที่บางครั้งก็ทำให้ผมกลายเป็นเด็กมีปัญหาก็คือ ลูกติดของพ่อคนใหม่
เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณละเอียด อายุมากกว่าผมหนึ่งปี
แต่ผมกลับไม่ชอบบุคลิกที่โตเกินไวของเธอ ที่มักจะทำตัวเงียบ ๆ คอยสังเกตสิ่งรอบข้าง วางตัวดี และรู้กาลเทศะ
ยิ่งกว่านั้น ความเฉลียวฉลาดของเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ภามเลย และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจ จนสุดท้ายผมก็เลิกหาเหตุผลที่จะเกลียดเธอ
เพราะการจะเกลียดใครสักคนมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก
ใครมันจะดีใจที่แม่ตัวเองแต่งงานใหม่ ทั้ง ๆ ศพของพ่อยังไม่ทันเย็นล่ะ
ผู้ชายคนนั้นคงจะเห็นว่าแม่ผมรวย ก็เลยจะมาเป็นปลิงล่ะสิ ผมเกลียดคนแบบนี้มากเลย
และที่ผมเกลียดที่สุด ก็คือการถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น
ตั้งแต่เกิดมา ผมก็โดนเปรียบเทียบกับพี่ภามอยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมาโดนเปรียบเทียบกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ แถมเธอก็ไม่ได้เป็นแม้แต่เด็กข้างบ้านหรือเพื่อนร่วมชั้นด้วย
สุดท้ายมันก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้เรื่อง ที่เรียนก็ไม่เก่งเท่าพี่ภามกับยัยเด็กนั่น
และความคิดที่ว่า ถ้าผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าเธอจะมีความสุขอีกต่อไป ก็เข้ามาอยู่ในหัวผม
จากนั้นเป็นต้นมา การกลั่นแกล้งเธอ การต่อว่าให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ หรือการหาเรื่องปวดหัวมาให้เธอ ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติไป
เพราะผมมีคติประจำใจว่าจะทำทุกอย่าง ที่ทำให้เธอต้องปวดหัว เสียใจ และแอบไปร้องไห้คนเดียว ในขณะที่ต่อหน้าผู้ใหญ่ผมจะแสร้งทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารัก แต่ลับหลังผมจะสร้างเรื่อง แล้วก็ทำตัวเฮงซวยกับเธอครับ
แม้ว่าพี่ภามจะรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากคอยปกป้องเธอเงียบ ๆ
พอหลังจากพี่ภามไปเรียนต่อที่อังกฤษ แม่ก็ทำงานตัวเป็นเกลียว แล้วพ่อของยัยเด็กนั่นก็มาตายตามแม่ของเธอไป
ช่วงเวลาที่ดี ๆ ของผมกำลังจะเริ่มขึ้น
แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เธอไม่อยู่ให้ผมโขกสับ เพราะเธอดันไปสอบเข้าม.ปลายที่อื่น แม้ผมจะอยากตามไปจองเวรอยู่ แต่ก็ไม่มีปัญญาสอบเข้าไปเรียนที่นั่นหรอกครับ
ส่วนชีวิตม.ปลายของผมก็โอเคดี ผมเลือกเรียนต่อที่โรงเรียนเฉพาะทางด้านศิลปะและดนตรีชั้นนำแห่งหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ผมสามารถเรียนได้อย่างมีความสุขจริง ๆ สักที
ชีวิตที่ไม่ต้องมานั่งเรียนเลข วิทย์ หรืออะไรก็ตามที่ผมไม่ถนัดและไม่อยากเรียนเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุด แล้วผมก็มีโอกาสได้ทุ่มเทกับสิ่งที่ผมรักและอยากทำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป การเล่นดนตรี และการเล่นกีฬา
ส่วนเรื่องที่ไม่โอเค ก็มีแค่ตอนกลับบ้านมาแล้วเจอแต่หน้าพ่อบ้านกับแม่บ้านนี่แหละ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียจริง
พอมาคิดแล้ว มันก็ดีเหมือนกันที่พ่อกับแม่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับผม ผมจึงได้เรียนในสิ่งที่ชอบและอยากเรียนจริง ๆ
ผิดกับพี่ภามที่ต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่าง และต้องเรียนในสิ่งที่พ่อกับแม่เลือกไว้เท่านั้น
บางทีผมก็อยากจะถามพี่เขาเหมือนกัน ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ มีความสุขอยู่ใช่ไหม แล้วชีวิตตอนนี้โอเคดีหรือเปล่า
กลับมาที่เกือบปัจจุบัน ซึ่งจู่ ๆ พี่ภามก็มาขอให้แม่กลับไปช่วยงานที่บริษัทสาขาหลักอย่างกะทันหัน แต่เรื่องนั้นมันทำให้ผมนึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ จึงเดินไปคุยกับท่าน
“แม่จะทิ้งผมไว้คนเดียวจริง ๆ เหรอ” ผมเดินเข้าไปกอดคุณแม่จากทางด้านหลัง พร้อมกับซุกหน้าลงที่ไหล่ของท่าน
“เจ้าภาค เราโตเป็นหนุ่มแล้วนะลูก ต้องหัดอยู่คนเดียวบ้าง” ท่านตอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ก็บ้านหลังมันใหญ่เกินไป”
“อืม... งั้นไปอยู่กับหนูเพียงดีไหมลูก จะได้ไม่เหงา อีกอย่างแม่จะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงเราด้วย”
“ก็เป็นความคิดที่ดีครับ ไม่ได้เจอพี่เพียงตั้ง 3 ปี ไม่รู้ว่าพี่เขาจะคิดถึงผมบ้างไหม แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการรบกวนพี่เขาหรือเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงนะลูก หนูเพียงจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เดี๋ยวแม่จะช่วยพูดให้อีกแรง เอ... เมื่อก่อนแม่เห็นว่าเราเอาแต่แกล้งเขา จนเขาทนไม่ไหวต้องย้ายออกไป อยู่ดี ๆ ทำไมวันนี้ถึงนึกอยากเจอเขาขึ้นมาล่ะ เจ้าตัวแสบ”
“พี่เพียงย้ายออกก็เพราะไปเรียนต่อต่างหาก มันไม่ได้เป็นเพราะผมสักหน่อย แล้วผมก็โตมากับพี่เขา คนเคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน มาแยกจากกันเป็นปี ๆ มันก็ต้องอยากเจอสิครับ”
“โอเค ๆ แม่เข้าใจละ งั้นแม่จะฝากเราไว้กับหนูเพียง ขาดเหลืออะไรก็บอกนะลูก”
ใช่แล้วครับ เป็นเพราะผมเอง
ที่จริงก็ไม่ได้อยากเจออะไรขนาดนั้น แต่ผมไม่ยอมให้เธอไปใช้ชีวิตอย่างสบายใจคนเดียวหรอก
สำหรับครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่เราเจอกัน ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าเธอเติบโตมาดีแค่ไหน
ใบหน้าที่สละสลวยงดงามเกินใคร ช่างเข้ากันกับผมสีปีกกาสั้นประคอระหงเหลือเกิน อีกทั้งรูปร่างที่ได้สัดส่วนก็เหมาะกับชุดมินิเดรสสีขาวแขนกุดที่เธอใส่ดี
เมื่อหยุดมองที่ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ ซี่งขลับกับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอ ก็ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากแม่ตอนสาว ๆ ก็มีแต่เธอนี่แหละ ที่ผมยอมรับว่าสวยมาก
อ้อ! แล้วที่ผมแกล้งเธอไปเมื่อครู่นี้ ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอก
แต่เป็นเพราะน้ำหอมกลิ่นวนิลามิ้นต์ที่เธอใช้ แล้วก็ใบหน้าขาวนวลที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฝาดนั่นต่างหาก ที่ทำให้ผมอยากแกล้งเธอหนักกว่าเดิม
ก็ใครใช้ให้เธอโตมาแล้วสวยขนาดนี้วะ คนอะไรสวยจนใจเจ็บ หรือที่จริงแล้วเธออาจจะเป็นเฮเลนออฟทรอยกลับชาติมาเกิด
ผมเกลียดข้ออ้างของตัวเองชะมัด คือผมรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ถูก ทั้งยังเป็นการเอาเปรียบเธอ แต่พอมารู้ตัวอีกที ผมก็ไม่สามารถพูดจาดี ๆ หรือทำอะไรดี ๆ ได้แล้ว ผมชินที่จะหาเรื่องเธอมากกว่า
นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยงามสมวัย ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยครับ เธอยังคงเป็นคนเก่ง เข้มแข็ง มีเหตุผล และโลกส่วนตัวสูงเหมือนเดิม
และอีกเรื่องที่มันจะต้องเหมือนเดิมตลอดไป คือเธอจะไม่มีสิทธิ์เสียน้ำตาให้ใครนอกจากผม!
ตัดภาพมาที่ความทรงจำของหญิงสาววัยกลางคน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนรักของเธอกำลังกล่าวคำสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
“แม้จะเป็นคำขอที่ดูเห็นแก่ตัว แต่หากว่าเจ้าเพียงเรียนจบมหาลัย แล้วยังไม่เจอผู้ชายที่ดีพอ ขอฝากชีวิตหลังแต่งงานของลูกสาวผมไว้กับเจ้าภามได้ไหม”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลหนูเพียงอย่างดีที่สุด ส่วนเรื่องของเด็กสองคนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ฉันหวังไว้อยู่แล้ว”
“แต่ต้องให้เพียงเป็นคนตัดสินใจเองนะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาขอ เพราะตัวหล่อนเองก็คงไม่ยอมปล่อยให้เด็กสาวคนนี้ไปเป็นสะใภ้บ้านอื่น
แน่นอนว่าการเดินทางไปอังกฤษครั้งนี้ เธอต้องการคุยกับลูกชายคนโต ถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเขากับลูกสาวของเพื่อนรัก
แต่หล่อนคงจะลืมนึกถึงหัวอกของลูกชายคนเล็ก ในวันที่เขาต้องรับรู้เรื่องนี้
A PIECE OF PIANGRAK:
“เพียง ทำไมตู้เย็นบ้านเธอมันถึงร้างเป็นป่าช้าแบบนี้ล่ะ”
เสียงของภาคินดังขึ้น ในขณะที่เขากำลังทิ้งตัวลงบนเบาะโซฟาข้าง ๆ ฉัน
และมันก็ทำให้ฉันหงุดหงิดไม่ใช่น้อย เพราะความเงียบสงบที่ฉันรักกำลังจะหายไป
“ก็มันไม่ใช่ตู้เย็นบ้านคุณนี่ ที่จะได้มีคนซื้อของมาเติมอยู่ตลอดเวลา” ฉันตวัดสายตามองเขา ก่อนจะกลับไปสนใจกับหนังสือที่กำลังอ่านอยู่
“เดี๋ยวนี้ยอกย้อนเหรอ นี่ไม่กลัวว่าฉันจะสร้างเรื่อง แล้วเอามาให้เธอปวดกบาลเล่นใช่ไหม แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันหิวอะ” ร่างสูงทำหน้าตาออดอ้อนน่ารัก พลางดัดน้ำเสียงให้น่าฟัง
“งั้นอีกสัก 30 นาที ค่อยไปซุปเปอร์มาร์เก็ตละกัน”
“ไม่เอา! เธอต้องไปเดี๋ยวนี้เลย เพราะฉันหิวมาก แล้วคุยกับฉันอยู่ ก็หยุดอ่านหนังสือน่าเบื่อนั่นสักที” ภาคินแสร้งทำท่าทีกระฟัดกระเฟียด
เอาล่ะ ฉันอาจจะแปลกใจที่ภาคินหล่อได้มากกว่าที่เคยเป็น แต่เรื่องที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้น ก็คือการที่เขาสามารถเอาแต่ใจได้มากกว่าเดิม คือเพดานหรือจุดสิ้นสุดของนิสัยนี้มันไปอยู่ตรงไหน แถมยังทำตัวเยอะอย่างกับผู้หญิงงี่เง่าพวกนั้น ฉันล่ะเหนื่อยหน่ายใจนัก
“ถ้าหิวขนาดนั้น ฉันทำอะไรให้กินก่อนดีไหม”
“ไม่เอา! เราต้องไปซื้อของกันเดี๋ยวนี้”
ภาคินถือวิสาสะหยิบหนังสือที่ฉันกำลังอ่านอยู่ไป ก่อนจะจับมือฉันแล้วออกแรงดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นยืน แล้วก็ลากฉันออกไปที่หน้าประตูบ้าน
“นี่! เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้เตรียมตัว...”
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเอาแต่ใจได้ขนาดนี้
แล้วฉันก็ต้องยอมทุกที เพราะสู้แรงเจ้าเด็กนี่ไม่ไหว
“ฉันยังไม่ได้หยิบกุญแจรถเลย”
“ใกล้ ๆ แค่นี้ไม่ต้องขับรถไปหรอก ถ้าเธอจะไม่ยอมใส่ใจใคร ก็ควรใส่ใจโลกบ้างสิ” เขาพูดพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างมีนัย
“แล้วคุณคิดจะซื้อของกี่อย่างกัน ฉันไม่อยากลำบากตอนขากลับนะ แล้วที่คุณพูดแบบนั้น คิดว่าฉันเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจรักใครไม่เป็นเหรอ”
“ซื้อไม่เยอะหรอก เธอถือกลับได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”
สีหน้าระรื่นของภาคินคือลางบอกเหตุชั้นดี ว่าอีกไม่ช้าจะมีเรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้น
และฉันจะไม่ยอมแบกของกลับคนเดียวหรอกนะ คอยดูสิ!
ณ ห้างสรรพสินค้า
ทันทีที่มาถึง ฉันกับภาคินก็เดินตรงดิ่งไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของห้างแห่งนี้
ระหว่างที่เรากำลังเลือกของกันอยู่นั้น เขาก็วางท่าราวกับคุณชายที่พกคนรับใช้มาช่วยถือของ
ในตะกร้ารถเข็นยังไม่มีของที่ฉันต้องการจะซื้อเลยสักชิ้น ขณะที่เจ้าคนเสียสตินั่นเอาแต่หยิบของใส่รถเข็นอย่างบ้าคลั่ง แล้วน้ำอัดลม 2 ลัง นมสด 3 แกลลอน น้ำผลไม้ 6 กล่องใหญ่ มันคืออะไรเนี่ย ยังไงฉันก็ถือกลับไม่ไหว
แล้วก็ทำเป็นมาบอกว่าใส่ใจโลก มันก็แค่ข้ออ้างของคนเฮงซวยที่อยากหาเรื่องแกล้งชาวบ้านไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ
“ของที่ฉันอยากได้ครบแล้วนะ ถ้าเธอจะเลือกของต่อก็ตามสบาย ส่วนฉันจะไปทำธุระที่อื่นต่อ แล้วก็อย่าคิดเอามันออกเชียวล่ะ เพราะฉันจำของทุกชิ้นที่อยู่ในนี้ได้ และถ้าเกิดว่ามันขาดไปสักชิ้นล่ะก็ เธอรู้ใช่ไหมว่าต้องเจออะไร”
รอยยิ้มปีศาจของภาคินทำฉันแทบจะกรีดร้องกลางห้าง แล้วเขาก็เดินหายไปอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
เอายังไงดี นี่ยังไม่ได้ซื้อพวกอาหารสด กับของใช้ในบ้านเลยนะ
แล้วไหนบอกว่าหิวข้าวไง ทำไมถึงหยิบแต่ขนมไร้สาระมา
และเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ก็คือการที่ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์ออกมาด้วยนี่แหละ
แต่ในขณะที่ฉันยืนกังวลอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มหวานที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง
“เพียง”
“พี่ปัณณ์ มาได้ไงเนี่ย ไม่คิดว่าจะเจอพี่ที่นี่ ” ฉันกล่าวทักด้วยน้ำเสียงสดใส
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ร่างสูงถามกลับด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเข้ามาเดินข้าง ๆ ฉัน
“ปกติเห็นอยู่แต่ที่ตึกคณะ โรงอาหาร แล้วก็ที่ตึกคณะอีกนั่นแหละ”
“ให้ได้เจอกันที่อื่นบ้างเนอะ ขอร้องล่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
พี่ปัณณ์เป็นรุ่นพี่คนแรกที่ฉันรู้จักตอนเรียนม.ปลาย
ความจริงก็ไม่คิดว่าจะได้สนิทกับเขาขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญ ที่ฉันมักจะเจอพี่ปัณณ์ที่ร้านกาแฟบ่อย ๆ
ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปนั่งร้านไหน ก็จะเจอพี่เขาตลอด ซึ่งฉันตอนแรกฉันก็สงสัยว่ามันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ด้วยเหรอ
แต่ก็ลองคิดในแง่ดีว่าพวกเราอาจจะมีรสนิยมเรื่องเครื่องดื่มเหมือนกัน หรือไม่ก็อาจจะขยันเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอกันที่ร้านกาแฟโต้รุ่ง แล้วเวลาที่เจอกันเขาก็อ่านหนังสือหนักตลอดเลย
แล้วมันก็มีวันหนึ่งที่ฉันหาโต๊ะไม่ได้เพราะเป็นช่วงสอบปลายภาค ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่จะนิยมมาอ่านหนังสือกันที่ร้านกาแฟโต้รุ่ง
ในขณะที่ฉันกำลังถอดใจและเดินออกจากร้านไป จู่ ๆ พี่ปัณณ์ก็เดินมาเรียกฉัน แล้วพูดว่ามานั่งกับพี่ก็ได้ สุดท้ายเราก็รู้จักกัน
จากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็มีเพื่อนอ่านหนังสือ
มีครั้งหนึ่งที่เขาแอบงอแงว่าไม่อยากอ่านแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นปีแห่งการตัดสินอนาคต ป่านนี้เขาคงจะปิดหนังสือ แล้วลากฉันไปเที่ยวที่ไกล ๆ สักแห่ง
แต่หลังจากที่พี่ปัณณ์สอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้ ฉันก็แทบจะไม่เห็นเขาอีกเลย
พอเวลาผ่านไปได้สองปี จากรุ่นน้องที่โรงเรียนในวันนั้น ก็กลายเป็นรุ่นน้องต่างคณะในวันนี้ และด้วยเหตุที่ว่าคณะแพทย์กับวิศวะอยู่ใกล้ ๆ กัน ฉันจึงได้เจอหน้าพี่ปัณณ์เกือบทุกวัน ไม่ว่าเป็นที่ร้านถ่ายเอกสาร ที่ร้านกาแฟใต้ตึกคณะ และที่โรงอาหาร
“ว่าแต่ทำไมคนเรียนหนักถึงได้หน้าตาสดใสนักล่ะ”
“ก็คนมันหล่อ ต่อให้โทรมก็ดูดีไหม ว่าแต่เราเถอะ ทำหน้ากังวลมาตั้งแต่เมื่อกี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
“พอดีว่าฉันมาซื้อของกับน้องค่ะ แต่บังเอิญว่าน้องขอออกไปทำธุระก่อน ปัญหาคือสถานที่ที่เขาไปอยู่ไกลจากห้างนี้พอควรเลย ซึ่งเขาคงจะกลับมารับฉันไม่ทันแน่นอน แล้ววันนี้ห้างก็ปิดเร็ว ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับของพวกนี้ดี”
ขอโทษที่ต้องโกหกนะคุณพี่ปัณณ์ ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้จริง ๆ
“เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพี่ไปส่ง แต่พึ่งรู้นะเนี่ยว่าเราก็มีน้อง พี่เข้าใจมาตลอดว่าเพียงเป็นลูกคนเดียว”
“ฉันเป็นลูกคนเดียวค่ะ แต่น้องที่พูดถึงเป็นลูกติดของแม่เลี้ยง”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง งั้นพี่ไม่ถามแล้วดีกว่า ว่าแต่เราอยากซื้ออะไรอีกไหม”
“วันนี้ฉันว่าจะทำเค้กแครอท แล้วก็ของคาวอีกหลายอย่างเลย งั้นเราไปที่โซนอาหารสดกันเถอะ”
“เค้กแครอท~ อยากกินอะ พี่ไม่ได้กินขนมฝีมือเรานานแล้วนะ”
“ไว้ฉันจะเอาไปให้ที่คณะแล้วกันค่ะ ว่าแต่พี่ควรหัดตอบแชทคนอื่นบ้างสิ”
“ได้ ๆ พี่จะรอ รอตอบแชทเรา รอขนมของเราด้วย” พี่ปัณณ์พูดพร้อมกับยื่นมือมายีผมฉัน
พอเห็นรอยยิ้มน่ารักสดใสของเขาแบบนี้ ก็นึกถึงช่วงเวลาที่ฉันแอบชอบเขาขึ้นมา
แต่ตอนนั้นจังหวะไม่ดีเอาซะเลย เพราะพี่เขาดันมีแฟนอยู่แล้ว ฉันก็เลยต้องตัดใจ แต่พอพี่เขาเลิกกับแฟนไป แล้วก็มีท่าทีว่าจะสนใจฉัน ฉันก็ดันคบกับคนอื่นอยู่
บางทีพวกเราคงเหมาะกับความสัมพันธ์แบบนี้ที่สุดแล้วมั้ง
ตัดภาพมาที่ภาคิน ซึ่งเขากำลังจับจ้องไปที่หญิงสาวกับชายแปลกหน้าผู้เป็นเจ้าของรถคันสีขาว
เขาเห็นตั้งแต่ตอนที่ชายคนนั้นเดินไปเปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ ก่อนจะช่วยพยุงร่างเล็กของหญิงสาวให้ลุกขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันขนของลงจากรถ
แม้คนเฝ้ามองไม่อาจรับรู้ได้ถึงเนื้อความในบทสนทนาของหญิงสาวกับชายแปลกหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นอย่างชัดเจน คือรอยยิ้มอันแสนสดใสของหญิงสาวที่เขาไม่เคยได้รับจากเธอเลยสักครั้ง
และความรู้สึกของเขาตอนนี้ ก็เหมือนกับคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ ที่รอเวลาถาโถมใส่หญิงสาวคนนั้น
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 9
Comments