รุ่งเช้า
กรุ๊ก กรู้\~ กรุ๊ก กรู้\~ กรุ๊ก กรู้\~
นี่ไม่ใช่เสียงไก่หรือเสียงนก แต่เป็นเสียงสัตว์ปีกที่หน้าตาเหมือนสัตว์ในตำนาน
แสงแรกของวันสาดเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงปลุกอันน่ารำคาญ วาร์นงัวเงียลุกขึ้นยืน ดวงตาปรือมีขี้ตาเกาะ
ปัง!!!
ประตูห้องเปิดกระแทกผนังอย่างแรง
“ไอ่ย่ะ!”วาร์นสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปมองประตูพร้อมท่าป้องกันตัวอย่างงง ๆ
ชายแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นในอิริยาบถสง่างาม ชุดคลุมยาวสีกรมปักสัญลักษณ์ประหลาด คล้ายจะเป็นตราแสดงยศ
“อรุณสวัสดิ์! คุณหนูวาร์น! ข้ามาถึงแล้ว! อาจจะเช้าไปหน่อยแต่เวลานี้แหละ จะช่วยให้เจ้ารู้สึกสดชื่น\~”
“…หา?”
“ขอประทานอภัยที่เสียมารยาท ข้ามีนามว่า เอริค อลาเวลธอร์น! เป็นสหายร่วมทางกับ ลอร์ดไวร์เวน ยินดีที่ได้พบเจ้า คุณหนู…วาร์น”
“เอริค… อาลายนะ” วาร์นกะพริบตาถี่ ดวงตายังปรืออยู่
“เอริค อลาเวลธอร์น… ขอจดจำไว้ด้วยเถิด”
ชายหนุ่มร่างสูงก้าวเข้าห้องด้วยท่วงท่ามั่นคง สะพายกระเป๋าหนังใบใหญ่ไว้บนหลัง ก่อนจะเหวี่ยงมันลงกระแทกพื้นดัง โครม! เสียงโลหะกระทบกันข้างในดังสะท้อนชัดในห้องหินเย็น เขาคุกเข่าลง ทะลุทะลวงชั้นหนังและผ้าอย่างรวดเร็วก่อนหยิบแท่งไม้สั้นขนาดฝ่ามือขึ้นมา ด้ามแกะลายวงเวทซีดบนเนื้อไม้แปลกตาเขาเคาะปลายไม้กับพื้นสามครั้ง เสียง “ตึก…ตึก…ตึก” ดังก้องจนฝุ่นที่เกาะอยู่ตามขอบตู้ลอยกระจาย
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะมาเป็นครูของเจ้า” เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาทอดมองตรงมายังเด็กหญิงแล้วพูดต่อว่า “…ประมาน 1 เดือน”
เสียงสบถระเบิดจากอีกมุมห้อง “อย่ามาพร่ำให้น่ารำคาญนัก!”
วาร์นพุ่งตัวขึ้นจากขอบเตียง ร่างในชุดเรียบร้อยของบุตรสาวขุนนางพลิกหันมาทั้งตัว ประกายตาร้อนจัดจนแทบสว่างในเงาไฟจากโคม
“ท่านเป็นใคร มาจากที่ใด พรวดพราดเข้ามาแล้วควักของประหลาดหน้าตาน่าสงสัยออกมาให้ดูแบบนี้แล้วก็พูดว่าจะมาเหรือป็นครูข้า ตอบคำถามมาให้หมด… ไม่อย่างนั้นข้าจะสาปท่าน”เสียงของเธอแล่นออกนอกประตูหิน บันไดหินกระเพื่อมเบา ๆ ราวกับปราสาททั้งหลังเงี่ยหูฟังคำโวยวาย
“ท่านพ่ออยู่ที่ใด ข้าจะขอคุยกับท่านพ่อ!”
เอริคเหลือบมองเธอแล้วถอนหายใจเบา ๆ เขาหมุนข้อมือเล็กน้อย วาดเส้นกลางอากาศ แล้วเปล่งเสียงร่ายเวทที่เหมือนบทเพลง พลังเวทปรากฏบนฝ่ามือเขา แสงเรืองรองสีฟ้าขุ่นหมุนวนในวงกลมเล็ก ๆ อย่างสงบ
“ข้าเกร่งว่าท่านลอร์ดไวร์เวนคงไม่ว่าง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะยื่นฝ่ามือที่ส่องประกายออกมาตรงหน้าเธอ
วาร์นขยับคิ้วชิดกัน ดวงตาจับจ้องวงเวทในมือเขาโดยไม่ตั้งใจ
“…อะไร?”
“มันคือเฟรชเบรธ ข้ารับประกันด้วยเกียรติว่าเจ้าจะรู้สึกดีเมื่อกินมันเข้าไป”
“…นี่ท่านกำลังคิดว่าข้าหงุดหงิดอยู่สิน่ะ…”ร่างเล็กมองเขาด้วยสายตาดุดัน
“ใช่ พลังของเจ้ามันแผ่รังสีและกลิ่นอายของเด็กสาวขี้โมโหสุด ๆ ”เอริคพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังล้อ แต่สีหน้ากลับจริงจังอย่างน่าประหลาด “…ตอนนี้ข้ารับบทเป็นอาจารย์เวทมนตร์! เอาล่ะ ตั้งใจให้ดี เจ้ามีสายเลือดพิเศษ หากเจ้าปล่อยให้พลังในตัวไร้การฝึกฝน มันจะกลืนกินวิญญาณ กลั่นความกลัวออกมาเป็นรูปลักษณ์ และท้ายที่สุด…เจ้าจะสูญเสียผู้คนรอบตัวโดยไม่อาจเรียกคืน!”เสียงที่เปล่งออกดังราวฟ้าคำรามบนยอดหอคอย เอริคยืดตัวตรง ราวนักรบผู้ไม่จำเป็นต้องถือดาบ ไม้เท้าสั้นในมือเพียงอาวุธเดียวที่เขาเลือกใช้
วาร์นเบิกตา ริมฝีปากอ้าเล็กน้อย ขณะที่ลำคอขยับกลืนบางสิ่งฝืดเฝื่อนโดยไม่รู้ตัว
“อะไรกัน… มันอันตรายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“เริ่มได้”เอริคพูดอย่างเรียบง่าย แต่ก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวของเขาทำให้อากาศรอบตัวคล้ายหยุดไหว เขายกไม้เท้า วาดปลายให้ชี้มายังเธอ
“ท่านจะทำอะไร!”
“สกัดทุกการเคลื่อนไหว ไบน์ดรูท ซีล!”
คำร่ายพรั่งพรูออกจากริมฝีปากทันทีที่เขาตวัดปลายไม้ลง เสียงกระทบพื้นแผ่วเบา… แล้วก็เงียบ
จากจุดใต้เท้าของวาร์น เงาราวหมึกสดเริ่มซึมขึ้นเป็นวง ก่อนแผ่กว้างขึ้นฉับพลัน เธอขยับถอยแต่ไม่ทัน สายบาง ๆ สีฟ้าเข้มปะทุขึ้นมา พุ่งรัดเข้ากับข้อเท้าและข้อมืออย่างแม่นยำ ไม่มีโลหะ ไม่มีโซ่ ไม่มีภาพให้เห็นแต่แรงกดนั้นเหมือนสายลมมีชีวิต
วาร์นสะดุ้งสุดตัว พยายามสะบัดแขนขา แต่ขยับไม่ออก ราวกับลำตัวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น เธอก้มมองหาไม่มีเงา ไม่มีสิ่งใดให้ตาเห็น มีเพียงลมหายใจของตนเองที่สะท้อนความตื่นตระหนก
เสียงฝีเท้าของเขายังคงมั่นคงทุกจังหวะ ไม่เร่งรีบ ไม่ลังเล ขณะที่บ่วงเวทรูปเงารัดร่างวาร์นอย่างแนบแน่น มีเพียงผู้ใช้เวทเท่านั้นที่มองเห็นมัน ทว่าแรงบีบกลับชัดเจนอย่างโหดเหี้ยม
“ปล่อยข้านะ!” เธอตะโกนดังลั่นต้านแรงกด แต่คำร้องกลับสั่นไหวจนฟังคล้ายเป็นการวิงวอน
“เวทพันธนาการระดับกลาง…” เอริคเอ่ย แต่ถ้อยคำนั้นชัดเจนในทุกพยางค์ เขาวาดปลายนิ้วโค้งกลางอากาศอย่างประณีต ขณะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“…มันตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติ หากเจ้าขืนดิ้น มันจะรัดแน่นขึ้นตามแรงต้าน ไม่ใช่เพราะโกรธเคือง แต่เพราะมันถูกสร้างขึ้นจากกฎแห่งการสะท้อนแรงเจตนา”
“ขี้โกง!”
เขาหัวเราะในลำคอ ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
“ขี้โกงหรือ? นี่คือการสอน ข้าโกงสิ่งใดกัน คุณหนูวาร์น” เสียงของเขานิ่ง มือยังคงขยับร่ายอักขระเวทต่อไม่หยุด “เจ้าจะเรียนรู้สิ่งใดได้ หากไม่เคยเผชิญแรงกดดันที่แท้จริง?”
วาร์นหอบหายใจ หน้าอกขยับขึ้นลงถี่จัด ขณะที่รู้สึกได้ถึงแรงบางอย่างที่ไหลเข้ามาบีบรัดรอบตัว ราวกับอากาศกลายเป็นเถาวัลย์มองไม่เห็น มันหน่วงร่างเธอให้ลอยขึ้นจากพื้นโดยไร้สิ่งพยุง
ปลายเท้าแตะไม่ถึงพื้นแล้ว ทุกอย่างเคลื่อนไปช้า ๆ ตรงสู่หน้าต่างที่เปิดอยู่
แสงจันทร์สาดลงตรงใบหน้า ใสสะอาดราวแม่น้ำในคืนหิมะตก ดวงตาวาร์นเบิกกว้างสะท้อนแสงสีนวล เสียงลมหายใจของเธอขาดห้วง ริมฝีปากซีดเผือด
“ท่านจะทำอะไร…” เธอเอ่ยเสียงแหบแห้ง ติดอยู่ตรงลำคออย่างเจ็บปวด
“ถ้าเจ้าไม่อาจปลดเวทของข้าได้ทันเวลา เจ้าจะตาย” เอริคตอบอย่างเย็นชา “และแม้แต่เวทยารักษาก็มิอาจช่วยเจ้าได้”
วาร์นอ้าปากจะตอบ แต่ออกมาได้เพียงเศษคำ
“อย่า… ได้โปรด”
ยังไม่ทันจบถ้อยคำ อากาศก็เหมือนถูกสูบออกจากร่าง เธอถูกผลักผ่านขอบหน้าต่างในพริบตา
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก!”
เสียงกรีดร้องแหวกผ่านอากาศ ดังก้องสะท้อนกับผนังหินก่อนจะกลืนหายไปกับความลึกของเบื้องล่าง
ร่างเล็กพลันปลิวตกจากขอบหน้าต่าง ลมหอบเย็นยะเยือกตวัดผ่านผมยาวสะบัดพลิ้ว เส้นผมและกระโปรงปลิวพรายไปตามแรงดึงดูดราวกับเธอกำลังหลุดออกจากแรงโน้มถ่วงและจากโลกทั้งใบ
หัวใจร่วงวูบตามร่าง ดวงตาของเธอเบิกค้าง เงาของผืนฟ้าสลับกับภาพหน้าต่างที่หดเล็กลงทุกขณะ ขณะที่พื้นดินเบื้องล่างกลับเร่งเข้ามาหาอย่างไร้ความปรานี
ตึกตึกตึก!
หัวใจของเธอเต้นรัวราวจะระเบิด ในห้วงวินาทีที่ความตายใกล้เข้ามา พลังเวทที่ซ่อนลึกอยู่ภายในไหลทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว คลื่นเวทสีดำพวยพุ่งจากร่างเธอราวกับเปลวเพลิงสีน้ำรักระเบิดออกกลางอากาศ
ตู้มมมม!!
กระแสอากาศกระจายเป็นวงกว้าง เศษใบไม้ลอยว่อน กลุ่มเมฆเหนือศีรษะถึงกับแหวกออก
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ”เขาเอ่ยแผ่วต่ำ คล้ายเป็นถ้อยคำที่ปลิดปลิวออกมาพร้อมลมหายใจ
ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายแววฉงนวูบหนึ่ง ก่อนจะลุกวาวขึ้นราวกับแสงจากผลึกเวทต้องแสงจันทร์ นิ้วมือที่เคยประสานไว้แผ่นหลังค่อย ๆ ครี่ออก…ยกมือขึ้นแตะคางอย่างครุ่นคิด คล้ายจิ๊กซอว์เก่าถูกวางลงในช่องสุดท้ายโดยไม่ตั้งใจ ริมฝีปากแย้มขึ้น
ในขณะนั้นเอง…
กลางอากาศเหนือพื้นหินของคูหาลึก พลังเวทมืดระเบิดแสงวาบขึ้นราวกับ อสุนีบาตจากใจกลางพายุ ร่างของวาร์นยังคงลอยคว้างอยู่ภายในม่านพลังอันบิดเบี้ยวพวยพุ่งจากอกเธอ มันแผ่ซ่านออกจากใจที่แตกร้าว
เสียงกรีดร้องหลุดจากลำคอ เสี้ยววินาทีนั้น ร่างของวาร์นพุ่งพรวดขึ้นอย่างแม่นยำราวสายฟ้าที่รู้เส้นทางกลับคืน พุ่งสู่ช่องหน้าต่างเดิม ทิ้งกลุ่มเวทมืดให้ ห่อหุ้มตัวราวชุดเกราะจากหมอกทมิฬ ดูบางเบาแต่บ้าคลั่ง ดุจเปลวเพลิงนิลที่ไม่ต้องแสง
“เอริค!!”
เธอตะโกนสะท้อนดังก้องไปทั่วโถงหิน ราวระฆังสงครามถูกตีขึ้นท่ามกลางวิหาร ทว่าไม่มีใครตอบกลับ ไม่แม้แต่เงาของผู้ชายคนนั้น
ภายใต้เงามืด ดวงตากลมโตคู่หนึ่งฉายแสงสีแดงฉาน เปร่งประกายขึ้นดุจอสูรร้าย
ณ เบื้องหน้าประตูไม้บานใหญ่ที่เปิดแง้มไว้เพียงน้อย เปลวเทียนสองข้างบานไหวระริกเหมือนลมหายใจตื่นของตัวปราสาทเอง
วาร์นยืนอยู่หน้าท้องพระโรง ร่างถูกตัดแบ่งเป็นสองด้วยแสงตะเกียงจากด้านใน เส้นผมปลิวตามแรงพลังที่ยังคงคุกรุ่น
เอริคยืนอยู่ข้างลอร์ดไวร์เวน สายตาของเขากวาดผ่านแสงสลัวที่ทอดเงายาวบนพื้นหิน เมื่อจู่ๆ กลิ่นแปลกประหลาดก็แทรกเข้ามาในจิตสำนึก กลิ่นของพลังเพลิงนิลอบอวลดั่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา
เขาหันขวับทันที แทบจะพร้อมกันกับลอร์ดไวร์เวนโดยสัญชาตญาณดิบของผู้เคยสัมผัสพลังที่เกินกว่าสามัญชนจะเข้าใจ
หญิงสาวในอาภรณ์เนื้อมันบางเบาสีเผือก ชุดนอนของเธอพลิ้วปลิวไสว คล้ายไม่มีแรงต้านของแรงโน้มถ่วง รูปหน้าสะดุดตาดั่งตุ๊กตาแต่อากัปกิริยากลับไร้หัวใจ ดวงตาของเธอสะท้อนแสงเหมือนจันทร์เสี้ยวเหนือทะเลน้ำแข็ง นี่มันไม่ใช่วาร์น!!
“เจอตัว…สักที”เธอเปล่งออกมาแผ่วต่ำแต่ชัดเจนทุกคำ
เธอพุ่งเข้าไปในพริบตา เสียงฝีเท้าขาดหายไประหว่างทาง อัคคีรัตติกาลที่ห่อหุ้มมือเล็กลุกวาบขึ้นทันทีเมื่อเข้าใกล้ มันบิดเบี้ยวไหลคลุมปลายแขนราวเกราะหมายจะเฉือนทุกสิ่งตรงหน้าให้ดับสิ้น
เสียงอึ่งการสะท้านหล้า ความโกรธาจากเงาเธออัดแน่นเป็นถ้อยคำนั้น เพลิงกาฬปะทุจากร่างของวาร์นระเบิดออกทั่วทั้งห้อง เงาดำฟาดเปรี้ยงเข้าใส่ราวพายุมีชีวิต ทว่าก่อนที่พลังเวทจะแตะร่างเอริค…
แสงสว่างสีม่วงเจิดจ้าก็ผ่ากลางอากาศดุจอัศนี่กลางคืนพร้อมกับเสียงที่เธอคุ่นหูดังขึ้น
ปังงงงงงง!!!
วาร์นถูกต้านไว้ในอากาศ ร่างของเธอหยุดนิ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอไม่ใช่เอริค…แต่เป็นลอร์ดไวร์เวนที่ยื่นมือออกมาขวางไว้ แสงสีม่วงของเขาห่อหุ้มร่างวาร์นเอาไว้
เขาสบตาเธอด้วยแววดุดัน
“พอได้แล้ว!” ลอร์ดไวร์เวนตะโกน
กล้ามเนื้อของเธอกระตุกวูบ ดวงตาเบิกโพลงก่อนจะไหวไม่หยุด เหมือนว่าภาพตรงหน้ากลายเป็นเงาซ้อนซับซ้อน ความจริงหรือภาพลวง เธอไม่แน่ใจ ร่างกายเริ่มโอนเอนไปมาขณะกลุ่มควันดำที่หมุนวนใต้ผิวหนังปะทุขึ้นทีละริ้วอย่างดื้อรั้นลำแขนเธอผลักลมเปล่า ทว่าอากาศกลับหนืดแน่น ม่านพลังเวทของลอร์ดไวร์เวนสั่นคลอนด้วยแรงต้าน
“…ทำลาย…ทำลาย…”เสียงนั้นไม่ดังออกจากริมฝีปากเธอ ทว่าดังก้องในหัวเหมือนเข็มทิ่มลงกลางสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้าจะยอมให้เป็นแบบนี้หรือ? เจ้ามีพลังทำลายล้างอยู่ในตัว จงใช้มันทำลายทุกสิ่งที่ทำร้ายเจ้า!” เสียงหนึ่งแทรกเข้ามากลางคลื่นความบ้าคลั่ง
“จงควบคุมมันให้ได้”เสียงของลอร์ดไวร์เวนดังขึ้น ไม่ใช่แค่อึกทึกอยู่ในอากาศ แต่มันแทรกซึมเข้าไปถึงห้วงจิตใจของเธอ
“เจ้าคือลูกของข้า”
เสียงนั้นดังซ้อนกัน ก้องมาจากสองทิศที่ไม่อาจแยกแยะได้ดุจเสียงของผู้เคยอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน อีกเสียงหนึ่งฟังแลมีแรงสะกดจิต
เธอยืนแข็งอยู่กลางพลังที่บิดเบี้ยวเหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกกำลังเล่นตลกดวงตากระพริบถี่ แล้วปลายนิ้วยื่นออกช้าๆ เสมือนใจไปไวกว่าความคิด เธอเอื้อมผ่านม่านพลังเพลิงรัตติกาลที่สั่นพร่าทั่วร่างของลอร์ดไวร์เวน เธอไม่ต้องการคำอธิบาย ขอแค่ชายตรงหน้าเข้าใจเธอว่ากำลังร้องหาอ้อมแขนของเขา เผื่อความอบอุ่นนั้นจะลบเลือนเสียงคำรามของเงาทมิฬที่ยังไหวเวียนอยู่ในกายเธอ
แสงสีม่วงแผ่ออกจากฝ่ามือของเขา มันไม่เพียงหยุดยั้งเส้นเวทสีดำที่กำลังปะทุ แต่ซึมซาบเข้าไปลึกกว่านั้น เข้าถึงจังหวะเต้นของหัวใจเธอเปลี่ยนพลังในร่างเธอให้สงบลง
หัวใจของเด็กหญิงที่หวาดกลัว…
หัวใจของลูกสาวที่ยังต้องการความรักจากพ่อ…
หัวใจที่ยังไม่หลงลืมว่าเธอคือใคร…
ดวงตาของวาร์นสั่นไหว พลังค่อย ๆ ลดลงจนจางหายไปในที่สุด และความทรงจำเก่า ๆ เริ่มผุดขึ้นจากในจิตใจ
“…ท่านพ่อ…” เธอพึมพำเสียงแผ่วราวสายลม มือที่เคยยกขึ้นเพื่อฟาดฟัน…ปลดลง นัยน์ตากลับมาเป็นสีเดิม ดวงตากลมโตที่สั่นคลอด้วยน้ำตา
พลังเวทของลอร์ดไวร์เวนคายลง
“…ข้า…ทำอะไรลงไป” เธอทรุดลงกับพื้น สองมือสั่นระริก ความรู้สึกผิดแผ่เข้ามาแทนที่ ราวกับพายุที่เพิ่งสงบลง เหลือไว้เพียงความเงียบปนเศร้า
ลอร์ดไวร์เวนก้าวเข้ามาหาเธอช้า ๆ ยื่นมือออกมา นัยตาเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ
“ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว”ลอร์ดไวร์เวนเอ่ยอย่างอ่อนโยน เป็นคำที่ลบทุกความเจ็บในใจลูกสาว
วาร์นร้องไห้ในอ้อมกอดของเขา ร่างกายที่พยายามเข้มแข็งมาตลอดเหมือนแตกสลายลงในเสี้ยววินาทีเพียงแค่ความโกรธา
“ข้า…ขอโทษ…”
“เจ้าไม่บาดเจ็บ ข้าก็ดีใจแล้ว”ลอร์ดไวร์เวนลูบผมเธออย่างเบามือ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอาทร “เจ้ามีสายเลือดปีศาจ น้ำตาไม่เหมาะกับเจ้า ฉะนั้นแล้วอย่าได้ร้องไห้ต่อหน้าข้า”
ด้านหลังลอร์ดไวร์เวน
นักปราชหนุ่มยืนมองอย่างนิ่งสงบ เอริกไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของวาร์น เขามองเห็นพลังในตัววาร์นที่มากกว่าพลังเวทอัคคีที่ปรากฏต่อหน้าเขาตอนนี้ ‘ปีศาจตนนั้น…คือสิ่งทีภาพหลวงตา จากพลังเวทของใครคนหนึ่ง’ เขาคิดแบบนั้น แต่เลือกจะไม่พูด เพราะเขารู้มาว่า วาร์นนั้นได้สกิลพิเศษมาหนึ่งอย่างจากเหตุการณ์พลัดตกต้นไม้ในตอนนั้น…สิ่งที่เขาเห็นในตัววาร์นแสดงออกมาในรูปแบบพลังเวทสีดำ แต่สิ่งที่วาร์นเป็นคือพลังปีศาจ สองสิ่งนี้ฟังดูเป็นสิ่งเดียวกัน หากพิจารณาตามความรู้ที่เขาเคยสัมผัส เดาได้ว่ามีจิตวิญญาณของใครอีกคนควบคุมร่างของเธอ
วาร์นจ้องมองเอริค ดวงตาสีรัตติกาลของเธอแข็งกร้าวเประหนึ่งคมมีดที่พร้อมจะกรีดแทง
เธอแทบจะได้ยินเสียงความคิดของเขาดังลั่นอยู่ในหัว เธอมองผ่านนัยน์คู่นั้นคล้ายกับกำลังอ่านทะลุปรุโปร่งทุกความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุด
เอริคสัมผัสได้ถึงกระแสความคิดที่เร้นเข้ามาในหัวจากแววตาของวาร์น เขารีบขยับกายเล็กน้อยพลางเอ่ยปากขึ้นทันควัน น้ำเสียงของเขาเจือแววเร่งรีบ “มาเถอะ คุณหนูวาร์น... ข้ายังสอนไม่เสร็จ”
ลอร์ดไวร์เวนก้มลงกระซิบกับลูกสาว “เจ้าต้องเรียนรู้จากเขา นี่ก็เพื่อตัวเจ้า”
วาร์นสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กลั้นน้ำตาและสูบน้ำมูกกลับคืนรูจมูก พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอ หยาดน้ำใสยังคงคลออยู่ที่ขอบตาคู่โต หากแต่แววตาที่เคยไหวระริกยามถูกปลอบประโลมกลับนิ่งสงบลงชั่วขณะ เธอสัมผัสได้ถึงความคิดที่แล่นผ่านเข้ามา…คำที่ลอร์ดไวร์เวนกำลังจะพูด มันเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจรับฟังได้ในตอนนี้ ได้แต่พยักหน้า ดวงตาที่เคยสั่นคลอนได้ฉายแววแน่วแน่พร้อมกับพูดว่า “…ข้าจะทน” คำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากราวกระซิบนั้น คือพันธะสัญญาที่เธอให้ไว้กับลอร์ดไวร์เวน และกับบทเรียนอันหนักหน่วงที่รออยู่เบื้องหน้า
ณ ห้องครัว
ประตูบานใหญ่ถูกผลักออกโดยมือของเอริก เสียงบานพับเอี๊ยดจนคนภายในต้องหันไปมอง
กลิ่นหอมของซุปสมุนไพรลอยตลบอบอวลไปทั่ว
เหล่าคนใช้ที่กำลังเตรียมอาหารกันอย่างขะมักเขม้น หนึ่งในนั้นมีคียาน่าห์กำลังคนซุปในหม้อทองแดงด้วยท่าทีตั้งใจ เหงื่อซึมเล็กน้อยและรอยยิ้มจาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้าเธอ
“ห้องอาหารนี้แหละ” เอริคหันมาพูดกับวาร์นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแววตาดูจริงจังจนน่าขนลุก
“ท่านจะสอนข้าปรุงยา สอนที่ห้องข้าก็ได้”วาร์นเอ่ยขึ้นทันควัน ราวกับอ่านใจเอริคออกว่าเขากำลังจะสอนอะไรทว่า เจตนาของเธอนั้นเพียงแค่อยากฟังเขาพูดแล้วตัวเองก็นอนฟังอย่างสบาย
เอริคหันมองวาร์น ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องเธอเหมือนได้คำตอบที่อยากรู้มานาน ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาไร้ซึ่งความประหลาดใจ ไม่แม้จะเอ่ยถามหรือแสดงท่าทีพิรุธใด ๆ ก่อนจะหันกลับไปนำทางพลางเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “เรียนในห้องเจ้า ข้าเกร่งว่าความรู้จะไม่เข้าสมอง ที่ห้องครัวนี่แหละ เหมาะที่สุดแล้ว”
เขาเดินไปยังชั้นว่างของตรงมุมห้องที่เต็มไปด้วยขวดแก้วบรรจุผงสมุนไพร ทั้งใบไม้แห้งและผงสีสันหลากหลายวางเรียงรายอย่างมีระเบียบราวกับห้องแล็บ ทั้งหมดนี่คือสมุนไพรปรุงอาหาร แต่…มันใช้ปรุงยาได้
วาร์นนั่งลง ก่อนจะเหลือบตามองส่วนผสมที่วางเรียงรายตรงหน้า ไม่มีตำรา ไม่มีเอกสารสอน ไม่มีแม้แต่แผ่นโน้ตเล็ก ๆ มีเพียงเสียงของเอริกเท่านั้น ที่ค่อย ๆ ร้อยเรียงขั้นตอนการปรุง ‘ยาบำรุงพลังเวทพื้นฐาน’ ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่แทนที่จะฟังเหมือนบทเรียนเวททั่วไป สิ่งที่เธอได้ยินกลับเต็มไปด้วย ตัวเลข สัดส่วน สมดุล และการแปรเปลี่ยนของคุณสมบัติในแต่ละช่วงอุณหภูมิ ฟังดูไม่ต่างจากสมการคณิตศาสตร์หรือสูตรเคมี
“เริ่มจากส่วนผสม… ใบเซลิ 5 ส่วน, ผงมังกรแดง 2 ส่วน, น้ำต้มกลีบดอกเครซิส 120 มิลลิลิตร” เขาพูดพลางใช้ไม้ชี้ส่วนผสม
“มันไม่ต่างจากคณิตศาสตร์เลยแม้แต่น้อย…” วาร์นพึมพำ
“ถูกอย่างที่เจ้าคิด มันคือสูตรการปรุงยาที่ต้องคำนวณส่วนผสมให้ถูก หากทำผิดยาก็ใช้ไม่ได้ผล” เอริกว่าพลางหยิบขวดแก้วใบเล็กขึ้นมา “เวทปรุงยาคือศิลปะของความแม่นยำ ถ้าเธอใส่ผงมังกรแดงเกินแม้แต่ 0.5 ส่วน มันพลาดกลายเป็นอย่างอื่นได้ และบางทีหม้ออาจระเบิดได้”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ฟังที่ข้าพูดแล้วทำตาม” เขายักคิ้ว รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นจาง ๆ
วาร์นหรี่ตา “ก็ได้”
เขาเคาะโต๊ะเบา ๆ ให้วาร์นรู้ว่าต้องเริ่มปรุงเสียที
วาร์นทำผิดสูตรมาหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งที่ต้องปรุงยา เธอก็จะบ่นกับตัวเองไม่หยุด ด้วยความหงุดหงิดและโมโหที่ไม่สามารถจำส่วนผสมของสมุนไพรที่ต้องใช้ได้ เธอจึงเดินไปหาเอริก ขอให้เขาช่วยพูดอีกครั้ง ทว่า…เขาก็เพียงแต่ยิ้มมุมปาก
“ท่านเป็นอาจารย์ เป็นผู้ใหญ่ ควรจะดูและและเอาใจใสเด็กอย่างข้า ข้าจะไปฟ้องทันพ่อ!” วาร์นเอ่ยอย่างเร่งรีบปนความโมโห แต่คนตรงหน้ากลับเพียงแค่เงียบ และถอนหายใจอย่างเบา ๆ ราวกับไม่อยากพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านลอร์ดไวร์เวนอนุญาตให้ข้าสอนเจ้าในแบบของข้า ฉะนั้นจงทำตามที่ข้าสั่ง”เขาเคาะไม้อีกครั้งแล้วชี้ไปยังโต๊ะที่วางขวดแก้วเรียงราย
เธอกลับมาที่โต๊ะแล้วเริ่มเติมส่วนผสม ขาดบ้าง เพิ่มบ้าง ผิดส่วนบ้าง ทำให้หม้อปรุงยาส่งเสียงฟู่ ๆ แล้วก็มีควันขาวลอยขึ้น แต่เอริกกลับยังคงนิ่ง ไม่ได้เตือนว่าเธอแต่อย่างใด
“ข้า… ข้าทำไม่ได้จริง ๆ ” วาร์นเกาหัวอย่างท้อใจ “ทำไมต้องยากขนาดนี้ด้วย! ทำไมข้าจำไม่ได้สักที!” ความโมโหและความผิดหวังปะปนกันจนแทบจะระเบิดออกมา แต่เอริกกลับมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉยเช่นเคย
หัวใจเต้นระรัวคล้ายจะฉีกเป็นเสี่ยง ๆ ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านจนเกินจะสะกดกลั้น มือของเธอกำแน่นจนสั่นเทา ริมฝีปากถูกขบจนเป็นรอยฟันโดยไม่รู้ตัวและ ณ เสี้ยววินาทีนั้น พลังเร้นลับสีดำที่หลับใหลภายในกายก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาอย่างช้า ๆ
เงามืดเลื้อยคลานปกคลุม อากาศรอบกายจนเย็นยะเยือกในพริบตา ใบสมุนไพรแห้งกรอบเริ่มลอยละลิ่วขึ้นช้าๆ อย่างผิดธรรมชาติ เสียงเดือดปุดๆ ในหม้อปรุงยาดังราวกับภูเขาไฟกำลังจะปะทุ ทว่า ในชั่วขณะที่พลังมืดจะปะทุออก เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยเรียก
"คุณหนูวาร์น!"คียาน่าห์พุ่งเข้าคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่พลังสีดำจะแพร่กระจายไปมากกว่านี้
วาร์นสะดุ้งสุดตัวหวนคืนสติ พลังสีดำนิ่งและค่อยๆ จางหายไปในอากาศ เธอคลายกำปั้นที่เกร็งแน่นออกช้า ๆ
คียาน่าห์ไม่รอช้า หันไปคว้าใบเซลิกับขวดน้ำต้มดอกเครซิสมา วางเรียงตรงหน้าวาร์นอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มลงมือปรุงด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
วาร์นนิ่งเงียบได้แต่มองเธอปรุงยา
คียาน่าห์ไม่พูดกับวาร์นสักคำ แต่สายตาของเธอ…เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เธอนั้นหยิบจับและเติมสมุนไพรได้อย่างถูกต้องราวกับว่าเธอเป็นแพทย์ปรุงยามาก่อน
เอริกขยับตัวเล็กน้อย ขณะที่ยืนพิงผนังด้านหนึ่งของห้อง สายตายังจับจ้องยังคียาน่าห์ จนเมื่อเธอหันขวับไปหาเขา หลังจากใส่ส่วนผสมสุดท้ายลงในหม้อปรุง“แค่นี้ก็น่าจะได้แล้วเจ้าค่ะ”
“อืม…เธอทำถูกต้องทุกขั้นตอน” เอริกเดินมาดูและพินิจก่อนจะปรบมือให้คียาน่าห์
“ท่านจะฝึกเด็กด้วยวิธีแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ไม่มีทั้งตำราเรียนหรือสมุดจด แบบนี้มันสอนโหดไปสำหรับคุณหนูนะเจ้าค่ะ”
เเลิกอริคเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาไม่แปลกใจที่ได้ยินเธอพูด เขาเข้าใจทุกการกระทำของเธอ ‘สาวใช้ผู้เอาใจคุณหนู’
“คุณหนูวาร์นเป็นผู้ชี้ชะตาของโลกใบนี้ ข้าสอนนางตามคำสั่งของท่านลอร์ดไวร์เวน รับประกันว่าคุณหนูของเจ้าจะเแน่ปลี่ยนโลกได้อย่างแน่นอน และเพื่อให้นางได้เรียนรู้ไว้ที่สุด ก็ต้องทำแบบนี้”
คียาน่าห์มองเขาตาไม่กระพริบ “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เจ้าทำถูกแล้ว ชีวิตจริงเมื่อเจออุปสรรค์ไม่มีตำราให้เปิดอ่าน…ต้องใช้ประสบการณ์และความเคยชิน ถึงจะรู้ว่าควรทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้จะยังเด็ก…แต่ก็ไม่ใช่ว่าสมองจะพิการ” เขาตอบกลับด้วยเสียงนิ่งและเย็นยะเยือก เขานิ่งไปเพียงครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “ถ้าคุณหนูของเจ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ตั้งแต่ตอนนี้… แล้วเจ้าจะควบคุมแทนนางหรืออย่างไร…แน่นอนว่าเจ้าทำไม่ได้ตลอดไปหรอก”
คียานาห์หันกลับไปมองวาร์นที่ก้มหน้า สองมือกำชายเสื้อแน่น ความเงียบระหว่างทั้งสองคล้ายกับแรงกดดันที่หนักอึ้งปกคลุมวาร์น
“ข้าจะทำต่อ”
“คุณหนู!”
“ข้าจะตั้งใจเรียน เพราะข้าสัญญากับท่านพ่อไว้แล้ว ข้าจะอดทน…”
“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“วันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้เจ้าจงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี” เอริคเอ่ยพลางก้าวไปที่ประตูห้อง ก่อนจะหันมามองวาร์นพร้อมรอยยิ้ม
วาร์นพยายามอ่านความคิดของเขา ทว่าในห้วงความคิดของเอริคนั้นว่างเปล่า ไม่ว่าจะเพ่งพินิจเพียงใด เธอก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments