4 หอโคมแดงสมมุติ

เฉียงฮ่าวปิงผลักลู่เยว่ชิงออกไปเต็มแรง ทำให้ลู่เยว่ชิงกระเด็นออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว นั่นทำให้เขาล้มหงายหลังดังตึง

เฉียงฮ่าวปิงตระหนักได้ถึงความผิดปกตินี้ เขาจำได้ว่ายามโหย่ว(17:00-18:59) เขายังนั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับลู่เยว่ชิงอยู่เลย ผ่านมา 3 ก้านธูป รู้ตัวอีกทีก็มานอนบนเตียงของโรงเตี๊ยมแล้ว เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่ได้ใส่สักชิ้น เขาจึงลากผ้าห่มมาคลุมตัวให้มิดชิด

“เจ้าทำอะไร” เฉียงฮ่าวปิงมองเขม็งใส่

“ข้า...ข้าเห็นท่านตัวร้อน เลยถอดเสื้อออกให้...” ลู่เยว่ชิงพยายามเปลี่ยนท่านั่ง มาเป็นคุกเข่าแทน

“พอ หยุด” เฉียงฮ่าวปิงยกมือห้ามอีกฝ่ายไม่ให้พูดอีก สติเขาเลอะเลือนขนาดโดนอีกฝ่ายลากขึ้นเตียงเลยรึ คนของโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่ก็อยู่ในความดูแลของพรรคธรรมมะ หากมาเจออะไรเช่นนี้ ก็พลิกแพลงสถานการณ์ได้หมด พูดเองเออเองเป็นกิจวัตรจนน่ารำคาญ

“ประมุขเฉียง? ท่านไม่สบาย?” ลู่เยว่ชิงเงยหน้ามอง

“ไม่ต้องมาถามข้า! เสื้อ! เสื้อผ้าของข้าอยู่ไหน!” เฉียงฮ่าวปิงตะโกนจนปวดหัว เขารับกุมหน้าผากตน ขยับเขยื้อนเพียงนิดเดียวเขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ช่องทางข้างหลัง เอวที่มีความเจ็บปวดนี่มันอะไร ช่วงหว่างขาก็เปียกชื้น เขาเริ่มรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ จุดนี้ มันผิดปกติ

ลู่เยว่ชิงทำอะไรเขา

ย้อนกลับไปช่วงยามโหย่ว

เฉียงฮ่าวปิงมาตามนัดของลู่เยว่ชิงที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไร ผู้คนไม่ได้ครึกครื้นมากนัก เป็นร้านนั่งตากลมสบายๆ แน่นอนว่าภายในเขตนี้ ไม่ได้รู้จักชื่อเสียงของทั้งสองฝ่าย

“สองท่านนะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าเบิกบาน นานๆ ทีจะมีคนมีฐานะมานั่งที่ร้านสักครั้ง

“อืม” เฉียงฮ่าวปิงพยักหน้า

ลู่เยว่ชิงมองไปรอบๆ ร้าน ฮวงจุ้ยแย่มาก คิดอย่างไรถึงมาเปิดร้านในที่ปลอดผู้คนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าปลอดผู้คนเสียทีเดียว ยังมีคนมานั่งกิน นอนกินอยู่ แต่บรรยากาศเงียบสงบดี ไม่ต้องกลัวว่าคนของพรรคเฟิงอวิ๋นจะมาเจอเขา วันหลังต้องมาใช้ร้านนี้บ่อยๆ

เสี่ยวเอ้อร์จึงเดินนำพวกเขาทั้งสองไปที่โต๊ะ เขายกชุดน้ำชามาให้หนึ่งชุดก่อน

ลู่เยว่ชิงลอบมองเฉียงฮ่าวปิงไม่คลาดสายตา ไม่นึกว่าความเอาแต่ใจของเขาจะสามารถทำให้เฉียงฮ่าวปิงยอมมาทานอาหารกับตนได้

“ประมุขเฉียง ประเดี๋ยวข้ามานะ” ลู่เยว่ชิงยกมือขออภัยล่วงหน้า ก่อนจะหยัดกายขึ้น เดินเลี่ยงไปอีกทาง

เฉียงฮ่าวปิงไม่ได้มองอีกฝ่าย เขาหันไปสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อร์

เมื่อลู่เยว่ชิงเห็นว่าเฉียงฮ่าวปิงไม่ได้สนใจเขา เขาจึงเข้าไปหาเสี่ยวเอ้อร์อีกคน เขาเข้าไปกอดคอตีสนิท

“น้องชาย ข้าวอนเจ้าอะไรสักอย่างได้หรือไม่” ว่าแล้วลู่เยว่ชิงก็ใช้สองนิ้วคีบก้อนตำลึงทองจากในอกเสื้อขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู

เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นลอบตาลุกวาว เขาไม่เคยเห็นก้อนตำลึงสีทองอร่ามประกายตาเช่นนี้มาก่อน

“สวยใช่หรือไม่ มูลค่าไม่ใช่น้อยๆ ทั้งยังมีสีทองอร่ามอย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงเจ้าทำตามคำขอของข้า เจ้าก็จะได้มันไป” ลู่เยว่ชิงยิ้มมุมปาก เป่าหูอีกฝ่าย

เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าระรัว สองมือถูไปมาจนเหงื่อซึม

“ก่อนอื่นเจ้าช่วยเปิดห้องว่างให้พี่ชายคนนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ชายจะจ่ายค่าห้องให้ทีหลังจากนั้นเตรียมสุราแรงๆ มาสัก...สองไหก็คงพอ มัดจำไว้ก่อนหนึ่งตำลึงทอง อีกก้อนเจ้าค่อยมาเอาจากข้า หลังจากที่เจ้าทำทุกอย่างที่ข้าบอกเสร็จแล้ว” ลู่เยว่ชิงยิ้มแป้น เขาคีบก้อนตำลึงทองใส่เข้าไปในอกเสื้อของเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นพลางตบเบาๆ

“อ้อ ในห้อง เตรียมขี้ผึ้งขาว น้ำมันหอม กับเครื่องกำยานไว้ด้วยสิ ไม่ต้องจุดนะ เดี๋ยวข้าจุดเอง” ลู่เยว่ชิงเอ่ยก่อนจะเดินจากไป

เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าตอบรับระรัวอีกครั้ง ถึงเขาจะรับก้อนตำลึงทองมาแล้วก็เถอะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า คุณชายผู้นี้กำลังคิดว่าที่นี่คือหอโคมแดงหรืออย่างไร

ลู่เยว่ชิงเดินกลับไปยังโต๊ะที่เฉียงฮ่าวปิงนั่งอยู่อย่างอารมณ์ดี เขานั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย เฉียงฮ่าวปิงไม่รอให้ลู่เยว่ชิงมานั่งให้พร้อมหน้าพร้อมตา เขาก็คีบอาหารกินก่อนแล้ว

“ฮ่าวเกอไม่รอข้าเลย” ลู่เยว่ชิงยิ้มแห้ง หยิบตะเกียบคีบเนื้อส่งเข้าปากตัวเองเคี้ยวหงุบหงับ

“ใครคือพี่ของเจ้า” เฉียงฮ่าวปิงไม่มองหน้าลู่เยว่ชิง ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

อีกฝ่ายไม่คิดจะถามหน่อยหรือ ว่าเขาไปคุยอะไรมา แต่ก็ช่างเถอะ

“ประมุขเฉียง อาหารที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เยว่ชิงเงยหน้าถามพลางยิ้ม

“ก็ดี” เฉียงฮ่าวปิงตอบสั้นๆ ยกถ้วยชาดื่ม

“ท่านดื่มสุราได้หรือไม่” ลู่เยว่ชิงวางตะเกียบ เปลี่ยนมาประสานมือไว้ใต้คางแทน

“...” เฉียงฮ่าวปิงสำลักน้ำชา อีกฝ่ายกำลังดูหมิ่นเขารึ

“ขออภัยท่านประมุข ข้าถามไว้ก่อน” ลู่เยว่ชิงเอียงคอพลางยิ้มหวาน

“ที่เจ้าติดตามข้ามาเกือบปี ไม่ได้จดจำอะไรเลยหรือ” เฉียงฮ่าวปิงยกมือเช็ดปาก

“ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านดื่มนี่นา ผู้ใดจะรู้?”

ว่ากันตามความจริง เฉียงฮ่าวปิงก็ไม่เคยดื่มให้อีกฝ่ายเห็นจริงๆ นั่นแหละ แค่สุรา เหตุใดเขาต้องเกรงกลัวด้วย

การสนทนาเงียบลง เพราะเฉียงฮ่าวปิงไม่ได้ตอบลู่เยว่ชิงให้ชัดเจน

จนกระทั่งมีเสี่ยวเอ้อร์ยกไหสุรามา

“นี่เจ้า...” เฉียงฮ่าวปิงหันไปมองลู่เยว่ชิงทันที

“ขอบใจ” ลู่เยว่ชิงหันไปกล่าวกับเสี่ยวเอ้อร์ ก่อนจะหันกลับมายังคู่สนทนา “น่าเสียดายที่ข้าต้องดื่มคนเดียว เพราะประมุขเฉียงพรรคมารทอดทิ้งข้า” ลู่เยว่ชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงแววสะอื้น เขายกไหสุรารินให้ตัวเอง

ดูหมิ่นขนาดนี้แล้ว เฉียงฮ่าวปิงต้องดื่มบ้างสักจอกสิ

“เพราะท่านเป็นเด็กน้อยหรือ ถึงดื่มไม่ได้” ลู่เยว่ชิงน้ำตาคลอหน่วย ยกจอกสุราขึ้นมาจิบเบาๆ

“...” เฉียงฮ่าวปิง

“ข้าก็แค่อยากหามิตรสหายดื่มเท่านั้นเอง ดื่มคนเดียวมันสนุกที่ไหนกัน” ลู่เยว่ชิงแสดงอย่างชำนาญ น้ำตารินไหลอาบแก้ม เรียกร้องอีกฝ่ายให้ถึงที่สุด เขารู้ว่าประมุขเฉียงไม่ใช่คนใจดำ จึงใช้ประโยชน์ส่วนนั้น ล่อลวงอีกฝ่ายสักสองสามคำก็ใช้ได้แล้ว

“...รออยู่ไย รินเสียสิ” เฉียงฮ่าวปิงหลับตาเอ่ย เขาทนไม่ไหวกับการกระทำของอีกฝ่าย และไม่อยากเห็นความน่าสงสารนั่น

ลู่เยว่ชิงดีใจลิงโลด ทว่าไม่ออกอาการ เดี๋ยวอีกฝ่ายจะรู้เอาได้ เขายกไหสุราที่เหลือรินใส่จอกให้อีกฝ่าย

เฉียงฮ่าวปิงมองสุราสีใสในจอกนิ่งอย่างเคร่งเครียด สีก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า รสชาติเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มีแต่ต้องหยั่งเชิงดู

“หมด-จอก” ลู่เยว่ชิงเน้นทีละคำ

“...หนวกหู” เฉียงฮ่าวปิงคว้าจอกสุราขึ้นมาดมๆ ก่อนจะยกดื่มรวดเดียวทั้งจอก

“เดี๋ยว...ท่านประมุข” ลู่เยว่ชิงยกมือห้าม แต่ว่าไม่ทันเสียแล้ว ถึงเขาจะบอกว่าหมดจอก ก็ไม่ได้แปลว่าต้องดื่มหมดภายในครั้งเดียว

เฉียงฮ่าวปิงขมวดคิ้ว ทันทีที่น้ำสุราเย็นไหลผ่านคอ เขาก็สัมผัสได้ว่า บริเวณคอร้อนรุ่ม เหมือนคอกำลังถูกเผาไหม้ กลิ่นสุราหอมนุ่มนวลผิดกับรสชาติที่เผ็ดร้อน แสบซ่านที่ลิ้น ใบหน้าก็เริ่มแดง เห่อร้อน เขาส่งเสียงสะอึกหนึ่งที ก่อนจะเช็ดปากตัวเองแล้ววางจอกสุราไว้ดังเดิม

“รู้สึกเช่นไร หืม?” ลู่เยว่ชิงมีท่าทีสนอกสนใจขึ้นมาทันที

“ทำไมข้าต้องบอกเจ้า” เฉียงฮ่าวปิงส่ายหน้าไปมา เขามึนหัวเล็กๆ ทำไมลู่เยว่ชิงที่เป็นคนของพรรคธรรมมะ ถึงดื่มของพรรค์นี้ราวกับน้ำเปล่า

ภายในช่วงเวลา 2 ก้านธูป สุราก็ถูกยกมาที่โต๊ะไม่ขาดสาย ลู่เยว่ชิงก็รินให้อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นว่าเขาไม่สามารถหยุดดื่มได้

ศีรษะของเขาหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น ร่างกายร้อนรุ่ม จนเหงื่อผุดพราย ลมหายใจหอบกระเส่า ฤทธิ์สุรามันเป็นเช่นนี้เอง เขาทนดื่มต่อไม่ไหวแล้ว

สิ่งที่เขาอยากทำตอนนี้ อยากอาเจียนออกมา แต่เขาก็พยายามจะรั้งเอาไว้

“ฮ่าวเกอ ท่านไหวหรือไม่ คืนนี้พักที่นี่เสียก่อนเถอะ” ลู่เยว่ชิงสีหน้าไม่ค่อยดี เขาลุกขึ้นไปประคองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

เฉียงฮ่าวปิงอยากจะก่นด่าอีกฝ่าย ทว่าไร้เรี่ยวแรงที่จะทำ จึงพยักหน้าตอบเสียก่อน

แปลก...แปลกมากๆ คนที่ติดตามเฉียงฮ่าวปิงอย่างเขา น่าจะเป็นคนในดวงใจอีกฝ่ายได้แล้วสิ ทำไมเฉียงฮ่าวปิงยังไม่ออกอาการอะไรเลย หรือว่าจะไม่ใช่เขา

“มั่ว...” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยเสียงแผ่ว

ลู่เยว่ชิงขมวดคิ้ว

“มั่วส่าวเต๋อ...”

ลู่เยว่ชิง “...” กล้าเรียกชื่อชายอื่นที่ไม่ใช่เขา... ดังนั้นคืนนี้ข้าจะไม่ปราณีท่าน

ลู่เยว่ชิงหันไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์จ่ายค่าอาหาร ก่อนจะกลับมาพยุงเฉียงฮ่าวปิง แล้วพาขึ้นห้องไป

เขาวางอีกฝ่ายนอนราบกับเตียง เดินไปลงกลอนประตูให้เรียบร้อย แล้วเดินกลับมา ปลดอาภรณ์ท่อนบนของตนออก

“ท่านประมาทเกินไปแล้ว กล้าเอ่ยนามนั้นให้ข้าได้ยิน น่าขบขันนักที่บังเอิญว่า...” ลู่เยว่ชิงคลานขึ้นบนเตียงไปหาร่างของเฉียงฮ่าวปิงที่นอนไม่รู้ความ

ลู่เยว่ชิงยกมือไล้พวงแก้มอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

“ข้ากับมั่วส่าวเต๋อ คือคนเดียวกัน” ลู่เยว่ชิงลอบเลียริมฝีปากตนอย่างกระหายดุจหมาป่าจะขย้ำเหยื่อ

ไม่รอช้าลู่เยว่ชิงก็กดริมฝีปากของตนจุมพิตอีกฝ่าย ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปตวัดเกี่ยวรัดภายใน โลมเลีย ดูดดุนไม่หยุด

เขายกฝ่ามือเล็กบางปลดสายรัดเอวของอีกฝ่ายออก แล้วล้วงเข้าในสาบเสื้อสัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย มือลูบคลำอยู่นาน แล้วไปหยุดอยู่ที่ปลายถันสีชมพูอ่อนของอีกฝ่าย สองนิ้วบิดขยี้ไปมาราวกับสนุก

เขาละริมฝีปากออก เปลี่ยนมาขบดูดปลายถันนี้แทน ส่วนมืออีกข้างก็เคล้นคลึงเนินอกแกร่งอย่างเบามือ

สิ่งที่อยู่เบื้องล่างชูชันขึ้นมาอย่างองอาจ

ลู่เยว่ชิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะรังแกอีกฝ่ายจนมีอารมณ์หรือเพราะเขาอดกลั้นกันแน่

ไม่ใช่ว่าเฉียงฮ่าวปิงจะหมดสติไปเสียทีเดียว ร่างกายยังมีปฏิกิริยาตอบโต้อยู่

“นั่นมั่วส่าวเต๋อใช่หรือไม่” เฉียงฮ่าวปิงหอบกระเส่าไม่เป็นจังหวะ ยกแขนโอบกอดคออีกฝ่าย

“...ข้า” ลู่เยว่ชิงรู้สึกเสียใจนิดหน่อย เขากัดฟันกรอด เอื้อมมือไปคว้าตลับขี้ผึ้ง เปิดฝาออก ควักขี้ผึ้งออกมา

“ท่านอย่าเรียกนามนั้นอีก” ลู่เยว่ชิงก้มลงต่ำ นิ้วที่ปาดขี้ผึ้งออกมาเมื่อครู่ ตรงเข้าสัมผัสกับรอยจีบสีอ่อนที่แห้งผาก สองนิ้วพยายามแหวกทางเข้าไปขยับขยายช่องทาง

“เอาออกไป” เฉียงฮ่าวปิงบิดตัวไปมา

ลู่เยว่ชิงมองอีกฝ่ายอย่างปรารถนา สองนิ้วเหนียวเหนอะหนะ กระทั้นเข้าออกเบาๆ อย่างระวัง ทำให้ช่องทางอ่อนนุ่มขยายบ้าง

“ส่าวเอ๋อร์! ส่าวเอ๋อร์!” เฉียงฮ่าวปิงหลับตาปี๋พุ่งเข้ากอดลู่เยว่ชิงแน่น

ลู่เยว่ชิงตกตะลึง เขาผ่อนอารมณ์ลงเล็กน้อยก่อนจะก้มลงซุกไซ้ซอกคออีกฝ่ายแล้วซูดดม เขาคิดว่าช่องทางของอีกฝ่ายคงพร้อมได้ที่แล้ว จึงลากสองนิ้วออกมาช้าๆ

“ฮ่าวเกอ หลังจากนี้จะเจ็บสักหน่อย” ลู่เยว่ชิงเคลื่อนใบหน้าขึ้นมาหอมหน้าผากเฉียงฮ่าวปิง

ไม่นึกว่าประมุขที่แสนเย็นชาก็มีมุมน่ารักไป เช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

“ส่าวเอ๋อร์จะปรนนิบัติท่านพี่เป็นอย่างดี...”

“ส่าว...เอ๋อร์” เฉียงฮ่าวปิงออกแรงจิกแผ่นหลังลู่เยว่ชิง

ลู่เยว่ชิงไม่รอช้ากอบกุมแก่นอุ่นร้อนของเขาจ่อเข้าที่รอยจีบอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย แก่นกายของเขาผงาดขึ้นสูง ยอดปลายสีเข้มมีหยาดน้ำสีขาวขุ่นซึมออกมาเล็กน้อย เขาค่อยๆ ดันยอดปลายสีแดงเข้มเข้าไปอย่างระวัง

“อย่าทำ...อย่าทำ ไม่เอา” เฉียงฮ่าวปิงน้ำตาคลอ มองลู่เยว่ชิงที่กำลังแยกขาสองข้างของตน เขาไม่มีแรงเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านอีกฝ่าย แต่ก็พยายามยกมือแกะ

น่ารักเช่นนี้ ใครจะไปทนไหว

ฮอต

Comments

อิจฉาคนมีคู่เพราะกูไม่มีแฟน

อิจฉาคนมีคู่เพราะกูไม่มีแฟน

ลู่เยว่ชิงมันร้าย

2021-10-08

1

ทั้งหมด

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!