3
ความแปลกประหลาดของโรงเรียนคีตวิทย์มีอยู่มากมายหลายอย่าง อย่างแรกที่เห็นเด่นชัดก็คือยูนิฟอร์มซึ่งดูเผินๆ มันก็คือเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกระโปรงสีดำระดับเข่า หรือกางเกงสีดำขายาวเหมือนโรงเรียนเอกชนทั่วไป ทว่าเรามีเนกไทสีดำที่มีแถบคาดสีขาวตามจำนวนชั้นปี ทางฝ่ายปกครองเข้มงวดมากเรื่องให้นักเรียนใช้ให้ถูกต้องตามระดับชั้น แต่พวกเขากลับไม่ว่าอะไรถ้านักเรียนไม่ได้ผูกเนกไทมา ย้อนแย้งเสียไม่มี
เพราะอย่างนั้นจึงเห็นแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวโล่ง เดินร่อนไปร่อนมาเต็มไปหมด ปลาดาวในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะบัดนี้เจ้าหล่อนกำลังง่วนอยู่กับการขุดดินเพื่อปลูกต้นทานตะวันจึงถอดเจ้าเนกไทตัวเกะกะออกไป
ความประหลาดอย่างที่สองก็คงเป็นชั่วโมงกิจกรรมที่มีมากกว่าชั่วโมงเรียนวิชาการเกือบเท่าตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพของการเรียนลดลงไปแม้แต่น้อย การที่พวกเรานักเรียนชั้นมอห้าทับสองกำลังช่วยกันพัฒนาสวนหย่อมข้างสนามกีฬาอยู่นี้ก็ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมจิตอาสา
ดา ดา ด๊า~
ระหว่างที่ฉันกำลังกลบดิน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงเริ่มรู้ตัวว่ามันดังมาจากโทรศัพท์ของฉันเอง แน่นอนล่ะว่าหลังจากเกิดเรื่อง ฉันก็เปลี่ยนไปใช้เสียงเรียกเข้าแบบธรรมดาไม่แปลกพิสดารเหมือนแต่ก่อน
[สายัณห์สวัสดิ์คุณตีนไก่] เสียงผู้ชายคุ้นๆ ดังเจื้อยแจ้วออกมา
“ใครพูดคะ”
[จำเสียงฉันไม่ได้หรือไง แหมๆ นึกว่าจะเป็นแฟนคลับตัวจริงเสียงจริงเสียอีก วันก่อนนู้นยังมาแอบตามถ่ายฉันอยู่เลยนี่]
ตรงนี้แหละฉันถึงรู้ว่าหมอนี่คือใคร
“กัปตัน! ”
ความจริงฉันน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว มีเขาแค่คนเดียวที่เรียกฉัน เอ๊ย… นางสาวไก่เขี่ยว่าคุณตีนไก่
“เอาเบอร์ฉันมาจากไหน” ฉันตอกกลับไปด้วยน้ำโหเล็กน้อย ทำให้ปลาดาวถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง ฉันขยับปากแบบไม่มีเสียงให้เจ้าหล่อนรู้ว่าปลายสายคือใคร
‘กัปตัน…’
ปลาดาวตาโตตอบ
[ก็เอามาจากน้องสาวฉันน่ะสิ แต่เดี๋ยวก่อนเลยนะ ไม่ต้องคิดล่ะว่าฉันพิศวาสอะไรเธอถึงขั้นอยากได้เบอร์]
“ไม่เคยคิดเลยย่ะ อย่าหลงตัวเองให้มาก”
[ให้มันน้อยๆ หน่อย สาวๆ ที่ไหนก็อยากไปเดทกับฉันทั้งนั้น]
เว้นฉันไว้คนหนึ่งแล้วกัน!
“งั้นนายต้องการอะไร” ฉันตัดบท
[คุยดีๆ ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง ฉันไม่กัดเสียหน่อย] เสียงถอนหายใจดังลอดออกมา [ก่อนกลับบ้านมาหาฉันที่แป้นบาสด้วย]
“ทำไมต้องไปด้วยมิทราบ”
[เรามีธุระต้องคุยกันหน่อย]
“ธุระอะไร เราหมดเรื่องกันแล้วนี่” พอถึงประโยคหลังฉันก็กระซิบ “ไม่ไปล่ะ เสียเวลา”
[ไม่มาก็ได้ งั้นฉันจะเดินไปหาเธอเดี๋ยวนี้แหละ แล้วเพื่อนทั้งห้องจะได้รู้ว่าคนใสๆ ซื่อๆ แอ๊บรักธรรมชาติอย่างเธอความจริงแล้วเป็นยัยงูพิษ]
“รักธรรมชาติบ้าบออะไรของนาย ฉันเคยไปพูดตอนไหนว่า…” ฉันเถียงกลับพลางขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แล้วพลันสายตาก็เหลือบลงมาเห็นพลั่วที่ตัวเองกำอยู่ในมือถึงได้รู้ว่ากัปตันหมายถึงอะไร
ฉันรีบโยนพลั่วทิ้งแล้วลุกยืนขึ้น สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ แล้วถึงเห็นว่าเขายืนอยู่ที่ทางเข้าสนามกีฬาห่างออกไปไม่ไกล มือหนึ่งแนบโทรศัพท์เข้าที่หู ส่วนอีกมือก็โบกทักทาย ยิ้มกวนๆ ส่งมาให้ฉันทางนี้
หน็อย… เขายืนดูฉันอยู่ตั้งนานแล้ว
“มีอะไรก็ว่ามา”
นั่นคือประโยคแรกที่ฉันใช้ทักทายบุรุษที่บัดนี้อยู่ในชุดกีฬาสีส้ม เขายืนกอดอกพิงกับเสาแป้นบาสรอฉันอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่นักกีฬาคนอื่นในชุดสีเดียวกันกำลังซ้อมอยู่ที่แป้นบาสอีกฝั่งของสนาม บริเวณนี้จึงมีแค่ฉันกับเขา
“พอดีว่าเมื่อกี้ฉันออกไปเจอเธอกับพวกเพื่อนๆ ข้างนอก สมองก็เลยแล่น นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้”
อะไรดีๆ งั้นเหรอ คงไม่ใช่ว่า…
“เสียใจด้วย ฉันไม่รับซองกฐินผ้าป่าอะไรทั้งนั้น จะเอาไปแจกทั้งห้องคงไม่ไหวหรอก”
“ไม่ใช่” กัปตันรีบร้อง
อ้าว! ไม่ใช่ซองผ้าป่า แล้วเรื่องดีๆ ที่ว่าคืออะไรกัน
“อย่าเพิ่งทำหน้างง ฟังให้จบก่อนสิ ฉันมีงานให้เธอทำ รับรองว่าไอ้ชมรมตามติดดาราอะไรของเธอนี่ดังเป็นพลุแตกแน่”
“ชมรมนักข่าวย่ะ” ฉันแก้
จะว่าไปชมรมเราก็ดังแล้วนะ แต่เป็นในทางที่ไม่ดีเนี่ยสิ แง…
“นั่นแหละ ฉันเห็นมันก็มีแต่ข่าวผู้ชายหล่อๆ กับดาวโรงเรียนเบาสมอง” กัปตันพูดหน้าตาเฉย
“หน็อย! ตกลงว่าเรียกฉันมาด่าสินะ”
“นี่เธอฟังให้จบก่อนได้ไหม” เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ไอ้เรื่องที่ว่าก็คือ… ฉันจะให้เธอทำข่าวฉาวของคนๆ หนึ่งต่างหาก”
ฟังเลยจ้า หูฉันผึ่งขึ้นมาทันที
“นายรู้อะไรดีๆ มางั้นหรอ แป๊บนะ ฉันหาอะไรจดก่อน”
แย่จริง! ไม่ได้เอากระเป๋ามา ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็มีแค่โทรศัพท์ พอนึกได้ก็เลยก้มหน้าล้วงหามันในกระเป๋ากระโปรง นายกัปตันจึงพูดต่อ
“ไอ้คนที่ว่าก็คือน้ำเย็น ห้องเดียวกับเธอ คงรู้จักใช่ไหม”
ฉันถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด แล้วเขาก็พยักหน้ายืนยัน
น้ำเย็นย้ายเข้ามาตอนมอสี่ และตั้งแต่เรียนด้วยกันมาฉันไม่เคยคุยกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่คุยเลย หน้าก็แทบจะไม่ค่อยได้เห็น รู้สึกว่าหมอนั่นจะไปขลุกตัวอยู่ที่ห้องชมรมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง จะว่าไปเมื่อกี้ตอนทำสวน ฉันก็มีโอกาสได้คุยกับเขา เพราะเขาถือฝักบัวอยู่
‘น้ำเย็น ขอน้ำล้างมือหน่อย’
แล้วหมอนั่นก็ตอบกลับมาเพียงว่า…
‘อืม…’
“เอ ไม่ยักรู้แฮะว่าน้ำเย็นมีเรื่องเสียหายด้วย” ฉันเริ่มวิเคราะห์ “เขาก็เงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครในห้อง ดูโอเคดีออก แต่ใครจะไปรู้ใช่ไหมล่ะ ไหนนายลองเล่ามาสิ”
ฉันประคองโทรศัพท์มือถือ เตรียมพิมพ์ตามที่กัปตันบอก
“ฉันไม่มีเรื่องจะเล่าหรอก คนที่ทำหน้าที่เขียนคือเธอต่างหาก”
หา…
“นายหมายความว่ายังไง”
กัปตันกระตุกยิ้มแล้วก็เผยความต้องการที่แท้จริงออกมา
“ฉันอยากเห็นข่าวบนหนังสือพิมพ์โรงเรียนว่าไอ้คนเพอร์เฟคอย่างมัน ทำเรื่องเสียๆ หายๆ มีเรื่องต่อยตีกับเด็กโรงเรียนอื่น หรือเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่เธอจะนึกออก เธอพอจะเขียนให้ฉันได้ไหม”
“นายจะให้ฉันนั่งเทียนเขียนว่างั้นเถอะ” ฉันสรุป
“จะพูดสั้นๆ แบบนั้นก็ได้”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันฟะ กัปตันจะให้ฉันเขียนข่าวใส่ร้ายน้ำเย็นเนี่ยนะ!
“ไม่มีทางย่ะ ฉันมีจรรยาบรรณของนักข่าว”
“จรรยาบรรณอะไรของเธอ แล้วที่เธอใส่ร้ายฉันล่ะ”
“เปล่าใส่ร้าย อันนั้นฉันเข้าใจผิดต่างหากเล่า! ” ฉันเถียงเสียงอ่อย จะบอกว่าฉันไม่ผิดก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอไม่ทำ ฉันจะแฉว่าเธอคือนังคุณตีนไก่”
ว่าไงนะ!
“เราตกลงกันแล้วนี่ ฉันลงประกาศขอโทษนายแล้ว แถมไอ้กลอนบ้าๆ นั่นยังทำให้ฉันเป็นตัวตลกในสายตาคนทั้งโรงเรียนอีก”
“ตกลงอะไร ฉันบอกว่าจะไม่ลากเธอเข้าห้องปกครอง ไม่ได้บอกว่าจะไม่แฉ” เขายื่นหน้าเข้ามาพูดอย่างหน้าตาเฉย
“ขี้โกง”
“เธอทำฉันก่อนนะ แถมข้อตกลงของเธอมันไม่รอบคอบเอง เอาเป็นว่าถ้าฉบับหน้าไม่เห็นข่าวมัน เธอคงจะรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น บาย… กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
หมอนั่นตบไหล่ฉันที่กำลังยืนอึ้งแล้ววิ่งไปรวมกับนักกีฬาที่อีกฝั่งของสนาม ทิ้งให้ฉันยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
อันอันนะอันอัน ซวยอีกแล้ว…
“นี่เขาแบล็กเมลแกอยู่นะเนี่ย” ยัยปลาดาวร้องขณะที่พวกเรากำลังเดินกลับบ้าน ด้วยความที่บ้านของพวกเราอยู่ห่างจากโรงเรียนในระยะเดินเพียงสิบห้านาที ปลาดาวอยู่ซอยสิบเก้า ส่วนฉันอยู่ซอยยี่สิบสาม
“ฉันรู้แล้ว จะย้ำให้ได้อะไร ฮือ... ทำไมกัปตันของแกถึงได้ใจร้ายแบบนี้”
“ก็แกไปทำเขาก่อนนี่ นี่แหละ เวรกรรมติดจรวด”
“พูดเหมือนกันเด๊ะเลยนะ แกเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่หรือไง” คำพูดของปลาดาวทำให้ฉันนึกถึงที่ตานั่นพูดเลย
“ก็ข่าวแกมันมั่วนี่นา บอกแล้วว่ากัปตันไม่มีทางกิ๊กกับเพื่อนของตัวเอง”
“ไม่ได้กิ๊กอะไรล่ะ ฉันเห็นแกคอยเชียร์เขาไม่ใช่เหรอ”
“แต่ไม่ใช่กับใครก็ได้เสียหน่อย กัปตันต้องจิ้นกับพี่สามภพเท่านั้น”
ฉันงงหนัก แล้วมันต่างกันยังไง ถึงอย่างไรยัยนี่ก็เชียร์ให้เขาชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอ
“ไม่รู้ล่ะ แกต้องช่วยฉันคิด เพราะถ้าเขาแฉฉัน แกกับชมรมก็จะโดนร่างแหไปด้วย”
“สรุปคือแกมาแบล็กเมลฉันอีกทีสินะ…” ปลาดาวว่า “จริงๆ มันก็ไม่ยาก มีสองทางเลือก ทำกับไม่ทำ แกต้องเลือกว่าจะแฉหรือจะโดนแฉ”
“ไม่ใช่แฉเฟ้ย! มันคือการใส่ร้าย และถ้าฉันเลือกที่จะทำแบบนั้น นายน้ำเย็นก็จะกลายเป็นศัตรูของฉันอีกคนหนึ่ง แถมหมอนั่นก็เป็นนักดนตรี คงมีคนชอบอยู่ ถึงไม่เท่ากับกัปตันก็เถอะ เห็นนิ่งๆ แบบนั้น หมอนั่นเอาฉันตายแน่”
น้ำเย็นย้ายเข้ามาในฐานะนักเรียนทุนดนตรี เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งดนตรีบ่อยๆ หน้าตาเขาก็ดีใช่เล่น แต่เป็นเพราะเขาชอบทำหน้านิ่งๆ จนดูเหมือนขี้เก๊ก บางคนก็ว่าน่ากลัว สาวๆ ที่คอยตามกรี๊ดเขาจึงไม่กล้าตามติดเหมือนแฟนคลับของกัปตัน
“นั่นสิ ถ้าแกไม่ใส่ร้ายน้ำเย็น แกตายแน่”
“แต่ฉันไม่อยากใส่ร้ายเขา…”
ถึงอย่างนั้นคำว่า แกตายแน่… แกตายแน่… ของปลาดาวก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
“จริงสิ! แกไม่ต้องใส่ร้ายเขาก็ได้นี่”
อะไรของเจ้าหล่อน เมื่อกี้ยังบอกว่าถ้าไม่ทำ ฉันตายแหงอยู่เลย
ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงยัยนั่นก็รีบยกมือห้าม
“ก็อย่างที่ฉันพูดไปตอนแรกไง ‘แฉ’ ไม่ใช่ใส่ร้าย แกก็แค่หาเรื่องจริงของเขามาเขียนไง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กัปตันก็ยังได้ข่าวฉาวอย่างที่เขาต้องการ ส่วนหนังสือพิมพ์เราก็จะมีข่าวลง ย้ำว่าเป็นข่าวจริงด้วย ไม่ใช่ข่าวมั่วอย่างของแก”
จริงด้วยสิ แบบนี้ก็เท่ากับว่าฉันไม่ได้ใส่ร้ายเขา แต่ยัยปลาดาวก็ยังไม่วายแขวะฉัน นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหล่อนปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมาได้ ฉันกระโดดกัดคอไปแล้ว
“แต่ที่ฉันสงสัยก็คือกัปตันไปมีความแค้นกับน้ำเย็นตอนไหนต่างหาก”
ก็จริงอย่างที่ปลาดาวว่า… แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมากังวลเรื่องนั้น!
ภารกิจสืบหาความลับของน้ำเย็นก็เริ่มต้นขึ้น โดยพวกเราอาศัยช่วงพักกลางวันขณะที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ลงไปรับประทานอาหารกลางวัน ปลาดาวรับหน้าที่ดูต้นทางอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนฉันก็กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นลิ้นชักใต้โต๊ะเรียนของน้ำเย็น มันไม่ได้ง่ายเลยเพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไรอยู่
“อันอัน ทำไมแกยังหาไม่เจออีก โต๊ะก็ไม่ได้ใหญ่เลยนะ” ปลาดาวกึ่งกระซิบ
“จะไปหาเจอได้ยังไงเล่า! ใต้โต๊ะหมอนี่มีแต่หนังสือเรียน ใครจะไปเหมือนแกล่ะที่มีนิยายวายอยู่ในกระเป๋า” ฉันตะโกนกลับ
“จะเสียงดังทำไมเล่า!”
ฮ่าๆ พนันได้เลยว่าปลาดาวไม่ได้กลัวว่าจะมีคนมาเห็นเรากำลังรื้อใต้โต๊ะเพื่อนอยู่ แต่เป็นเรื่องนิยายวายเรตยี่สิบห้าบวกของเจ้าหล่อนต่างหาก
จะว่าไปนอกจากจะมีแต่หนังสือเรียนที่ถูกจัดเป็นระเบียบแล้ว ใต้โต๊ะหมอนี่ก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลย แค่เจอบุหรี่หรือไฟแช็กก็น่าจะเป็นข่าวดังได้แล้วสำหรับนักเรียนตัวอย่างอย่างน้ำเย็น
น่าผิดหวังยิ่งนัก…
พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย ฉันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นกระเป๋าของเขาแทน มันเป็นกระเป๋าเป้สะพายหลังแบบธรรมดา วางนิ่งอยู่บนเก้าอี้ของเจ้าของ ฉันตัดสินใจเปิดมันออกอย่างไม่ลังเลด้วยกลัวว่าจะมีใครมาเห็นก่อน
ฉันถือวิสาสะล้วงมือลงไปควานหา อย่าโกรธฉันเลยนะน้ำเย็น ฉันโดนขู่มาให้ทำแบบนี้!
ด้านในก็คงความเป็นระเบียบไว้อีกเช่นเคย ฉันไม่แปลกใจเลย ในนั้นมีหนังสือการ์ตูนอยู่หนึ่งเล่ม โชคร้ายที่ไม่ใช่การ์ตูนวาย ไม่อย่างนั้นคงได้เรื่องไปเขียนแบบง่ายๆ แล้ว นอกจากนั้นมีแค่สมุดโน้ตธรรมดาไม่กี่เล่ม หนังสือ แล้วก็สมุดบันทึกหนาๆ เล่มหนึ่ง ฉันเกือบได้หยิบเจ้าสมุดนั่นมาดูแล้ว ถ้าสายตาไม่เหลือบไปเห็นอะไรเสียก่อน
กระเป๋าตังค์…
น้ำเย็นลงไปกินข้าวเที่ยง ทำไมถึงไม่เอากระเป๋าตังค์ไปด้วยล่ะ…
แย่ล่ะ! เขาลืมมันไว้ อีกไม่นานเขาต้องขึ้นมาเจอเราแน่!
“ยัยอันอัน น้ำเย็นขึ้นบันไดมาแล้ว” ปลาดาวตอกย้ำลางสังหรณ์ของฉันด้วยการรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้อง
ฉันลนลานรีบจัดทุกอย่างเข้าที่เดิมแล้วรูดซิปปิดกระเป๋า แต่ว่ามันกลับรูดไม่ขึ้น
ไอ้ซิปบ้า! มาติดอะไรตอนนี้ฟะ!
“เร็วๆ ดิอันอัน เดี๋ยวก็ซวยกันหมดนี่หรอก” ปลาดาวเร่ง
“มันรูดไม่ขึ้น” ฉันร้อง
“มานี่” แล้วเจ้าหล่อนก็รีบพุ่งเข้ามาช่วยฉันออกแรงดึง ทว่าซิปเจ้ากรรมก็ยังไม่ยอมเขยื้อน “ออกแรงหน่อยดิ ถ้าน้ำเย็นมาเห็น เราตายแน่”
ก็ออกแรงอยู่นี่ไงฟะ หน็อย… เป็นแค่ซิปแท้ๆ คิดจะต่อกรกับมนุษย์อย่างฉันเหรอ ไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ด้วยกำลัง!
“แกจับกระเป๋าไว้ให้แน่นๆ เดี๋ยวฉันดึงเอง” ฉันออกคำสั่ง
ปลาดาวทำตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่มีเวลาให้มาเถียงกัน แล้วฉันก็เลยจับเจ้าตัวที่รูดซิปไว้ให้มั่นทั้งสองมือแล้วออกแรงดึงสุดฤทธิ์
กึก!
“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ!”
ซิปถูกรูดขึ้นไปปิดสนิทในจังหวะเดียวกับที่เสียงนั้นดังขึ้น
เฮือก…
ฉันกับปลาดาวรีบถอยห่างออกจากโต๊ะของเขา โล่งใจที่ปิดมันได้สำเร็จ
เจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูง ผมสั้น ใส่เนกไทเรียบร้อยตามระเบียบ แน่นอนว่านั่นคือนายน้ำเย็น เขายืนจังก้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง เขาดูประหลาดใจปนตกใจถึงได้มองฉันและปลาดาวสลับกับโต๊ะของเขาอยู่สองสามรอบ
คาดว่าน้ำเย็นไม่น่าจะทันได้เห็นจะจะ ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ บางอย่าง
“เปล่านี่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” ปลาดาวรีบโพล่งขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอะไรผิดปกติสักนิด ผิดกับฉันที่หลบตาเขาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง
ขอคารวะเจ้าแม่การละครตัวจริง…
“ก็เมื่อกี้พวกเธอมายืนทำอะไรที่โต๊ะฉัน…” น้ำเย็นเดินปราดเข้ามาที่โต๊ะ ทำให้พวกเราต้องถอยห่างออกไปอีก
“เรากำลังจะไปกินข้าวกันต่างหาก แค่เดินผ่านโต๊ะนาย” ปลาดาวแก้ตัว
“โต๊ะเธอมันอยู่ฝั่งนู้น ใกล้ประตูกว่าตั้งเยอะ เธอจะมาเดินอ้อมผ่านทางนี้ทำไม”
ซวยแล้ว… เสร็จเขาแน่ๆ
“ก็เมื่อกี้เราไปยืนดูวิวแถวๆ หน้าต่างไง มันก็ต้องผ่านโต๊ะนายสิ” หล่อนแถต่อ
สะ… สุดยอด
“ชะ…ใช่ๆ” ฉันรีบเออออด้วย “ถ้านายไม่มีอะไรแล้วพวกฉันไปนะ”
สีหน้าน้ำเย็นยังดูมีความสงสัยเจือปนอยู่ แต่คงเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นมันกับตาตัวเอง เขาจึงถอนหายใจแล้วพยักหน้าส่งๆ
“อืม”
แล้วไป… หมอนี่ไม่คิดจะคาดคั้นอะไรอีก พวกเราจึงแอบถอนหายใจตอนที่สบตากันแล้วพากันรีบตรงไปที่ประตู
รู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว แม้ว่าพวกเราจะรอดแต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่ถูกต้อง มือข้างหนึ่งของฉันกำแน่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทำไมกันนะ
ฉันยกมือข้างขวาขึ้นมาดูก่อนจะค่อยๆ แบมันออก แล้วสิ่งที่อยู่ด้านในก็ทำให้รู้ว่าชะตาชีวิตของฉันได้มาสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนที่จะได้ยินเสียงน้ำเย็นตะโกนตามหลังมาเสียอีก
“หยุดก่อนเลยพวกเธอ!”
ไอ้เจ้าโลหะเล็กๆ ชิ้นนั้นก็คือหัวซิป… ฉันดันดึงมันหลุดติดออกมาด้วยซะได้!
น้ำเย็นคงรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับกระเป๋าของเขา และเขาก็คงจะรู้แล้วว่าไม่ใครก็ใครคนหนึ่งในพวกเราเป็นคนทำ และถ้าเขามาเห็นไอ้เจ้าหัวซิปในมือฉันนี้ เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าคนคนนั้นคือฉันเอง
“มีอะไรเหรอ” ปลาดาวหันกลับไป ฉันไม่เห็นสีหน้าของหล่อนแต่เดาได้เลยว่าคงเล่นละครได้เนียนสุดๆ อีกตามเคย
ส่วนฉันน่ะเหรอ ได้แต่หันหลังให้เขาพลางกุมมือตัวเองแน่น
“หัวซิปกระเป๋าฉันมันหายไปไหน” เสียงของเขาดังใกล้เข้ามามากขึ้น
“พูดเรื่องอะไรของนาย”
“ก่อนที่ฉันจะออกไป ซิปกระเป๋าฉันยังไม่พัง”
“ก็เลยมาถามฉันเนี่ยนะ ฉันจะไปรู้เหรอ”
“เธออาจจะไม่รู้ แต่เพื่อนเธอรู้แน่ๆ”
“…”
เฮือก… เขาไม่ได้หมายถึงฉันใช่ไหม เขาคงหมายถึงคนอื่นแน่ๆ แง… แล้วคนอื่นที่ว่านี่มันใคร ตรงนี้ก็มีแค่ฉันกับปลาดาว
“ว่าไง… เธอจะไม่หันมาจริงๆ อ่ะ อัญชลี”
ฮือ… นั่นชื่อจริงฉันเอง เขาหมายถึงฉันเนี่ยแหละ ทำไมนะทำไม หมอนี่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่กลับน่ากลัวกว่ากัปตันเป็นร้อยเท่า
ฉันจำใจฝืนยิ้ม แล้วค่อยๆ หมุนตัวหันไปทางเขา พลางซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ภาวนาให้เขาไม่สังเกต
“แหะๆ เรียกฉันว่าอันอันก็ได้ เราเป็นเพื่อนห้องเดียวกันนี่” ฉันแถเปลี่ยนเรื่อง
“เธอไปยุ่งกับกระเป๋าฉันทำไม” แต่เขาก็ตัดฉับกลับเข้าเรื่องทันควัน
“เปล๊า…”
ทำไมฉันถึงควบคุมเสียงตัวเองแบบปลาดาวไม่ได้ฟะ
“เธอขโมยอะไรไป”
“หา… เปล่านะ”
เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้ขโมยอะไรเลยเสียหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นเธอซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง”
“มะ… ไม่ได้ซ่อน”
น้ำเย็นไม่ฟัง เขาตรงเข้ามาจนหน้าแทบจะชนกับฉันแล้วถ้าหากว่าเขาไม่สูงกว่า หมอนั่นเอื้อมมืออ้อมมาที่ด้านหลังฉันเพื่อจะคว้าข้อมือฉัน แต่ฉันก็เบี่ยงตัวหลบพัลวัน
“เฮ้ย นายทำอะไร” ปลาดาวพยายามช่วยแยกเขาออกไป ทว่าไม่เป็นผล
“ถอยไปนะเฟ้ย!”
และแล้วสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้น น้ำเย็นคว้าข้อมือข้างขวาฉันไว้ได้ เขาดึงมันไปแล้วบีบให้ฉันแบมือออก
วินาทีที่เจ้าวัตถุโลหะวงรีในมือฉันกำลังค่อยๆ เปิดเผยตัวต่อหน้าธารกำนัล ฉันก็รู้แล้วว่าไม่รอดแน่ แต่สมองก็สั่งให้ฉันทำอะไรที่บ้าสุดๆ ลงไป
น้ำเย็นคงรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับกระเป๋าของเขา และเขาก็คงจะรู้แล้วว่าไม่ใครก็ใครคนหนึ่งในพวกเราเป็นคนทำ และถ้าเขามาเห็นไอ้เจ้าหัวซิปในมือฉันนี้ เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าคนคนนั้นคือฉันเอง
“เฮ้ย!” กลายเป็นว่าน้ำเย็นก็ตกใจ สีหน้าเขาเหวออย่างเห็นได้ชัด “เธอกลืนมันลงไปได้ยังไง”
“ได้สิ ก็นั่นมันเป็นยา ฉันต้องกินก่อนกินข้าว” ฉันพูดหน้าตายบ้าง เลียนแบบปลาดาว ตอนนั้นฉันก็หันไปมองเจ้าหล่อนด้วย เธออึ้งไม่แพ้น้ำเย็น
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้ขโมยอะไร” ฉันแถต่อเมื่อเห็นว่าทั้งสองยังอ้าปากค้าง “ทีนี้นายจะปล่อยมือฉันได้ยัง”
น้ำเย็นรีบปล่อยข้อมือฉันทันที
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปนะ”
ฉันรีบวิ่งออกจากห้อง ไม่ได้คิดจะหนีเขา ไม่ได้รีบไปที่โรงอาหาร แต่จุดหมายของฉันคือห้องน้ำ…
เมื่อกี้ฉันทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย…
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 27
Comments