“อ้าว" เราเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าลมหนาวเคยเรียนเศรษฐศาสตร์มาก่อน”
ผมมองใบเตยที่กำลังตั้งใจคุยกับใครบางคนอยู่อีกฝากหนึ่งของลานเอนกประสงค์ประจำองค์การนักศึกษา
อีกสองสามอาทิตย์จะถึงวันไปค่าย
นั่นเท่ากับว่าพี่ค่ายฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบกิจกรรมหรือจัดหาอุปกรณ์ก็ต้องมาจัดเตรียม
ส่วนฝ่ายสถานที่ของผมนั้นต้องแสตนบายคอยช่วยเหลือทุกๆภาคส่วน
แต่สิ่งที่ผมไม่สบอารมณ์ที่สุดก็คือการที่ใบเตยกำลังสนิทกับคนหน้าตายบางคนเกิดเหตุ
‘มองหน้ากูแบบนั้นมีปัญหาอะไร’
‘กฤตเลิกหาเรื่องผมซักที’
‘ทำไม? มึงจะฆ่ากูหรอ
จะทำกับกูเหมือนที่ทำกับไอ้พวกนั้นหรอ?’
รวมถึงเรื่องตัวตนที่(น่าจะ)แท้จริงของลมหนาวว่าเขาเป็นใคร
หลายวันก่อนกฤตเข้าไปหาเรื่องลมหนาวตอนเลิกประชุม
แถมยังพูดเรื่องคืนนั้นออกมาจนผมต้องรีบเข้าไปห้าม โชคดีที่ไม่มีผู้คนอยู่โดยรอบ
ไม่อย่างนั้นเรื่องที่ผมกังวลมาตลอดหลายคืนคงแพร่กระจายออกไป
เหมือนกฤตมันพยายามเซฟความรู้สึกผมโดยการไม่ประจานลมหนาว
แต่คำพูดที่ว่าจะเปิดโปงคงหมายถึงจะให้กฏหมายเป็นผู้ตัดสินลมหนาว
ซึ่งตรงนี้ยิ่งทำให้ผมเจ็บหัวใจราวกับมีมีดคมมากรีดแทง ยอมรับว่าผมยังรักลมหนาว
ยังรักอยู่เสมอ
ไม่เคยหยุดรักเลย…
ทว่าภาพของผู้ชายที่เห็นในคืนเกิดเหตุยังไงผมก็มั่นใจว่าเป็นเขา
แต่...มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน คนปกติถูกยิงไปตั้งหลายนัดขนาดนั้นคงไม่มีทางรอดกลับมาหรอก
จะว่าเป็นแฝดก็ไม่น่าใช่ ผู้ชายคนนั้นคือลมหนาวทุกกระเบียดนิ้ว หรือจะเป็นอุปทานหมู่ระหว่างผมกับไอ้กฤษก็ยิ่งดูไม่น่าใช่อีก
ผมมั่นใจว่าตนเองจดจำเหตุการณ์ได้ครบถ้วน
“แม่ง...”
ผมนั่งหัวเสีย ครุ่นคิดพยายามหาทางออกกับเรื่องนี้
ในขณะที่บางคนเอาแต่คุยสนุกสนานกับใบเตยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นกุกกัก
ผมหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นสายจากกฤต
[ยุ มึงอยู่ไหน]
“องค์การ แล้วมึงเป็นไง ไข้ลดหรือยัง”
กฤตบอกว่าจู่ๆมันก็ปวดหัวจนไข้ขึ้น
สงสัยคงเพราะแผลฟกช้ำในคืนนั้นยังไม่หาย นี่ก็ลาหยุดไปตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้ภาสบ่นยับว่าส่งข้อความถามก็แทบไม่ค่อยตอบ
[กูไม่ได้ป่วย กูโกหก]
“อ้าว แล้วมึงโกหกทำไม?”
[กูเอาเงินเก็บทั้งหมดไปจ้างนักสืบเอกชนเรื่องไอ้ลมแล้ว
ตอนนี้กูรู้บางอย่าง]
“ว่าไงนะ!?”
ผมรีบป้องโทรศัพท์ เหล่มองอีกคน
แล้วละตัวออกจากลานกิจกรรมเพื่อหลบมาคุย
“กฤต มึงทำอะไรของมึง
ไหนเราจะสืบเรื่องนี้ด้วยกัน”
[ถ้าสืบด้วยกันมึงจะยอมมั้ย
มึงจะรับความจริงได้มั้ยยุ มึงรักมันตั้งขนาดนั้น สุดท้ายมึงก็จะปล่อยมันไปเพราะความใจอ่อนของมึง]
“กู...”
ผมพูดไม่ออก ถ้าจะมีใครซักคนบนโลกนี้ที่โง่ที่สุด
คนๆนั้นก็คงเป็นพายุอย่างผม
คนที่ไม่เคยพาตัวเองออกมาจากรักครั้งเก่าได้เลยซักครั้ง
คนที่ยังคงจมปรักอยู่ในความรู้สึกเก่าๆไม่เคยหลุดพ้น คนที่รู้ผิดชอบชั่วดี
แต่ก็ยังกลับเลือกที่จะปิดตาหนึ่งข้าง
[ถ้ามึงยังอยากรู้เรื่องของมันก็มาเจอกูตอนสามทุ่ม]
“ทำไมต้องเจอ บอกกูตอนนี้เลยก็ได้”
[มันไม่ปลอดภัยยุ แค่นี้นะ ถ้าอยากรู้ก็มา]
“เดี๋ยวกฤต...กูขอถามแค่คำถามเดียว” น้ำเสียงผมสั่นเครือ และนั่นคงทำให้ปลายสายสัมผัสได้ กฤตยังไม่วาง
ยังคงรอประโยคคำถามจากผม “เป็นลม...จริงๆใช่มั้ย”
[อืม]
“…..”
[พวกเราเข้าใจถูกทุกอย่าง]
ผมออกจากมหาลัยในตอนเกือบหกโมงเย็น
ไอ้ภาสไม่รู้หายไปไหนตั้งแต่บ่าย ผมโทรหาก็ไม่รับ ด้วยความง่วงที่จู่โจมอย่างหนักเพราะนอนไม่ค่อยหลับเป็นปกติ
ผมจึงแวะซื้อกาแฟร้านหนึ่งแถวชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านกฤต มันเป็นร้านที่ตั้งโดดๆไม่ค่อยมีคนเข้าไปนัก
จริงอยู่ที่ว่าผมแวะมาแถวนี้บ่อย หากแต่เพราะมาร้านกาแฟเจ้าประจำมากกว่าไปบ้านเพื่อนสนิท
“อเมริกาโนดับเบิลช็อตเหมือนเดิมนะคะ”
“วันนี้เอาทริปเปิลเลยครับ”
น้องพนักงานที่เจอหน้ากันจนชินยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส
เธอทำท่าจะชวนผมคุยอะไรต่อซักอย่างเหมือนทุกที ทว่าสายตาผมกลับเลื่อนไปเห็นใครบางคนที่เผอิญถือแก้วกาแฟตรงมาคล้ายกำลังจะกลับ
“ลม?”
ผมเจอเขาอีกแล้ว คนที่สวมชุดนักศึกษาตัวเนี้ยบกับทรงผมที่ปล่อยลงปรกหน้าต่างจากเดิม
และดูเหมือนเขาคนนั้นจะรำคาญผมเอามากๆ สังเกตได้จากหน้าตาเบื่อโลกนั่น
ผมรู้ดีว่าลมหนาวมีไม่กี่หน้าหรอก หน้าตายกับหน้าตาย
แต่หน้าตายแบบนี้คือรำคาญผมเข้าแล้วจริงๆ
“ยุไม่ได้ตามลมมาซักหน่อย”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ให้ตาย เย็นชาเป็นน้ำแข็งขั้วโลกชะมัด
ถ้าไม่บอกว่าเคยคบกันก็คงไม่มีใครรู้แน่ๆ :(
“แล้วลมมาทำอะไรที่นี่ครับ? มันไม่ได้ใกล้มอเลยนะ”
“เรื่องของผม”
อีกฝ่ายว่าทั้งอย่างนั้นก่อนจะรีบเดินผ่านหน้าผมไป
แต่มือผมไวกว่า แขนอีกฝ่ายถูกผมคว้ำไว้จนใครบางคนต้องหันมามองด้วยสายตาขุ่นๆ
เขาคงนึกอยากจะต่อยหน้าผมตัดรำคาญล่ะสิ
“ถ้าจะทำเรื่องแบบคืนนั้น...ยุขอเตือนเลยนะว่าไม่ดีแน่ๆ”
อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ
เจอกันทั้งที่แต่คำพูดที่ผมใช้กับเขาดันเป็นคำที่โคตรสร้างมิตรภาพ
“รุ่นพี่พูดเรื่องอะไร”
“ลม ลมเลิกทำแบบนี้เถอะ ยุเป็นห่วงลมมากเลยนะ
ถ้าลมหยุด ยุสัญญาว่าจะช่วยให้ลมไม่เป็นอะไร”
เขย่าไหล่เขาเบาๆเพื่อเรียกสติ พอได้พูดปากผมก็ห้ามไม่ได้
มันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจผมมาหลายวันยากจะเอาออก จากเรื่องเก่าที่ติดมามาตลอดหลายปี
ก็มีเรื่องใหม่ให้คิดมากเพิ่มทบลงไปอีก แต่แล้วยังไง ผมไม่อยากให้เขาทำร้ายใคร ผมไม่อยากให้เขาต้องเดือดร้อน
ไม่อยากให้เขาต้องถูกสังคมไล่ล่า
ผม...ก็แค่อยากให้ลมหนาวของผมมีความสุข
“รุ่นพี่ช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก”
“ลมหมายความว่ายังไง?”
“เพราะคุณอ่อนแอ”
“…..”
“เพราะเป็นอย่างนั้น เราถึงเลิกกัน”
สุดท้ายก็ค้นพบว่า นอกจากความสุขทั้งหมดของผมจะเกิดขึ้นจากผู้ชายที่ชื่อลมหนาวแล้ว
ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ล้วนเกิดขึ้นจากผู้ชายคนนี้เฉกเช่นเดียวกัน
“อ้าวพายุ เป็นไงมาไงถึงมานี่ได้ละจ๊ะ”
“ป้านวลสวัสดีครับ”
ผมกล่าวทักทายป้าของกฤตที่ออกมาต้อนรับอย่างเป็นมิตรหลังยืนกดออดรอหน้าประตูได้ซักครู่
ป้านวลให้ผมเข้ามานั่งรอข้างในเพราะกฤตยังไม่กลับ
ผมที่เพิ่งหน้าชาจากคำพูดของมนุษย์แฟนเก่าจึงได้แต่โอนอ่อนไปอย่างง่ายดายเหมือนคนไร้สติ
อื้ม...
ทำร้ายความรู้สึกผมเก่งที่หนึ่งเลยผู้ชายคนนั้นน่ะ
“เจ้ากฤตนัดเราที่บ้านสินะ ให้มันได้อย่างนี้สิ
เพื่อนต้องมารอ ตัวเองไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวาน แย่ๆ”
ผมยิ้มแหยะๆไม่ได้ตอบอะไร
แม่ของกฤตเสียตั้งแต่มันยังเด็ก
เจ้าตัวเลยโตมากับพ่อและพี่สาวของพ่อที่ดูแลแทนจนเปรียบเสมือนแม่
แต่พ่อของกฤตค่อนข้างดุ ผมกับภาสจึงไม่ค่อยมาบ้านมันบ่อยเท่าไหร่นัก
พูดถึงเรื่องกฤตก็อดนึกถึงเรื่องตัวเองไม่ได้
ผมก็โตมาโดยที่คุณพ่อเสียตั้งแต่เด็ก โชคดีที่ยังได้อาดีน
ผู้ชายที่ตามจีบแม่มาตั้งแต่สมัยเรียนคอยดูแล ผมจึงไม่ค่อยรู้สึกว่าขาดเท่าไหร่
ผมนั่งรอกฤตจนกระทั่งสี่ทุ่มแม่งก็ยังไม่มา
มันดึกเสียจนป้านวลขอตัวไปนอน ฝากผมปิดบ้านเรียบร้อย ส่วนพ่อไอ้กฤตยังไม่กลับ
เห็นว่าช่วงนี้ยุ่งๆกับธุรกิจ
ผมตัดสินใจโทรหากฤตเพราะเริ่มกระวนกระวายใจเรื่องข่าวของลมหนาว
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย
“มึงไปไหนเนี่ย เชี่ยกฤต”
ผมสบถอยู่คนเดียวพร้อมเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านอีกฝ่าย
อีกไม่ถึงสิบนาทีจะเที่ยงคืน แต่สิ่งที่ผมได้รับจากเจ้าของบ้านดันคือความเงียบงัน เป็นตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ในมือแผดเสียงร้อง
ผมใจชื้นรีบเกิดรับเพราะคิดว่าเป็นกฤต
[ยุ]
ทว่าไม่ใช่...
เป็นเสียงภาส
“โทรมาก็ดี มึงรู้ไหมว่าไอ้กฤตมันอยู่ไหน
นัดกูที่บ้านสามทุ่ม จนป่านนี้ก็ยังไม่โผล่หัวมา”
[ส่งโลไปในแชทกลุ่มแล้ว]
“หา?”
[มาหากู]
“อะไรนะ? จะให้กูไปไหนอีก
แล้วไอ้กฤต”
[มาหากู...พายุ]
เสียงของภาสนิ่งเรียบเสียใจผมเริ่มใจไม่ดี
กลัวจะเป็นเรื่องทะเลาะวิวาท ภาสมันไม่ใช่คนที่เคร่งเครียดเลยในกลุ่มของเรา
ติดจะตลกไปด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเวลาผมกับไอ้กฤตพูดเรื่องวิชาการ ก็จะมีมันนี่แหละที่คอยเอนเตอร์เทนไม่ให้บรรยากาศกลุ่มดูมาคุ
ผมปิดบ้านให้ตามที่ป้านวลไหว้วาน
รีบหยิบกุญแจรถตรงไปยังพาหนะคันประจำ ผมขับตามจีพีเอสที่ภาสแชร์โลเคชั่นมาในกลุ่ม
แล้วก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อยว่าโลเคชั่นดังกล่าวมันอยู่ใกล้ๆกับร้านกาแฟเจ้าประจำที่ผมเพิ่งแวะไปช่วงหัวค่ำ
“ภาส กูถึงแล้ว พวกมึงอยู่ไหนกัน”
[เดินมาตึกร้างหลังร้าน]
“เออ กำลังไป ทำไมคนเยอะจังวะ แล้วรถตำรวจมาทำไม
มีเรื่องอะไร”
ผมยกมือหนึ่งข้างบังแสงไฟหน้ารถจากหลายๆคันที่พอเดินผ่านแล้วมันสาดเข้ากระทบดวงตา
ใช้เวลาซักพักก็มาถึงโซนหลังร้านที่เป็นโกดังเก่าๆ
พอเห็นคนกระจุกเป็นไทยมุงความรู้สึกไม่ดีก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาในอก
“ไอ้ภาส! ตอบกู
เกิดอะไรขึ้น” กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อย่างกระวนกระวาย
[มาดูเองยุ]
ตุบ!
โทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหูถูกปล่อยลงจากมือทันทีที่ผมเดินเข้าไปแล้วพบภาสกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นซีเมนต์
ในมือของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยคราบเลือดจนกลิ่นคาวส่งมาถึงผม
สีหน้าของภาสเหมือนคนไร้สติ มันล่องลอย
น่าสงสาร ปราศจากความรู้สึก น้ำตาของภาสไหลอาบเต็มแก้มจนมือของผมเริ่มสั่นเทาตาม
“ภาส นี่มันเรื่องอะไร ทะ...ทำไมเป็นแบบนี้
ไอ้ภาส!”
ผมมองร่างของอีกคนที่นอนจมกองของเหลวสีแดงฉาน
ตรงกลางอกถูกปักด้วยดาบขนาดสั้นจนน่าจะทะลุขั้วหัวใจ ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกค้างไม่ต่างจากภาพวันนั้นที่ผมเห็น
เพียงแค่ใบหน้าดังกล่าวย้ายมาเป็นใบหน้าของอีกคน
“ภาส ไอ้เหี้ยภาส ตอบ!!”
เข่าของผมทรุดลงกับพื้นข้างๆภาส
น้ำตาถูกปล่อยให้ไหลออกมาอย่างไร้การควบคุม โลกของผมเหมือนพังทลายเป็นครั้งที่สอง
เหมือนเรื่องเลวร้ายทุกอย่างประดังเข้ามาภายในอาทิตย์เดียว
ผมกล่าวโทษตัวเองนับร้อยครั้ง กล่าวโทษซ้ำๆว่ามันเป็นความผิดของผม
“กฤตตายแล้วยุ...”
ถ้าผมไม่ปล่อยให้มันออกมาตามสืบเรื่องนี้คนเดียว
ไม่ปล่อยให้มันต้องเผชิญเรื่องอันตรายคนเดียว
เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้
“ไอ้กฤตไม่อยู่กับเราแล้ว”
และผมคงไม่ต้องสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไปแบบนี้
tbc.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 30
Comments
เพราะคุณเเค่ไม่ได้อ่อนเเอนะเเต่คุณไม่ดูตัวเองด้วยคุณรู้ว่าคุณเป็นเเฟนเก่าจบไม่สวยด้วยคุณยังไปยุ่งกับเค้าโอ้ยยยผมปวดหัวกับคุณมากนะพายุคุณทำไปเพื่ออะไรว่ะ
2022-05-14
1