ก่อนพิธีถวายตัวหนึ่งเดือน
ศักราชราชามานาแห่งชนเผ่ามายัน
3,200 ปี ก่อนคริสตกาล
.
.
.
ภายใต้ท้องพระโรงของราชวังหินศิลาแห่งชนเผ่ามายัน บนบัลลังก์หินสลักรูปวงแหวนพระจันทร์เสี้ยว
องค์ราชาผมสีโลหิตเจ้าของสมยานามราชาทรราชกำลังนั่งเอกเขนกท้าวคางอ่านราชกิจและราชสารหินสลักที่ได้รับมาจากพระราชเลขาจำนวนมากด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แม้จะอยู่ในท่วงท่าสบายขีดจากอินิยาบทที่กษัตริย์ควรมีแต่มานาก็กำลังใช้ความคิดและสมาธิไปกับการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้น
ทุกสิ่งในอาณาจักรล้วนอยู่ภายใต้การปกครองที่มีราชาเป็นศูนย์กลางในแต่ละวันราชกิจที่มานาจะต้องสะสางจึงมีจำนวนมาก ศิลาหินสลักที่ถูกส่งมาในแต่ละวันล้วนสูงเลยหัวจากพื้นดินขึ้นไปในทุกๆวัน โดยมานาจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาสะสางศิลาหินเหล่านี้ให้หมดไปก่อนช่วงเย็นไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีเวลาส่วนตัวให้ได้ยืนทอดสายตามองหุบเหวทมิฬ
ราชเลขานั้นเข้มงวดและทำหน้าที่ของตนได้ดีเสียจนมานาอยสกจะปรัหารทิ้งหากแต่ถ้าเขาทำแบบนั้นก็ย่อมขสดแขนขาที่จะทำหน้าที่จีดดารตารางชีวิตอันยุ่งเหยิงให้ ส่วนสาเหตุที่ตนไม่แต่งตั้งขุนนางขึ้นมาช่วยเหลือนั่นก็เป็นเพราะบทเรียนที่ได้รับจากการปกครองของพระบิดา ที่เปิดโอกาสให้เหลือบไรพวกนี้อาศัยช่องว่างจากงานที่ราชามอบหมายกอบโกยผลผลิตและที่ดินของประชาชนมาเป็นของส่วนตน อีกทั้งยังขูดรีดภาษีและส่งส่วยช่วยเหลือกันเองภายในกลายเป็นหนอนที่ชอนไชทิ้งสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นให้กับเชื้อพระวงศ์
ขุนนางพวกนี้มักจะมีนิสัยชอบบ่มเพาะอำนาจสายใหญ่จนอยู่เหนือผู้ปกครองแล้วปกครองอยู่เบื้องหลังกอบโดยผลแระโยชน์ ชักใยราชวงศ์ให้เต้นไปตามเกมส์ของตน ทำให้ราชาและราชวงศ์ตกเป็นเบี้ยล่างในการกระจายอำนาจของขุนนางซึ่งมานารู้ดีและหาทางทำให้ขุนนางเหล่านี้หุบปากชะงักมาเป็นเวลากว่าห้าปี
งานของราชานั้นมีตั้งแต่การวางแผนในการทำการเกษตร ขยายเขตดินแดนและความเป็นอยู่ของประชาชนตลอดจนการก่อสร้างบ้านเรือนและชลประทาน
ศิลาหินสลักหลายร้อยแผ่นจะถูกจัดเตรียมตั้งแต่รุ่งสางรอองค์ราชามาอ่านและวางแผนหลวมไปถึงออกอำนาจอนุมัติ และในเมื่อมีวันที่ทำงานหนักองค์ราชาเองก็ต้องมีวันหยุด ในหนึ่งเดือนมานาจะได้หยุดทุกๆคืนเดือนดับเพื่อไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงบูชาเทพแห่งดวงจันทร์เพื่อให้คงความแข็งแกร่งและพละกำลังเอาไว้ แม้จะดูเหมือนไม่ใช่วันหยุดแต่การพักสมองและสายตาจากศิลาหินพวกนี้บ้างก็ทำให้ราชาหนุ่มผู้นี้ไม่มีสภาพที่เหี่ยวเฉาเช่นราชาพระองค์อื่นที่ทรงงานทุกวันจนฝืนสังขารแล้วเสื่อมสมรรถภาพในการทรงงานลงไปในที่สุด กลายเป็นเพียงตาแก่มากเมียที่นั่งกินนอนกินไปวันๆ
"วันนี้ที่ปากแม่น้ำดานุทางตอนเหนือของอาณาจักร เราได้รับรายงานจากนายกรมว่าพบรอยร้าวของเขื่อนและมีท่อนซุงบางส่วนโดนกระแสน้ำที่ไหลหลากเมื่อรุ่งสางเซาะออกไปจนเกิดช่องโหว่ ทำให้น้ำที่ไหลเข้ามาในเมืองหลวงเชี่ยวกรากกว่าปกติ เกรงว่าปล่อยไว้จะทำให้เกิดปัญหาในการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร..."
ราชเลขายืนอ่านศิลาหินจากกรมประมงให้องค์ราชาผมแดงฟังทีละบรรทัดจนคนฟังป้องปากหาว ก่อนที่มานาจะออกคำสั่งให้ขุนนางกรมประมงแก้ปัญหาตามที่ตนแจ้งโดยมีผู้จดบันทึกอีกสองคนทำหน้าที่สลักข้อความลงบนศิลาหิน
เมื่อกองงานราชกิจพร่องไปก็ว่าครึ่งก็มีผู้ส่งสารจากเมืองอื่นวิ่งเข้ามาในท้องพระโรงพร้อมด้วยแผ่นศิลาดินเผาส่งให้กับทหารเบื้องล่างที่รอรับอยู่ก่อนจะถูกส่งมายังราชเลขาที่ยืนรออ่าน
ตามปกติราชสารใดก็ตามที่ใช้ในราชวังบ้วนแต่ต้องเป็นศิลาหินเพื่อบ่งบอกถึงลำดับและให้เกียรติเพราะศิลาหินนั้นจัดเป็นของมีราคา การที่ส่งราชสารมาหาราชาอีกอาณาจักรด้วยศิลาดินเผาของคนทั่วไปคือการหยามเกียรติกันกลายๆนั่นเอง
ราชเลขามองราชสารในมือสลับกับมองสีพระพักตร์ของราชาเพื่อรอพระราชานุญาติ เมื่อมานาโบกมือเขาก็ลงมืออ่านทันที
แม้จะกำลังอ่านราชสารจากอาณาจักรที่เคยส่งขุนนางทั้งสองมาเยือนอยู่แต่มานาก็ยังสามารถวางรับฟังเนื้อหาของสารได้อย่างครบถ้วน
ฝ่ามือของเขาเอื้อมไปหยิบศิลาขาวออกมาแล้วขีดเขียนรายชื่อช่างทำเขื่อนไม้ในราชสำนักส่งกลับไปให้พระราชเลขาโดยไม่ได้คิดจะให้ความสำคัญกับราชสารประกาศสงครามที่ส่งมาโดยสิ้นเชิง
"นำไปให้ฟามุสถ้าเขื่อนยังซ่อมแซมไม่เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ให้จับนายช่างทั้งหมดไปประหารแล้วนำผู้อื่นมาทำแทน ข้าไม่อนุญาตให้หยุดพักจนกว่าจะเสร็จสิ้น"
"ขอรับ"
ศิลาหินอ่อนถูกยื่นไปหาคนรับใช้ที่ทำหน้าที่ส่งราชสารที่นั่งรออยู่เต็มท้องพระโรง
การใช้มนุษย์มาทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือจุดมุ่งหมายขององค์ราชา ไม่ว่างานที่ทำจะต่ำต้อยหรือมากน้อยเพียงใดขอเพียงแค่ไม่ใช่คนขี้เกียจต่อให้เอามูลสัตว์มาขายก็ถูกนับว่าเป็นงานที่น่ายกย่อง และผู้ที่ทำงานได้ดีจะได้มีชีวิตที่สงบสุข ในทางกลับกันมันผู้ใดที่ลักขโมยเกียจคร้านและทำงานไร้ประสิทธิภาพ ความตายเป็นผลตอบแทนเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับ
เมื่อสายตากวาดลงมาอ่านแผ่นศิลาตรงหน้าจนครบถ้วนคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันจนเป็นปม การสังหารทูตทั้งสองทำให้เกิดปัญหาเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับผลการตัดสินของอาณาจักรตน ปัญหาที่ตามมาจึงเป็นการประกาศทำสงคราม ดูท่าอาณาจักรแห่งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรเล็กๆโดยรอบจึงกล้ามากพอที่จะประกาศสงครามกับอาณาจักรของเขา
"หึ... หึๆ.. กล้าดีนี่ไอ้พวกตัวเสนียด"
แผ่นศิลาแผ่นนั้นถูกหยิบแล้วโยนไปให้ข้ารับใช้คนหนึ่งที่วิ่งเข้ามารับได้ทันก่อนที่แผ่นศิลาจะร่วงลงพื้น
"องค์ราชาจะทำเช่นไรขอรับ จะบุกไปตีเช่นทุกทีหรือไม่ขอรับ..."
ราชเลขาเหลือบมองข้ารับใช้คนนั้นแล้วกวักมือเรียกให้เข้ามายืนอยู่ข้างหลังตนเพื่อรอแผ่นศิลาขาวจากองค์ราชา
มานาส่ายหัวเขาเบื่อการทำสงครามกับพวกกระจอกที่ต้องรวมกันเป็นฝูงเต็มที การวิ่งเต้นไปตามที่พวกมันต้องการก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับตัวเองว่ามีสติปัญญาเท่ามันพวกนั้น แผ่นศิลาอื่นๆที่เหลืออยู่สองสามแผ่นตรงปลายเท้าถูกเตะจนกระเด็นตกลงไปอยู่ตรงขั้นบันไดหน้าบัลลังก์ที่อยู่ปลายเท้า
มานาหมดอารมณ์จะอ่านราชกิจต่อแล้วและคร้านจะฟังปัญหาที่เล็กน้อยนี้เต็มทีจนเคาะนิ้วเข้ากับแท่นวางแขน
"เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจพวกมัน แค่ตั้งรับแล้วฆ่าให้หมดก็พอ.."
ราชเลขาพยักหน้ารับเห็นพ้องกับราชาของตนอย่างไร้ซึ่งข้อกังขา ด้วยความที่ทำงานรับใช้กันมานานความทระนงตนและฉลาดของราชาพระองค์นี้เขาได้เรียนรู้มันมาโดยตลอดและเลื่อมใสในความปราดเปรื่องนั้นไร้ซึ่งข้อกังขาโดยสิ้นเชิง หากองค์ราชาตรัสว่าชนะพวกเขาก็จะชนะและมันก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด เมื่อใดก็ตามที่มานาได้จับดาปนั่นหมายถึงหัวของศัตรูจะหลุดออกจากบ่าหล่นกระจายบนพื้นไม่ต่างจากผลไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น
"ส่งศิลาหินดำกลับไปหาพวกมัน ระบุไว้ด้วยว่าข้าราชามานาแห่งอาณาจักรมายันยินดีตั้งรับพวกกระจอก เชิญบุกกันมาให้เต็มที่.. แล้วอย่าหนีเหมือนหมาตอนที่ข้าก้าวขาลงสนามรบก็แล้วกัน"
"ขอรับ.."
แผ่นศิลาดำถูกสลักคำพูดขององค์ราชาอย่างครบถ้วนทุกคำไม่มีขสดตกบกพร่อง ทันทีที่ถ้อยคำถูกสลักจนเสร็จสิ้นศิลาหินก็ถูกส่งไปยังข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ ทันทีที่ได้รับศิลาหินมาข้ารับใช้ชายคนดังกล่าวรีบออกวิ่งด้วยฝีเท้าของตนให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาจากท้องพระโรงเพื่อนำสารประกาศยอมรับสงครามไปส่งให้กับประเทศศัตรูอย่างสุดชีวิต
ประชาชนเผ่ามายันแทบทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ภายในกำแพงที่สร้างจากหินสลักขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเป็นครึ่งวงกลม กำแพงนี้ตั้งตระหง่านมาตั้งแต่ยุคสมัยแรกของอาณาจักรมานานหลายร้อยปีโดยไม่บุบสลาย ไร้ซึ่งผู้ใดที่จะมีพละกำลังมากพอที่จะปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนนั้นหากไม่ใช่เหล่าทหารกล้าขององค์ราชาผมสีโลหิต
เมื่อครั้งที่บุกโจมตีเมืองพระองค์ยังทรงวิ่งไต่กำแพงเมืองขึ้นมาแล้วสังหารทหารสังเกตุการ์ณที่อยู่ใกล้จนสิ้นชีพไปหลายคนจนกลายเป็นที่เลื่องลือไม่ต่างจากนิทาน
เหล่าทหารกล้าจัดทัพเตรียมสังหารข้าศึกที่จะบุกมาโดยการแฝงตัวอยู่ตามต้นไม้และพื้นหญ้า กระบองกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่กับคันธนูพร้อมด้วยลูกศรอาบยาพิษคืออาวุทที่ใช้ในการสังหาร อาวุทที่ร้ายกาจคือมีดทรงตะขอที่มัดติดกับเชือกใช้สังหารศัตรูจากระยะไกล ผู้ที่ฉลาดที่สุดและมีกำลังมากที่สุดคือผู้ชนะในป่าที่อารยธรรมยังไม่พัฒนามากคือผู้ชนะ พวกเขาทุกคนล้วนมีอาวุทลับสุดท้ายเป็นดาปเสี้ยวจันทร์ที่องค์ราชาประทานให้ติดกายอยู่ทุกคนเมื่อทำลายศัตรูได้ครึ่งหนึ่งดาปเสี้ยวจันทร์จึงจะถูกนำออกมาใช้ เป็นการให้เกียรติองค์ราชาของอาณาจักรตน
ทหารของเผ่ามายันพวกนี้ไม่เคยกลัวตาย พวกเขาหวาดกลัวการบาดเจ็บที่ทำให้พิการมากกว่าการถูกสังหาร เมื่อใดก็ตามที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในกองทัพต่อไป
เหล่าทหารกล้าพวกนี้จึงมักจะสังหารตนเองทันทีถ้าได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นทำให้พิการหรืออยู่ในสภาวะที่ใกล้ตาย
พวกเขายืนประจันหน้าเป็นแนวกำแพงมนุษย์อยู่หน้าประตูเมือง โดยมีหน้าที่สำคัญในวันนี้ที่ได้รับจากองค์ราชาที่มีรับสั่งโดยตรงลงมาให้พวกเขาเตรียมตัวตั้งแต่รุ่งสาง หน้าที่ในวันนี้หาใช่การปกป้องกำแพงเมืองแต่เป็นการกวาดล้างศัตรูให้สิ้นสาก หากมันคนใดได้ก้าวขาพ้นประตูเมืองไป พวกเขาทุกคนจะถูกประหารเมื่อสงครามจบลงในทันทีและร่างของพวกเขาจะถูกเผาทิ้ง ไม่ได้รับเกียรติเป็นเครื่องบรรณาการแด่เทพแห่งผืนป่ากลายเป็นความอัปยศแก่ครอบครัวและเผ่า
เสียงฝ่าเท้าของข้าศึกใกล้เข้ามาทุกขณะ นายทหารที่อยู่บนยอดไม้เริ่มผิวปากออกคำสั่งทหารบนพื้นกว่าพันนายให้ออกวิ่งแทรกตัวลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า
เมื่อตั้งรับอยู่ในป่าที่คุ้นเคยพวกเขาย่อมได้เปรียบ อีกทั้งการเคลื่อนไหวที่ถูกฝึกมาก็ช่วยกลบเสียงเท้าและทำให้พรางตัวไปกับต้นไม้ได้เป็นอย่างดี
ทหารนายหนึ่งของกองทัพข้าศึกเป็นหน่วยกล้าตายเดินนำหน้ามาตามทางของป่ารกชัฏ
แม้จะอยู่ในช่วงกลางวันที่แสงแดดเริ่มส่องมาถึงป่าด้านล่าง แต่ด้วยสภาพทางที่ไม่อำนวยทำให้พวกเขาต้องย่างฝีเท้าให้แผ่วเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ข้าศึกนั้นรู้ตัว แต่กระนั้นทหารของดผ่ามายันเองกับแข็งแกร่งกว่า พวกเขาพรางตัวอยู่ทั่วป่าแถบนี้และซุ่มรอโจมตี ดฝ้ามองศัตรูผู้โง่เขลาค่อยๆเดินผ่านป่ามาทีละก้าวอย่างใจเย็น
ฟุบ!...
จนฝ่าเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายรายหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกองหญ้าและเถาวัลย์ที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ที่หนาแน่นด้านหน้า กับดักตาข่ายที่เต็มไปด้วยมีดตะขอก็ยกตัวเขาขึ้นไปห้อยโหนอยู่กลางอากาศ ถูกเสียดแทงด้วยตะขอมากมายที่แทรกตัวอยู่ตามตาข่ายนั้นจนเลือดไหลอาบลงพื้นกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
นายทหารคนอื่นๆเองที่ตามหลังมาบางส่วนก็เหยียบพลาดโดนกับดักเช่นกัน
พวกมันที่เหลือแตกฮือแล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วเหมือนมดที่แตกรังหาทางเแาตัวรอดในทันที ซึ่งทางรอดเพียงทางเดียวทีาจะหนีพ้นจากกับดักเหล่านี้คือความเร็วเท่านั้น
ฝีเท้าเปล่าเปลือยวิ่งย่ำไปด้านหน้าเป็นทางตรงมุ่งหวังให้กองรบเหลือรอดให้มากที่สุดเพื่อเข้าโจมตีศัตรูของตน
แต่ความฝันของพวกเขาก็แตกสลายเมื่อทหารของมายันลูกขึ้นจากพื้นดินแล้วเงื้อมือขึ้นฟาดกระบองที่ทำจากกระดูกวัวป่าไล่สังหารเหล่าข้าศึกผู้ไม่รู้จักประมาณตนจนเสียงกรีดร้องแห่งความตายดังไปทั่วทั้งผืนป่า
มานานั่งมองภาพการต่อสู้ของทหารทั้งสองฝ่ายตรงจากยอดของหอคอยบนกำแพงเมือง จากบนนี้หากมองไปยังเบื้องหน้าใต้ต้ยไม้ใหญ่มนุษย์ทั่วไปอาจเห็นเพียงกิ่งไม้ใบหญ้าธรรมดาเท่านั้น แต่กับมานาที่ได้รับเพลงจากเทพแห่งจันทราที่เขาส่งมารถมองเข้าไปในผืนป่าได้อย่างทะลุปรุโปร่งประหนึ่งว่าเขากำลังนั่งดูการแสดงชุดหนึ่งชัดเจนไร้สิ่งกีดขวางได้อย่างเพลิดเพลิน
ในอุ้งมือเรียวสวยคือไวน์สีแดงที่ถูกบรรจุอยู่ภายในแก้วที่ทำจากทองคำ มานายกแก้วขึ้นจิบไวน์องุ่นหมักดื่มด่ำให้กับการสังหารหมู่ตรงหน้าอย่างมีความสุข มุมปากประดับรอยยิ้มบางดูทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนโยนขึ้นหากแต่รอยยิ้มนั้นกลับถูกมอบให้แก่เหล่าซากศพของศัตรู
ด้านข้างของบัลลังก์ไม้มีราชเลขาที่กำลังยืนถือถาดทองคำสำหรับใส่ขนมปังแผ่นบางและเนื้อย่างเลิศรสอัรเป็นอาหารกลางวันขององค์ราชา
หากมีพระประสงค์ที่อยากจะเสวยอาหารกลางวีนท่ามกลางสนามรบ มันผู้ใดเล่าจะกล้าทัดทานองค์ราชาผู้นี้
ราชเลขาใช้ไม้คีบเนื้อย่างที่ถูกหั่นพอดีคำป้อนใส่ปากองค์ราชาที่นั่งรออยู่อย่างใจเย็น
"อื้ม~... วันนี้พ่อครัวทำเนื้อได้ดี อร่อยมากข้าฝากเจ้าไปชมเขาด้วยนะ"
พระองค์ดื่มด่ำไปกับเนื้อย่างที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยเลือดและสมุนไพรเสมือนว่าเนื้อคือเลือดและเนื้อของศัตรูที่พระองค์ได้ฆ่าฟัน
"การแสดงจากอาณาจักรอินคาข้าศึกของเราเป็นที่พอพระทัยหรือไม่ขอรับ"
มานาบิดขี้เกียจแล้วส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายอ้าปากงับขนมปังและเนื้อย่างเข้าปากเป็นคำสุดท้าย
"ตายง่ายกันไปเสียจนข้าคิดว่าสู้กับเด็กทารก.. แต่เหมือนจะบุกมากันเรื่อยๆ ทหารของเราแค่ห้าร้อยคนคจะงไม่พอสังหารสิ้น คงทำได้แค่ต้านทานแล้วมอบความพ่ายแพ้ให้กับพวกมัน... แต่ข้าไม่ได้ต้องการความพ่ายแพ้ข้าต้องการซากมนุษย์"
แก้วสีทองถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนไวน์สีแดงไหลรดลงมาตามลำคอสู่แผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนเปรอะเปื้อนสร้อยคอเหมือนกับเลือดทีาไหลชะโลม ดวงตาสีทองเหลือบไปเห็นทัพสนับสนุนของศัตรูวิ่งตรงมาทางกลุ่มที่กำลังฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดตรงกลางวง ทหารของเขาต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหนแต่กับข้าศึกที่มากันเหมือนมดแมลงพวกนี้ย่อมก่อให้เกิดความรำคาญมานาจึงรู้สึกครั่นตัวอยากจะลงไปวิ่งเล่นให้หายเบื่อ
"ท่านราชาจะลงไปหรือขอรับ"
"ขอลงไปยืดเส้นยืดสายสักนิด.. จะได้เป็นการเตือนความจำเสียบ้างว่าข้าเป็นใคร"
มานาปาแก้วทิ้งลงพื้นแล้วหยิบดาปเสี้ยวจันทร์ขนาดใหญ่ที่วางพิงอยู่ด้านข้างของบัลลังก์ขึ้นมาถือกระชับแน่นอยู่ในมือทั้งสองข้าง
ดาปเสี้ยวจันทร์ที่ถูกตีให้โค้งงอจากดาปยาวมีขนาดเท่ากับแขนของมานาเพียงข้างหนึ่ง ดาปทั้งสองถูกลับคมทั้งสองด้านอย่างดีจนมันวาวสะท้อนแสงเมื่อพระอาทิตย์ส่องลงมาให้เห็นเส้นโค้งอันงดงามและน่าหวาดหวั่น
เสือดาวทั้งสองตัวที่นอนหมอบอยู่ด้านข้างเริ่มพลิกตัวไปมาแล้วบิดขี้เกียจประหนึ่งแมวตัวโต พวกมันมันอ้าปากหาวจนเห็นเขี้ยวที่ยาวงุ้มอย่างน่ากลัวครบทุกซี่เมื่อเจ้านายส่งเสียงเรียกพวกมันก็รีบเดินเข้ามาหา พลางคลอเคลียใช้หัวทุยๆเบียดไปตามท่อนขาขององค์ราชาอย่างออดอ้อน
"หึๆ.. ไปเล่นสนุกกันเจ้าแมวโง่"
เจ้าของผมสีโลหิตแสยะยิ้มกว้างออกมาก่อนจะแล้ววิ่งนำเสือดาวทั้งสองตัวไต่ลงมาจากกำแพงเมืองมุ่งตรงเข้าไปยังป่าด้านหน้าที่กลายเป็นสนามรบด้วยพละกำลังและความเร็วที่เหนือมนุษย์
หนึ่งนายสองสัตว์เลี้ยงกระโจนเข้าไปกลางวงต่อสู้จนกลุ่มคนคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่หยุดชะงักทั้งสองฝ่าย สีหน้าของทหารมายันเต็มไปด้วยความปลื้มปีติที่ได้รับเกียรติร่วมรบไปกับราชา แตกต่างจากฝ่ายอินคาที่รับรู้ได้ถึงหายนะอันใหญ่หลวงที่แผ่ซ่านออกมาจากบุรุสตรงหน้าพวกเขา
ดาปเสี้ยวจันทร์ประกายคมสว่างวาบเสมือนสัญญาณเตือนแห่งความตาย
"องค์ราชา!"
ทหารมายันกู่ร้องเสียงดังสนั่นผิดกับแม่ทัพของข้าศึกที่กู่ร้องคำสั่งการ หากล้มราชามานาได้แม้จะยากเพียงใดแต่ก็คงไม่ยากเกินทหารหนึ่งพันนายจะต่อกร หากแต่เขากลับคิดผิด
"สังหารทรราชมานาให้สิ้น!"
เมื่อเห็นร่างของประมุขฝ่ายศัตรูกลางสนามรบชัดเจนแม่ทัพผู้โง่เขลาก็ตะโกนสั่งทหารอีกกลุ่มที่เหลือรอดให้วิ่งกรูเข้าไปรุมสังหารร่างผมแดงที่ยืนอยู่กลางวงสนามรบ
มานาไม่รอให้ใครพุ่งคมดาปเข้ามาสังหารตน ดาปเสี้ยวจันทร์ก็ถูกเหวี่ยงออกไปตัดผ่านลำคอของทหารสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆจนให้ขสดสบั้นร่วงหล่นลงพื้นหญ้าทั้งๆที่ร่างยังคงวิ่งอยู่
ด้วยความบ้าคลั่งของหยดเลือดที่พวยพุ่งสัญชาตญาณและความบ้าคลั่งอย่างแท้จริงก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ทหารทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกสังหารด้วยคมดาปจากร่างผมแดง บ้าคลั่ง ป่าเถื่อนและไร้มีแต่เลือดสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นชะโลมลงผืนหญ้าให้เจิ่งนองเหมือนบ่อเลือด
นายทหารยอดฝีมือของอินคาหลายสิบนายวิ่งกรูเข้ามาหาหวังใช้จำนวนเข้าข่มแต่ก็ถูกเสือดาวที่คอยปกป้องเจ้านายกระโจนใส่และวิ่งไล่ขย้ำ พวกมันใช้อุ้งมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมตะปบเข้าที่หัวของศัตรูถลกเอาหนังศีรษะหลุดให้สิ้นชีพ
มานากลายเป็นเสมือนปีศาจในคราบมนุษย์จากพรของเทพแห่งดวงจัทร์ที่เขาบูชา ราชาหนุ่มคำรามออกมาเหมือนสัตว์กระหายเลือดเข้าจู่โจมทุกคนในสนามรบ
ดาปเสี้ยวจัทร์ตวัดฟาดฟันเหล่าทหารอินคาและทหารของมายันที่หนีคมดาปไม่พ้น
ทหารมายันบางส่วนที่เคยผ่านสนามรบเคียงข้างองค์ราชามาก่อนรีบพาสหายของตนหนีความบ้าคลั่งอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ไปอยู่ยังแนวหลัง ทิ้งให้องค์ราชาที่ไร้สติกลายเป็นปีศาจร้ายไล่ฆ่าฟันข้าศึกที่พากันหนีตายอย่างน่าเวทนา
เสียงกรีดร้องและฉีกกระชากกับเสียงบดแตกของกระดูกกับเลือดที่พวยพุ่งจากคอที่ขาดของร่างไร้ชีวิตเป็นเสมือนสิ่งที่ย้ำเตือนถึงความกระหายในการฆ่าฟันของร่างผมสีโลหิต กลายเป็นฝันร้ายของทุกผู้ที่ได้พบเห็น
"อ๊ากก!"
"ช่วยด้วย! ช่วยด้วยย!.."
ทหารที่หนีตายห่างออกไปจากรัศมีของคมดาปจะถูกจู่โจมด้วยเสือดาวตัวใหญ่ทั้งสองโตสิ้นสิ้นชีพ คมเขี้ยวของนักล่าพร้อมฉีกกระชากท่อนแขนและศรีษะให้แยกออกเป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะหนีหรือหันหน้าเข้าสู้ก็มีแต่ความตายรออยู่ทหารฝ่ายศัตรูกว่าจะตระหนักรู้ถึงหายนะก็สายเกินกว่าจะก้าวขาหนีราชาผู้บ้าคลั่งได้พ้น
เลือดที่เปรอะไปตามร่างกายของมานาทำให้เขาดูน่ากลัวจนผู้ที่พบเห็นแทบสิ้นสติ มีเพียงดวงตาสีทองสว่างของเขาเท่านั้นที่ยังไม่กลายเป็นสีเลือด มงกุฎขนนกและเครื่องประดับทองคำทั่วร่างกายอายย้อมโลหิตจนกลายเป็นสีแดงฉานแล้วหยดลงบนพื้นเหมือนเขากำลังดื่มด่ำไปกับน้ำสีแดงเหล่านี้อย่างมีความสุข
แม่ทัพของศัตรูถึงกับทรุดลงกับพื้นปัสสาวะราดอาบหว่างขาอย่างน่าสมเพช คลานหนีความตายที่เดินตรงเข้ามาหาพร้อมทั้งกรีดร้องเหมือนทารกจนแทบสิ้นสติ
"ไม่ๆๆๆ..!! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!"
ขาทั้งสองข้างเกร็งค้างด้วยความหวาดกลัว เขาใช้สองมือลากร่างของตนหนีปีศาจร้ายด้านหลังที่เดินเข้ามาหาอย่างใจเย็นเพราะขาเกร็งค้างก้าวไม่ออก
เมื่อการไล่ล่าเริ่มจะน่าเบื่อดาปเสี้ยวพระจันทร์ก็ถูกคว้างออกไปจนปักเข้ากลางหลังตรึงร่างที่กำลังหนีเอาติดกับพื้นดิน ไม่ต่างจาดแมลงที่ถูกยึดเอาไว้ด้วยหมุดกลางลำตัว
มานาปรายดวงตาสีทองมองไปที่แม่ทัพผู้น่าสมเพช เขายืนคร่อมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นสูงแกระทืบลงบนศีรษะที่หวีดร้องน่ารำคาญจนกะโหลกแหลกและคาเท้า ลูกตาหลุดออกมาจากเบ้าน่าสยดสยอง
เมื่อเหยื่อตายสนิทมานทก็เท้าออกแล้วผิวปากเรียกเสือดาวทั้งสองตัวให้กลับมายืนเคียงข้างกาย
องค์ราชานั่งยองๆลงกับพื้นแล้วใช้ดาปฟันแขนทั้งสองข้างของร่างที่ไร้ลมหายให้ขาดออกจากร่าง ก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาส่งเข้าปากเสือดาวทั้งสองตัวเป็นรางวัลย์ตอบแทนให้กับความภักดีของพวกมัน
"รางวัลของพวกเจ้า.. ข้าให้ได้แค่แขนท่อนเดียวเพราะที่เหลือคือของท่านเทพเข้าใจรึไม่"
แม้พวกมันจะอยากได้เพิ่มแต่ก็ยอมรับท่อนแขนในปากแต่โดยดี เสือดาวทั้งสองยื้อแย่งท่อนแขนกันอยู่พักหนึ่งก็ได้สัดส่วนของท่อนเนื้อตามที่ต้องการ เมื่อนั้นเองที่พวกมันสงบนิ่งรอคอยเจ้านายให้เดินนำทาง
เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบมานาก็พาร่างที่อาบย้อมไปด้วยเลือดและเสือดาวคู่กายตัวเดินผ่านกองทัพทหารมายันที่รอดชีวิตเข้าไปในประตูเมือง
เหล่าทหารกล้าข่มความกลัวจนขาสั่นก่อนจะทรุดลงกับพื้นเมื่อองค์ราชาเดินผ่านไป
"ปีศาจ... ปีศาจชัดๆ"
ทหารใหม่ที่เพิ่งเจอเป็นครั้งแรกถึงกับอ้วกแตกเมื่อพวกเขาต้องพบเจอกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวพาลให้สมองและจิตใจหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าในการรบครั้งต่อไปพวกเขาจะรอดหรือไม่เพราะถ้าไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของศัตรูก็คงเป็นดาปเสี้ยวจัทร์ที่บั่นลงมายังคอของตนเอง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments