13 ปีก่อน ณ ลานหน้าวัง
ในวันที่หิมะสีขาวโปรยปราย บรรยากาศรอบข้างพลันหนาวเหน็บยะเยือก
“อาฮ่าว ข้าขอโทษ...” น้ำเสียงของชายชราเอ่ยด้วยความหมดแรงตรงหน้าเด็กน้อย ในยามนั้นฮ่าวปิงมีอายุเพียง 10 ขวบ
เด็กน้อยไร้เดียงสามองชายชราด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาเอื้อมอุ้งมือน้อยๆ ไปกุมมือที่เหี่ยวแห้งราวกับกิ่งไม้ของชายชราไว้
“ปู่จะไปไหนหรือ” เด็กก็ยังคือเด็ก เขายังไม่สามารถรับรู้หรือแยกแยะสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง
ปู่มีผู้คนล้อมไว้มากมาย ทว่าไม่เคยเอ่ยวาจาดีๆ กับปู่เขาเลย
“ข้ามีงานที่ต้องสะสาง เจ้าต้องทำตัวดีๆ ยามเมื่ออยู่กับ ‘พวกเขา’ เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป แค่นั้นปู่ก็ดีใจแล้ว” รอยยิ้มของชายชราคลี่ออกช้าๆ
ฮ่าวปิงสัมผัสได้ว่า จะไม่ได้เจอปู่อีกแล้ว
“อาลัยอาวรณ์อยู่ได้! รีบไป!” ชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหาร กระชากโซ่ตรวนชายชราไป เพราะชายชราไม่มีเรี่ยวแรงจึงไม่สามารถขัดขืนได้
“เจ้าเองก็ไปกับข้าเถอะ จากนี้ไปจงใช้แซ่เฉียงซะ” เฉียงเทียนเหิง ประมุขพรรคมารคนปัจจุบัน ชายหนุ่มผมขาวดุจหิมะเอ่ยอย่างเด็ดขาด เขาเดินไป ไม่รอฮ่าวปิงเลยสักก้าว
“ทำไม? ยังผูกพันกับตาเฒ่านั้นรึ” เฉียงเทียนเหิงเอ่ย
“ปู่จะกลับมาไหม” เด็กน้อยฮ่าวก้มหน้า รีบสาวเท้าเดินให้ทันประมุขเฉียง
“...” เฉียงเทียนเหิงมองเด็กน้อยนิ่งงัน เขามองออกมาว่า เด็กคนนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่าปู่ของเขาจะกลับมาไหม
“เหตุใดปู่ถึงร้องไห้” ฮ่าวปิงเริ่มมีน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
อะไรกันเด็กนี่ก็เสียใจเป็น
“เขา...ไม่กลับมาหาเจ้าอีกต่อไปแล้ว” เฉียงเทียนเหิงหันกลับมามองเด็กน้อย กลับพบว่า เด็กน้อยฮ่าวร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างเด็กทั่วไป
เฉียงเทียนเหิงรังเกียจน้ำตาของเด็กที่สุด โดยเฉพาะน้ำตาของเด็กที่ตนเพิ่งรับมาเป็นลูกบุญธรรม
เขาไม่คิดจะปลอบโยนเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “เช็ดน้ำตาซะ อย่าให้ข้าเห็นว่ามันไหลออกมาอีก” เฉียงเทียนเหิงเดินทอดน่องจากไป
ฮ่าวปิงรีบเช็ดน้ำตาของตน แล้วรีบวิ่งตามเฉียงเทียนเหิงไปให้ทัน ทั้งที่เขายังหยุดร้องไห้ไม่ได้
ณ เรือนใหญ่ของพรรคมารตระกูลเฉียง
“เฉียงฮ่าวปิง! นับแต่นี้ไปเจ้าคือคนสกุลเฉียง พรรคมารแห่งนี้” เฉียงเทียนเหิงหันมากล่าวกับฮ่าวปิง
“ท่านพ่อ! มั่วเกอแกล้งข้าอีกแล้ว!” สาวน้อยหน้าตาแป้นแล้นวิ่งหน้าตั้งมาเกาะขาเฉียงเทียนเหิงอย่างเอาเป็นเอาตาย นางคือบุตรีแท้ๆ ของเฉียงเทียนเหิง นาม เฉียงอวี้หลัน
“ข้าเปล่านะ ศิษย์น้องรังแกข้าก่อน!” ทันใดนั้นเด็กน้อยมีผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆ อีกคนเดินถ่างขาเข้ามา คล้ายกับว่าจะหาเรื่อง เป็นเพียงลูกศิษย์นอกสกุล นาม มั่วส่าวเต๋อ เพราะประมุขเฉียงผู้นี้เป็นน้องชายของทางฝั่งบิดาของมั่วส่าวเต๋อ บิดาของมั่วส่าวเต๋อจึงจำเป็นที่ต้องฝากไว้กับประมุขเฉียง
“ส่าวเอ๋อร์ เจ้ายอมน้องสักครั้งไม่ได้รึ” เฉียงเทียนเหิงนั่งยองๆ เทียบเท่าเด็กทั้งสองคน ทั้งเฉียงอวี้หลันกับมั่วส่าวเต๋อ
“มะ..ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมแต่..แต่ว่า...” มั่วส่าวเต๋อบิดซ้ายบิดขวา
ท่าทางอย่างกับสตรีขี้อายนี่มันอะไรกัน เขาจำได้ว่าเขาสอนเด็กผู้ชายให้เป็นบุรุษ
“เอาล่ะ เจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร อาฮ่าว” เฉียงเทียนเหิงหันไปกล่าวกับฮ่าวปิง ที่ยืนนิ่งอยู่นาน
“นั่งคุยทำความเข้าใจกัน ใครผิดคนนั้นก็ต้องขอโทษ” ฮ่าวปิงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“นั่นใครหรือท่านพ่อ” เฉียงอวี้หลันหันไปมองด้วยความเขินอาย
“ข้าชื่อ มั่วส่าวเต๋อ ยินดีที่ได้รู้จักล่ะ!” มั่วส่าวเต๋อยื่นมือไปทักทาย
นั่นทำให้ฮ่าวปิงถอยไปหนึ่งก้าวโดยสัญชาตญาณ
“มือข้าสะอาดนะ...” มั่วส่าวเต๋อเริ่มไม่ค่อยแน่ใจ เขาหดแขนกลับมาสำรวจมือตนเอง
“ฮ่าวปิง...เฉียงฮ่าวปิง” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยเสียงค่อย
“เขาโตกว่าพวกเจ้า” เฉียงเทียนเหิงกล่าว
“ข้าจะมีพี่ชาย!” เฉียงอวี้หลันกับมั่วส่าวเต๋อดีใจร้องลั่น
“เดี๋ยว! มั่วเกอจะดีใจตามข้าทำไม?” เฉียงอวี้หลันหันมาเบะปากใส่
“ข้าก็อยากมีพี่ชายนะ!” มั่วส่าวเต๋อแลบลิ้นใส่
“ท่าน...” เฉียงฮ่าวปิงหันไปหาเฉียงเทียนเหิง
“เรียกท่านพ่อ” เฉียงเทียนเหิงขัดขึ้น
เฉียงฮ่าวปิงสะอึก เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ท่านพ่อ...”
“ว่าอย่างไร?” เฉียงเทียนเหิงยิ้มอ่อนให้
“ข้าอยากเข้าไปข้างในแล้ว” เฉียงฮ่าวปิงก้มหัว
“ข้า ข้าเอง!” มั่วส่าวเต๋อรีบออกตัว แล้วถลาตัวมาประคองเฉียงฮ่าวปิงอย่างเนียนๆ “ท่านอา ข้าพาฮ่าวเก้อเกอไปเปลี่ยนชุดที่ห้องของข้านะ!”
“ตามใจ” เฉียงเทียนเหิงตอบสั้นๆ เขาอุ้มเฉียงอวี้หลันไปแล้วเดินเข้าจวน
“เจ้าชื่ออะไรนะ” เฉียงฮ่าวปิงยังหวาดระแวงเด็กคนนี้
“มั่ว-ส่าว-เต๋อ” มั่วส่าวเต๋อเน้นทีละคำ
เฉียงฮ่าวปิงพยักหน้าเบาๆ
“พี่ฮ่าวไปเปลี่ยนชุดกัน!” มั่วส่าวเต๋อดันแผ่นหลังของเฉียงฮ่าวปิงไป
ห้องส่วนตัวของมั่วส่าวเต๋อ
ตั้งแต่เฉียงฮ่าวปิงก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เขาก็สัมผัสได้ถึงคำว่า ‘รก’ เป็นครั้งแรก
“รกไปหน่อย แต่ข้าไม่ถือสาหรอกนะ!” มั่วส่าวเต๋อตาเปล่งประกาย
เฉียงฮ่าวปิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เด็กน้อยคิดว่ามิใช่ว่าคำพูดนั้นเขาต้องเป็นคนกล่าวหรอกหรือ
“น้องมั่ว เก็บห้องของเจ้าก่อนเถิด” เฉียงฮ่าวปิงถอดผ้าคลุมออก แขวนไว้ที่ราว ก่อนจะลงมือเก็บของที่เรี่ยราดที่พื้น
“ฮะ...ฮ่าวเก้อเกอ ลำบากท่านแล้ว” มั่วส่าวเต๋อยิ้มแห้ง ก่อนจะก้มลงเก็บของเช่นกัน
“ไม้กวาด” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยขึ้น
“เอาทำอะไรหรือ” มั่วส่าวเต๋อมองตาปริบๆ
“อย่าโง่” เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจ
“อ๊ะ! ท่านจะกวาดสินะ!”
“เจ้ากวาดเองต่างหาก” เฉียงฮ่าวปิงตอบทันที เด็กน้อยเดินไปคว้าเสื้อคลุมก่อนจะเดินออกไป
“อา...ท่านอารับเขามาเป็นลูกบุญธรรมได้อย่างไรกัน เขาไม่เหมาะแก่การอยู่ที่นี่เลย” มั่วส่าวเต๋อนั่งแหมะกอดหนังสือ
“ทำไมเจ้าถึงออกมา?” เฉียงเทียนเหิงเดินมาพอดี
เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยสีหน้าราบเรียบ “เขาเป็นใคร”
“ลูกชายของพี่ชายข้าเอง” เฉียงเทียนเหิงหัวเราะในลำคอ
“ห้องของเขารกมาก” เฉียงฮ่าวปิงลอบกำหมัด
“ส่าวเอ๋อร์ก็เป็นเช่นนี้” เฉียงเทียนเหิงแสร้งยิ้ม “ยังไงคืนนี้เจ้าก็ต้องนอนกับเขา”
“...” เฉียงฮ่าวปิงเงยหน้ามองอย่างไม่สบอารมณ์ เขาที่เป็นเด็กรักสะอาด จะให้มานอนกับเด็กที่รักสกปรก ท่านยังมีสติอยู่หรือไม่
“ประมุขเฉียง ท่านประมุข\~ ฮ่าวเก้อเกอ ท่านได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างใบหูของเฉียงฮ่าวปิง
เขาเรียกตัวเองออกมาจากภวังค์ เมื่อครู่เขาพลันหวนคิดถึงอดีต ไม่นึกว่านิสัยเย็นชาจะติดมาจนโตเช่นนี้
“เหตุใดท่านถึงไม่เรียกองครักษ์มาเลยสักคน?” ลู่เยว่ชิงเลิกคิ้ว
ทั้งเฉียงฮ่าวปิงกับลู่เยว่ชิงกำลังเดินเข้าสู่หลังหุบเขามาร
“เจ้าพวกนั้นไม่ค่อยพอใจข้า ข้าขี้เกียจเรียกให้พวกเขามานั่งฟังข้า” เฉียงฮ่าวปิงวนนิ้วหนึ่งรอบ ก่อนจะเกิดผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กสีฟ้าใสแวววาวขึ้นหนึ่งแผ่น เขาผลักเกล็ดน้ำแข็งนั้นไปหาลู่เยว่ชิง
“ท่านทำอะไรน่ะ” ลู่เยว่ชิงหลบไม่พ้นโดนเกล็ดน้ำแข็งแผ่นนั้นซึมเข้าไปในร่างกาย ร่างของลู่เยว่ชิงเลือนรางเล็กน้อย
“ที่นี่เป็นเขตต้องห้าม หลังหุบเขาของมาร หากมีคนของพรรคธรรมะสักหนึ่งคนหลุดเข้าไป เกรงว่าสัตว์มารบางตัวจะตื่น” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ย
“...” ลู่เยว่ชิงอึ้ง เหตุใดอีกฝ่ายต้องพูดอ้อมค้อมด้วย บอกว่าเป็นห่วงก็บอกว่าเป็นห่วงสิ
“ท่านจะไม่เป็นอะไรหรือ?” ลู่เยว่ชิงกอบกุมด้ามกระบี่
“สัตว์มารคงไม่ทำร้ายพวกเดียวกันหรอก” เฉียงฮ่าวปิงยกมือไพล่หลังแล้วเดินต่อไป
ลู่เยว่ชิงรีบสาวเท้า เดินตามให้ทัน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 13
Comments