บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา

บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา

หลังจากเบลินด้าจากไป อนาตาเซียสาวน้อยที่ยังสงสัยเกี่ยวกับดินแดนแห่งเวทมนตร์เธอเดินตรงไปยังห้องสมุดสตาเดเฟียอย่างรวดเร็ว และเดินไปทั่วห้องสมุดเพื่อหาประวัติดินแดนแห่งเวทย์มนต์ สาวน้อยเดินไปมาชั้นแล้วชั้นเล่าหยิบหนังสือออกมาจากชั้นหลายเล่มก่อนจะนั่งอ่านหนังสือในมุมสงบมุมหนึ่งของห้องสมุดพร้อมเริ่มอ่านเกี่ยวกับสิ่งที่ตนอยากรู้ด้วยความสนใจ สาวน้อยวัยกำลังเรียนรู้เธอพบว่าที่นี่มีสิ่งสำคัญมากมายอันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ตัวเองจะเข้าถึง แต่การหาความรู้เพิ่มเติมก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจไปเสียหมด อนาตาเซียอ่านหนังสืออย่างเงียบสงบนานหลายชั่วโมงจนเย็น และสิ่งที่ทำให้เธอเริ่มเข้าใจโลกนี้มากขึ้นคือในดินแดนแห่งเวทย์มนต์นี้ยังมีเผ่าอื่นที่สำคัญอีก 4 เผ่า ที่สำคัญเหมือนกับพ่อมดแม่มด ซึ่ง 4 เผ่านี้ถือเป็นเผ่าที่มีอิทธิพลต่อดินแดนแห่งเวทย์มนต์มากที่สุดมี

1 เอลฟ์

2 เงือก

3 แวมไพร์

4 ปีศาจ

เผ่าต่างๆในดินแดนกระจายกันอาศัยอยู่ตามอาณาจักรต่างๆมาตลอด จนเวลาผ่านไปหลายศตวรรษมีการทำสงครามรบกันหลายครั้งหลายหนทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในดินแดนเปลี่ยนไป ส่งผลให้ในปัจจุบันเผ่าอื่นที่นอกเหนือจากแม่มด ที่เคยสำคัญ 4 เผ่านั้นลดลงเหลือเพียง 3 เผ่า คือ เอลฟ์ เงือก และแวมไพร์

ซึ่งแต่ละเผ่าก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ มีการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทย์มนต์เหมือนกับพ่อมดแม่มด มีการทำงานของตัวเองเช่นกัน เพียงแต่อาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างกันไปทั้งในห้องเรียนและการงาน ส่วนใหญ่จะมีการแบ่งแยกการสอนและการทำงานตามความสามารถของเผ่านั้นๆ แม้ว่าอาจมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป

พ่อมดแม่มดจำเป็นต้องเรียนโดยใช้ไม้กายสิทธิ์เป็นสื่อกลางในการเสกคาถาส่วนเผ่าอื่นไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลาง เพราะเผ่าอื่นสามารถร่ายคาถาได้เอง แต่ถึงแม้ทุกเผ่าจะต้องเลือกรากไม้กายสิทธ์แต่ไม้กายสิทธิ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นของใช้ประจำกายแทน

รากไม้นั้นจะใช้เวลา 1 วันในการดูดซับพลังของคนคนนั้นแล้วเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับพลังของผู้ครอบครองโดยอัตโนมัติ เช่น

เอลฟ์จะเปลี่ยนจากไม้กายสิทธิ์เป็นเข็มกลัดใบไม้ติดเสื้อคลุมฮู้ดซึ่งมันทำให้พวกเขามีตัวเบาเหมือนสำลี

เผ่าเงือกจะเปลี่ยนไม้กายสิทธิ์เป็นกำไรประจำกายเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและสามารถอยู่บนบกได้โดยไม่จำกัดเวลา

ส่วนแวมไพร์เผ่าพันธุ์อันแข็งแกร่งนี้ไม้กายสิทธิ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นแหวนค้างคาวเพื่อให้ตนสามารถอยู่กลางแสงแดดได้โดยไม่ต้องกินยาแก้ทุกวัน

การเรียนของแต่ละเผ่ามีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแม้ว่าจะมีเพียงบางคาบเท่านั้นที่จะได้เจอกับเผ่าอื่น เช่น ปรุงยา ร่ายเวทย์ การเรียนเพื่อควบคุมพลังของตนเอง การย้ายสิ่งของและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้คือหนึ่งในความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ในดินแดน

หลังจากอนาตาเซียรู้เรื่องราวมากมายในดินแดนแห่งเวทมนตร์ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาเย็นพอดี เธอจึงออกจากห้องสมุดเพื่อกลับห้องของตน ใจจริงเธอตั้งใจจะแวะไปทานอาหารเย็นที่ห้องโถง แต่ระหว่างนั้นอนาตาเซียได้เจอกับลูเซียพอดีทั้งสองจึงทักทายและคุยกัน

“อนาตาเซียเธอหายไปไหนมาทั้งวันฉันตามหาเธอไม่เจอเลย ที่นี่ใหญ่มากจนฉันหลงทาง” ลูเซียพูดกับอนาตาเซียด้วยความแปลกใจ

“พอดีว่าฉันไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด”

“อ๋อออ เป็นอย่างนี้นี่เองวันนี้ฉันเดินหาเธอไปทั่วจนเหนื่อย บังเอิญไปเจอที่เที่ยวเล่นมามีที่เล่นสนุกๆเยอะเลย เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปก็แล้วกัน”

ลูเซียกล่าวพร้อมเอื้อมมือจูงแขนอนาตาเซียเพื่อนของตนตรงไปห้องโถงและนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อทานอาหารเย็น วันนั้นทั้งสองพูดคุยกันในห้องโถงอย่างสนุกสนานก่อนจะกลับห้องไปพักผ่อน

.

.

.

.

.

.

4 วันผ่านไป

ในบ้านเอเดิลพัฟฟี่ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนช่วงเที่ยงในระหว่างวันหยุดอันแสนสงบก่อนเปิดภาคเรียน เวลานั้นเสียงประกาศจากคณะกรรมการโรงเรียนดังไปทั่วบ้านพักสร้างความสนใจแก่นักเรียนในบ้านเป็นอย่างมาก โดยมีการประกาศว่าในคืนพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงน้ำชาถูกจัดขึ้นในโรงเรียนสตาเดเฟีย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น ดังนั้นจึงต้องการแจ้งให้เด็กทุกคนทราบเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานนี้ ส่วนบัตรเชิญมีผู้นำไปไว้ในกล่องจดหมายหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว หวังว่านักเรียนทุกคนจะให้ความร่วมมือเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ ในระหว่างที่เสียงประกาศกำลังพูดอยู่นั้นอนาตาเซียที่กำลังทดลองฟังเสียงวิทยุอยู่ได้ยินเสียงประกาศไม่ถนัด เธอจึงต้องหันไปถามลูเซียที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในขณะนั้น

“ลูเซียเมื่อกี้เสียงประกาศอะไรหรอ พอดีฉันได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่”

“พรุ่งนี้มีงานลี้ยงน้ำชาจัดขึ้นต้อนรับนักเรียนใหม่ และเพื่อให้เด็กใหม่ได้รู้จักกับรุ่นพี่ นี่บัตรเชิญของเธอส่วนนี่ของฉัน” ลูเซียกล่าวแล้วยื่นบัตรเชิญให้อนาตาเซีย “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราออกไปซื้อชุดกันเถอะ เร็วเข้ารีบแต่งตัว” ลูเซียพูดและวิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะเลือกชุดที่ดีทีสุดเพื่อไปร้านชุดราตรี

ร้านชุดราตรี

“อนาตาเซียเธอว่าชุดนี้เป็นไง”

ลูเซียถามอนาตาเซียที่กำลังเดินเลือกชุดบนราว พร้อมหมุนตัวไปมาขณะยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่

“ก็สวยดี เธอใส่อะไรก็สวยอยู่แล้ว”

อนาตาเซียหันไปตอบลูเซียพร้อมเลือกเสื้อผ้าในราวต่อไป

“ไม่รู้สิชุดเยอะจนเลือกไม่ถูกเลย” ลูเซียสาวผมลอนสีทองอร่ามกล่าวกับเพื่อนด้วยความสับสน

“ค่อยๆเลือกก็ได้ เรายังมีเวลาอีกเยอะ”

ภายในร้านชุดราตรีตอนนี้นักเรียนมากมายทยอยเดินทางมาซื้อชุดกันอย่างหนาแน่น ส่งผลให้ตลอดทางเดินแถวนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ พร้อมเสียงผู้คนดังเป็นระยะๆตามถนน ร้านชุดราตรีแห่งนี้ก็เช่นวันนี้ผู้คนเลือกซื้อชุดกันจนเต็มร้านไปหมดทำให้เหลือทางเดินในร้านเพียงน้อยนิด

“อนาตาเซียเธอไปลองชุดบ้างสิ ฉันเห็นเธอเดินเลือกอย่างเดียวไม่ลองชุดเลย” ลูเซียกล่าวและเลือกชุดต่อไป

“ฉันเลือกได้แล้ว ฉันเอาตัวนี้”

อนาตาเซียตอบ เธอหยิบชุดราตรีสีม่วงแขนยาว ประดับด้วยลวดลายลูกไม้สีทอง มีกากเพชรหรูหราประดับอยู่บนชุดเล็กน้อย เนื้อผ้าของชุดหนาพอประมาณใส่แล้วสบายตัว ช่วงเอวนั้นถูกประดับด้วยริ้บบิ้นและกระโปรงที่ยาวถึงข้อเท้า

“ทำไมเธอถึงเลือกเร็วจัง ฉันยังตัดสินใจไม่ได้เลย อืมมมม……เธอคิดว่าสองตัวนี้ตัวไหนสวย” ลูเซียถามและยกเสื้อสองตัวขึ้นให้อนาตาเซียดู “เธอว่าสีชมพูกับสีเหลืองตัวไหนเหมาะกับฉันมากกว่ากัน”

“แล้วเธอชอบอันไหนมากกว่ากันล่ะ” อนาตาเซียถามกลับ

“ฉันชอบทั้งสองเลือกไม่ได้เลย”

ลูเซียตอบพร้อมมองเสื้อสองตัวด้วยสายตาสับสน

“สำหรับฉันเธอใส่ตัวไหนก็สวยหมด เธอเลือกเถอะว่าอยากได้ตัวไหน”

“อืมมม เอาตัวนี้แล้วกันสีชมพูอ่อนเข้ากับสีผมของฉันดี”

ลูเซียกล่าวพร้อมยื่นเสื้อให้เจ้าของร้าน

หลังจากเลือกเสื้อผ้าเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ตรงมายังร้านเครื่องประดับทันที ทั้งสองอยู่ร้านเครื่องประดับสักพักไม่นานก็เดินออกมาโดยมีเพียงลูเซียเท่านั้นที่ได้เครื่องประดับกลับมา

“อนาตาเซียเธอแน่ใจหรอว่าจะไม่ซื้อเครื่องประดับ”

“ไม่ล่ะ ฉันจะใส่สร้อยของแม่ ส่วนเครื่องประดับอย่างอื่นจะไปดูในกล่องเครื่องประดับที่เคยซื้อมาว่ามีอะไรพอใส่ได้บ้าง”

.

.

.

เย็นวันนั้นงานเลี้ยงน้ำชาถูกจัดขึ้นตั้งแต่เวลา 18:00 น.เป็นต้นไปโดยมีนักเรียนทุกชั้นปีทยอยเดินเข้ามาในงานเลี้ยงอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนในงานต่างคึกคักและตื่นเต้นกันมากโดยเฉพาะนักเรียนที่พึ่งเข้ามาใหม่ล้วนเข้าร่วมงานกันอย่างสนุกสนาน

“ขอให้นักเรียนทุกคนสนุกกับงานเลี้ยงน้ำชาในคืนนี้ ลอร์ดมาเชลล์ อธิการบดีแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ลุกขึ้นกล่าวเปิดงานและปล่อยให้เด็กๆสนุกกับงานเลี้ยงครั้งนี้ ภายในงานมีอาหารเลิศรสมากมายถูกนำขึ้นมาเสริฟอย่างไม่ขาดสายพร้อมเครื่องดื่มหลากหลายรสชาติอันมีความพิเศษเฉพาะในดินแดน ดนตรีบรรเลงขับกล่อมเรื่อยๆด้วยความไพเราะอย่างไร้ที่ติ นักเรียนหลายคนลุกขึ้นเต้นรำตามจังหวะทั้งช้าและเร็วตามช่วงเวลา สร้างความสนุกสนานให้แก่ทุกคนรวมถึงลูเซียกับอนาตาเซียเด็กสาวจากดินแดนมนุษย์เองก็ออกไปเต้นรำทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่อีกหลายคนเช่นกัน

“อนาตาเซียไม่ไปเต้นต่อแล้วหรอ” สาวผมทองถามเพื่อนของตน

“ไม่ล่ะฉันเต้นไม่ไหวแล้ว เธอไปเต้นต่อเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปเต้นต่อนะ” ลูเซียกล่าวก่อนเดินหายเข้าไปในกลุ่มนักเรียนที่กำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

เวลาผ่านไปสักพักสาวน้อยนักเรียนใหม่แห่งโรงเรียนเวทมนตร์เริ่มอยากรู้อยากเห็นเธอรู้สึกเบื่อที่ต้องนั่งดูคนเต้นรำไปเรื่อยๆ จึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศ ดังนั้นเธอจึงเดินออกจากงานเลี้ยงและเดินไปเดินมารอบๆบริเวณโรงเรียนทันที สาวน้อยเดินผ่านเส้นทางหลายเส้นจนเริ่มสับสน เธอมองหาทางกลับเดิมของตน แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่สามารถจำเส้นทางได้และยังสับสนอยู่ดี สาวน้อยเดินมาเรื่อยๆนานหลายชั่วโมงเพื่อหาทางกลับเข้างาน แต่ก็ยังหาทางกลับไม่ได้จนเดินมาหยุดอยู่ที่เขตป่าต้องสาป

“นี่มันป่าต้องสาป” อนาตาเซียสาวน้อยวัยใสพูดกับตัวเองด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าการเดินหลงทางจะทำให้เธอหลงมาอยู่ที่ป่าต้องสาปแห่งนี้ “เราเดินมาไกลขนาดนี้เลยหรอ ดูท่าคงจะหลงทางเข้ามาไม่ถูกที่ซะแล้วสิ” อนาตาเซียพูดพร้อมลูบแขนตัวเอง “ทำไมถึงตั้งชื่อว่าป่าต้องสาปนะ แต่ก็ช่างเถอะ เลิกสงสัยได้แล้ว ตอนนี้เราควรรีบออกไปให้ไกลจากที่นี่ดีกว่า” สาวน้อยพูดเตือนสติตัวเองพร้อมเตรียมตัวหันหลังกลับไปยังทางเดิมอย่างรวดเร็ว

ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินทางกลับอยู่ๆก็มีเสียงแววเข้ามาในหูของเธอ เสียงนั่นพยายามเรียกร้องให้เธอหยุด พร้อมกับพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากสาวน้อย

“อนาตาเซีย อนาตาเซีย อย่าพึ่งไป หยุดก่อนอนาตาเซีย”

เสียงปริศนาจากด้านหลังดังอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆเรียกร้องทำให้อนาตาเซียที่กำลังจะไปต้องหันกลับมาทันที

“ใคร ใครอยู่ตรงนั้น ออกมานะ” อนาตาเซียตะโกนหาเจ้าของเสียงด้วยความสงสัย เธอพยายามมองเข้าไปในป่าต้องสาปแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่ทันไรเสียงปริศนาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อนาตาเซียมองมาทางนี้ พ่อกับแม่ไง”

เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้งพร้อมหมอกควันมากมายหนาขึ้นเรื่อยๆ หมอกควันนั้นปรากฏภาพพ่อแม่ยืนอ้าแขนรอรับอนาตาเซียอยู่ เมื่อเห็นภาพครอบครัวอนาตาเซียก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและวิ่งเข้าไปในหมอกควัน

“พ่อ แม่” อนาตาเซียร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นเธอเตรียมตัววิ่งไปหาพ่อแม่ของเธออย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันที่เธอจะก้าวขาไปได้ก็ถูกดึงแขนเอาไว้

“อนาตาเซีย หยุด”

เสียงเตือนดังห้ามปรามสาวน้อยเอาไว้ แต่แทนที่เธอจะเชื่อฟังกลับดื้อดึงที่จะไป สาวน้อยตัวเล็กไม่เคยพบพ่อแม่มาก่อนปรารถนาจะได้อ้อมกอดนั้นให้ได้ เธอพยายามดึงดันเข้าไปในป่า พร้อมสะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดี

“ปล่อย ปล่อยนะ พ่อ……แม่”

“อนาตาเซีย หยุด ! ตั้งสติก่อนมันคือภาพลวงตาๆ เธอดูสิ…ดู…มันเป็นภาพลวงตา”

สาวผู้หวังดีกล่าวเตือนสติทำให้อนาตาเซียรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นแท้จริงแล้วคืออะไร

“เห็นไหมไม่มีอะไร มันหายไปแล้ว”

อนาตาเซียที่พบเหตุการณ์ไม่คาดฝันนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตั้งสติแล้วมองไปยังภาพก่อนหน้านี้และค้นพบความจริง “จริงด้วยมันจางหายไปแล้ว” อนาตาเซียตอบและเผยใบหน้าเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหันไปถามหญิงสาวผู้หวังดี “เบลินด้า คุณมาที่นี่ได้ยังไง” อนาตาเซียถามเบลินด้าที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ฉันควรจะถามเธอมากกว่าว่าเธอมาอยู่ที่นี่ยังได้ไง” เบลินด้ากล่าวก่อนจูงมืออนาตาเซียเตรียมตัวเดินออกจากเขตป่าต้องสาป แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินจากไปเบลินด้าก็มียินเสียงคุ้นหูดังออกมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆบริเวณนั้น

“ดูสิ...วันนี้มีแขกมาเยี่ยมฉันที่นี่ด้วย”

เสียงชายปริศนากล่าวทักทายทั้งสองขณะที่เขากำลังยืนอยู่บนต้นไม้ ชายปริศนาสวมฮู้ดสีดำ และมีท่าทีลึกลับ หลังจากทักทายทั้งสองเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองด้วยความรวดเร็ว พร้อมถอดฮู้ดที่ใส่อยู่ออกทันที ชายลึกลับคนนี้มีผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเหลือง สันจมูกโด่งได้รูป สง่างามและสูงพอตัว เขากระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่สูงริบและเดินไปยืนอิงโขดหินใกล้กับทั้งสองพร้อมกับนกฮูกคู่ใจหนึ่งตัวเกาะอยู่บนไหล่

“คาเล็บนายนั้นเอง ฉันบังเอิญผ่านมาก็เท่านั้นไม่ได้มาเยี่ยม” เบลินด้าตอบแบบ

“ใจร้ายจังเลยนะอยู่มาเป็นร้อยปีเคยพูดแบบไหนก็พูดแบบนั้นไม่คิดจะมาเยี่ยมฉันบ้างรึไง” คาเล็บกล่าวด้วยน้ำเสียงกวนประสาท

“ไม่คิด ถ้านายไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะพอดีไม่ว่าง” เบลินด้าตอบและเตรียมตัวหันหลังกลับไปทันที

“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีเพื่อนทำไมเธอใจร้ายแบบนี้ อยู่คุยกับฉันอีกหน่อยก็ไม่ได้” คาเล็บพูดด้วยความน้อยใจ

“นายอยู่ที่นี่ก็คุยกับภูตผีในป่าไปสิ แล้วก็สัตว์มืดมีตั้งเยอะแยะไม่ได้อยู่คนเดียวซะหน่อยไหนจะนกฮูกสัตว์เลี้ยงนายอีก” เบลินด้าตอบ

“แหม่...ไม่เหมือนกันซะหน่อยใช่ไหมบิลล์” คาเล็บตอบ ก่อนหันไปคุยกับนกฮูกของตน “ว่าแต่บอกเพื่อนตัวจิ๋วของเธอด้วยว่าอย่าออกมาเดินทะเล้อทะล้าบ่อยๆ ครั้งหน้าอาจจะไม่โชคดีแบบนี้ก็ได้” คาเล็บกล่าว ก่อนกระโดดขึ้นต้นไม้สูงและจากไปทันทีเหลือเพียงสองสาวที่ยืนอยู่ด้วยกันทำให้เบลินด้าต้องพาอนาตาเซียเดินไปที่บ้านของตน

“เอาล่ะ เธอไปทำอะไรที่นั่นอนาตาเซีย”

เบลิด้าถามอนาตาเซียด้วยความสงสัย

“ฉันออกมาเดินเล่นแล้วหลงทาง หลังจากนั้นมันก็เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ” อนาตาเซียตอบ

“เธอจำไว้นะ ห้ามเข้าใกล้ป่าต้องสาปเพราะมันอันตรายมาก” เบลินด้าเตือน

“ทำไมหรอคะ” อนาตาเซียสาวน้อยขี้สงสัยถามเบลินด้าด้วยความอยากรู้

“ป่าต้องสาปมีแต่สิ่งที่เป็นอันตราย ภูตผีวิญญาณและสัตว์มืด พวกนี้ล้วนต้องการพลัง วิญญาณที่นั่นมีสิ่งเดียวที่ต้องการคือดูดเอาพลังชีวิตของคนอื่นเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่มันแข็งเกร่งพอ มันจะได้ออกมาจากที่นั่น เพราะที่นั่นคือที่จองจำพวกมันเอาไว้”

“เข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะระวังตัวจะไม่เข้าใกล้ที่นั่นอีก ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วย” อนาตาเซียกล่าวขอบคุณก่อนหันไปสดุดตากับหนูแฮมเตอร์ในกรง “หนูแฮมเตอร์ของคุณน่ารักมากเลยนะคะมันชื่ออะไรหรอ”

“นีล” เบลินด้าตอบ

“จะว่าไปตอนนี้ก็ดึกมากแล้วฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“ได้ กลับดีๆล่ะ”

บ้านเอเดิลพัฟฟี่

แอ๊ด……เสียงเปิดประตูดัง ส่งสัญญาณว่ามีบุคคลเข้ามาในห้องทำให้สาวน้อยผมบลอนในชุดนอนรีบปรี่ไปที่ประตูทันที

“อนาตาเซียเธอหายไปไหนมาฉันตามหาเธอแทบแย่”

“ฉันออกไปเดินเล่นมา”

“เธอนี้ชอบทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย” ลูเซียออกมาด้วยความกังวลและนั่งลงบนโซฟาในห้องอย่างระมัดระวัง

“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ดึกมาแล้วฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ” พูดจบอนาตาเซียก็เดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำทันที หลังจากอนาตาเซียอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็นั่งคุยกันบนเตียงด้วยความตื่นเต้น

“ผ่านไปกี่วันก็จะเปิดภาคเรียนแรกแล้วรู้สึกตื่นเต้นจังเลย” ลูเซียพูดพร้อมล้มตัวนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากเต้นรำในช่วงค่ำเป็นเหตุ

“ใช่ ไม่รู้ว่าเข้าเรียนวันแรกจะเป็นยังไง รู้สึกตื่นเต้นจัง ฉันยังไม่รู้เลยว่าเข้าเรียนวันแรกในดินแดนแห่งเวทย์มนต์จะมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นแบบไหนอีก” อนาตาเซียกล่าวเสริมด้วยความตื่นเต้นปนกลังวล

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะได้รู้แล้ว ฮ่าๆๆมันคงสนุกน่าดู” ลูเซียตอบพร้อมออกมาหัวเราะด้วยความดีใจ

“ใช่ฉันก็คิดแบบนั้น”

เลือกตอน
1 บทที่ 1 อนาตาเซีย
2 บทที่ 2 เรียนรู้การใช้ชีวิตของแม่มด
3 บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา
4 บทที่ 4 น้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงตาเทพ
5 บทที่ 5 แครอน
6 บทที่ 6 เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน
7 บทที่ 7 โลกนิทาน
8 บทที่ 8 อาณาจักรเหนือ
9 บทที่ 9 ราชินีหิมะ
10 บทที่ 10 ลูกฟินิกซ์
11 บทที่ 11 งานกาชาด
12 บทที่ 12 เลือด
13 บทที่ 13 แข่งชิงอัญมณีแก้ว
14 บทที่ 14 ห้องสมุดเล็ก
15 บทที่ 15 ป่าเมอแลนด์
16 บทที่ 16 หญ้าแสงจันทร์
17 บทที่ 17 ดินแดนต้องมนต์
18 บทที่ 18 คฤหาสน์ของวีเรน
19 บทที่ 19 ถ้ำก็อบลิน
20 บทที่ 20 คฤหาสน์ตาเดียว
21 บทที่ 21 พิษฟามารัน
22 บทที่ 22 ล่องเรือ
23 บทที่ 23 ยักษ์อนาทาเนีย
24 บทที่ 24 ประตูกล
25 บทที่ 25 มังกรดำ
26 บทที่ 26 ซาตานแห่งความตาย
27 บทที่ 27 ประชุม
28 บทที่ 28 สุสานมืด
29 บทที่ 29 ต่อสู้
30 บทที่ 30 หนี
31 บทที่ 31 แลกหัวใจ
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 31

1
บทที่ 1 อนาตาเซีย
2
บทที่ 2 เรียนรู้การใช้ชีวิตของแม่มด
3
บทที่ 3 งานเลี้ยงน้ำชา
4
บทที่ 4 น้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงตาเทพ
5
บทที่ 5 แครอน
6
บทที่ 6 เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน
7
บทที่ 7 โลกนิทาน
8
บทที่ 8 อาณาจักรเหนือ
9
บทที่ 9 ราชินีหิมะ
10
บทที่ 10 ลูกฟินิกซ์
11
บทที่ 11 งานกาชาด
12
บทที่ 12 เลือด
13
บทที่ 13 แข่งชิงอัญมณีแก้ว
14
บทที่ 14 ห้องสมุดเล็ก
15
บทที่ 15 ป่าเมอแลนด์
16
บทที่ 16 หญ้าแสงจันทร์
17
บทที่ 17 ดินแดนต้องมนต์
18
บทที่ 18 คฤหาสน์ของวีเรน
19
บทที่ 19 ถ้ำก็อบลิน
20
บทที่ 20 คฤหาสน์ตาเดียว
21
บทที่ 21 พิษฟามารัน
22
บทที่ 22 ล่องเรือ
23
บทที่ 23 ยักษ์อนาทาเนีย
24
บทที่ 24 ประตูกล
25
บทที่ 25 มังกรดำ
26
บทที่ 26 ซาตานแห่งความตาย
27
บทที่ 27 ประชุม
28
บทที่ 28 สุสานมืด
29
บทที่ 29 ต่อสู้
30
บทที่ 30 หนี
31
บทที่ 31 แลกหัวใจ

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!