บทที่ 2
เซียวจ้านขยับตัวเบาๆ
ค่อยๆ กระพริบตาปรับโฟกัสแล้วถึงได้เห็นเพดานห้องตัวเอง
“....” แม้จะรู้สึกปวดหัวจี้ๆ แต่ความเหนียวที่หว่างขาก็ทำให้เขาขมวดคิ้วแทบจะทันที
เซียวจ้านเรียงลำดับเหตุการณ์เมื่อคืนในหัวของตัวเองขณะที่ค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นนั่ง
เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า บนตัวมีผ้าห่มของตัวเองห่มอยู่
พอมองไปข้างๆ โซฟามีร่างของใครสักคน
“หวังอี้ป๋อ” เซียวจ้านตะครุบปากตัวเองไม่ให้เสียงดัง
.
.
.
อี้ป๋อใส่กางเกงนอนถอดเสื้ออยู่ที่พรมหน้าโซฟา ที่ไหล่มีรอยเล็บประปราย
เซียวจ้านค่อยๆ ขยับตัวลุกออกไปจากตรงนั้นเงียบๆ เข้าไปในห้องนอนตัวเอง
เมื่อคืนกินเลี้ยง
เขากินวอดก้า กินเบียร์ ตบด้วยไวน์
แล้วเขาก็ไปส่งเด็กกลับบ้านที่ตรงหน้าร้าน
อี้ป๋อเป็นคนมาส่งเขา
เป็นกดลิฟต์แล้วก็ไขกุญแจห้อง
แล้ว....
หน้าที่ขาวซีดของคนเมาค้างเริ่มแดงเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะซีดลงในทันทีร่างกายมันฟ้องว่าเขาผ่านการมีเพศสัมพันธ์
“พี่มีถุงมั๊ย” ...
เหมือนภาพฉายซ้ำวนไปมาบนหัวเซียวจ้านอีกครั้ง
“พี่มีถุงมั๊ย”
“พี่มีถุงมั๊ย”
“พี่มีถุงมั๊ย”
“พี่มีถุงมั๊ย”
“พี่มีถุงมั๊ย”
.
.
.
.
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ถึงเวลาเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว
“...” พอเดินประตูออกมาพบคนนั่งหน้าตึงหนึ่งอัตรา
“ตื่นแล้วเหรอ” เซียวจ้านเดินไปเทน้ำกระดกเข้าปาก
แอลกฮอล์นี่ทำให้เขารู้สึกแห้งไปทั้งตัว คอแห้งไม่ว่า หน้าก็แห้งด้วย แม้แต่รอยยิ้มก็แห้งเต็มที
“เมื่อคืน...” อ้าปากปุ๊บเซียวจ้านก็ตาโตรีบยกมือห้าม เขาไม่พร้อมจะนึกถึงอีกครั้ง...
“อ่าๆ อี้ป๋อ เมื่อคืนคือเมื่อคืน มันผ่านไปแล้ว เราจะอย่าเอามาพูดถึงอีกเลยนะ”
“...” อี้ป๋อมองคนที่พูดประโยคยาวๆ นั่น ไม่สบตาเขา
“เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ อีกอย่างนึง เราก็โตๆ กันแล้ว” อยากจะบอกให้ปล่อยผ่าน แต่หน้าคนร่วมเหตุการณ์ดูจะเรียบเฉยจนเดาทางไม่ออก
“พี่เมา” ไมรู้ว่านี่คือประโยคคำถามหรือประโยคบอกเล่า
“ใช่เลย พี่เมา นายก็เมาดังนั้นก็ช่างมันเถอะ” เออ...บอกเล่าดีกว่าแหละ
“ผมไม่ได้เมามากขนาดนั้น” อี้ป๋อเดินเข้าไปประชิด
“คืองี้นะ ถ้านายจะพูดเรื่องนี้ มันก็จะทำให้เรามองหน้ากันไม่ติด” เขาไม่เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบนี้กับคนสนิทใกล้ตัว
“พี่จะให้ผมลืมๆ มันไป” สายตาเรียก (ตีน) แขกในยามปกติดูจะกรุ่นๆ บอกไม่ถูก
“อ่อ...ก็แบบนั้นมันดีที่สุดแล้วนี่นา อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็ทำงานกันเป็นทีม พี่เองก็ไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราด้วย” เซียวจ้านกลัวการเปลี่ยนแปลงที่สุดยิ่งเรื่องความสัมพันธืกับคนยิ่งแล้วเลย
“....” อีกคนเงียบ...และมองหน้าเขาไม่วางตา ซึ่งสถานการณ์นี้โคตรรับมือยาก
“อี้ป๋อ ทั้งนายแล้วก็พี่ไม่เคยคิดเกินเลยกันมาก่อน แล้วเมื่อคืนพี่เมามากก็จริง แต่ในฐานะของพี่ที่อายุมากกว่า ขอร้องนายเถอะนะ”
“....”
“ช่วยทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั๊ย”
แม้ว่าอี้ป๋อจะรู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายดูไม่ได้เรียกร้องอะไร
แต่มันก็รู้สึกหงุดหงิดใจ
พี่จ้านนี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมเลยจริงๆ เหรอ
“คือ...ถ้าพี่อี้โจวรู้ว่าพี่กับนาย... พี่ตายแน่ๆ”
“....ทำไม” พี่อี้โจวมาเกี่ยวอะไรด้วย
“ก็....ตอนที่พี่ตัดสินใจมาทำงานที่นี่ พี่สัญญากับพี่อี้โจวว่า พี่จะไม่มีเรื่องรักๆ ใครๆ ในออฟฟิศเด็ดขาด” เซียวจ้านเองก็ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย เพราะเขาเองก็ไม่อยากได้ชื่อว่าไม่มืออาชีพ
อี้ป๋อเองก็พอจะรู้เรื่องราวของเซียวจ้านมาบ้าง
ถ้าให้นับจริงๆ ทั้งบอส ทั้งพี่อี้โจว เซียวจ้าน และอี้ป๋อเองต่างก็ทำงานอยู่ที่บริษัท ใหญ่ที่เดียวกันมา
เพียงแต่ บอสกับพี่อี้โจวทำแผนกเดียวกัน ส่วนเซียวจ้านทำอีกแผนกแต่ก็สนิทกับพี่อี้โจว
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลาออก เลยเหลือแต่เขากับบอสที่นั่น จนวันนี้ที่บอสมาเปิดบริษัท เลยได้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งว่าไปเขากับพี่อี้โจวและเซียวจ้านเรียกได้ว่ามารู้จักกันที่นี่
“เพราะเรื่องนั้น...” เขาเคยได้ยินมา เซียวจ้านเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของผู้จัดการคนนึง
“ก็ด้วย...” แต่เรื่องมันผ่านมาตั้งหกปีแล้ว แต่ดูคนตรงหน้าจะยังไม่ลืมผลกระทบจากครั้งนั้น
“พี่ไม่อยากให้พี่อี้โจวผิดหวังในตัวพี่อีกแล้ว” เซียวจ้านทั้งรักและเคารพพี่อี้โจว ขนาดที่พอถูกชวนมาทำงานในบริษัทเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ก็ไม่รีรอสักนิด
“นายสัญญาได้มั๊ยว่า เราจะไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีก” หวังอี้ป๋อมองหน้าคนที่ช้อนตาขึ้นมองเขาในระยะประชิดแล้วอดถอนใจไม่ได้
“พี่ตอบคำถามผมได้มั๊ย..” เซียวจ้านพยักหน้า อี้ป๋อถอนใจก่อนจะเอ่ยถาม
“พี่เป็น MPREG ใช่มั๊ย” เซียวจ้านหน้าซีดเมื่อได้ยินคำถาม
ก็เขาตั้งใจจะปิดเรื่องนี้ให้เป็นความลับ แล้วหวังอี้ป๋อรู้ได้ยังไง
“ผมเห็นเอกสารตรวจสุขภาพบนโต๊ะทำงานพี่” เขายอมรับว่าเปิดดู
“อ่า...ใช่ แต่ถ้านายกังวลเรื่องท้องสบายใจได้เลย” พี่ฝังยาคุมกำเนิด ไม่ต้องกังวลเรื่องเด็ก
เซียวจ้านชี้ที่ท้องแขนข้างซ้าย
“พี่จ้านครับบบบบบบบบบบ” จั่วเฉิงวิ่งเข้าไปกอดแขนคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาจากไปประชุมข้างนอก
“ว่าไง”
“พรุ่งนี้พี่ถิงเยี่ยกับพี่เต๋อจะเข้ามาช่วงบ่าย แต่คุณเหวินจูจะเข้ามา พี่ช่วย....เลื่อนนัดเป็นช่วงเช้าได้มั้ยครับ”
“แล้วถ้าไม่ได้ละ” จัวเฉิงเบะปากน้ำตาคลอ
“ผมอาจจะตายก็ได้นะครับ” ถึงแม้ว่าจะโตแล้วแต่ก็คงจะโตแต่ตัว ไอ้นิสัยขี้อ้อนที่ฝ่ายประสานงานน่าจะเป็นเหมือนกันหมด
“ตายเลยเหรอ...55” แม้ว่าจะทำท่าแบบนั้นแต่เซียวจ้านก็พยักหน้ารับ
ถ้าคุยกับเหวินจูก็ไม่ได้ยากอะไร อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนไกลสำหรับเซียวจ้านอยู่แล้ว
เพียงแต่เขารักษาระยะห่างเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พอ
“พี่เหวินจู ผมเซียวจ้านเองครับ”
-ว่าไงไอ้ตัวแสบ-
“เช้าพี่ว่างมั๊ยครับ พอดีจัวเฉิงอยากรีบพรีเซนงานให้พี่ก่อนที่จะส่งครับ”
-ว่างนะ สิบโมง-
“บ่ายไปทานกาแฟกันนะครับ” เซียวจ้านเองก็เป็นพวกรู้จักกันในวงกว้างยิ่งทำงานวงการเฉพาะ ยิ่งเป็นที่รู้จัก วงการไม่ได้กว้างแล้วเขาก็เป็นที่เอ็นดูของพี่ๆ เสมอ
-ได้สิ พี่จะได้กินกาแฟกับเราสักที แล้วอี้โจวจะมามั๊ย-
“ไม่ครับ ผมคนเดียวครับพี่” แม้ว่าจะปลายสายจะบ่นเสียดายแต่ก็รับปากว่าจะไปทานกาแฟ
พอวางสายก็ยกหูสายในไปบอกจัวเฉิง
“เรียบร้อย”
-ขอบคุณครับ พี่จ้าน พรุ่งนี้ผมซื้อหมูปิ้งมาฝากนะครับ- เสียงดีอกดีใจขนาดนั้น ไม่วายติดสินบนเขาเหมือนเคย
“จ้านจ้าน เข้ามาพี่หน่อย” พี่อี้โจวร้องบอกเขาก่อนจะเดินนำอี้ป๋อเข้าไปในห้อง
“ครับ” วางไอแพดเตรียมจะบันทึก
“ใกล้ส่งงานแล้วพอดีพี่มีเรื่องจะไหว้วานเรากับอี้ป๋อ” พี่อี้โจวเป็นพวกวางแผนจ่ายงานแล้วก็สั่งการเก่ง แต่ถ้าเรื่องมองคนขาดก็อันดับหนึ่ง ไม่แปลกที่องค์เล็กๆ แต่ยอดกำไรจะพุ่งทะยานขนาดนี้
สำหรับอี้ป๋อที่แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์มาได้เกือบเดือนแล้วแต่อี้ป๋อบอกตามตรงว่าเขารู้สึกว่ารุ่นพี่ได้เหมือนเดิมสักเท่าไหร่
“ไปดูสถานที่ให้พี่ที่ไต้หวันแล้วเอาข้อมูลมาสรุป แต่รอบนี้มันไกลก็ค้างคืนกันนะ” รุ่นพี่พ่วงตำแหน่งหัวหน้าสั่งเขา เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงเขาให้เบิกอยู๋แล้ว
“อ่า ได้ครับ” เซียวจ้านจดข้อมูลที่พี่อี้โจวบอกลงไอแพด
“แล้วมีใครไปอีกมั๊ยครับ”
“ไม่อ่ะ...ก็ไปกันแค่เราสองคน” พี่อี้โจวบอก
อี้ป๋อแอบหน้าหวานค้างไปสามวิ
ไหนพี่บอกว่าทุกอย่างเหมือนเดิมไง
นี่ไง ไม่เหมือนเดิมเห็นๆ
“อ้ากกกกก” เซียวจ้านนั่งโวยวายกับตัวเองให้ห้องน้ำ
เกือบเดือนแล้วเขาบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างเหมือนเดิม แต่พอเจอหน้าหวังอี้ป๋อไม่กล้าสบตาตรงๆ เลย
ปกติเขาจะติดรถหวังอี้ป๋อกลับบ้านถ้ากลับจังหวะเดียวกัน
ตอนนี้เซียวจ้านตัดใจนั่งเคลียร์เอกสารที่ออฟฟิศจนมืดทุกวัน
แต่มันมีวันนึงที่ดันนั่งประชุมกันจนดึก แล้วเขาต้องติดรถอี้ป๋อกลับหอ
แม้ว่าการพูดคุยกันมันจะคล้ายกับปกติ
เซียวจ้านเองก็บอกตัวเองว่าทำได้ดีแล้ว
ใครจะปกติร้อยเปอร์เซนละวะ
ทำได้เท่านี้ก็เก่งแล้ว
วันนั้นเขาไถทวิตเตอร์ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่วันนั้นแฮชแท็กเรื่องทำแท้งถูกกฎหมายติดอันดับหนึ่งพวกเขาเลยคุยๆ กัน เกี่ยวกับเรื่องนี้
"ถ้าถามพี่เรื่องทำแท้ง มันควรจะถูกกฎหมายอ่ะ เพราะถ้าเหตุการณ์ผิดพลาดมันส่งผลให้เกิดชีวิตหนึ่งขึ้นมา มันมีอะไรที่จะบอกได้ว่าเราจะดูแลเลี้ยงดูให้เขาเป็นมนุษย์ที่ดี ถ้าเราดันทุรังฝืนจะเอาไว้แล้ว สร้างสิ่งมีชีวิตที่บิดเบี้ยว มันทรมานทั้งเขาแล้วก็เราด้วย สู้เอาออกไปตั้งแต่ยังเป็นแค่ก้อนเนื้อมันดีกว่าไม่ใช่เหรอ" ก็เขาไม่ได้เกิดมาในบ้านที่อบอุ่นอย่างที่ใครๆ คิด
บ้านมันไม่ใช่เซฟโซนของเซียวจ้าน
"ผมว่าทุกคนก็มีเหตุผล ผมเข้าใจแต่การที่มีคนคนนึงมาเกิดน่ะ มันเหมือนพรมากกว่าคำสาป ถ้ามันเกิดขึ้นกับผมในวันนี้ วันที่ผมอายุเท่านี้มีงานทำ ผมว่าผมคงให้เอาไว้" อี้ป๋อเป็นพวกอ่อนไหวกับเรื่องครอบครัว
สองคนถูกเลี้ยงมาโดยคุณยายเหมือนกันจึงไม่แปลกที่เวลาพูดคุยกันจะเป็นช่วงเวลาที่อยู่กับคุณยาย
แต่พอมาคุยเรื่องครอบครัวที่หมายถึงพ่อแม่ลูก ความหมายของทั้งคู่อาจจะไม่เหมือนกัน แต่บทสนทนาก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน
อี้ป๋อสัมผัสได้ว่าเซียวจ้านรักครอบครัวมาก แต่เพราะกำแพงบางอย่างที่ทำให้เซียวจ้านตัดสินใจแยกตัวออกมา
สำหรับอี้ป๋อครอบครัวอบอุ่นแล้วก็เขาเองก็ชอบที่อยู่กับครอบครัวใหญ่
“เด็กๆ ต้องการเวลามากกว่าผู้ใหญ่คิด ในขณะที่เรามีเหตุผลมากมายในการใช้ชีวิต เด็กๆ ก็แค่อยากจะมีความสุขกับพ่อแม่เท่านั้นเอง”
“พี่มีความสุขมั๊ยตอนที่อยู่กับที่บ้าน” เซียวจ้านยิ้มให้ตัวเองเมื่อได้ยินคำถาม
“ก็มี แต่มันจางมาก แทบจะจำไม่ได้เลย พี่รู้แต่พ่อกับแม่ทำงาน” แล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นลูกที่พ่อแม่อยากจะมีตั้งแต่แรก
เซียวจ้านเคยอยากมีลูก ตอนนั้นเขาอยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่กับคนที่รัก
แต่เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแม้แต่คนในครอบครัว
“ถ้าผมมีลูกคงดีใจมาก”
“ถ้านายมีกับคนที่นายรัก แล้วเขาก้รักนายน่ะนะ”
“....”
“เพราะถ้าเด็กเกิดจากความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนัง เด็กก็เหมือนเชือกที่ล่ามอีกคนเอาไว้”
อี้ป๋อมองคนที่ภายนอกสดใสแต่ข้างในคล้ายกับมีเงาดำบางอย่างปกคลุมอยู่
“พอเด็กเกิดมา พอถูกใช้เป็นเครื่องมือ เขาจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นวัตถุ” แววตาที่สบกลับมาทำให้อี้ป๋อรู้ว่าคนพูดว่างเปล่า
อยากจับมือ...
อยากจับมือที่กำอยู่บนกระเป๋าเป้นั้น...
กำแน่นเสียจนขึ้นข้อขาว
“ผมมีความรัก ผมจะให้เขาจนกว่าจะเพียงพอให้เขารู้สึกว่าความรักของผมที่มีให้เขา ไม่มีวันหมด”
“อย่างน้อยในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในท้อง ก็มีความรักของแม่ในช่วงเวลาที่เขาเติบโตขึ้นมา เขาก็มีความหวังความรักจากคนรอบข้าง”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 30
Comments