NovelToon NovelToon

“กี่ภพกี่ชาติ…เจ้าก็ยังเป็นคนของข้า”

คืนจันทราสีเลือด

ท้องฟ้ายามราตรีเป็นสีดำเข้มปกคลุมไปทั่วภูเขาเซี่ยนหรู กลางคืนมืดมิดและหนาวเย็น แต่ก็ยังมีเสียงลมพัดผ่านไผ่ที่ปลิวไปตามแรงลมเหมือนการบอกเล่าเรื่องราวจากอดีต ไฟในเตาผิงในเรือนของ ลั่วอวี้เหยา กำลังจะมอดลง เป็นเพียงแสงระเรื่อที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าเงียบขรึมของเธอผ่านกระจกที่เป็นภาพสะท้อน

เธอนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องส่วนตัว กำลังเช็ดเครื่องประดับในมืออย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาที่มีสีดำสนิทสะท้อนแสงไฟในห้องเล็กน้อย ขณะเดียวกัน ภายในใจของเธอก็เต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย

“อีกแล้ว…” เสียงกระซิบเบา ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของเธอ

อวี้เหยาไม่สามารถขับไล่ความรู้สึกในฝันได้เลย ตลอดหลายคืนมานี้ เธอฝันเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ตรงใต้ต้นบ๊วยที่ผลิดอกในฤดูที่ไม่ควรบาน ดวงตาสีทองคู่นั้นจ้องมองเธอราวกับจะพูดบางสิ่ง แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ยิน เสียงฝันก็ขาดหายไป สิ่งเดียวที่เธอจำได้คือคำพูดสุดท้ายจากชายคนนั้น

“เจ้าจะต้องกลับมา…ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร”

คำพูดเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจเธอ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าชายคนนั้นคือใคร ทำไมเขาถึงต้องมาปรากฏตัวในฝันของเธอทุกราตรี

เสียงกระทบของเหรียญหยกในมือทำให้เธอตื่นจากภวังค์ ดวงตาของอวี้เหยาจับจ้องไปที่แหวนหยกในมือ ซึ่งถูกประดับอยู่ที่ข้อมือขวาของเธอ เป็นแหวนที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าที่เธอคิด เพราะทุกครั้งที่สัมผัสมัน อารมณ์และความรู้สึกในใจของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เธอไม่สามารถควบคุมได้

ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือการตั้งใจของโชคชะตา แต่ทุกครั้งที่เธอสวมมัน ความฝันเกี่ยวกับชายคนนั้นก็กลับมาอีก

“ข้าไม่เข้าใจ…” เธอกระซิบเบา ๆ ขึ้นมาคนเดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างที่เป็นกระจกใส มีแสงจันทร์แสงเดียวที่สาดส่องลงมาเบา ๆ ผ่านต้นไผ่ด้านนอก

อวี้เหยารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่กลับสัมผัสได้จากภายในจิตใจ รู้สึกถึงการเฝ้ารอและแรงดึงดูดบางอย่าง ที่มาจากชายคนนั้นผู้สวมชุดดำมิดชิด มือที่ยื่นออกมาเรียกหาก็ราวกับเป็นการท้าทายชะตากรรมบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกหนีได้

ในขณะที่กำลังนั่งจมอยู่กับความคิด อวี้เหยาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ

“ท่านหญิง…”

เสียงนั้นคุ้นเคยและเป็นเสียงของ อวิ๋นซ่าง ศิษย์เอกจากสำนักเทียนอวิ๋นผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอมานานหลายปี อวิ๋นซ่างมักจะมาคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้กับอวี้เหยาเสมอ เมื่อรู้ว่านางต้องเจอเรื่องลึกลับ เขาก็จะปรากฏตัวเพื่อคอยให้คำแนะนำ

อวี้เหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปในที่สุด

“เข้ามาเถอะ”

ประตูเปิดออก และชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดคลุมยาวก็เดินเข้ามาภายในห้อง ดวงตาคมของเขาสอดส่ายไปทั่วบริเวณในห้องที่แสงไฟจาง ๆ ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ เขามองมาที่อวี้เหยาด้วยท่าทางเป็นห่วง

“เมื่อคืนเกิดสุริยันกลับหัว…จันทราสีเลือด…ท่านหญิงรู้หรือไม่?” อวิ๋นซ่างถามด้วยความกังวล

อวี้เหยาหยุดชะงักไป และหันไปมองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ

“ข้าทราบ…แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้?” เสียงของอวี้เหยาดูหนักหน่วงขึ้น

อวิ๋นซ่างนั่งลงข้าง ๆ และเริ่มอธิบาย

“จันทราสีเลือดเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มักจะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นตามมา” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีบางคนบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับคำทำนายที่กล่าวถึงการกลับมาของวิญญาณบางตัวจากอดีต หรือบางที…อาจเป็นเรื่องของคนที่เคยรักเจ้ามากในชาติที่แล้ว”

คำพูดเหล่านั้นทำให้อวี้เหยารู้สึกขนลุก ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย เธอไม่เคยเชื่อในเรื่องคำทำนายมากนัก แต่ครั้งนี้…มันเหมือนจะเกี่ยวข้องกับชายในฝันที่ปรากฏตัวขึ้นมาในทุกคืน

“ข้า…ข้าไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร” เธอกระซิบ

อวิ๋นซ่างจับมือของเธอเบา ๆ เพื่อปลอบโยน

“ท่านหญิง…ความลับจากอดีตนั้นมักจะกลับมาหลอกหลอนในภพนี้ คำสาปที่เจ้าถูกมัดเอาไว้กับอดีตนั้นจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า”

ในขณะนั้น เสียงลมที่พัดผ่านทำให้ม่านในห้องขยับไปตามแรงลม และอวี้เหยาก็เหลือบไปเห็นเงาของร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ดวงตาที่เป็นสีทองนั้นแวววาวในความมืด

“อีกแล้ว…” อวี้เหยาพูดด้วยเสียงสั่น

อวิ๋นซ่างหันไปมองตามสายตาของเธอ แต่ร่างนั้นกลับหายไปในทันที

“ท่านหญิง…” เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าคงต้องออกตามหาความจริงนั้นแล้ว…”

เฟิงหลง ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาช้า ๆ ดวงตาของเขากลับมาเป็นสีทองเรืองแสงเหมือนเดิม แสงจันทร์สีเลือดที่ฉายลงมาทำให้เขารู้สึกถึงการเรียกหา เขารู้ว่าเวลาของเขากำลังใกล้เข้ามา

“ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร…ข้าจะรอเจ้า”

เขากล่าวเสียงทุ้มในใจ ก่อนจะเดินจากไปในความเงียบงัน

ต้นบ๊วยเบื้องหน้าฉายเงาคล้ายกับเงาของวิญญาณผู้ไร้ร่องรอย ท่ามกลางความเงียบสงัดในเวลากลางคืน ลั่วอวี้เหยาได้ยินเสียงกระซิบจากสายลมที่พัดผ่านมาจากทิศเหนือ เป็นเสียงของชายคนหนึ่งที่เคยทักทายเธอในฝัน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวในใจ

คืนนี้จันทราสีเลือดยังคงส่องแสงกระจ่างไปทั่วฟากฟ้า และตามคำทำนายของสำนักโบราณที่เธอได้รับรู้มา ยามนี้จะเป็นเวลาที่คำสาปโบราณกลับมาทวงสิทธิ์จากทุกชีวิต

อวี้เหยาผู้รู้สึกว่าชะตาชีวิตของตัวเองกำลังจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ทิ้งรอยไว้ในใจ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ราวกับเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายในฝันผู้หนึ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเขาคือใคร เขาคือผู้ที่มีอำนาจเหนือชีวิตของเธอ หรือเขาคือเงาของอดีตที่หลอกหลอนมาในทุกภพชาติ

เสียงกระทบของเหรียญหยกในมือทำให้เธอหันไปมอง อวี้เหยาไม่รู้ว่าทำไมแหวนหยกนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ทุกครั้งที่มันถูกสัมผัส อารมณ์ในใจของเธอจะพุ่งสูงขึ้นและหวั่นไหว

“ท่านหญิง…” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้งจากประตูห้อง

อวิ๋นซ่างเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม เขายืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเงียบขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“อวิ๋นซ่าง…มีอะไร?” อวี้เหยาหันไปถาม

อวิ๋นซ่างยืนนิ่งไปสักพัก ราวกับพยายามรวบรวมคำพูดจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ

“วันนี้เป็นวันพิเศษ ท่านหญิงควรไปที่ลานดอกบ๊วย” เขากล่าวเสียงเบา ราวกับมีบางอย่างที่เขาต้องการจะบอก แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

“ลานดอกบ๊วย?” อวี้เหยาถามด้วยความสงสัย

“ใช่…ท่านหญิงจะได้คำตอบจากที่นั่น” อวิ๋นซ่างย้ำ

ในใจของอวี้เหยาครุกรุ่นด้วยคำถามนับไม่ถ้วน แต่เธอก็ยังคงสงบและพยักหน้ารับ

“หากเป็นคำตอบที่ข้าควรได้รับ ข้าจะไป” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่แม้จะไม่มั่นใจแต่ก็ต้องทำตามคำแนะนำ

ทั้งสองเดินออกจากห้องพร้อมกัน เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังก้องในทางเดินที่มีแสงไฟระยิบระยับจากโคมไฟหยกที่แขวนอยู่ข้างฝา ท่ามกลางความมืดมิดนั้น มีเพียงแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านท้องฟ้าผ่านช่องว่างของหลังคาไม้ที่มีรอยร้าวเล็กน้อย

“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องลานดอกบ๊วยมาก่อน” อวี้เหยาพูดขึ้นขณะเดินตามอวิ๋นซ่างไป

“มันคือสถานที่ที่มีอยู่แค่ในตำนาน ท่านหญิงต้องไปที่นั่นเองเพื่อค้นหาคำตอบของคำทำนาย” อวิ๋นซ่างตอบด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง เขาหยุดเดินและมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง

ถึงแม้ว่าคำอธิบายของอวิ๋นซ่างจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ความสงสัยในใจของอวี้เหยากลับยิ่งทำให้เธออยากไปหาคำตอบให้ได้ จนกระทั่งพวกเขามาถึงที่หมาย

เมื่อมาถึงลานดอกบ๊วย ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า อวี้เหยาก็พบเห็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ดอกบ๊วยบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ราวกับกำลังรอคอยบางสิ่ง บรรยากาศที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยความลึกลับทำให้เธอรู้สึกถึงการเฝ้ารอคอยบางอย่าง

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“เจ้ามาที่นี่เพื่อค้นหาคำตอบ?”

เสียงนั้นฟังดูเยือกเย็นและทุ้มต่ำ ราวกับมาจากทิศทางที่เธอไม่อาจมองเห็น

อวี้เหยาหันไปตามเสียงนั้น และพบชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นบ๊วยต้นใหญ่กลางลาน เขาสวมชุดคลุมสีดำสนิท ปกคลุมจนแทบไม่สามารถมองเห็นร่างกายที่อยู่ภายใน

“เจ้าคือใคร?” อวี้เหยาเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นระริก

ชายคนนั้นยิ้มบาง ๆ และก้าวออกจากเงามืด มาด้วยท่าทางที่เยือกเย็นและสง่างามจนไม่อาจละสายตาไปได้

“ข้าคือผู้ที่เจ้ากำลังมองหามานาน” เขากล่าว พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่างที่อวี้เหยาไม่อาจเข้าใจ

“เจ้าคือใครกันแน่?” อวี้เหยาถามด้วยความคับข้องใจ ความรู้สึกในใจไม่ต่างจากคำถามที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของเธอ

ชายคนนั้นไม่ตอบคำถามของเธอโดยตรง แต่กลับเดินมาหาเธออย่างช้า ๆ จนกระทั่งยืนอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว

“ข้าเป็นความจริงที่เจ้าต้องพบเจอในภพนี้” เขากล่าว และเพียงแค่คำพูดนั้น อวี้เหยาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ ที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ความจริง? เจ้าหมายถึงอะไร?” อวี้เหยาถามด้วยเสียงแหบแห้ง

ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ

“เจ้าคือผู้หญิงที่เคยรักข้ามาก่อนในอดีต และข้า…คือคนที่รอคอยเจ้ากลับมา” เขายื่นมือไปข้างหน้าและดวงตาสีทองนั้นส่องแสงระยิบระยับขึ้น

“รอคอยข้า? เจ้าคือใครกันแน่?” อวี้เหยารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นราวกับว่าจะหลุดออกจากอก

“ข้าคือ เฟิงหลง คนที่เคยเป็นคู่ชีวิตของเจ้าในภพที่ผ่านมา และในภพนี้ ข้าจะกลับมาเพื่อขอสิทธิ์ในรักของเจ้า”

เงาลวงในพันธะสาบาน

เสียงสายลมกระทบยอดไม้เหนือภูผาหลิงซานก้องกังวานในหู สะท้อนเสียงหัวใจของนางที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ

“เทพธิดาแห่งดวงจันทร์…”

ชื่อเรียกนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในใจของอวี้เหยา แม้นางจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หัวใจของนางกลับตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไม่อาจห้าม… เฟิงหลงบอกว่านางเคยเป็นเทพ เคยรักเขา เคยสาบานใต้เงาจันทรากับเขาเมื่อพันปีก่อน

แล้วหลิงเจวียนเล่า? ชายผู้ซ่อนใบหน้าภายใต้หน้ากากเงินเยือกเย็น แววตาเศร้าเงียบที่ไม่เคยเสื่อมคลายตั้งแต่แรกพบ—เขาเคยเป็นใครกันแน่?

ค่ำคืนนั้น ตำหนักเยว่หานกลับเงียบกว่าทุกวัน อวี้เหยาไม่สามารถข่มตาให้หลับได้

เธอลุกจากที่นอน สวมผ้าคลุมบางเบา ก่อนจะเดินออกมายังระเบียงที่ทอดยาวรับแสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องอยู่เหนือยอดไม้

“เมื่อใดเจ้าจะจำข้าได้…” เสียงสะท้อนจากในฝันเมื่อวานยังคงติดหู

นางเงยหน้าขึ้นมองจันทร์… และในวินาทีนั้นเอง…

“มาช้าไปหนึ่งก้าว…”

เสียงเย็นชาดังขึ้นจากเงามืดใต้ต้นหลิว ไม่ต้องหันไป นางก็รู้ว่าเป็นเขา—หลิงเจวียน

อวี้เหยาหันกลับ ดวงตายังสงบ “เจ้ามาหาข้าในยามวิกาลเพื่ออะไร?”

หลิงเจวียนไม่ตอบ เขาเพียงจ้องเธอแน่วแน่ก่อนจะพูดเสียงเบาราวสายลม “ข้ามา…เพราะฝันถึงเจ้าถูกแทงกลางหัวใจอีกครั้ง”

อวี้เหยาสะอึก

“เจ้าฝันถึงข้า?” เสียงของนางสั่น

“ใช่” เขาตอบเรียบ “ข้าฝันซ้ำ ๆ มาหลายร้อยปี ว่าเจ้าถูกฆ่า…ต่อหน้าต่อตาข้าเอง แต่ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”

อวี้เหยานิ่งไป

“แล้ว…ในฝันของข้า” นางเริ่มเอ่ยช้า ๆ “เจ้าอยู่ข้างหลัง ข้าหันไปไม่เคยเจอหน้า…แต่ได้ยินเพียงเสียง”

“เป็นข้าแน่” เขาตอบ “และข้าจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในภพนี้”

คืนนั้น หลิงเจวียนไม่ได้จากไปทันที เขายืนอยู่ข้างนางจนดวงจันทร์คล้อยต่ำ ใบหน้าที่เคยเยือกเย็น เริ่มเผยความอ่อนโยนแบบที่นางไม่เคยเห็นจากเขา

“ข้าสงสัย…ว่าทำไมทุกครั้งที่ข้าเจอเจ้า หัวใจของข้าถึงสั่น” อวี้เหยากระซิบเบา

หลิงเจวียนมองเธอ ดวงตานั้นไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แต่แค่แววตา…นางก็เข้าใจ

เขารักนาง…มากกว่าใครทั้งนั้น

แต่เหตุใด…เธอกลับรู้สึกผิด

รุ่งเช้า

เสียงระฆังจากเทวสถานด้านตะวันออกดังขึ้น ปลุกอวี้เหยาให้ตื่นจากภวังค์ความฝันอีกบท

ในฝัน นางเห็นตัวเองในชุดขาว ปักลายดวงจันทร์สีเงิน เดินอยู่กลางหุบเขาโบราณ ด้านหลังมีชายคนหนึ่งในชุดเกราะเงินมืดกำลังเดินตามมาเงียบ ๆ

ดอกไม้สีขาวปลิวว่อน…เสียงพิณดังแว่ว และเลือด…หยดลงบนหินศิลา

“เจ้าเคยบอก…ว่าจะไม่ปล่อยมือ”

“แต่ข้า…กลับเป็นฝ่ายที่ฆ่าเจ้าเอง…”

“ฝันอีกแล้วหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก

ประตูเปิดออกเผยให้เห็น จิ่นซู สหายสนิทและสาวใช้อันดับหนึ่งของอวี้เหยา ใบหน้าของนางมักยิ้ม แต่คราวนี้กลับเครียดเคร่ง

“ใต้เท้าผู้เฒ่าจากตำหนักบรรพสัจส่งคนมาเชิญท่านไปที่เทวสถานทันทีเจ้าค่ะ”

อวี้เหยาขมวดคิ้ว “เรื่องอะไร?”

“เกี่ยวกับคำสาปพันปี…และบุคคลที่ ‘ท่าน’ เคยสาบานด้วย”

เส้นทางสู่เทวสถานบรรพสัจถูกปกคลุมด้วยหมอกจาง ป่าไม้สองข้างทางเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้า อวี้เหยานั่งอยู่ในรถม้า ท่ามกลางความเงียบของจิ่นซูที่ไม่พูดแม้แต่คำเดียว

“บุคคลที่ท่านเคยสาบานด้วย…”

นางเฝ้าไตร่ตรองประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้เธอไม่อาจจำเรื่องในอดีตชาติได้ชัดเจน แต่ความรู้สึกภายในอกกลับไม่เคยโกหก ความเจ็บปวดทุกครั้งที่ฝันถึงชายในเงามืด…ทำให้นางหวาดกลัวว่าอดีตบางอย่างกำลังจะย้อนคืนมา

เมื่อมาถึงเทวสถาน กลิ่นธูปหอมและสายลมเย็นจากเทือกเขาทำให้บรรยากาศคล้ายกับเวลาถูกกลืนลงในห้วงนิรันดร์

ใต้ต้นซานชาหลวง กลางลานพิธีเก่าแก่ มีชายชรานั่งหลับตาอยู่—ผู้เฒ่าหลี่ เทวาจารย์สูงสุดของสำนักบรรพสัจ ผู้ที่กล่าวกันว่าสามารถมองเห็นอดีตชาติได้ผ่านเปลวธูปและเงาจิต

เมื่ออวี้เหยาเข้าไปใกล้ ชายชราก็เอ่ยเสียงเบาโดยไม่ลืมตา

“ข้ามองเห็นเจ้าตายมาสิบสามครั้ง…ในทุกภพทุกชาติ เจ้าล้วนมอบหัวใจให้ชายผู้เดียว แต่จุดจบกลับมีเพียงความเจ็บปวด”

อวี้เหยาชะงัก

“เขา…เป็นใคร?” นางเอ่ยเสียงเบา

ผู้เฒ่าหลี่เปิดตาช้า ๆ สายตาสะท้อนเงาจันทราในอดีต “เทพจันทราเฟิ่งหลง…ชายผู้แบกคำสาปแทนเจ้าเมื่อพันปีก่อน”

พิธีกรรมเริ่มต้น อวี้เหยาถูกเชิญให้นั่งกลางวงแสงเทียนสีเงิน วงเวทโบราณถูกวาดล้อมรอบร่างเธอ กลิ่นกำยานจันทน์ลอยขึ้นเป็นเส้นขดเหนือหัว

เปลวเทียนพลันลุกสูง สายตานางเริ่มพร่า…

และแล้ว…

“พี่เหยา…ข้ารักเจ้า…อย่าตาย…”

“ไม่…อย่าฆ่าเขา! ขอให้เป็นข้าแทน!”

“หากข้าต้องตกนรกแปดชาติ ข้าก็ยอม…เพื่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่”

เสียงนั้น…คือเสียงของเฟิ่งหลง!

ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ นางเห็นตัวเองในชุดเทพธิดา ดวงจันทร์ส่องหลัง นางยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน ข้างกายนั้นคือเฟิ่งหลงในชุดนักรบสวรรค์ เปื้อนเลือดทั่วร่าง

ทว่าท่ามกลางไฟนรกนั้น…ยังมีเงาอีกผู้หนึ่ง…

เขาในชุดคลุมดำ สวมหน้ากากครึ่งหน้า…ดวงตาเจ็บปวดเกินจะพรรณนา เขายืนอยู่เบื้องหลังเฟิ่งหลง ชี้ปลายดาบมายังเธอ

“อวี้เหยา เจ้าสาบานว่าจะไม่รักใครนอกจากข้า…แล้วเหตุใดถึงเป็นเขา?”

เปรี้ยง!

เปลวธูปแตกกระจาย อวี้เหยาสะดุ้งตื่น สะลึมสะลือในห้วงความจริง ผู้เฒ่าหลี่นิ่งงัน สีหน้าหนักอึ้ง

“ในชาติแรกสุดของเจ้า—เจ้าคือเทพธิดาแห่งจันทรา เฟิ่งหลงคือเทพผู้พิทักษ์จิตวิญญาณ…ส่วนอีกผู้หนึ่ง…”

“หลิงเจวียนใช่หรือไม่?” อวี้เหยาถามเสียงแผ่ว

ผู้เฒ่าหลี่ไม่ตอบตรง ๆ แต่เพียงหลับตา “เขา…คือเงาแห่งสาบาน…ผู้ถูกลืมจากสวรรค์”

เมื่ออวี้เหยาออกจากพิธี นางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังสั่นไหวอยู่ใต้เท้า หัวใจที่เต้นช้า ๆ ของนางหนักหน่วงเกินกว่าจะรับไหว

จิ่นซูเดินมาข้างกาย “ท่านหญิง…ข้ากลัวว่าทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

อวี้เหยาหันมองท้องฟ้า

ดวงจันทร์ในยามกลางวัน…ยังคงส่องแสงเร้นลับเฉกเช่นพันปีก่อน

หลังจากกลับจากพิธี อวี้เหยาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย ใบหน้านิ่งเงียบของนางซ่อนความสับสนที่ค่อย ๆ ถักทอเป็นปมในใจ

“เฟิ่งหลง…หลิงเจวียน…ใครคือรักแท้ในพันปีนั้นกันแน่?”

เสียงหัวใจของนางยังสั่นสะท้านกับภาพที่เห็นในพิธี—เงาในเพลิง, เสียงร้องห้าม, ดาบที่หันเข้ามาหานาง…คำถามไม่จบไม่สิ้น

ยามพลบค่ำ ตำหนักอวิ๋นฮวา

ดอกเหมยขาวร่วงโรยเหมือนรู้ฤดูกำลังเปลี่ยน มือเรียวของนางยื่นออกมารองรับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่น ทว่าแทนที่จะมีเพียงกลีบเหมย…เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นในลมหายใจ

“เจ้าดูเศร้า”

นางหันกลับ—เฟิ่งหลงยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเงาที่ฝังอยู่ในแสงจันทร์ เขามาเงียบ ๆ ไม่ต้องมีเสียงฝีเท้า

“เจ้ามาโดยไม่ให้รู้ตัวอีกแล้ว” อวี้เหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว

เฟิ่งหลงไม่ได้ตอบทันที เขาเพียงมองเธอ ในนัยน์ตานั้นมีทั้งโหยหาและเจ็บปวด “ข้าเพียง…คิดถึงเจ้า”

คำพูดสั้น ๆ ทำให้นางใจเต้นวูบ

“ข้ารู้แล้ว” นางกล่าวเบา ๆ “เรื่องของพันปีก่อน…คำสาป…ดวงจันทร์…”

เฟิ่งหลงเงียบ นัยน์ตาสะท้อนความรู้สึกเกินจะพรรณนา

“ข้าเป็นคนเลือกให้เจ้าต้องคำสาปใช่หรือไม่?” เสียงของอวี้เหยาแผ่วลงยิ่งกว่าลม

“ใช่…แต่มันเป็นทางเดียวที่ข้าจะช่วยเจ้ารอด” เฟิ่งหลงพูดชัด

“แล้วหลิงเจวียนล่ะ?” นางถามทันที น้ำเสียงสะท้อนความว้าวุ่น “เขาเป็นใครกันแน่?”

เฟิ่งหลงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะตอบ

“เขาคืออดีตเทพพิทักษ์แห่งเงา…เงาที่ไม่มีใครจดจำ เพราะในศึกครั้งสุดท้าย เขาทรยศสวรรค์…เพราะรักเจ้า”

อวี้เหยาเบิกตากว้าง

ทันใดนั้น ลมแรงพัดกลีบดอกเหมยกระจาย

เสียงทุ้มต่ำแทรกเข้ามากลางสายลม

“ข้าทรยศ…หรือเจ้าเป็นผู้ลืมคำสาบานก่อนกันแน่?”

หลิงเจวียนก้าวออกมาจากเงาใต้ต้นไม้ หน้ากากเงินยังคงปิดบังใบหน้า แต่แววตานั้นร้อนแรงเกินจะแสร้งเมินเฉย

เฟิ่งหลงขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเปลี่ยนเป็นวาววับทันที

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“มาเรียกร้องความยุติธรรมในสิ่งที่ข้าเสียไป!” หลิงเจวียนประกาศหนักแน่น

เขาหันไปหาอวี้เหยา “เจ้ารู้หรือไม่…ในอดีต ข้าต่างหากที่เจ้าสาบานว่าจะเคียงข้าง…แต่นางกลับเลือกเจ้าจนลืมทุกอย่าง!”

อวี้เหยาสะท้าน มือกำแน่น เสียงหัวใจดังอื้อในอก นางไม่อาจรู้ได้ว่าใครโกหก…ใครพูดความจริง

ความทรงจำในอดีตยังไม่สมบูรณ์

แต่คำว่า “เคียงข้างกันชั่วนิรันดร์” … นางเคยพูดกับใคร?

เฟิ่งหลงก้าวเข้าหาอวี้เหยา ปกป้องนางไว้เบื้องหลัง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากนางอีก หลิงเจวียน! คำสาปพันธะนั้นเจ้ายอมรับด้วยตัวเอง!”

“เพราะข้ารักนาง!” หลิงเจวียนตะโกนกลับ “แม้ต้องแลกด้วยการเป็นเงาไร้ตัวตน…ข้าก็ยอม! แต่เจ้า…เจ้ากลับใช้ความบริสุทธิ์ของนางเพื่อสร้างพันธะให้ผูกมัด!”

เฟิ่งหลงกัดฟันแน่น “เจ้าพูดเกินไปแล้ว!”

แรงสั่นไหวจากใต้ผืนดินพลันสั่นสะเทือน เทวสถานที่อยู่ไกลออกไปปรากฏลำแสงขึ้นสู่ฟ้า

เสียงของผู้เฒ่าหลี่ดังผ่านลม…

“พันธะเลือดกำลังคลาย…ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อน…ความจริงในพันปี กำลังจะตื่น”

แสงจากเทวสถานสาดขึ้นฟ้าเป็นเส้นสายสีเงินคล้ายสะพานเชื่อมระหว่างสองภพ เงาแห่งอดีตเริ่มแทรกซึมผ่านม่านหมอกของกาลเวลา

ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยเสียงเรียบผ่านกระแสจิต

“ถึงเวลาที่อดีตต้องถูกเปิดเผย…ผู้ที่เคยให้คำมั่น…ผู้ที่ลืมคำสาบาน…ผู้ที่ต้องชดใช้กรรมในทุกภพ…”

อวี้เหยา เฟิ่งหลง และหลิงเจวียน ถูกแสงจากเทวสถานพุ่งลงมาครอบคลุมทันที

ร่างของทั้งสามค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไอวิญญาณโปร่งแสงก่อนจะสลายหายไปจากโลกปัจจุบัน—ถูกส่งกลับไปยัง “ต้นกำเนิดของพันธะ”

พันปีที่แล้ว – ดินแดนจันทรา

เสียงขลุ่ยลอยแผ่วในอากาศ ขอบฟ้าสีเงินสว่างไสวด้วยรัศมีของดวงจันทร์ นางในชุดขาวบางประหนึ่งหยกใส ยืนอยู่กลางลานเทวสถานบูรพา

เทพธิดาอวี้เหยา ผู้ได้รับพรจากสวรรค์ให้รักษาสมดุลของความรักในมนุษย์และเทพ

“คืนนี้เจ้าต้องตัดสินใจแล้ว” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นเบื้องหลัง

เฟิ่งหลงในร่างเทพนักรบแห่งจิตวิญญาณ ปรากฏตัวในชุดศึกสีเงินทอง เขาก้าวมายังเธออย่างมั่นคง

“ข้าจะรับคำสาปแทนเจ้า ขอแค่เจ้าได้คงอยู่ในโลกนี้ต่อ”

อวี้เหยาส่ายหน้า ดวงตานางเจือแววเศร้า “ไม่…ข้าไม่อาจยอมให้เจ้าแบกรับกรรมแทน”

เฟิ่งหลงจับมือเธอไว้แน่น

“แต่ถ้าข้าไม่ปกป้องเจ้า…ข้าจะอยู่ไปทำไม?”

ขณะเดียวกัน บนยอดเขาเทียนหลุนใต้เงามืดของจันทรา

ชายผู้สวมชุดคลุมดำและหน้ากากเงิน ยืนมองเหตุการณ์จากระยะไกล

เทพเงาหลิงเจวียน ผู้เป็นเทพองค์แรกที่รักนาง…และเป็นผู้ถูกลืม

“เจ้าเลือกเขา…แม้ในชาติแรก…แล้วเจ้าจะไม่ลืมเลยหรือ?”

“คำสาบานของเจ้า…มันไร้ค่าเพียงนั้นหรือ?”

มือของเขากำแน่นจนโลหิตไหลซึม

คืนพิธีมาถึง เทวสถานเรืองแสงจันทร์ สองเทพและหนึ่งธิดาแห่งดวงจันทร์ยืนกลางวงแสง

อวี้เหยาหยิบมีดพิธีขึ้นมาจรดปลายนิ้ว หยดเลือดสีขาวนวลของเทพธิดาร่วงลงบนแท่นศิลา

เฟิ่งหลงก้าวออกมาเตรียมรับคำสาปแทน…แต่แล้ว…

เปรี้ยง!!

เงาดำตวัดเข้าแท่นพิธี หลิงเจวียนปรากฏกาย ดาบสีหมึกแทงทะลุแท่นศิลา หยุดพิธีไว้ทันที

“ไม่! ถ้ามีใครต้องถูกสาป ข้าจะเป็นคนเลือกเอง!”

แสงจันทร์แตกกระจาย พลังเทพปะทะกันอย่างดุเดือดกลางสวรรค์ แรงระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้มิติสั่นสะเทือน

สวรรค์จึงมีบัญชา…

“ผู้ใดขัดขืนพิธีสาบาน…จะถูกลบตัวตนจากสวรรค์ กลายเป็นเงาลวงนิรันดร์…”

เสียงของสวรรค์ดังก้อง

เฟิ่งหลงโผเข้าปกป้องอวี้เหยา

หลิงเจวียนโบกมือบังคับคำสาปหันเข้าหาตน

อวี้เหยาตะโกนก้อง “พอ!! อย่าให้มันต้องเป็นแบบนี้!!”

แต่มันสายเกินไปแล้ว…

เปลวแสงสุดท้ายปะทะ…

ทั้งสามร่างแหลกสลายเป็นเศษวิญญาณ

พันธะเลือดจึงถือกำเนิดขึ้น…จากความรัก ความหลง และความเจ็บปวดที่ยังไม่สิ้นสุด

กลับสู่โลกปัจจุบัน

ทั้งสามตื่นขึ้นจากห้วงอดีต อวี้เหยาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

“ข้า…ทำให้เจ้าสองคนต้องเจ็บปวดแบบนั้น…”

เฟิ่งหลงประคองเธอเบา ๆ “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า…ข้ารู้ดี เจ้าไม่อาจจำได้เลยด้วยซ้ำ”

หลิงเจวียนยืนนิ่ง สีหน้าเยือกเย็น “เจ้ารู้หรือไม่…แม้เวลาผ่านไปพันปี ข้าก็ไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากปากเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว”

อวี้เหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก

“ข้าขอโทษ…และขอบคุณที่ยังอยู่…ทั้งสองคน…”

เสียงกระซิบของสายลมดังขึ้นอีกครั้ง—ทว่าในเงานั้น…มีใครบางคนกำลังมองพวกเขาอยู่จากความมืด

บุคคลในชุดขาว หน้ากากไม้ราง ๆ ปรากฏกลางป่า

“พันธะถูกเปิดแล้ว…แต่การชำระหนี้ยังไม่จบ”

“ถึงเวลาที่…เทพองค์ที่สี่ จะตื่นขึ้น…”

พันธะที่ถูกลืม

ม่านหมอกสีเงินยังคงไหลเอื่อยราวสายน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด

ลึกเข้าไปในเทวสถานโบราณ กลิ่นอายของอดีตกาลยังคงไม่จางหาย

อวี้เหยากระชับผ้าคลุมบางรอบกาย หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ข้างกายคือเฟิ่งหลง ผู้ที่แม้สีหน้าเคร่งขรึม แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย และหลิงเจวียน ผู้นิ่งสงบเสียจนบรรยากาศโดยรอบเย็นเยียบไปถนัดตา

“ตรงนี้…” หลิงเจวียนเอ่ยขึ้นเสียงเบา ขณะชี้ไปยังแท่นศิลาเก่าแก่กลางวิหาร

พื้นหินสีซีดมีรอยแตกร้าวพาดผ่าน ตรงกลางแท่นมีวงเวทประหลาดที่สลักด้วยอักษรโบราณ

อวี้เหยาคุกเข่าลง ลูบไล้รอยสลักเบา ๆ ราวกับสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงร่ำไห้จากอดีตกาล

“เมื่อสาบานแล้ว…มิอาจถอนคืน

เมื่อผูกพันแล้ว…มิอาจปลดปล่อย

ผู้ที่ทรยศ…จักสูญสลายเป็นเถ้าธุลี…”

เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดขึ้นมาจากรอยสลัก ทำเอาทั้งสามคนชะงักไปพร้อมกัน

เฟิ่งหลงหรี่ตาลงต่ำ

“นี่ไม่ใช่วงเวทพันธะเลือดธรรมดา…มีการเสริมด้วยคำสาปของเทพองค์ที่สี่”

หลิงเจวียนสบตากับเขา ก่อนหันกลับไปมองอวี้เหยาอย่างเย็นชา

“นั่นคือสาเหตุที่เราถูกผูกไว้กับพันธะนี้…ไม่ใช่เพียงเพราะเราสาบานต่อกัน แต่เพราะมีใครบางคน ‘แทรกแซง’ พิธีตั้งแต่ต้น”

อวี้เหยาหน้าซีดเผือด

ใครบางคนที่เธอไม่เคยจำได้…

ใครบางคนที่ยังรอวันทวงคืน…

ในม่านเงาแห่งอดีต

“ข้าจะแทรกซึมพันธะของพวกเขา…” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นในความมืด

ชายในชุดคลุมขาวหน้ากากไม้ก้มลงจรดนิ้วกับวงเวทที่กำลังส่องสว่าง

เลือดสีดำหยดลงบนสัญลักษณ์

พันธะเลือดบริสุทธิ์ถูกทำให้มัวหมอง…

และด้วยเหตุนี้เอง ความรักบริสุทธิ์ที่ควรผูกพันแน่นแฟ้น จึงกลายเป็นความเจ็บปวดไม่รู้จบตลอดกาล

กลับสู่ปัจจุบัน

“มีคนตั้งใจทำลายพวกเรา…” เฟิ่งหลงกล่าวเสียงต่ำ ดวงตาเปล่งแสงสีทองเรืองรอง

“และเขากำลังจะกลับมา” หลิงเจวียนเสริมขึ้น มือกำดาบสีหมึกแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

ทันใดนั้นเอง…เสียงกึกก้องก็ดังขึ้นจากใต้พื้น

แผ่นหินเก่า ๆ สั่นสะเทือน ก่อนจะค่อย ๆ แยกออก เผยให้เห็นบันไดหินทอดลงสู่ความมืดลึกเบื้องล่าง

“ไปกันเถอะ” อวี้เหยากระซิบ แม้เสียงเธอจะสั่น แต่สายตากลับแน่วแน่ไม่แพ้สองเทพเคียงข้าง

เสียงฝีเท้ากระทบกับหินเก่าแก่สะท้อนก้องในทางเดินแคบ

ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่ว แม้แต่เฟิ่งหลงที่ร่างกายเคยผ่านความตายมานับครั้งยังต้องเร่งพลังปราณคุ้มกันอวี้เหยาและหลิงเจวียนไว้

บันไดทอดลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งในที่สุด…

ทั้งสามก็มาโผล่ยังห้องโถงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสาหินสีดำตั้งตระหง่าน แต่ละต้นเสามีตราประทับด้วยเลือด

กลางห้องโถง มีแท่นบูชาอีกแท่นหนึ่งตั้งอยู่ บนแท่นนั้นมีวัตถุบางอย่าง…ห่อด้วยผ้าสีดำสนิท

และมีตราเลือดแดงฉานประทับอยู่ตรงกลาง

เฟิ่งหลงหยุดเท้า ใบหน้าคมเข้มฉายแววระวังตัวสูงสุด

“อย่าเข้าใกล้แท่นบูชาโดยไม่ระวัง” เขากระซิบ

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบ เสียงกระซิบปริศนาก็ดังขึ้นรอบตัว

“ข้ารอพวกเจ้า…พันปีแล้ว…”

“เจ้าทุกคน…ล้วนทรยศข้า…”

“ข้าจะนำทุกสิ่งคืนมา…แม้ต้องแลกด้วยโลหิตของพวกเจ้า!”

เสียงนั้นทั้งเย็นชาและโหยหาในคราเดียวกัน

ทำเอาแม้แต่หลิงเจวียนที่เยือกเย็นอยู่เสมอก็ต้องกะพริบตาช้า ๆ

“เขาตื่นแล้ว” หลิงเจวียนพึมพำ ราวกับกำลังกล่าวถึงหายนะที่ไม่มีวันหยุดยั้ง

เสียงสะท้อนในใจ

อวี้เหยากัดริมฝีปากจนช้ำ เลือดสีแดงไหลซึม

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอเริ่มเห็นภาพแปลกประหลาดวูบไหวตรงหน้า

เธอเห็นตัวเอง…ในชุดเจ้าสาวสีขาวเพลิง กำลังยิ้มให้ชายหนุ่มในชุดดำซึ่งเธอไม่รู้จัก

มือของเขายื่นมา…ราวกับกำลังเชิญชวนให้เธอก้าวข้ามคำสาบานที่มี

“อวี้เหยา ระวัง!” เสียงตะโกนของเฟิ่งหลงดึงเธอคืนสู่ความจริง

ในเสี้ยววินาทีนั้น แสงสีดำพลุ่งออกมาจากแท่นบูชา!

เฟิ่งหลงผลักอวี้เหยาออกไปทัน

หลิงเจวียนสะบัดแขนกวาดกระบี่อาคมสร้างเกราะกำบังขึ้นชั่วขณะ

แต่สายหมอกดำยังคงซึมเข้าสู่ร่างกายพวกเขา…

ราวกับมีบางสิ่งบางอย่าง ‘กำลังย้อม’ หัวใจของทั้งสามด้วยความแค้นจากอดีตกาล

การปรากฏตัวของบุคคลลึกลับ

ท่ามกลางความมืดมิดนั้น เงาร่างหนึ่งก้าวออกมาจากหลังเสาหิน

เขาสวมผ้าคลุมสีเลือด หน้ากากไม้ลายอักขระโบราณบดบังใบหน้า

แต่แววตาใต้หน้ากากนั้น—เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวปนเศร้าโศก

“ข้าคือ…‘เฟยหลง’” เสียงของเขาเย็นยะเยือก

“เทพองค์ที่สี่—ผู้ที่พวกเจ้าลืม!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วโถง ราวกับเป็นทั้งคำสาปและการประกาศสงครามในคราวเดียว

อวี้เหยาเบิกตากว้าง ชื่อ “เฟยหลง” นี้เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนในความทรงจำ

แต่ในส่วนลึกของหัวใจ กลับเต้นระรัวอย่างเจ็บปวด ราวกับสายสัมพันธ์บางอย่างกำลังดิ้นรนตะโกนเรียกหา

“พวกเจ้าทำให้ข้าต้องถูกลืม…” เฟยหลงเอ่ยเสียงขื่นขม

“ทั้งที่ในพันธะเลือดดั้งเดิม…ข้าก็เคยยืนอยู่เคียงข้างพวกเจ้า!”

เฟิ่งหลงขยับกายไปข้างหน้า ดึงอวี้เหยาไว้ข้างหลังเขาทันที ดวงตาแดงฉานเต็มไปด้วยความระแวง

“เราไม่เคยทรยศใคร” เฟิ่งหลงเอ่ยช้า ๆ แต่เด็ดขาด

หลิงเจวียนเหลือบมองเฟยหลงอย่างเฉยชา แต่ลึก ๆ ในแววตากลับมีแววสั่นไหว

แม้แต่เขาเอง…ก็รู้สึกได้ว่าเสี้ยวหนึ่งในอดีตที่เขาเคยลืมเลือนไป กำลังจะตื่นขึ้นมา

เฟยหลงหัวเราะเยาะ ก่อนจะสะบัดมือขึ้น

แผ่นหินทั้งห้องโถงสั่นสะเทือน เถาวัลย์สีดำจำนวนมหาศาลพุ่งขึ้นจากพื้น ไล่รัดกุมร่างทั้งสามเอาไว้แน่นหนา

“ถ้าเจ้าไม่จำได้…ข้าจะช่วยให้เจ้าจำ!”

การต่อสู้แห่งความทรงจำ

เถาวัลย์สีดำแต่ละเส้น มีหนามแหลมเคลือบด้วยพลังปราณต้องสาป

เฟิ่งหลงสบถในลำคอ เขาสะบัดแขนสร้างเปลวเพลิงสีทองขึ้นสกัดกั้น แต่เปลวไฟของเขากลับถูกกลืนหายไปในเงามืดทันที

“เป็นพลังแห่งการทรยศ…” หลิงเจวียนกัดฟันแน่น ใช้กระบี่อาคมฟันฝ่า แต่เถาวัลย์ยังคงไหลเข้ามาไม่หยุด

อวี้เหยาถูกดึงรั้งแยกออกจากพวกเขา

มือเรียวพยายามเอื้อมคว้า แต่กลับไม่อาจสู้แรงมหาศาลได้เลย

“เฟิ่งหลง! หลิงเจวียน!” เธอกรีดร้อง

ในชั่ววินาทีนั้นเอง…

ภาพนิมิตก็พรั่งพรูเข้าสู่ใจของอวี้เหยาอย่างห้ามไม่อยู่

ในห้วงอดีต

เธอเห็นตัวเองในร่างหญิงสาวสวมอาภรณ์ขาว

ยืนอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มสามคน — เฟิ่งหลง หลิงเจวียน…และชายผู้หนึ่งที่มีรอยยิ้มอบอุ่นกว่าทุกคน

“อวี้เหยา…ข้าสาบานจะปกป้องเจ้าตลอดไป”

“เราสามคนจะไม่มีวันพรากจาก”

“แม้ต้องแลกด้วยชีวิต…เราจะเดินเคียงข้างเจ้าตลอดกาล”

เสียงของชายคนนั้นกระซิบอยู่ข้างหูเธอ

เขาคือ—เฟยหลง

เฟยหลง…เทพองค์ที่สี่

ผู้ที่เคยรักเธอสุดหัวใจ

ผู้ที่ถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์…ถูกขโมยความทรงจำ และถูกทอดทิ้งไว้ในความมืด

กลับสู่ปัจจุบัน

อวี้เหยาน้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว

ความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาไม่หยุด

“เฟยหลง…ข้าไม่ได้ตั้งใจลืมเจ้า…” เธอสะอื้นพึมพำ

แต่เฟยหลงในตอนนี้ กลับไม่อาจฟังเสียงใดนอกจากความแค้น

เขาชูมือขึ้น ทะเลเงามืดโหมกระหน่ำ เสาหินทั้งห้องโถงเริ่มพังทลายทีละต้น

“ในเมื่อเจ้าลืมข้า…ก็ขอให้เจ้าลิ้มรสความทรมานชั่วนิรันดร์!”

เปลวเงามืดปะทะเข้ากับพลังปราณปกป้องที่เฟิ่งหลงกับหลิงเจวียนพยายามสร้างขึ้น

แสงทองกับแสงน้ำแข็งปะทะความมืดจนเกิดเสียงกัมปนาท ราวฟ้าผ่ากลางห้องโถงใต้พิภพ

เฟิ่งหลง ดันตัวออกจากเถาวัลย์ต้องสาป กระชากอวี้เหยามาแนบอกแน่น

ดวงตาคมกริบฉายแววปกป้องสุดกำลัง

“อย่าแตะต้องนาง!” เฟิ่งหลงคำราม ก่อเปลวเพลิงเทพในมือจนลุกโชน

เฟยหลงเหลือบมองด้วยแววตาเย้ยหยัน

“ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าผู้พิทักษ์งั้นหรือ…” เขากระซิบ

“ทั้งที่พวกเจ้าคือผู้สาปข้าให้จมอยู่ในความเดียวดายพันปี!”

ตูมมมมม!

พลังเวทแผ่กระจายไปทั่ว

พื้นหินแตกร้าวเป็นเสี่ยง เถาวัลย์สีดำขยายตัวจนทั่วห้องโถง

หลิงเจวียน—การตัดสินใจที่แสนเจ็บปวด

ในขณะเดียวกัน หลิงเจวียน ก็เคลื่อนตัวอย่างว่องไว

ดวงตาสีเงินฉายแววตัดใจบางอย่าง

เขาเอื้อมมือไปแตะปลายกระบี่อาคมของตนเอง แล้วหยดโลหิตลงบนนั้น

เสียงอักขระโบราณแตกกึกก้องในอากาศ

“ขอใช้พันธะโลหิตของข้า…” หลิงเจวียนเอ่ยเสียงต่ำ

“สะกดความมืดแห่งความแค้นนี้ชั่วนิรันดร์!”

เฟยหลงแค่นหัวเราะ “สายไปแล้ว หลิงเจวียน”

“เจ้าคิดว่าแค่เลือดเศษเสี้ยวหนึ่งของเจ้าจะหยุดข้าได้หรือ?”

แต่หลิงเจวียนไม่แม้แต่จะตอบโต้

เขากระชากกระบี่ขึ้นแทงทะลวงกลางม่านหมอกดำ!

ฟึ่บบบ!

เสียงพลังแตกกระจาย แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น—

คลื่นสะท้อนจากการปะทะทำให้ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ในห้วงจิตทุกคน…พังทลายลงพร้อมกัน

ความลับที่ถูกเปิดเผย

ในห้วงนิมิต

อวี้เหยาเห็นตนเองในอดีตกาลอีกครั้ง—พร้อมกับภาพเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ

เฟยหลงยื่นมือไปยังอวี้เหยาในวันที่พวกเขาเผชิญหน้ากับ ‘เทพนักล่า’ ผู้คุกคามแคว้นเทวะทั้งหลาย

เขาเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องนางและสองสหาย

เลือดของเฟยหลงหลั่งรินลงสู่แผ่นดิน

เขากลายเป็นผนึกที่คอยค้ำยันโลกมนุษย์ไว้ไม่ให้พินาศ

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป—

ชื่อของเขาถูกลืมเลือนไปจากประวัติศาสตร์

ความทรงจำของอวี้เหยา เฟิ่งหลง และหลิงเจวียน…ถูกลบล้างด้วยเวทต้องห้าม เพื่อปกป้องหัวใจของพวกเขาเอง

เพราะความจริงนั้น…เจ็บปวดเกินกว่าจะจดจำ

กลับสู่การต่อสู้

อวี้เหยาตัวสั่นสะท้าน

“เฟยหลง…ข้าจำได้แล้ว…” เธอกระซิบ น้ำตาไหลพราก

เฟยหลงชะงักไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นมองนาง

ในดวงตานั้น…แวบหนึ่งของความอ่อนโยนฉายผ่าน ก่อนจะถูกความแค้นกลืนหายไปอีกครั้ง

“จำได้แล้วอย่างไร?” เฟยหลงถามเสียงพร่า

“เจ้าจะชดใช้ให้ข้าได้หรือ?”

เฟิ่งหลงเบียดตัวขวางหน้าอวี้เหยาไว้แน่น

หลิงเจวียนก็ชูดาบขึ้นอีกครั้ง

“เราจะชดใช้…” หลิงเจวียนเอ่ยช้า ๆ

“ด้วยการคืนชีวิตให้เจ้า คืนอิสรภาพให้เจ้า…”

เฟยหลงหัวเราะเยาะ “ชีวิตข้าไม่อาจคืนได้! พันธะโลหิตก็ขาดสะบั้นแล้ว!”

“ไม่” อวี้เหยาเอื้อมมือออกไป แม้จะตัวสั่นเทา

“ตราบใดที่หัวใจข้ายังจำเจ้าได้…ตราบใดที่ข้ายังรักเจ้า พันธะนี้…จะไม่มีวันขาดสะบั้น!”

แสงอ่อนนุ่มไหลออกจากมืออวี้เหยา

ดั่งหยาดหมอกแรกยามรุ่งอรุณ ค่อย ๆ แตะต้องเถาวัลย์มืดดำที่รัดร่างเฟยหลงเอาไว้แน่น

เสียงแหลกแตกเบา ๆ ดังขึ้น เถาวัลย์บางส่วนหลุดร่วงราวกับไม่อาจต้านทานพลังนี้ได้

เฟยหลงเบิกตากว้าง

เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่เคยโหยหามานับพันปีไหลซึมเข้าสู่หัวใจที่แห้งเหือดไปแล้ว

“อวี้เหยา…” น้ำเสียงของเขาสั่นไหว

“เจ้าจะยอมรับข้าอีกครั้ง…แม้ว่าข้าจะกลายเป็นตัวประหลาดเช่นนี้แล้วหรือ?”

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอเต็มสองตา

นางก้าวเข้าไปทีละก้าว ทีละก้าว…โดยมีเฟิ่งหลงกับหลิงเจวียนยืนแนบแน่นอยู่ข้างหลัง

“ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ…” อวี้เหยาเอ่ยเสียงสะอื้น

“เจ้าก็ยังเป็นคนของข้า”

ปาฏิหาริย์แห่งพันธะ

เมื่อคำสาบานถูกกล่าวออกมา

ตราพันธะโบราณที่มองไม่เห็น ก็เริ่มเรืองแสงขึ้นกลางอกของอวี้เหยา เฟยหลง เฟิ่งหลง และหลิงเจวียนพร้อมกัน

ลำแสงสีทองพุ่งขึ้นสู่เพดานถ้ำ กระแทกม่านพลังต้องสาปจนแตกร้าวเป็นเสี่ยง ๆ

เฟยหลงทรุดตัวลงกับพื้น

มือสั่นเทา ร่างกายที่ถูกกัดกินด้วยพลังมืดค่อย ๆ คลายตัวลง

“เจ้า…” เฟยหลงเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความอาวรณ์

“เจ้าจำสัญญาของเราได้แล้วจริง ๆ หรือ?”

อวี้เหยาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเขา

สวมกอดร่างที่สั่นสะท้านนั้นเอาไว้แน่นโดยไม่ลังเลแม้สักเสี้ยวลมหายใจ

การปลดปล่อย

พลังอาคมต้องสาปเริ่มสลายตัว

เถาวัลย์เหี่ยวแห้งกลายเป็นผงธุลี เงามืดสลายกลายเป็นแสงสว่าง

เฟิ่งหลงและหลิงเจวียนที่ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่

แต่ยังคงยกอาวุธขึ้นคอยระวังไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก

เฟยหลงวางมืออ่อนแรงลงบนไหล่อวี้เหยา

“หากมีชีวิตใหม่นี้…” เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา

“ข้า…จะไม่ขอเป็นเพียงผู้เฝ้ามองอีกต่อไป”

อวี้เหยากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ราวกับต้องการปลอบโยนทุกความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายเคยแบกรับไว้

คำมั่นกลางซากปรักหักพัง

หลิงเจวียนเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก้มศีรษะต่ำ

“เฟยหลง” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น

“ข้า…ขอโทษ”

เฟยหลงชะงัก

“ข้าทรยศความเชื่อใจของเจ้า แม้จะไม่รู้ตัว” หลิงเจวียนกล่าวต่อ

“ต่อแต่นี้ไป…ชีวิตข้า จะตอบแทนเจ้า เพื่อชดเชยสิ่งที่สูญเสีย”

เฟยหลงมองหลิงเจวียนอยู่นาน

ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างขื่นขม

“เจ้ามันพวกหัวแข็ง…ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด”

เฟิ่งหลงก้าวเข้ามาข้างอวี้เหยา กำหมัดแน่น

“ต่อจากนี้ไป เจ้าไม่ใช่คนเดียวอีกแล้ว”

เฟยหลงนิ่งงัน ดวงตาที่เคยหม่นมืดเริ่มมีประกายแสงอ่อน ๆ แทรกขึ้นมา

รอยยิ้มบางเบา ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ ปรากฏบนใบหน้าที่เคยแสนเศร้า

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!