บทที่ 4 น้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงตาเทพ

บทที่ 4 น้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงตาเทพ

โรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟีย

เช้าวันเปิดเรียนในช่วงฤดูร้อน เด็กหลายคนตื่นเต้นกับการเรียนคาบแรกของเทอมมาก เพราะมันเป็นคาบเรียนที่จะทำให้พวกเขาได้เริ่มใช้เวทมนต์ของตัวเองในการฝึกทักษะต่างๆ

ภายในห้องเรียนชั้นปี 1 อาจารย์มาลีนเริ่มสอนคาบแรกด้วยความกระตือรือร้น เธอค่อยๆสอนเด็กอย่างใจเย็นและคอยแนะนำอยู่ตลอดเวลา

“บทเรียนวันนี้คือการเรียนเวทย์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเวทย์พื้นฐานเป็นก้าวแรกสู่การเรียนเวทย์ขั้นสูง อาจารย์จะสอนภาคทฤษฎีและจะพาไปภาคปฏิบัตินะจ๊ะ เวทย์แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือพื้นฐาน กลาง และสูง การร่ายเวทย์ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนถึงจะสามารถร่ายเวทย์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งพวกเธอบางคนอาจไม่ต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ในการร่ายเวทมนต์ แต่สำหรับพ่อมดแม่มดการใช้ไม้กายสิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการร่ายคาถา ดังนั้นพ่อมดแม่มดทุกคนจึงต้องใช้ไม้กายสิทธ์นี้ให้ชินเปรียบเสหมือนกับว่ามันคืออวัยวะส่วนหนึ่งของเธอ การที่พวกเธอจะสามารถควบคุมไม้กายสิทธิ์ให้ดีได้คือเธอต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความชำนาญในการร่ายคาถา และต้องฝึกฝนให้คล่อง ส่วนเผ่าอื่นๆพวกเธอมีพื้นฐานการร่ายเวทย์อยู่แล้ว ฉะนั้นหวังว่าพวกเธอทุกคนจะเรียนรู้การร่ายเวทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาท เช่น การร่ายคาถาง่ายๆให้สมบูรณ์ที่สุด เริ่มจากการเร่งให้ต้นไม้เติบโต” อาจารย์มาลีนอธิบายให้นักเรียนในชั้นฟังก่อนจะเริ่มโบกไม้กายสิทธิ์ในมือพร้อมร่ายคาถาให้เด็กๆดูเป็นตัวอย่าง “ซันฟอริเฟีย” เสียงร่ายคาถาของอาจารย์มาลีนดังไปทั่วห้อง ไม่นานเมล็ดพืชที่อยู่ในกระถางดินก็ค่อยๆเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆอย่างรวดเร็ว ทำให้นักเรียนแต่ละคนเริ่มร่ายคาถาและเรียนรู้การควบคุมพลังของตนตามอาจารย์ทันที

“ลูเซียต้นไม้ของเธองอกขึ้นมาแล้ว” เสียงเพื่อนข้างๆกล่าวชม

“นักเรียนค่อยๆ อย่างนั้นแหละ ค่อยๆโบกมือขึ้นไปมาตามการขยายตัวของต้นไม้” อาจารย์มาลีนกล่าวพร้อมโบกไม้กายสิทธ์อยู่เนื่องๆ “ใช่ ถูกแล้วๆพวกเธอทำได้ดีมาก” อาจารย์กล่าวชมและสอนต่อจนจบคาบ

เวลาผ่านไปจนคาบเรียนช่วงเช้าสิ้นสุดลง เสียงออดพักเที่ยงดังส่งสัญญาณไปทั่วโรงเรียน เด็กทุกคนต่างเก็บของและเดินไปยังห้องโถงเพื่อทานอาหารทันที ทำให้ตลอดทางเดินโรงเรียนมีนักเรียนมากมายเดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมส่งเสียงเจี๊ยวจ้าวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ห้องโถงใหญ่ประจำโรงเรียนสตาเดเฟีย นักเรียนมากมายต่างเดินไปเดินมาขวักไขว่เต็มห้องโถง นักเรียนหลายคนรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดเวลาสร้างสีสันในห้องโถงให้ครึกครื้นและคลายเครียดจากการเรียน

“เทียน่า หาที่นั่งอยู่หรอ” สาวน้อยผู้เป็นแม่มดมือใหม่ถามเพื่อนร่วมห้องด้วยความเป็นมิตร “นั่งตรงนี้ได้นะมีที่ว่างอยู่”

“ตรงนี้ว่างหรอ พอดีฉันมีเพื่อนอีก 2 คนขอมานั่งตรงนี้ด้วยได้ไหม” เทียน่าสาวน้อยมาดนิ่งหนึ่งในนักเรียนเวทมนต์สตาเดเฟียถามกลับ

“ได้สินั่งหลายๆคนจะได้สนุก ใช่ไหมอนาตาเซีย” ลูเซียถามเพื่อนของตน

“ใช่ นั่งได้ตามสบายเลย”

“ขอบคุณ” พูดจบเทียน่าก็หันไปเรียกเพื่อสนิทของตนอีก 2 คนทันที “โซอี้ มาเดลิน ทางนี้ มานั่งตรงนี้เร็ว”

“หวัดดีทุกคน” เพื่อนเทียน่ากล่าวทักทายทันทีหลังจากเดินมาถึงโต๊ะ

“สวัสดี ฉันลูเซีย ลูเซีย ฮาร์เอน นี่อนาตาเซีย” ลูเซียแนะนำ

“หวัดดี ฉันอนาตาเซีย กริมส์ ยินดีที่ได้รูจัก”

“ฉันเทียน่า บรองเซ็ค” เทียน่ากล่าวแนะนำตัว เทียน่าเป็นสาวชาวเอลฟ์ครึ่งแม่มด เธอมีผมสีบอล์นทองยาวถึงไหล่ ผิวขาวสะอาด ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล จมูกโด่งเป็นสัน ปากสีชมพูอ่อนและรูปร่างสูงพอประมาณ เธอมีเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานอีก 2 คน ชื่อโซอี้กับมาเดลิน

“หวัดดีฉันโซอี้ มาเกียน่า ยินดีที่ได้รู้จัก” โซอี้กล่าวทักทายเพื่อนใหม่ โซอี้เป็นสาวแวมไพร์ทรงเสน่ห์ เธอมีผมสีดำขลับน่าดึงดูด ดวงตาสีน้ำตาล จมูกโด่ง ผิวขาวซีด ปากแดงสด และตัวเล็กกว่าเทียน่าเล็กน้อย ต่อมาคือเพื่อนคนที่ 3 ของเทียน่าเธอมีนิสัยน่ารักและชอบช่วยเหลือเพื่อนเสมอ

“ฉันมาเดลิน กรินดัล” มาเดลินกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เธอคือเงือกสาวน่ารักที่มีอารมณ์ขัน ผมสีแดงยาวสลวยของเธอดึงดูดสายตาคนหลายคนจนต้องมองเหลียวหลัง เธอมีดวงตาสีเหลืองอร่าม จมูกโด่งเป็นสัน ปากสีชมพูระเรื่อ และผิวขาวเหลือง รูปร่างสูงพอๆกับโซอี้

“เธอชื่ออนาตาเซียใช่ไหม ฉันเห็นเธอตอนเรียนคาบเวทย์พื้นฐาน เธอร่ายเวทย์เก่งมากเลย แวมไพร์อย่างฉันยังอายเลย” โซอี้กล่าวชม

“ใช่ ในชั้นเรียนเธอดูเก่งมาเลย เราสามคนนั่งเรียนอยู่แทบจะหลับอยู่แล้ว” เทียน่าพูดเสริม “โชคดีที่คาบบ่ายเป็นขี่ม้าไม่อย่างนั้นฉันคงนั่งหลับคาโต๊ะ ว่าแต่คาบบ่ายเธอสองคนเรียนขี่ไม้กวาดใช้ไหม ฉันกับมาเดลินต้องเรียนขี่ม้า มีแต่โซอี้ที่ไม่ต้องไปเรียน น่าอิจฉาที่สุดเลย” เทียน่ากล่าว

“ช่วยไม่ได้ฉันเป็นแวมไพร์ไม่จำเป็นต้องขี่อะไร อย่างน้อยก็แปลงร่างเป็นค้างคาวบินได้ เธอสองคนไปเรียนขี่ม้า ลูเซียกับอนาตาเซียเรียนขี่ไม้กวาด ส่วนฉันก็จะได้กลับไปนอนที่ห้อง จะว่าไปแล้วเกิดเป็นแวมไพร์แบบฉันนี่ดีจริงๆเลย” โซอี้พูดออกมาด้วยความภูมิใจพร้อมกับหัวเราะ

ขณะที่ทั้ง 5 กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นอนาตาเซียที่รู้สึกสงสัยกับอะไรบ้างอย่างก็เริ่มถามเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์อย่างรวดเร็ว

“โซอี้ แวมไพร์กินอะไรเป็นอาหารหรอ ตั้งแต่มาโรงอาหารฉันไม่เห็นเธอกินอะไรเลย”

“เธอก็ถามแปลก แวมไพร์ก็ดื่มเลือดสิ เราดื่มแค่ตอนเย็น อีกอย่างเลือดที่ดื่มก็ไม่ใช่เลือดแบบเลือดพวกเธอหรอกนะ พวกเราดื่มแค่เลือดมนุษย์เท่านั้น แล้วก็พวกเราไม่ได้ฆ่าใครเอาเลือด ถึงจะมีความสามารถพิเศษแปลงร่างเป็นค้างคาวได้โดยไม่ต้องร่ายคาถา ทั้งว่องไว และมีกำลังแต่เรื่องฆ่ากันดื่มเลือดมันผ่านมาหลายศตวรรษแล้ว ใครจะออกไปล่าให้เหนื่อย เดี๋ยวนี้มันมีโรงพยาบาลบริจาคเลือดส่งมาให้พวกเราตลอด ต่อให้ไม่มีเลือดมนุษย์เราดื่มเลือดสัตว์ก็ได้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถึงรสชาติจะไม่อร่อยเท่าไหร่ก็เถอะ”

ทั้ง 5 ใช้เวลานั่งคุยกันสักพักจนเวลาล่วงเลยมาถึงคาบบ่าย เสียงออดดังส่งสัญญาณว่าหมดเวลาพักเที่ยงแล้วทำให้ทุกคนต้องแยกย้ายกันไปเรียนตามตารางของตัวเอง

“เฮ้ออ ! หมดเวลาพักแล้ว ยังไงก็ขอให้พวกเธอเรียนกันให้สนุกนะ ฉันขอตัวกลับไปนอนก่อน บายยย” โซอี้กล่าวพร้อมลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ส่วนทุกคนที่เหลือกก็แยกย้ายกันไปเรียน ระหว่างนั้นอนาตาเซียที่รู้สึกตื่นเต้นและกังวลเธอเดินไปหาลูเซียแล้วพูดเรื่องกังวลในใจทันที

“ลูเซียฉันไม่เคยขี่ไม้กวาดมาก่อน แล้วก็กล้วความสูงด้วยทำไงดี”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าเธอเก่งอยู่แล้ว จะว่าไปฉันเคยได้ยินรุ่นพี่บอกว่าบางคนที่กลัวความสูงขี่ไม้กวาดครั้งแรกถึงกับเป็นลมตกลงมาโชคดีที่อาจารย์ช่วยเอาไว้ทันเลยไม่เป็นอะไรมาก แต่เชื่อสิเธอทำได้”

“พูดมาขนาดนี้แล้ว ความหวังสุดท้ายคงต้องอยู่ที่อาจารย์แล้วสิ ยังไงฉันจะพยายามก็แล้วกัน”

“อืม สู้ๆ”

.

.

.

บ้านเอเดิลพัฟฟี่

“อนาตาเซียวันหยุดนี้เธอจะไปไหนรึเปล่า” ลูเซียถามอนาตาเซียที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมฝึกเวทย์อย่างหมกมุ่น

“ไม่นะ มีอะไรหรอ”

อนาตาเซียตอบทั้งที่สายตายังจ้องหนังสือเวทมนตร์โดยไม่วางตา

“วันนี้ฉันจะไปซื้ออาหารให้ฟรองซัว เธอจะไปด้วยกันไหม”

“ได้สิ อาหารของการาฟีน่าก็ใกล้หมดแล้วเหมือนกันจะได้ไปซื้อมาเพิ่มพอดี”

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปกันเถอะ”

“อืม”

ตลาดเวทย์มนต์

ร้านอาหารสัตว์

“ฉันซื้ออาหารของการาฟีน่าเสร็จแล้วเธอเลือกเนื้อได้รึยัง”

อนาตาเซียถามลูเซียที่เดินเลือกเนื้อไปมาหลายร้านแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เนื้อเลยสักร้าน

“ยังเลย เนื้อไก่ร้านแถวนี่หมดฉันกำลังจะไปดูแถวโน้นอาจจะมี ฟรองซัวมันชอบกินเนื้อไก่เป็นพิเศษฉันไม่อยากให้มันกินของที่ไม่ชอบ เธอไปเดินดูอย่างอื่นก่อนก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันไปเดินเล่นทางโน้นนะ”

อนาตาเซียตอบและเดินออกจากร้านขายอาหารสัตว์ทันที เธอเดินไปมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง “ร้านขายของเสี่ยงทาย” ชื่อร้านนี้ทำให้อนาตาเซียสาวน้อยขี้สงสัยเริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เธอเดินมาหน้าร้านและหยุดอ่านป้ายข้างหน้าอีกครั้ง

“ร้านขายของเสี่ยงทาย”

“ชื่อร้านน่าสนใจจัง ลองเข้าไปดูดีกว่า” อนาตาเซียพูดกับตัวเองก่อนเดินเข้าไปข้างในร้านโดยไม่ลังเล “ดูสิในร้านมีอะไร” หญิงสาวกล่าวก่อนจะพบกับเสียงทักทายของเจ้าของร้าน

“สวัสดีสาวน้อยเธออยากลองเสี่ยงทายกับร้านของเราดูรึเปล่า” ชายแก่เจ้าของร้านเดินมาทักทายและพูดเชิญชวนอนาตาเซียที่กำลังมองไปรอบๆด้วยความสงสัย เธอมองมาที่ขายเจ้าของร้านและส่งยิ้มให้ทันที “ที่นี่มีของให้เธอเสี่ยงทายดูหลายชิ้นเธอลองเลือกดูสิว่าถูกใจชิ้นไหน”

ชายเจ้าของร้านแนะนำ ก่อนที่อนาตาเซียจะเริ่มเลือกสินค้าและถามชายชรากลับด้วยความสนใจใคร่รู้

“ข้างในกล่องมีอะไรบ้างหรอคะ”

“ไม่มีใครรู้จนกว่าจะเปิดมัน มันขึ้นอยู่กับดวงของเธอ ถ้าเธอดวงดีก็จะได้ของหายาก ถ้าเธอโชคร้ายก็จะได้ของธรรมดาเป็นรางวัลปลอบใจ เธออยากลองเสี่ยงดวงดูไหม” ชายแก่ถามอีกครั้ง

“คือฉันไม่แน่ใจว่าดวงดีรึเปล่า แต่ฉันชอบสองกล่องนี่ค่ะ ฉันเอาสองกล่องนี้ก็แล้วกัน” อนาตาเซียตอบและหยิบกล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลลวดลายโบราณขึ้นมา 1 กล่อง และหยิบกล่องสีน้ำเงินสีพื้นขึ้นมาอีก 1 กล่อง

ขณะที่อนาตาเซียกำลังพูดคุยกับเจ้าของร้านอยู่นั้น ลูเซียที่เดินตามมาก็เดินเข้าไปหาอนาตาเซียในร้านขายของเสี่ยงทายทันที

“อนาตาเซียเธอซื้ออะไรอยู่”

“ฉันซื้อกล่องเสี่ยงทายน่ะ เธออยากลองดูไหม”

อนาตาเซียถามลูเซียหญิงสาวหน้าตาสวยพร้อมเชิญชวนเพื่อนของตนให้ลองเสี่ยงโชคดู

“อืมมม เอาเป็นกล่องนี้ก็แล้วกัน” ลูเซียตอบและหยิบกล่องสีเขียวขึ้นมา 1 กล่อง

หลังจากเลือกกล่องได้แล้วทั้งคู่ก็เตรียมตัวเปิดกล่องทันที โดยเริ่มจากอนาตาเซียเปิดกล่องแรกออกมาแล้วเจอกับถุงกระเป๋าสะพายเล็กๆหนึ่งใบ เมื่อชายแก่เห็นดังนั้นเขาก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“โอ้...สาวน้อยเธอได้กระเป๋ามิติ กระเป๋านี้เธอสามารถใส่อะไรลงไปก็ได้ไม่จำกัด ในดินแดนแห่งเวทมนตร์กระเป๋าแบบนี้มีเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น เธอโชคดีมากเลยนะเนี่ย” ชายแก่เอ่ยชมไม่ขาดปากพร้อมเชิญชวนให้สาวน้อยเปิดกล่องถัดไป “เธอลองดูอีกกล่องสิว่ามีอะไร” ชายแก่เจ้าของร้านกล่าวด้วยความตื่นเต้น อนาตาเซียเปิดอีกกล่องโดยไม่ลังเลและพบว่าในกล่องมีกระดาษเก่าๆอยู่ 1 แผน ชายชราหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วมองสำรวจดูรอบๆด้วยความสงสัย

“อืมม......ชิ้นนี้คือแผนที่เป็นแผนที่เก่าแก่ แผนที่นี้ทำให้เธอสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้บนโลกเวทย์มนต์ โดยปกติแล้วนี่เป็นแผนที่ของนักผจญภัย” ชายแก่อธิบาย “ถึงตาเธอแล้วสาวน้อยเปิดกล่องของเธอดูสิ” ชายแก่พูดกับลูเซียที่ยืนอยู่ข้างๆอนาตาเซียด้วยใบหน้าแห่งรอยยิ้มหลังจากได้ยินคำเชิญชวนลูเซียหยิบกล่องของตัวเองขึ้นมาเปิดกล่องทันที ภายในกล่องมีสร้อยโบราณ 1 เส้น สาวน้อยดีใจมากที่ได้เครื่องประดับเธอรู้สึกชอบมันเป็นพิเศษดังนั้นเธอจึงหันไปถามชายแก่เรื่องความเป็นมาของสร้อยด้วยความอยากรู้ทันที

ชายชราหยิบสร้อยขึ้นมาพินิจพิจารณาดูอย่างละเอียดเขาใช้แว่นขยายโบราณส่องไปมาอยู่นานกว่าจะตอบคำถามของลูเซียได้

“นี้เป็นสร้อยของพ่อมดคนหนึ่งที่เอามาขายทอดตลาด ยังไม่มีประวัติที่แน่ชัดน่าจะเป็นสร้อยโบราณธรรมดานะสาวน้อย” ชายแก่ตอบ

หลังจากเปิดกล่องเสี่ยงทายเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เดินออกมาจากร้านเพื่อเดินทางกลับสตาเดเฟีย

“ดีนะที่สตาเดเฟียมีร้านค้ากับหมู่บ้านล้อมรอบไม่งั้นเราคงต้องเดินทางลงจากเขาเพื่อไปตลาดแน่เลย” ลูเซียบ่น

“ใช่ ดีที่เราซื้อของไม่เยอะ”

“อนาตาเซีย ฉันเห็นแม่มดบางคนขี่ไม้กวาดคล่องมากเลย น่าเสียดายที่เรายังไม่ได้ซื้อไม้กวาดเป็นของตัวเอง”

“ไม้กวาดก็เหมือนกับรถน่ะ ราคาก็จะแพงหน่อย แต่ถ้าเอาอันที่ถูกมันก็จะใช้ได้ไม่นาน”

“ใช่ พวกเราคงต้องเก็บเงินอีกสักพักถึงจะซื้อไม้กวาดที่คุณภาพดีได้” ลูเซียกล่าวด้วยความเศร้าใจ

“อย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ออกไปไหนไกล”

“อืม”

.

.

.

.

.

.

เวลาผ่านไปนานหลายเดือนนักเรียนใหม่แต่ละคนเริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่นี่ ในแต่ละวันภายในโรงเรียนมีกิจกรรมมากมายให้เด็กๆได้ทำ รวมถึงยังมีสถานที่พักผ่อนสำหรับคนชอบความสงบที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ หลายคนที่เรียนจบออกไปต่างผูกพันกับที่นี่มาก ทำให้มีศิษย์เก่าหลายคนแวะเวียนมาที่นี่เพื่อนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ

ภายในห้องโถงโรงเรียนเวทมนตร์สตาเดเฟียเด็กหลายคนพูดคุยกันอย่างครึกครื้นและตื่นเต้น เนื่องจากจะมีบุคคลสำคัญมาเยือนโรงเรียนทำให้พวกเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้พบบุคคลนั้น มาเดลินเองก็เช่นกันเธอเป็นเงือกสาวขี้สงสัยที่มีความสนใจในหลายๆเรื่องด้วยความที่เธอมีใบหน้าอันสวยสะดุดตาไม่ว่าจะไปไหนทุกคนล้วนชื่นชอบเธอ ทำให้เธอมักจะได้ข่าวสารมากมายมาอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เธอเองก็ได้ข่าวจากเพื่อนต่างห้องถึงเรื่องการมาเยือนของบุคคลสำคัญในครั้งนี้ทำให้เธอเองก็รู้สึกตื่นเต้นและหยุดไม่ได้ที่จะนำเรื่องนี้มาคุยกับเพื่อนๆ

“พวกเธอได้ยินที่เขาพูดกันรึเปล่าเดือนหน้าจะมีนักเล่านิทานมาที่นี่ว่ากันว่านักเล่านิทานจะมาสตาเดเฟียทุกๆ 100 ปีเขาจะมาพักที่นี่ 3 วัน 2 คืน และทุกครั้งที่มาเขาจะเล่านิทาน 1 เรื่อง พร้อมกับคำถามปริศนา 1 ข้อ ถ้าใครสามรถตอบคำถามเขาได้เขาจะมอบของวิเศษให้” มาเดลินพูดกับเพื่อนของตนอย่างตื่นเต้น “แต่จะว่าไปแล้วเมื่อร้อยปีก่อนใครตอบคำถามนี่ได้นะอยากรู้จัง” มาเดลินกล่าวเสริมด้วยความสงสัยพร้อมกับทำท่าทางเหมือนคนกำลังคิดอะไรบ้างอย่าง

“ทำไม ! เธออยากได้ของวิเศษหรอ” เทียน่าถามเพื่อนแกมหยอกล้อ

“เปล่าหรอกฉันแค่อยากฟังนิทาน สมองอย่างฉันไม่น่าจะตอบคำถามได้” มาเดลินตอบ

“ถ้าเขามาที่นี่ทุกร้อยปีแล้วอายุของเขาจะเท่าไหร่กันนะ ฉันว่าน่าจะหลายพันปี” ลูเซียพูดด้วยความสงสัย

“เรื่องนี้เธอต้องถามเทียน่าเพราะนักเล่านิทานเขาเป็นเอลฟ์” โซอี้ออกความเห็น

“จริงหรอเทียน่า”

“ใช่เขาอายุมากจนฉันเองก็นับไม่ถูกเหมือนกัน”

“แล้วทำยังไงถึงจะตอบตำถามเขาได้ล่ะ” มาเดลินถามเทียน่าที่นั่งอยู่ข้างตน

“เอ่อ...ถึงเขาจะเป็นเอลฟ์เหมือนฉัน แต่เรื่องปริศนาของเขาฉันไม่รู้หรอก มันอยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนรึเปล่า อีกอย่างเธออย่าลืมสิเผ่าเอลฟ์มีย่อยออกมาตั้งหลายเผ่ากระจายกันอยู่ตั้งหลายที่ฉันจะไปรู้จักเขาได้ไงโซอี้เธอก็พูดไปเรื่อย”

“เฮ้ออ...อยากรู้จริงๆเลยว่าครั้งนี้ใครจะตอบปริศนาได้” มาเดลินกล่าวพร้อมเอามือค้ำคาง

“แล้วทำไมเธอไม่ลองล่ะ” ลูเซียออกความเห็น

“ฉันไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก ขนาดรุ่นพี่ยังยากที่จะตอบเลย”

“ปริศนายากขนาดนั้นเลยหรอ” อนาตาเซียที่นั่งเงียบอ่านหนังสือออยู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ก็ใช่น่ะสิ ปริศนาของเขาเป็นปริศนาที่แทบจะไม่มีใครตอบได้ นอกจากจะรู้จริงๆ”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”

หลังจากเลิกเรียนในช่วงค่ำอนาตาเซียสาวน้อยผู้อยากรู้อยากเห็นเดินตรงไปหาเบลินด้าที่บ้านของเธอทันที โดยสาวน้อยตั้งใจว่าจะไปถามเบลินด้าเรื่องของนักเล่านิทานเพื่อที่ความสงสัยของเธอจะได้รับคำตอบ

ด้านในบ้านของเบลินด้าสองสาวพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

“เบลินด้าคุณรู้จักนักเล่านิทานไหม”

“รู้สิ แต่ก่อนตอนฉันเป็นนักเรียนเขามาเล่านิทานที่สตาเดเฟียฉันชอบนิทานของเขามากเลย”

“แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าทำยังไงถึงจะตอบคำถามของนักเล่านิทานได้”

“เธออยากได้ของวิเศษของเขาใช่ไหม” เบลินด้าถามเพื่อนอย่างรู้ใจพร้อมตักซุปเห็ดเข้าปาก

“ก็อยากได้ใครจะไม่อยากได้ของวิเศษล่ะ เมื่อมีโอกาสฉันก็อยากจะลองดู”

“ตอนรุ่นฉัน ฉันก็อยากได้เหมือนเธอนี่แหละ แต่พอเจอคำถามแล้วงงจนพูดไม่ออก ฉันเลยไม่คิดอยากจะได้ของวิเศษจากนักเล่านิทานอีก” เบลินด้าอธิบาย “แต่ฉันรู้จักคนที่ตอบคำถามของเขาได้นะ”

“ใครหรอ” อนาตาเซียถามด้วยความอยากรู้

“คาเล็บ ผู้ดูแลป่าต้องสาป” เบลินด้าตอบ

“ทำไมเขาถึงตอบปริศนาได้ล่ะ แล้วของวิเศษที่เขาได้คืออะไรหรอ”

“เขาตอบปริศนาได้ยังไงและได้อะไรเป็นของวิเศษฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ๆเขาเป็นนักเรียนดีเด่นประจำสตาเดเฟียและได้รับเข็มกลัดดีเด่นทุกปี จนครบ 6 ปี เป็นนักกีฬาชนะการแข่งชิงอัญมณีแก้ว และสิ่งที่สำคัญคือเขาเป็นคู่แข็งของฉัน ฉันไม่เคยชนะเขาได้เลย พูดแล้วก็เจ็บใจ”

“แล้วทำยังไงฉันจะเก่งแบบเขาบ้าง” อนาตาเซียสาวน้อยน่ารักถามเพื่อนของตนด้วยความอยากรู้

“เรื่องนี้คงต้องถามเขาเท่านั้นถึงจะรู้” เบลินด้าตอบ

“ทำยังไงถึงจะเจอเขา” อนาตาเซียถามต่อโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

“อนาตาเซียเธออยากได้ของวิเศษจริงๆหรอ” เบลินด้าถามกลับด้วยความกังกล

“จริงๆก็อยากได้มากๆเลย แต่แค่กังวลกับคำตอบนิดหน่อย”

“อืม...ไม่เป็นไร ถ้าเธออยากได้ฉันจะช่วยเธอเอง”

“จริงหรอ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ”

“ฉันเคยได้ยินมาว่าปริศนาของนักเล่านิทานจะไม่มีคำตอบที่แน่นอนเพราะคำตอบจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเขา และความใกล้เคียงกับคำตอบที่เขาคิดเท่านั้น มันก็เหมือนกับการอ่านใจคนน่ะ” เบลินด้าอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้นทำยังไงฉันถึงจะอ่านใจเขาได้”

“คาถาอ่านใจ ในดินแดนแห่งเวทมนต์ไม่เคยปรากฏมาก่อนแต่ว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน เคยมีตำนานเล่าถึงน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงตาเทพ ว่ากันว่าน้ำพุกำเนิดจากดวงตาขวาของเทพีองค์หนึ่ง เรื่องเล่ามีอยู่ว่า

นามมาแล้วมีเทพีที่แสนงดงามอยู่องค์หนึ่ง นางชอบเที่ยวเล่นไปในสถานที่แปลกใหม่ น่าตื่นเต้นและสวยงามอันห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ องค์เทพีทำแบบนี้เป็นประจำจนวันหนึ่งนางลงไปเที่ยวเล่นตามปกติ บังเอิญพรหมลิขิตพานางไปพบกับพ่อมดตนหนึ่งในดินแดนแห่งเวทมนตร์ ในช่วงเวลานั้นต้นรักได้เติบโตขึ้นทั้งสองตกหลุมรักกันจนไม่อาจแยกจากกันได้ ทำให้ทั้งสองเลือกที่จะฝ่าฝืนกฎสวรรค์และอยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นองค์เทพีก็ตัดสินใจอาศัยอยู่ที่โลกด้านล่างและไม่กลับไปยังสวรรค์ของตนอีกเลย

องค์เทพีมักจะกล่าวเสมอว่านางเพียงต้องการใช้ชีวิตกับคนที่นางรักจนกว่าความตายจะพรากจากกัน สิ่งนี้ทำให้นางยอมทิ้งโลกของตนเพื่ออยู่กับคนรักด้วยความเต็มใจ เวลาผ่านไปเป็นร้อยปี ในที่สุดบิดาขององค์เทพีก็ลงมาตามนางให้กลับไปยังโลกเบื้องบนเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยืนกรานที่จะอยู่และไม่ยอมตามบิดากลับ สองพ่อลูกทะเลาะกันรุนแรงจนเกิดพายุและฟ้าผ่าไปทั่วดินแดนสร้างความเดือดร้อนให้กับโลกเบื้องล่าง

เพียงเพื่อได้อยู่กับพ่อมดที่นางรักนางยอมขัดคำสั่งองค์มหาเทพและดื้อดึงหัวชนฝาจะอยู่กับพ่อมดเช่นเดิม องค์มหาเทพหมดหนทางที่จะตามบุตรสาวกลับเขาจากไปด้วยความสิ้นหวัง ก่อนล่ำลาบุตรสาวองค์มหาเทพเตือนองค์เทพีด้วยใบหน้าอันเศร้าสร้อยพร้อมกล่าวว่าวันหนึ่งนางจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เลือกในวันนี้ เพราะความต้องของโลกเบื้องล่างกับเบื้องบนช่างแตกต่างกันเกินบรรยาย เมื่อวันนั้นมาถึงนางจะเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทำ

.

.

.

.

ในความเป็นจริงเหล่าเทพทุกองค์บนสวงสวรรค์ล้วนรู้ว่าดวงตาของตนนั้นคือสิ่งหายากเปรียบเสมือนดวงแก้วสีทองแห่งอัญมณีที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก หากใครได้ครอบครองดวงตาเทพจะสามารถมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น ดังนั้นมันจึงอันตรายกับเทพทุกตนที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เทพีสาวลุ่มหลงหน้ามืดตามัวเห็นผิดเป็นชอบมองไม่เห็นความโลภในจิตใจที่กำลังก่อตัวขึ้น นางคิดถึงแต่สิ่งที่ตนเองปรารถนาว่าได้รับการเติมเต็มแล้ว จนมองไม่เห็นสิ่งรอบข้างว่าไม่เหมาะสมกับตน

วันหนึ่งขณะที่พ่อมดออกไปทำงานตามปกติ เปรียบเหมือนวันแห่งความโชคร้ายของเทพีที่สามีของนางได้ไปเจอกับลูซิเฟอร์ราชาปีศาจผู้หยาบช้าและหิวกระหายในอำนาจ ลูซิเฟอร์หลอกล่อพ่อมดที่ละนิดๆเริ่มจากการช่วยเหลือด้วยความจริงใจจนเริ่มมอบสิ่งของมากมายมีการให้อำนาจที่หลายคนต้องการอย่างรวดเร็วจนพ่อมดเริ่มเกิดกิเลสอยากได้มากขึ้นๆ ในที่สุดพ่อมดผู้แสนดีก็ติดกับกลลวงของลูซิเฟอร์จนไม่อาจถอนตัวได้ นับแต่นั้นเขาถูกลูซิเฟอร์ครอบงำโดยลูซิเฟอร์ได้ยื่นข้อเสนอว่าถ้าเขาสามารถนำดวงตาเทพมาให้ได้เขาจะช่วยให้พ่อมดได้ครองดินแดนแห่งนี้ซึ่งข้อเสนอนี้ก็ทำให้พ่อมดตกลงร่วมมือกับเขา

พ่อมดพยายามวางแผนและทำทุกอย่างอย่างแยบยลโดยที่เทพีไม่ระแคะระคายเลยสักนิด เขาวางแผนมากมายเพื่อหาวิธีขโมยดวงตาของนาง ซึ่งนางเองก็หารู้ไม่ว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง การจะนำเอาดวงตาเทพมาครอบครองต้องควักดวงตาออกมาขณะที่เจ้าของยังมีลมหายใจอยู่ ดังนั้นพ่อมดจึงพยายามหาโอกาสควักดวงตาของนางเสมอโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว

มันอาจจะเป็นเพราะความรักของนางที่ทำให้นางไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติว่าพ่อมดผู้เป็นสามีในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ในใจเขานั้นคิดลักลอบขโมยดวงตาของนางอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งเมื่อร่างกายขององค์เทพีอ่อนแอลงไม่สามารถไปไหนได้ไกลอย่างที่เคยทำวันนั้นนางได้หลับพักผ่อนอยู่ในบ้านเนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการตั้งครรภ์ที่ต้องอุ้มท้องแก่และสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม พ่อมดก็ได้โอกาส เขาเดินตรงไปพยายามควักดวงตาข้างซ้ายของนางด้วยความเลือดเย็น เลือดมากมายไหลนองไปทั่วพื้นสร้างความเจ็บปวดให้เทพีอย่างแสนสาหัส เทพีผู้น่าเวทนาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดนางพยายามสู้สุดชีวิตเพื่อรักษาดวงตาเทพของตนเอาไว้ แต่พ่อมดผู้ชั่วร้ายได้แอบผสมยาพิษลงไปในน้ำให้นางดื่มทุกวัน จนพลังที่มีเริ่มเสื่อมถอยดังนั้นนางจึงเสียดวงตาไปหนึ่งข้างและทำได้เพียงหนีเท่านั้น เมื่อสูญเสียดวงตาไปแล้วหนึ่งข้างองค์เทพีจึงทำได้เพียงพยายามรักษาลูกในท้องและดวงตาดวงสุดท้ายเอาไว้ องค์เทพีหนีมาเรื่อยๆจนถึงป่าแห่งหนึ่ง นางนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจและอ่อนล้า นางรู้สึกสมเพชตัวเองที่เกิดมาเป็นเทพมีความสามารถในการมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่คนอื่นไม่อาจมองเห็น แต่กลับมองไม่เห็นกิเลสในใจคนรักของตน ความผิดครั้งนี้เป็นผลทำให้นางสูญเสียดวงตาเทพอันมีค่าไป

หลังจากนั้นนางตัดสินใจที่จะสร้างน้ำพุขึ้นจากน้ำตาของตนเองนางสละดวงตาอีกข้างของตนด้วยการควักมันออกมาแล้วบดขยี้ดวงตาให้สลายเป็นผุยผงและโปรยสิ่งนั้นลงไปในน้ำพุ ทำให้ใครก็ตามที่ดื่มน้ำพุแห่งนี้แม้เพียงหนึ่งหยดก็จะสามารถอ่านใจคนอื่นได้ชั่วคราว แต่สิ่งนี้ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คือจะต้องยอมสละหัวใจของตัวเองครึ่งหนึ่งให้กับน้ำพุเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการจึงจะได้สิ่งนี้ ก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางจะหมด นางได้ใช้ร่างกายและวิญญาณสาปป่าให้ตกอยู่ในความมืดมิดไม่มีวันแก้ได้ โดยที่ป่านี้จะต้องกลายเป็นที่จองจำดวงวิณญาณชั่วร้าย และสัตว์ต่างๆให้อยู่ในความมืดมิด จนเป็นที่มาของป่าต้องสาป จบ”

“เธอคิดว่าเรื่องนี้เป็นไง” เบลินด้าถามเพื่อนของตนที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“ฟังแล้วรู้สึกกลัวอำนาจมืดขึ้นมายังไงไม่รู้”

“ถ้าสิ่งที่ฉันเล่ามาเป็นความจริง เราต้องตามหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ให้เจอ และจะต้องมีคนแลกหัวใจครึ่งหนึ่งของตัวเอง เธอคิดว่าสิ่งที่จะแลกมันคุ้มกับสิ่งที่จะได้รึเปล่า เธอลองกลับไปคิดทบทวนดูนะอนาตาเซีย เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ของวิเศษอะไรมา ไม่รู้ว่าจะคุ้มไหม ส่วนฉันจะไปถามคาเล็บว่าป่าต้องสาปมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์จริงๆรึเปล่า แล้วก็จะถามว่าครั้งนั้นเขาเคยได้อะไรเป็นรางวัลเมื่อตอบปริศนาได้ ส่วนเธอลองไปหาประวัติน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเติม เพราะฉันก็อ่านมานานแล้วอาจจะมีตกหล่นบ้าง “เบลินด้าอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรีบไปหาข้อมูลตอนนี้เลย ขอตัวก่อนก็แล้วกัน” อนาตาเซียกล่าวและรีบตรงไปยังห้องสมุดของโรงเรียนสตาเดเฟียทันที

เลือกตอน
1 บทที่ 1 อนาตาเซีย
2 บทที่ 2 เรียนรู้การใช้ชีวิตของแม่มด
3 บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา
4 บทที่ 4 น้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงตาเทพ
5 บทที่ 5 แครอน
6 บทที่ 6 เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน
7 บทที่ 7 โลกนิทาน
8 บทที่ 8 อาณาจักรเหนือ
9 บทที่ 9 ราชินีหิมะ
10 บทที่ 10 ลูกฟินิกซ์
11 บทที่ 11 งานกาชาด
12 บทที่ 12 เลือด
13 บทที่ 13 แข่งชิงอัญมณีแก้ว
14 บทที่ 14 ห้องสมุดเล็ก
15 บทที่ 15 ป่าเมอแลนด์
16 บทที่ 16 หญ้าแสงจันทร์
17 บทที่ 17 ดินแดนต้องมนต์
18 บทที่ 18 คฤหาสน์ของวีเรน
19 บทที่ 19 ถ้ำก็อบลิน
20 บทที่ 20 คฤหาสน์ตาเดียว
21 บทที่ 21 พิษฟามารัน
22 บทที่ 22 ล่องเรือ
23 บทที่ 23 ยักษ์อนาทาเนีย
24 บทที่ 24 ประตูกล
25 บทที่ 25 มังกรดำ
26 บทที่ 26 ซาตานแห่งความตาย
27 บทที่ 27 ประชุม
28 บทที่ 28 สุสานมืด
29 บทที่ 29 ต่อสู้
30 บทที่ 30 หนี
31 บทที่ 31 แลกหัวใจ
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 31

1
บทที่ 1 อนาตาเซีย
2
บทที่ 2 เรียนรู้การใช้ชีวิตของแม่มด
3
บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา
4
บทที่ 4 น้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงตาเทพ
5
บทที่ 5 แครอน
6
บทที่ 6 เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน
7
บทที่ 7 โลกนิทาน
8
บทที่ 8 อาณาจักรเหนือ
9
บทที่ 9 ราชินีหิมะ
10
บทที่ 10 ลูกฟินิกซ์
11
บทที่ 11 งานกาชาด
12
บทที่ 12 เลือด
13
บทที่ 13 แข่งชิงอัญมณีแก้ว
14
บทที่ 14 ห้องสมุดเล็ก
15
บทที่ 15 ป่าเมอแลนด์
16
บทที่ 16 หญ้าแสงจันทร์
17
บทที่ 17 ดินแดนต้องมนต์
18
บทที่ 18 คฤหาสน์ของวีเรน
19
บทที่ 19 ถ้ำก็อบลิน
20
บทที่ 20 คฤหาสน์ตาเดียว
21
บทที่ 21 พิษฟามารัน
22
บทที่ 22 ล่องเรือ
23
บทที่ 23 ยักษ์อนาทาเนีย
24
บทที่ 24 ประตูกล
25
บทที่ 25 มังกรดำ
26
บทที่ 26 ซาตานแห่งความตาย
27
บทที่ 27 ประชุม
28
บทที่ 28 สุสานมืด
29
บทที่ 29 ต่อสู้
30
บทที่ 30 หนี
31
บทที่ 31 แลกหัวใจ

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!