เฉียงฮ่าวปิงและลู่เยว่ชิงเข้ามายังหุบเขามาร เมื่อไม่นานมานี้ลู่เยว่ชิงลักลอบเข้ามาเฉียงฮ่าวปิงอีกครั้ง บอกว่ามีเรื่องสนุกที่หุบเขามารแห่งนี้
แต่ลู่เยว่ชิงกลับหมดสนุกเพียงฝ่ายเดียว เพราะตอนนี้เขาถูกเฉียงฮ่าวปิงกักขังลมปราณ อย่างกับถูกแช่แข็งเสียอย่างนั้น เฉียงฮ่าวปิงบอกเขาว่า เพราะคนของพรรคธรรมะมีจิตใจที่สะอาดจนน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพวกมารทั้งหลาย หากพวกสัตว์มารได้กลิ่นแม้แต่เสี้ยวเดียว พวกมันก็จะรีบพุ่งมาจัดการ
แสดงว่าเฉียงฮ่าวปิงมีจิตใจสกปรก จึงทำให้สัตว์มารชื่นชอบ?
“หากยังรักชีวิต ก็ทำตามที่ข้าบอก” เฉียงฮ่าวปิงเอามือไพล่หลัง พลางเดินไป
“ข้าต้องเดินนำท่านสิถึงจะถูก” ลู่เยว่ชิงเดินนำขึ้นมา
เฉียงฮ่าวปิงหลีกทางให้อีกฝ่าย พลางเดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยม
เขาไม่นึกว่าตนจะต้องมาอาศัยพึ่งพากับคนพรรคธรรมะเช่นลู่เยว่ชิง เหตุใดอีกฝ่ายต้องเป็นคนเดินมาหาเขาเองเช่นนี้ด้วย แต่เฉียงฮ่าวปิงก็ไม่มีทางเลือก เขาตามหาศิลาดำมา 5 ปีแล้ว ยังได้เพียง 2 ก้อน เขาต้องใช้มันถึง 10 ก้อน
“ประมุขเฉียง ข้าเกรงว่าจะเจอคนของพรรคธรรมะโดยบังเอิญ” ลู่เยว่ชิงลูบคางครุ่นคิด “เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะบอกกับพวกเขาว่าอย่างไรหรือ”
“ข้าไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ย่อมต้องปล่อยเจ้าไปหาพวกเขาอยู่แล้ว” เฉียงฮ่าวปิงโบกมือปัดๆ
“ข้าไม่ไปหาพวกเขานะ” ลู่เยว่ชิงมองอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ
“...” เฉียงฮ่าวปิงเงียบ เป็นเด็กแท้ๆ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกอยู่ได้
คนของพรรคธรรมะกับคนของพรรคมารไม่ควรจะมายุ่งเกี่ยวกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มักเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้ง เขาตั้งใจว่าหลังจากที่ตนขึ้นเป็นประมุข จะทำตัวเงียบๆ พยายามไม่ก่อเรื่อง แต่องครักษ์ก็ชอบทำตัวน่ารำคาญแก่พรรคธรรมะอยู่เรื่อย
จนกระทั่งเขาบังเอิญได้ช่วยเด็กหนุ่ม คนของพรรคธรรมะไว้หนึ่งคนโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาคือคนในตอนนี้ ลู่เยว่ชิง เขารู้ว่าอีกฝ่ายจิตใจสะอาดปราศจากมลทิน รู้จักตอบแทนบุญคุณ แต่เขาไม่นึกว่าลู่เยว่ชิงจะมาหาเขาตลอด นี่ก็ครึ่งปีแล้วที่ลู่เยว่ชิงมาหาเขา เขาไม่เคยเอ่ยปากว่าจะให้อีกฝ่ายช่วยหาศิลาดำ เป็นอีกฝ่ายที่เอามาให้เขาเอง
เขาจำได้แค่ว่าช่วยลู่เยว่ชิงด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้ว่าลู่เยว่ชิงเป็นใครมาก่อนหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายเหมือนต้องการย้อนความนานกว่านั้น ซึ่งเขาก็จำไม่ได้
“ท่านประมุขเฉียง ข้าได้ยินเสียงเคลื่อนไหว” ลู่เยว่ชิงยกแขนขวางเฉียงฮ่าวปิงไม่ให้เดินต่อ
“ถอยไป” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ย พลางปัดแขนลู่เยว่ชิงออก
“ทะ...ท่าน”
“มีคนมารับเจ้าแล้ว” เฉียงฮ่าวปิงเงยหน้าเอ่ย เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาทางนี้
“เจ้ามารชั่ว! เจ้าลักพาตัวชิงเอ๋อร์รึ!” ผู้นำที่ยกพวกมาชี้หน้าเฉียงฮ่าวปิงอย่างเกรี้ยวกราด
“...” เฉียงฮ่าวปิงมองนิ่งไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเกลียดนิสัยพูดเองเออเองของพวกพรรคธรรมะที่สุด
“เขาช่วยข้าไว้ต่างหาก\~” ลู่เยว่ชิงตะโกนกลับ
“นี่เจ้าโดนพรรคมารบีบคั้นให้ต้องกล่าวเช่นนี้หรือ! บังอาจเกินไปแล้ว!” คนกล่าวเริ่มดึงกระบี่ออกจากฝัก
“ดูสิ่งที่เจ้าทำกับข้าสิ ผู้แซ่ลู่” เฉียงฮ่าวปิงถอนหายใจหันไปกล่าวกับลู่เยว่ชิง
“ก็ท่านช่วยข้าไว้จริงๆ มิได้เท็จแต่ประการใด” ลู่เยว่ชิงกุมมือตัวเอง
“สัตว์มารตื่นแน่” เฉียงฮ่าวปิงลูบคางตน
“คนของพวกเจ้าก็น่ารำคาญ ปล่อยให้พวกมันจัดการกับสัตว์มารเองแล้วกัน” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยต่อ เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปหาลู่เยว่ชิง คว้าแขนอีกฝ่ายแล้วพากระโดดหายไปท่ามกลางหมอกหนา
“เห็นไหม มันลักพาตัวชิงเอ๋อร์ไปจริงๆ...”
“กรร...กรร!” มีเสียงบางอย่างกำลังใกล้เข้ามายังกลุ่มของคนพรรคธรรมะ
“อ๊าก! นั่นมันตัวอะไร!!”
“แต่กลิ่นมันเหมือนซาลาเปาเพิ่งนึ่งมาใหม่ๆ เลย! ปลาเค็มรึ?!”
“ถึงกับพาออกมาจากหุบเขาเลยหรือ” ลู่เยว่ชิงนั่งหนาวเหน็บ เฉียงฮ่าวปิงยังไม่คลายผลึกน้ำแข็งในตัวเขา อุณหภูมิร่างกายพลางต่ำลงเรื่อยๆ พลังปราณก็ใช้ไม่ได้ดั่งใจ
“เป็นอะไร เจ้าทนความหนาวเย็นไม่ได้รึ ช่างอ่อนหัด” เฉียงฮ่าวปิงปลดผ้าคลุมของตนโยนให้ลู่เยว่ชิง
“คลาย...ผนึก..ดะ..ได้แล้ว” ลู่เยว่ชิงเอ่ยเสียงสั่น ริมฝีปากซีดแห้งสั่นระริกๆ เสียงฟันกระทบกึกๆ ไม่ขาดสาย เขาเอื้อมมือหยิบผ้าคลุมมาห่อตัวเองอย่างเชื่องช้า
“ไม่ได้ ถึงจะพาเจ้าออกมาแล้ว จมูกของพวกมันก็ยังรับรู้กลิ่นได้ อีกอย่างแก่นปราณน้ำแข็งของข้าก็ใช่ว่าจะสังหารผู้คนได้ เช่นนั้นวางใจเถอะ” เฉียงฮ่าวปิงนั่งลงที่ก้อนหินตรงข้ามลู่เยว่ชิง
“...” ลู่เยว่ชิงใจห่อเหี่ยว แค่นี้ก็หนาวจะตายแล้ว เขากำชับผ้าคลุมแน่นขึ้น
“ไม่ต้องหวังให้ข้าจุดไฟ ก่อไฟ ให้เจ้า” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ยขึ้น เขาจะไปจุดไฟได้อย่างไร ในเมื่อตนมีแก่นปราณน้ำแข็งในมือ ย่อมจุดไฟไม่ติดอยู่แล้ว
ลู่เยว่ชิงนั่งตัวสั่นเทา ไม่นึกว่าเกาะติดประมุขเฉียงแล้วจะทำให้เขาพบเจอแต่เรื่องแย่ๆ กว่าเดิม
“ไว้ถึงจวนที่พรรคมาร ข้าจะปลดผนึก” เฉียงฮ่าวปิงลุกขึ้น เดินไปคว้าแขนลู่เยว่ชิงขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยืน
“...” เฉียงฮ่าวปิงมองอีกฝ่าย
ลู่เยว่ชิงผล็อยหลับไปแล้ว ฝ่ามือยังสั่นระริกไม่หาย จิกผ้าคลุมเขาเกือบขาดแล้ว
ที่เขายังไม่ปลดผนึก เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินลมปราณทันที นั่นทำให้สัตว์มารรู้ตัวได้ง่าย ตอนนี้สัตว์มารคงไม่อาละวาดในหุบเขาแล้วกระมัง เช่นนั้นเขายอมปลดผนึกก็ได้
เฉียงฮ่าวปิงจับอีกฝ่ายลากเข้ามาในอ้อมอกตน แล้วทาบนิ้วโป้งลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ปลายนิ้วส่องแสงฟ้าประกายเล็กๆ ขึ้นมา มีหยดน้ำใสผุดขึ้นมา เขาจึงบีบมันทิ้ง ทว่ายังไม่จบเท่านั้น เขาเห็นตราสีแดงบางอย่างกะพริบที่หน้าผากของลู่เยว่ชิง หลังจากนั้นก็หายไป ไม่ปรากฏขึ้นอีก
ตรามารที่คล้ายคลึงกับตรามารที่หน้าผากของเขา เขาอาจจะตาฝาดไปเอง คนพรรคธรรมะจะไปมีตรามารได้อย่างไร
“ตื่นได้แล้ว กลับไปยังที่ของเจ้า” เฉียงฮ่าวปิงเอ่ย ก่อนจะวางอีกฝ่ายลงนอนกับพื้น
ร่างกายของลู่เยว่ชิงขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันที ทันทีที่เขาปลดผนึกลมปราณ ริมฝีปากไม่แห้งกรังแล้ว ตัวก็ไม่สั่นระริก
เป็นคนพรรคธรรมะแท้ๆ กลับเข้ามาหยุ่มหย่ามไม่เข้าเรื่อง คนที่ลำบากทุกครั้งก็มักจะเป็นเขา เช่นนี้เขาไม่เสียเปรียบไปหน่อยหรือ ทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่นี่ พรรคพวกก็คงออกมาตามหาจนเจออยู่ดี เขาไม่ต้องกังวล
แค่ศิลาดำ เหตุใดถึงต้องลำบากเช่นนี้ด้วย
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 13
Comments