เสียงสายลมกระทบยอดไม้เหนือภูผาหลิงซานก้องกังวานในหู สะท้อนเสียงหัวใจของนางที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เทพธิดาแห่งดวงจันทร์…”
ชื่อเรียกนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในใจของอวี้เหยา แม้นางจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หัวใจของนางกลับตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไม่อาจห้าม… เฟิงหลงบอกว่านางเคยเป็นเทพ เคยรักเขา เคยสาบานใต้เงาจันทรากับเขาเมื่อพันปีก่อน
แล้วหลิงเจวียนเล่า? ชายผู้ซ่อนใบหน้าภายใต้หน้ากากเงินเยือกเย็น แววตาเศร้าเงียบที่ไม่เคยเสื่อมคลายตั้งแต่แรกพบ—เขาเคยเป็นใครกันแน่?
⸻
ค่ำคืนนั้น ตำหนักเยว่หานกลับเงียบกว่าทุกวัน อวี้เหยาไม่สามารถข่มตาให้หลับได้
เธอลุกจากที่นอน สวมผ้าคลุมบางเบา ก่อนจะเดินออกมายังระเบียงที่ทอดยาวรับแสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องอยู่เหนือยอดไม้
“เมื่อใดเจ้าจะจำข้าได้…” เสียงสะท้อนจากในฝันเมื่อวานยังคงติดหู
นางเงยหน้าขึ้นมองจันทร์… และในวินาทีนั้นเอง…
“มาช้าไปหนึ่งก้าว…”
เสียงเย็นชาดังขึ้นจากเงามืดใต้ต้นหลิว ไม่ต้องหันไป นางก็รู้ว่าเป็นเขา—หลิงเจวียน
อวี้เหยาหันกลับ ดวงตายังสงบ “เจ้ามาหาข้าในยามวิกาลเพื่ออะไร?”
หลิงเจวียนไม่ตอบ เขาเพียงจ้องเธอแน่วแน่ก่อนจะพูดเสียงเบาราวสายลม “ข้ามา…เพราะฝันถึงเจ้าถูกแทงกลางหัวใจอีกครั้ง”
อวี้เหยาสะอึก
“เจ้าฝันถึงข้า?” เสียงของนางสั่น
“ใช่” เขาตอบเรียบ “ข้าฝันซ้ำ ๆ มาหลายร้อยปี ว่าเจ้าถูกฆ่า…ต่อหน้าต่อตาข้าเอง แต่ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”
อวี้เหยานิ่งไป
“แล้ว…ในฝันของข้า” นางเริ่มเอ่ยช้า ๆ “เจ้าอยู่ข้างหลัง ข้าหันไปไม่เคยเจอหน้า…แต่ได้ยินเพียงเสียง”
“เป็นข้าแน่” เขาตอบ “และข้าจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในภพนี้”
⸻
คืนนั้น หลิงเจวียนไม่ได้จากไปทันที เขายืนอยู่ข้างนางจนดวงจันทร์คล้อยต่ำ ใบหน้าที่เคยเยือกเย็น เริ่มเผยความอ่อนโยนแบบที่นางไม่เคยเห็นจากเขา
“ข้าสงสัย…ว่าทำไมทุกครั้งที่ข้าเจอเจ้า หัวใจของข้าถึงสั่น” อวี้เหยากระซิบเบา
หลิงเจวียนมองเธอ ดวงตานั้นไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แต่แค่แววตา…นางก็เข้าใจ
เขารักนาง…มากกว่าใครทั้งนั้น
แต่เหตุใด…เธอกลับรู้สึกผิด
⸻
รุ่งเช้า
เสียงระฆังจากเทวสถานด้านตะวันออกดังขึ้น ปลุกอวี้เหยาให้ตื่นจากภวังค์ความฝันอีกบท
ในฝัน นางเห็นตัวเองในชุดขาว ปักลายดวงจันทร์สีเงิน เดินอยู่กลางหุบเขาโบราณ ด้านหลังมีชายคนหนึ่งในชุดเกราะเงินมืดกำลังเดินตามมาเงียบ ๆ
ดอกไม้สีขาวปลิวว่อน…เสียงพิณดังแว่ว และเลือด…หยดลงบนหินศิลา
“เจ้าเคยบอก…ว่าจะไม่ปล่อยมือ”
“แต่ข้า…กลับเป็นฝ่ายที่ฆ่าเจ้าเอง…”
⸻
“ฝันอีกแล้วหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก
ประตูเปิดออกเผยให้เห็น จิ่นซู สหายสนิทและสาวใช้อันดับหนึ่งของอวี้เหยา ใบหน้าของนางมักยิ้ม แต่คราวนี้กลับเครียดเคร่ง
“ใต้เท้าผู้เฒ่าจากตำหนักบรรพสัจส่งคนมาเชิญท่านไปที่เทวสถานทันทีเจ้าค่ะ”
อวี้เหยาขมวดคิ้ว “เรื่องอะไร?”
“เกี่ยวกับคำสาปพันปี…และบุคคลที่ ‘ท่าน’ เคยสาบานด้วย”
เส้นทางสู่เทวสถานบรรพสัจถูกปกคลุมด้วยหมอกจาง ป่าไม้สองข้างทางเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้า อวี้เหยานั่งอยู่ในรถม้า ท่ามกลางความเงียบของจิ่นซูที่ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
“บุคคลที่ท่านเคยสาบานด้วย…”
นางเฝ้าไตร่ตรองประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้เธอไม่อาจจำเรื่องในอดีตชาติได้ชัดเจน แต่ความรู้สึกภายในอกกลับไม่เคยโกหก ความเจ็บปวดทุกครั้งที่ฝันถึงชายในเงามืด…ทำให้นางหวาดกลัวว่าอดีตบางอย่างกำลังจะย้อนคืนมา
⸻
เมื่อมาถึงเทวสถาน กลิ่นธูปหอมและสายลมเย็นจากเทือกเขาทำให้บรรยากาศคล้ายกับเวลาถูกกลืนลงในห้วงนิรันดร์
ใต้ต้นซานชาหลวง กลางลานพิธีเก่าแก่ มีชายชรานั่งหลับตาอยู่—ผู้เฒ่าหลี่ เทวาจารย์สูงสุดของสำนักบรรพสัจ ผู้ที่กล่าวกันว่าสามารถมองเห็นอดีตชาติได้ผ่านเปลวธูปและเงาจิต
เมื่ออวี้เหยาเข้าไปใกล้ ชายชราก็เอ่ยเสียงเบาโดยไม่ลืมตา
“ข้ามองเห็นเจ้าตายมาสิบสามครั้ง…ในทุกภพทุกชาติ เจ้าล้วนมอบหัวใจให้ชายผู้เดียว แต่จุดจบกลับมีเพียงความเจ็บปวด”
อวี้เหยาชะงัก
“เขา…เป็นใคร?” นางเอ่ยเสียงเบา
ผู้เฒ่าหลี่เปิดตาช้า ๆ สายตาสะท้อนเงาจันทราในอดีต “เทพจันทราเฟิ่งหลง…ชายผู้แบกคำสาปแทนเจ้าเมื่อพันปีก่อน”
⸻
พิธีกรรมเริ่มต้น อวี้เหยาถูกเชิญให้นั่งกลางวงแสงเทียนสีเงิน วงเวทโบราณถูกวาดล้อมรอบร่างเธอ กลิ่นกำยานจันทน์ลอยขึ้นเป็นเส้นขดเหนือหัว
เปลวเทียนพลันลุกสูง สายตานางเริ่มพร่า…
และแล้ว…
“พี่เหยา…ข้ารักเจ้า…อย่าตาย…”
“ไม่…อย่าฆ่าเขา! ขอให้เป็นข้าแทน!”
“หากข้าต้องตกนรกแปดชาติ ข้าก็ยอม…เพื่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่”
เสียงนั้น…คือเสียงของเฟิ่งหลง!
ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ นางเห็นตัวเองในชุดเทพธิดา ดวงจันทร์ส่องหลัง นางยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน ข้างกายนั้นคือเฟิ่งหลงในชุดนักรบสวรรค์ เปื้อนเลือดทั่วร่าง
ทว่าท่ามกลางไฟนรกนั้น…ยังมีเงาอีกผู้หนึ่ง…
⸻
เขาในชุดคลุมดำ สวมหน้ากากครึ่งหน้า…ดวงตาเจ็บปวดเกินจะพรรณนา เขายืนอยู่เบื้องหลังเฟิ่งหลง ชี้ปลายดาบมายังเธอ
“อวี้เหยา เจ้าสาบานว่าจะไม่รักใครนอกจากข้า…แล้วเหตุใดถึงเป็นเขา?”
⸻
เปรี้ยง!
เปลวธูปแตกกระจาย อวี้เหยาสะดุ้งตื่น สะลึมสะลือในห้วงความจริง ผู้เฒ่าหลี่นิ่งงัน สีหน้าหนักอึ้ง
“ในชาติแรกสุดของเจ้า—เจ้าคือเทพธิดาแห่งจันทรา เฟิ่งหลงคือเทพผู้พิทักษ์จิตวิญญาณ…ส่วนอีกผู้หนึ่ง…”
“หลิงเจวียนใช่หรือไม่?” อวี้เหยาถามเสียงแผ่ว
ผู้เฒ่าหลี่ไม่ตอบตรง ๆ แต่เพียงหลับตา “เขา…คือเงาแห่งสาบาน…ผู้ถูกลืมจากสวรรค์”
⸻
เมื่ออวี้เหยาออกจากพิธี นางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังสั่นไหวอยู่ใต้เท้า หัวใจที่เต้นช้า ๆ ของนางหนักหน่วงเกินกว่าจะรับไหว
จิ่นซูเดินมาข้างกาย “ท่านหญิง…ข้ากลัวว่าทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
อวี้เหยาหันมองท้องฟ้า
ดวงจันทร์ในยามกลางวัน…ยังคงส่องแสงเร้นลับเฉกเช่นพันปีก่อน
หลังจากกลับจากพิธี อวี้เหยาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย ใบหน้านิ่งเงียบของนางซ่อนความสับสนที่ค่อย ๆ ถักทอเป็นปมในใจ
“เฟิ่งหลง…หลิงเจวียน…ใครคือรักแท้ในพันปีนั้นกันแน่?”
เสียงหัวใจของนางยังสั่นสะท้านกับภาพที่เห็นในพิธี—เงาในเพลิง, เสียงร้องห้าม, ดาบที่หันเข้ามาหานาง…คำถามไม่จบไม่สิ้น
⸻
ยามพลบค่ำ ตำหนักอวิ๋นฮวา
ดอกเหมยขาวร่วงโรยเหมือนรู้ฤดูกำลังเปลี่ยน มือเรียวของนางยื่นออกมารองรับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่น ทว่าแทนที่จะมีเพียงกลีบเหมย…เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นในลมหายใจ
“เจ้าดูเศร้า”
นางหันกลับ—เฟิ่งหลงยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเงาที่ฝังอยู่ในแสงจันทร์ เขามาเงียบ ๆ ไม่ต้องมีเสียงฝีเท้า
“เจ้ามาโดยไม่ให้รู้ตัวอีกแล้ว” อวี้เหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว
เฟิ่งหลงไม่ได้ตอบทันที เขาเพียงมองเธอ ในนัยน์ตานั้นมีทั้งโหยหาและเจ็บปวด “ข้าเพียง…คิดถึงเจ้า”
คำพูดสั้น ๆ ทำให้นางใจเต้นวูบ
“ข้ารู้แล้ว” นางกล่าวเบา ๆ “เรื่องของพันปีก่อน…คำสาป…ดวงจันทร์…”
เฟิ่งหลงเงียบ นัยน์ตาสะท้อนความรู้สึกเกินจะพรรณนา
“ข้าเป็นคนเลือกให้เจ้าต้องคำสาปใช่หรือไม่?” เสียงของอวี้เหยาแผ่วลงยิ่งกว่าลม
“ใช่…แต่มันเป็นทางเดียวที่ข้าจะช่วยเจ้ารอด” เฟิ่งหลงพูดชัด
“แล้วหลิงเจวียนล่ะ?” นางถามทันที น้ำเสียงสะท้อนความว้าวุ่น “เขาเป็นใครกันแน่?”
⸻
เฟิ่งหลงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะตอบ
“เขาคืออดีตเทพพิทักษ์แห่งเงา…เงาที่ไม่มีใครจดจำ เพราะในศึกครั้งสุดท้าย เขาทรยศสวรรค์…เพราะรักเจ้า”
อวี้เหยาเบิกตากว้าง
⸻
ทันใดนั้น ลมแรงพัดกลีบดอกเหมยกระจาย
เสียงทุ้มต่ำแทรกเข้ามากลางสายลม
“ข้าทรยศ…หรือเจ้าเป็นผู้ลืมคำสาบานก่อนกันแน่?”
หลิงเจวียนก้าวออกมาจากเงาใต้ต้นไม้ หน้ากากเงินยังคงปิดบังใบหน้า แต่แววตานั้นร้อนแรงเกินจะแสร้งเมินเฉย
เฟิ่งหลงขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเปลี่ยนเป็นวาววับทันที
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“มาเรียกร้องความยุติธรรมในสิ่งที่ข้าเสียไป!” หลิงเจวียนประกาศหนักแน่น
เขาหันไปหาอวี้เหยา “เจ้ารู้หรือไม่…ในอดีต ข้าต่างหากที่เจ้าสาบานว่าจะเคียงข้าง…แต่นางกลับเลือกเจ้าจนลืมทุกอย่าง!”
⸻
อวี้เหยาสะท้าน มือกำแน่น เสียงหัวใจดังอื้อในอก นางไม่อาจรู้ได้ว่าใครโกหก…ใครพูดความจริง
ความทรงจำในอดีตยังไม่สมบูรณ์
แต่คำว่า “เคียงข้างกันชั่วนิรันดร์” … นางเคยพูดกับใคร?
⸻
เฟิ่งหลงก้าวเข้าหาอวี้เหยา ปกป้องนางไว้เบื้องหลัง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากนางอีก หลิงเจวียน! คำสาปพันธะนั้นเจ้ายอมรับด้วยตัวเอง!”
“เพราะข้ารักนาง!” หลิงเจวียนตะโกนกลับ “แม้ต้องแลกด้วยการเป็นเงาไร้ตัวตน…ข้าก็ยอม! แต่เจ้า…เจ้ากลับใช้ความบริสุทธิ์ของนางเพื่อสร้างพันธะให้ผูกมัด!”
เฟิ่งหลงกัดฟันแน่น “เจ้าพูดเกินไปแล้ว!”
⸻
แรงสั่นไหวจากใต้ผืนดินพลันสั่นสะเทือน เทวสถานที่อยู่ไกลออกไปปรากฏลำแสงขึ้นสู่ฟ้า
เสียงของผู้เฒ่าหลี่ดังผ่านลม…
“พันธะเลือดกำลังคลาย…ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อน…ความจริงในพันปี กำลังจะตื่น”
แสงจากเทวสถานสาดขึ้นฟ้าเป็นเส้นสายสีเงินคล้ายสะพานเชื่อมระหว่างสองภพ เงาแห่งอดีตเริ่มแทรกซึมผ่านม่านหมอกของกาลเวลา
ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยเสียงเรียบผ่านกระแสจิต
“ถึงเวลาที่อดีตต้องถูกเปิดเผย…ผู้ที่เคยให้คำมั่น…ผู้ที่ลืมคำสาบาน…ผู้ที่ต้องชดใช้กรรมในทุกภพ…”
⸻
อวี้เหยา เฟิ่งหลง และหลิงเจวียน ถูกแสงจากเทวสถานพุ่งลงมาครอบคลุมทันที
ร่างของทั้งสามค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไอวิญญาณโปร่งแสงก่อนจะสลายหายไปจากโลกปัจจุบัน—ถูกส่งกลับไปยัง “ต้นกำเนิดของพันธะ”
⸻
พันปีที่แล้ว – ดินแดนจันทรา
เสียงขลุ่ยลอยแผ่วในอากาศ ขอบฟ้าสีเงินสว่างไสวด้วยรัศมีของดวงจันทร์ นางในชุดขาวบางประหนึ่งหยกใส ยืนอยู่กลางลานเทวสถานบูรพา
เทพธิดาอวี้เหยา ผู้ได้รับพรจากสวรรค์ให้รักษาสมดุลของความรักในมนุษย์และเทพ
“คืนนี้เจ้าต้องตัดสินใจแล้ว” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นเบื้องหลัง
เฟิ่งหลงในร่างเทพนักรบแห่งจิตวิญญาณ ปรากฏตัวในชุดศึกสีเงินทอง เขาก้าวมายังเธออย่างมั่นคง
“ข้าจะรับคำสาปแทนเจ้า ขอแค่เจ้าได้คงอยู่ในโลกนี้ต่อ”
อวี้เหยาส่ายหน้า ดวงตานางเจือแววเศร้า “ไม่…ข้าไม่อาจยอมให้เจ้าแบกรับกรรมแทน”
เฟิ่งหลงจับมือเธอไว้แน่น
“แต่ถ้าข้าไม่ปกป้องเจ้า…ข้าจะอยู่ไปทำไม?”
⸻
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาเทียนหลุนใต้เงามืดของจันทรา
ชายผู้สวมชุดคลุมดำและหน้ากากเงิน ยืนมองเหตุการณ์จากระยะไกล
เทพเงาหลิงเจวียน ผู้เป็นเทพองค์แรกที่รักนาง…และเป็นผู้ถูกลืม
“เจ้าเลือกเขา…แม้ในชาติแรก…แล้วเจ้าจะไม่ลืมเลยหรือ?”
“คำสาบานของเจ้า…มันไร้ค่าเพียงนั้นหรือ?”
มือของเขากำแน่นจนโลหิตไหลซึม
⸻
คืนพิธีมาถึง เทวสถานเรืองแสงจันทร์ สองเทพและหนึ่งธิดาแห่งดวงจันทร์ยืนกลางวงแสง
อวี้เหยาหยิบมีดพิธีขึ้นมาจรดปลายนิ้ว หยดเลือดสีขาวนวลของเทพธิดาร่วงลงบนแท่นศิลา
เฟิ่งหลงก้าวออกมาเตรียมรับคำสาปแทน…แต่แล้ว…
เปรี้ยง!!
เงาดำตวัดเข้าแท่นพิธี หลิงเจวียนปรากฏกาย ดาบสีหมึกแทงทะลุแท่นศิลา หยุดพิธีไว้ทันที
“ไม่! ถ้ามีใครต้องถูกสาป ข้าจะเป็นคนเลือกเอง!”
⸻
แสงจันทร์แตกกระจาย พลังเทพปะทะกันอย่างดุเดือดกลางสวรรค์ แรงระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้มิติสั่นสะเทือน
สวรรค์จึงมีบัญชา…
“ผู้ใดขัดขืนพิธีสาบาน…จะถูกลบตัวตนจากสวรรค์ กลายเป็นเงาลวงนิรันดร์…”
เสียงของสวรรค์ดังก้อง
เฟิ่งหลงโผเข้าปกป้องอวี้เหยา
หลิงเจวียนโบกมือบังคับคำสาปหันเข้าหาตน
อวี้เหยาตะโกนก้อง “พอ!! อย่าให้มันต้องเป็นแบบนี้!!”
แต่มันสายเกินไปแล้ว…
⸻
เปลวแสงสุดท้ายปะทะ…
ทั้งสามร่างแหลกสลายเป็นเศษวิญญาณ
พันธะเลือดจึงถือกำเนิดขึ้น…จากความรัก ความหลง และความเจ็บปวดที่ยังไม่สิ้นสุด
⸻
กลับสู่โลกปัจจุบัน
ทั้งสามตื่นขึ้นจากห้วงอดีต อวี้เหยาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ข้า…ทำให้เจ้าสองคนต้องเจ็บปวดแบบนั้น…”
เฟิ่งหลงประคองเธอเบา ๆ “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า…ข้ารู้ดี เจ้าไม่อาจจำได้เลยด้วยซ้ำ”
หลิงเจวียนยืนนิ่ง สีหน้าเยือกเย็น “เจ้ารู้หรือไม่…แม้เวลาผ่านไปพันปี ข้าก็ไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากปากเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว”
อวี้เหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก
“ข้าขอโทษ…และขอบคุณที่ยังอยู่…ทั้งสองคน…”
⸻
เสียงกระซิบของสายลมดังขึ้นอีกครั้ง—ทว่าในเงานั้น…มีใครบางคนกำลังมองพวกเขาอยู่จากความมืด
บุคคลในชุดขาว หน้ากากไม้ราง ๆ ปรากฏกลางป่า
“พันธะถูกเปิดแล้ว…แต่การชำระหนี้ยังไม่จบ”
“ถึงเวลาที่…เทพองค์ที่สี่ จะตื่นขึ้น…”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments