“กี่ภพกี่ชาติ…เจ้าก็ยังเป็นคนของข้า”
ท้องฟ้ายามราตรีเป็นสีดำเข้มปกคลุมไปทั่วภูเขาเซี่ยนหรู กลางคืนมืดมิดและหนาวเย็น แต่ก็ยังมีเสียงลมพัดผ่านไผ่ที่ปลิวไปตามแรงลมเหมือนการบอกเล่าเรื่องราวจากอดีต ไฟในเตาผิงในเรือนของ ลั่วอวี้เหยา กำลังจะมอดลง เป็นเพียงแสงระเรื่อที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าเงียบขรึมของเธอผ่านกระจกที่เป็นภาพสะท้อน
เธอนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องส่วนตัว กำลังเช็ดเครื่องประดับในมืออย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาที่มีสีดำสนิทสะท้อนแสงไฟในห้องเล็กน้อย ขณะเดียวกัน ภายในใจของเธอก็เต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย
“อีกแล้ว…” เสียงกระซิบเบา ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของเธอ
อวี้เหยาไม่สามารถขับไล่ความรู้สึกในฝันได้เลย ตลอดหลายคืนมานี้ เธอฝันเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ตรงใต้ต้นบ๊วยที่ผลิดอกในฤดูที่ไม่ควรบาน ดวงตาสีทองคู่นั้นจ้องมองเธอราวกับจะพูดบางสิ่ง แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ยิน เสียงฝันก็ขาดหายไป สิ่งเดียวที่เธอจำได้คือคำพูดสุดท้ายจากชายคนนั้น
“เจ้าจะต้องกลับมา…ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร”
คำพูดเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจเธอ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าชายคนนั้นคือใคร ทำไมเขาถึงต้องมาปรากฏตัวในฝันของเธอทุกราตรี
เสียงกระทบของเหรียญหยกในมือทำให้เธอตื่นจากภวังค์ ดวงตาของอวี้เหยาจับจ้องไปที่แหวนหยกในมือ ซึ่งถูกประดับอยู่ที่ข้อมือขวาของเธอ เป็นแหวนที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าที่เธอคิด เพราะทุกครั้งที่สัมผัสมัน อารมณ์และความรู้สึกในใจของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เธอไม่สามารถควบคุมได้
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือการตั้งใจของโชคชะตา แต่ทุกครั้งที่เธอสวมมัน ความฝันเกี่ยวกับชายคนนั้นก็กลับมาอีก
“ข้าไม่เข้าใจ…” เธอกระซิบเบา ๆ ขึ้นมาคนเดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างที่เป็นกระจกใส มีแสงจันทร์แสงเดียวที่สาดส่องลงมาเบา ๆ ผ่านต้นไผ่ด้านนอก
อวี้เหยารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่กลับสัมผัสได้จากภายในจิตใจ รู้สึกถึงการเฝ้ารอและแรงดึงดูดบางอย่าง ที่มาจากชายคนนั้นผู้สวมชุดดำมิดชิด มือที่ยื่นออกมาเรียกหาก็ราวกับเป็นการท้าทายชะตากรรมบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกหนีได้
ในขณะที่กำลังนั่งจมอยู่กับความคิด อวี้เหยาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ
“ท่านหญิง…”
เสียงนั้นคุ้นเคยและเป็นเสียงของ อวิ๋นซ่าง ศิษย์เอกจากสำนักเทียนอวิ๋นผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอมานานหลายปี อวิ๋นซ่างมักจะมาคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้กับอวี้เหยาเสมอ เมื่อรู้ว่านางต้องเจอเรื่องลึกลับ เขาก็จะปรากฏตัวเพื่อคอยให้คำแนะนำ
อวี้เหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปในที่สุด
“เข้ามาเถอะ”
ประตูเปิดออก และชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดคลุมยาวก็เดินเข้ามาภายในห้อง ดวงตาคมของเขาสอดส่ายไปทั่วบริเวณในห้องที่แสงไฟจาง ๆ ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ เขามองมาที่อวี้เหยาด้วยท่าทางเป็นห่วง
“เมื่อคืนเกิดสุริยันกลับหัว…จันทราสีเลือด…ท่านหญิงรู้หรือไม่?” อวิ๋นซ่างถามด้วยความกังวล
อวี้เหยาหยุดชะงักไป และหันไปมองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ข้าทราบ…แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้?” เสียงของอวี้เหยาดูหนักหน่วงขึ้น
อวิ๋นซ่างนั่งลงข้าง ๆ และเริ่มอธิบาย
“จันทราสีเลือดเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มักจะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นตามมา” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีบางคนบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับคำทำนายที่กล่าวถึงการกลับมาของวิญญาณบางตัวจากอดีต หรือบางที…อาจเป็นเรื่องของคนที่เคยรักเจ้ามากในชาติที่แล้ว”
คำพูดเหล่านั้นทำให้อวี้เหยารู้สึกขนลุก ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย เธอไม่เคยเชื่อในเรื่องคำทำนายมากนัก แต่ครั้งนี้…มันเหมือนจะเกี่ยวข้องกับชายในฝันที่ปรากฏตัวขึ้นมาในทุกคืน
“ข้า…ข้าไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร” เธอกระซิบ
อวิ๋นซ่างจับมือของเธอเบา ๆ เพื่อปลอบโยน
“ท่านหญิง…ความลับจากอดีตนั้นมักจะกลับมาหลอกหลอนในภพนี้ คำสาปที่เจ้าถูกมัดเอาไว้กับอดีตนั้นจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า”
ในขณะนั้น เสียงลมที่พัดผ่านทำให้ม่านในห้องขยับไปตามแรงลม และอวี้เหยาก็เหลือบไปเห็นเงาของร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ดวงตาที่เป็นสีทองนั้นแวววาวในความมืด
“อีกแล้ว…” อวี้เหยาพูดด้วยเสียงสั่น
อวิ๋นซ่างหันไปมองตามสายตาของเธอ แต่ร่างนั้นกลับหายไปในทันที
“ท่านหญิง…” เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าคงต้องออกตามหาความจริงนั้นแล้ว…”
⸻
เฟิงหลง ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาช้า ๆ ดวงตาของเขากลับมาเป็นสีทองเรืองแสงเหมือนเดิม แสงจันทร์สีเลือดที่ฉายลงมาทำให้เขารู้สึกถึงการเรียกหา เขารู้ว่าเวลาของเขากำลังใกล้เข้ามา
“ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร…ข้าจะรอเจ้า”
เขากล่าวเสียงทุ้มในใจ ก่อนจะเดินจากไปในความเงียบงัน
ต้นบ๊วยเบื้องหน้าฉายเงาคล้ายกับเงาของวิญญาณผู้ไร้ร่องรอย ท่ามกลางความเงียบสงัดในเวลากลางคืน ลั่วอวี้เหยาได้ยินเสียงกระซิบจากสายลมที่พัดผ่านมาจากทิศเหนือ เป็นเสียงของชายคนหนึ่งที่เคยทักทายเธอในฝัน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวในใจ
คืนนี้จันทราสีเลือดยังคงส่องแสงกระจ่างไปทั่วฟากฟ้า และตามคำทำนายของสำนักโบราณที่เธอได้รับรู้มา ยามนี้จะเป็นเวลาที่คำสาปโบราณกลับมาทวงสิทธิ์จากทุกชีวิต
อวี้เหยาผู้รู้สึกว่าชะตาชีวิตของตัวเองกำลังจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ทิ้งรอยไว้ในใจ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ราวกับเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายในฝันผู้หนึ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเขาคือใคร เขาคือผู้ที่มีอำนาจเหนือชีวิตของเธอ หรือเขาคือเงาของอดีตที่หลอกหลอนมาในทุกภพชาติ
เสียงกระทบของเหรียญหยกในมือทำให้เธอหันไปมอง อวี้เหยาไม่รู้ว่าทำไมแหวนหยกนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ทุกครั้งที่มันถูกสัมผัส อารมณ์ในใจของเธอจะพุ่งสูงขึ้นและหวั่นไหว
“ท่านหญิง…” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้งจากประตูห้อง
อวิ๋นซ่างเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม เขายืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเงียบขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“อวิ๋นซ่าง…มีอะไร?” อวี้เหยาหันไปถาม
อวิ๋นซ่างยืนนิ่งไปสักพัก ราวกับพยายามรวบรวมคำพูดจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
“วันนี้เป็นวันพิเศษ ท่านหญิงควรไปที่ลานดอกบ๊วย” เขากล่าวเสียงเบา ราวกับมีบางอย่างที่เขาต้องการจะบอก แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
“ลานดอกบ๊วย?” อวี้เหยาถามด้วยความสงสัย
“ใช่…ท่านหญิงจะได้คำตอบจากที่นั่น” อวิ๋นซ่างย้ำ
ในใจของอวี้เหยาครุกรุ่นด้วยคำถามนับไม่ถ้วน แต่เธอก็ยังคงสงบและพยักหน้ารับ
“หากเป็นคำตอบที่ข้าควรได้รับ ข้าจะไป” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่แม้จะไม่มั่นใจแต่ก็ต้องทำตามคำแนะนำ
ทั้งสองเดินออกจากห้องพร้อมกัน เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังก้องในทางเดินที่มีแสงไฟระยิบระยับจากโคมไฟหยกที่แขวนอยู่ข้างฝา ท่ามกลางความมืดมิดนั้น มีเพียงแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านท้องฟ้าผ่านช่องว่างของหลังคาไม้ที่มีรอยร้าวเล็กน้อย
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องลานดอกบ๊วยมาก่อน” อวี้เหยาพูดขึ้นขณะเดินตามอวิ๋นซ่างไป
“มันคือสถานที่ที่มีอยู่แค่ในตำนาน ท่านหญิงต้องไปที่นั่นเองเพื่อค้นหาคำตอบของคำทำนาย” อวิ๋นซ่างตอบด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง เขาหยุดเดินและมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง
ถึงแม้ว่าคำอธิบายของอวิ๋นซ่างจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ความสงสัยในใจของอวี้เหยากลับยิ่งทำให้เธออยากไปหาคำตอบให้ได้ จนกระทั่งพวกเขามาถึงที่หมาย
เมื่อมาถึงลานดอกบ๊วย ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า อวี้เหยาก็พบเห็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ดอกบ๊วยบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ราวกับกำลังรอคอยบางสิ่ง บรรยากาศที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยความลึกลับทำให้เธอรู้สึกถึงการเฝ้ารอคอยบางอย่าง
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เจ้ามาที่นี่เพื่อค้นหาคำตอบ?”
เสียงนั้นฟังดูเยือกเย็นและทุ้มต่ำ ราวกับมาจากทิศทางที่เธอไม่อาจมองเห็น
อวี้เหยาหันไปตามเสียงนั้น และพบชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นบ๊วยต้นใหญ่กลางลาน เขาสวมชุดคลุมสีดำสนิท ปกคลุมจนแทบไม่สามารถมองเห็นร่างกายที่อยู่ภายใน
“เจ้าคือใคร?” อวี้เหยาเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นระริก
ชายคนนั้นยิ้มบาง ๆ และก้าวออกจากเงามืด มาด้วยท่าทางที่เยือกเย็นและสง่างามจนไม่อาจละสายตาไปได้
“ข้าคือผู้ที่เจ้ากำลังมองหามานาน” เขากล่าว พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่างที่อวี้เหยาไม่อาจเข้าใจ
“เจ้าคือใครกันแน่?” อวี้เหยาถามด้วยความคับข้องใจ ความรู้สึกในใจไม่ต่างจากคำถามที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของเธอ
ชายคนนั้นไม่ตอบคำถามของเธอโดยตรง แต่กลับเดินมาหาเธออย่างช้า ๆ จนกระทั่งยืนอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว
“ข้าเป็นความจริงที่เจ้าต้องพบเจอในภพนี้” เขากล่าว และเพียงแค่คำพูดนั้น อวี้เหยาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ ที่ไม่สามารถอธิบายได้
“ความจริง? เจ้าหมายถึงอะไร?” อวี้เหยาถามด้วยเสียงแหบแห้ง
ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“เจ้าคือผู้หญิงที่เคยรักข้ามาก่อนในอดีต และข้า…คือคนที่รอคอยเจ้ากลับมา” เขายื่นมือไปข้างหน้าและดวงตาสีทองนั้นส่องแสงระยิบระยับขึ้น
“รอคอยข้า? เจ้าคือใครกันแน่?” อวี้เหยารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นราวกับว่าจะหลุดออกจากอก
“ข้าคือ เฟิงหลง คนที่เคยเป็นคู่ชีวิตของเจ้าในภพที่ผ่านมา และในภพนี้ ข้าจะกลับมาเพื่อขอสิทธิ์ในรักของเจ้า”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments