เสียงโซ่เหล็กกระทบกันเบา ๆ ดังในห้องคุมตัวของคุกวังหลัง กลิ่นชื้นของน้ำค้างปนกับกลิ่นสนิมอบอวลไปทั่ว ข้างนอกเป็นลานเล็กที่แสงแดดยามสายส่องลอดช่องหน้าต่างเหล็กเข้ามาเป็นลำบาง ๆ
อวี่เฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เตี้ย ใบหน้าสงบ แต่แววตาคมกริบราวเหยี่ยวจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของคนรอบข้าง ขันทีผู้คุมคอยมองเธอสลับกับม้วนเอกสารในมือ ราวกับรอเวลาพาไปถวายตัวต่อหน้าฮองเฮาเพื่อตัดสินโทษ
ข้อหาลักหยกประจำองค์ฮองเฮา นั้นร้ายแรงอย่างยิ่ง โทษหนักสุดถึงขั้นโบยจนตาย หรือเนรเทศออกนอกวังอย่างอัปยศ — และแทบไม่มีผู้ใดหลุดพ้นได้หากถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้
การเรียกตัว
ในช่วงยามซื่อ (ประมาณเก้าโมงเช้า) ขันทีใหญ่พร้อมองครักษ์ก็มารับตัวอวี่เฟยไปยังตำหนักจื่ออวี้อีกครั้ง
ข่าวลือแพร่ไปทั่วในเวลาเพียงครึ่งวัน ว่า “สนมใหม่จากตระกูลพ่อค้า” กล้าขโมยของสูงของฮองเฮา หลายสายตาที่มองเธอตามทางเต็มไปด้วยทั้งความสมเพชและความสะใจ
เมื่อถึงโถงใหญ่ ฮองเฮานั่งบนบัลลังก์หยก ท่ามกลางขุนนางฝ่ายใน ข้าง ๆ ยังคงเป็นกุ้ยเฟยหวังจินฮวาในชุดสีแดงสด วันนี้รอยยิ้มของนางบางกว่าวันก่อน แต่แววตากลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ขันทีใหญ่คุกเข่ารายงาน
> “ฝ่าบาทและฮองเฮา ข้าพระพุทธเจ้าได้ค้นพบหยกประจำองค์ฮองเฮาในตำหนักของหลินอวี่เฟย จึงนำตัวมารอการพิจารณา”
จักรพรรดิประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรสูงสุด ทรงทอดพระเนตรลงมาอย่างเงียบงัน สีพระพักตร์เรียบนิ่งราวรูปสลัก ไม่มีผู้ใดอ่านได้ว่าทรงคิดสิ่งใด
ฮองเฮาตรัสเสียงเรียบ แต่แฝงแววอำนาจ
> “หลินอวี่เฟย เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวแก้ตัวหรือไม่?”
คำพูดที่พลิกสถานการณ์
อวี่เฟยเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สบตากับฮองเฮาอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนนุ่มแต่หนักแน่น
> “หม่อมฉันมีสิ่งจะกล่าว แต่เกรงว่าจะไม่สมควรเอ่ยต่อหน้าทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้”
เสียงซุบซิบดังขึ้นทันที บางคนตีความว่าเป็นการยอมรับผิด บางคนคิดว่าเธอกำลังท้าทายอำนาจ
จักรพรรดิทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย ราวกับสนพระทัย จากนั้นมีรับสั่ง
> “ทุกคนถอยออกไป เหลือเพียงเรา ฮองเฮา และกุ้ยเฟย”
เมื่อโถงเหลือเพียงสามผู้สูงศักดิ์กับอวี่เฟย เธอก็เอ่ยต่อ
> “หม่อมฉันขอทูลว่า สิ่งที่พบในตำหนักของหม่อมฉัน มิใช่ของหม่อมฉัน และถูกนำไปวางไว้โดยใครบางคนที่ต้องการกำจัดหม่อมฉันตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวยืนในวังหลัง”
กุ้ยเฟยหัวเราะเบา ๆ
> “เจ้ามีหลักฐานหรือเพียงกล่าวลอย ๆ? ถ้าไม่มี ก็เท่ากับเจ้ากล่าวหาผู้อื่นอย่างไร้มูลความจริง”
อวี่เฟยปรายตามองอย่างสุขุม
> “หม่อมฉันมิได้มีหลักฐานเป็นเอกสาร แต่หม่อมฉันมีข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ — ของที่พบ ถูกวางใต้หมอนของหม่อมฉันในคืนที่ผ่านมา ทั้งที่ตำหนักรองมีนางกำนัลเวรตรวจตลอดคืนและมีบันทึกการเข้าออกอย่างละเอียด”
เธอหันไปมองจักรพรรดิ
> “ถ้าฝ่าบาททรงให้ตรวจบันทึก จะพบว่ามีคนเข้าออกตำหนักของหม่อมฉันในยามซวี (ประมาณสองทุ่ม) ซึ่งมิใช่นางกำนัลของตำหนักรอง”
จักรพรรดิหรี่พระเนตร
> “เจ้ามั่นใจนักหรือ ว่าข้าจะได้พบสิ่งนั้น?”
> “หม่อมฉันมั่นใจเพราะรู้ว่าคนร้ายมั่นใจว่าหม่อมฉันจะไม่กล้าเอ่ย — แต่หม่อมฉันเลือกที่จะเอ่ยในวันนี้”
ผลที่ไม่คาดคิด
ฮองเฮามองอวี่เฟยนิ่ง ราวประเมินน้ำหนักคำพูด ก่อนพยักหน้าเบา ๆ ให้ขันทีไปนำบันทึกเวรตรวจมา เมื่อเอกสารถูกนำมาเปิดต่อหน้าทุกคน บันทึกในยามซวีปรากฏว่ามี “นางกำนัลตำหนักกุ้ยเฟย” เข้ามาที่ตำหนักรองจริง โดยให้เหตุผลว่า “มอบของขวัญต้อนรับ”
รอยยิ้มของกุ้ยเฟยจินฮวาแข็งค้างเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
> “นางกำนัลผู้นั้นทำโดยพลการ ข้าหาได้มีส่วนรู้เห็นไม่”
จักรพรรดิทอดพระเนตรไปยังนาง แล้วจึงตรัสเสียงเรียบ
> “เรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของคนรับใช้ เจ้าว่าอย่างไร ฮองเฮา?”
ฮองเฮาตรัสช้า ๆ
> “ในเมื่อความจริงปรากฏแล้ว ก็ให้ถือว่าเป็นความเข้าใจผิด… แต่หลินอวี่เฟย เจ้าจงจำไว้ วังหลังนี้มิใช่ที่สำหรับผู้ที่ไม่มีทั้งพลังและพรรคพวก”
คำเชิญลึกลับ
หลังจากทุกคนออกไป จักรพรรดิยังตรัสเรียกอวี่เฟยไว้
> “เจ้ากล้ากว่าที่ข้าคิด”
อวี่เฟยคุกเข่า
> “หม่อมฉันเพียงไม่อยากถูกฝังทั้งเป็นโดยข้อหาที่มิได้ทำ”
พระองค์แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย
> “คืนนี้… จงมาที่สวนต้องห้าม ข้าจะรอ”
อวี่เฟยมิได้ถามเหตุผล นางเพียงรับคำ แต่ในใจรู้ดี — คำเชิญนี้ อาจเป็นโอกาส หรืออาจเป็นหลุมพรางที่ลึกกว่าที่เคยเจอ
ลมเย็นจากหน้าต่างพัดผ่านอีกครั้ง กลิ่นดอกเหมยปะปนกลิ่นบางอย่างที่เหมือนกลิ่นของเกมอำนาจ…
และเกมนี้ เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 40
Comments