2
“พี่อันอัน กับข้าวเสร็จแล้ว แม่เรียกให้ไปกินข้าว”
“บอกแล้วไงว่าอย่าเปิดประตูก่อนพี่ตอบ”
“ทีหลังก็ล็อกประตูสิ”
เอินเอินยัยน้องสาวตัวแสบจงใจเปิดประตูทิ้งเอาไว้ให้ฉันโมโห ก่อนที่เจ้าหล่อนจะวิ่งลงบันไดเสียงตึงตังไป จะบ้าตาย อยู่มอสามไม่ใช่เด็กๆ แล้วยังมาแกล้งกันอยู่ได้
พอดีกันกับที่ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ฉันรีบบันทึกไฟล์งานที่เพิ่งพิมพ์เสร็จก่อนจะเปิดอีเมลเตรียมส่งให้พี่มิกกี้ แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าพี่แกเปลี่ยนอีเมลสำหรับใช้ทำงานในชมรม
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจอย่างหัวเสีย รู้สึกเบื่อหน่ายกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
อีเมลใหม่ถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์…
ฉันลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วกระแทกก้นลงบนเตียง โดยไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าสะพายมาด้วย ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมาก็ยังไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย จนถึงตอนนี้การแจ้งเตือนก็ยังเป็นศูนย์แหงๆ
จะว่าไปควานจนทั่วกระเป๋าแล้วก็ยังไม่เจอโทรศัพท์เลย
ฉันเริ่มใจไม่ดี เทข้าวของทุกอย่างออกมาจากกระเป๋า แต่ก็ไม่มีวัถตุรูปร่างใกล้เคียงโทรศัพท์ในเคสสีชมพูออกมาด้วยเลยแม้แต่น้อย
แง อยู่ไหนเนี่ย…
ตัวฉันกระเด้งขึ้นจากเตียงโดยอัตโนมัติ หรือว่าจะทำตกอยู่ข้างล่าง ว่าแล้วฉันก็วิ่งลงบันได ทำเสียงดังตึงๆ ยิ่งกว่ายัยเอินเอินเสียอีก
“เอินเอิน เห็นโทรศัพท์พี่บ้างไหม”
คนที่ถูกถามนอนกดโทรศัพท์เอกเขนกอยู่บนโซฟาหน้าทีวี
“ไม่เห็นอ่ะ พอมาถึงพี่ก็วิ่งขึ้นห้องเลยไม่ใช่หรือไง”
ฉันรับรู้ได้เลยว่าตัวเองเริ่มหน้าซีดเผือด โดยเฉพาะตอนที่ยัยน้องสาวถามต่อ
“อย่าบอกนะว่า…” เอินเอินเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ “พี่ทำโทรศัพท์หาย”
“อาฮะ…” ฉันฝืนกลั้นน้ำตาพยักหน้ารับ
“ฮ่า! โดนแม่เฉ่งแน่!”
แล้วกัน ยัยเด็กบ้า! แทนที่จะช่วย แล้วจะเสียงดังทำไมน่ะ
“เบาๆ สิ เดี๋ยวแม่ก็ได้ยินหรอก อยากโดนมะเหงกเหรอ”
“พี่อันอันใจร้าย”
ฉันแบมือขอยืมโทรศัพท์ซึ่งเอินเอินก็ยอมให้แต่โดยดี ฉันกดเบอร์ตัวเองลงไปแล้วยกขึ้นแนบหู
เสียงสัญญาณดังขึ้น นานอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่มีคนรับ ยิ่งทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงด้วยความลุ้นระทึก เพราะคิดได้ว่าน่าจะทำโทรศัพท์ตกตอนที่ชนกับเพื่อนชายของนายกัปตันที่ข้างสนามบาสเกตบอลนั่น ถ้าจะมีใครเก็บได้ก็คงเป็นตานั่น หรือไม่ก็นายกัปตันเอง
ตายๆ นี่ฉันจะวิ่งหนีนายสองคนนั้นไม่พ้นเลยเหรอเนี่ย
แต่แล้วจู่ๆ เสียงสัญญาณก็หายไปพร้อมกับเสียงดังตึ๊ด ฉันแอบกลืนน้ำลายขณะรอฟังเสียงผู้ที่เก็บมันได้
ขอให้ไม่ใช่นายกัปตัน… ขอให้ไม่ใช่นายกัปตัน…
[สวัสดีค่ะ]
ขอบคุณสวรรค์ เสียงผู้รับโทรศัพท์นั้นเป็นผู้หญิง ไม่ใช่กัปตันแน่นอน
สรุปว่าคนเก็บโทรศัพท์ของฉันได้ก็คือน้องกอหญ้า มอสี่ ซึ่งฉันเองก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ได้ยินชื่อน้องแว่วๆ มาก่อน วันนี้ตอนพักกลางวันฉันก็เลยรอที่ห้องเพราะน้องบอกว่าจะเอาโทรศัพท์มาคืนให้ ทว่านั่งรอแล้วรอเล่าจนเกือบจะหมดเวลาพัก น้องกอหญ้าก็ยังไม่มา และท้องของฉันก็ร้องจ๊อกๆ เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง
จนกระทั่ง…
“พี่อันอัน!”
ยัยเอินเอินที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดมายืนเกาะขอบประตูหน้าห้องเรียนของฉัน เธอหอบแฮ่กๆ แก้มทั้งสองแดงก่ำ ตึกของเด็กมอสามของยัยนั่นอยู่ห่างจากตึกมอห้าอยู่ไกลพอสมควร
“ตกใจหมดเลย…” ฉันตะโกนตอบทั้งๆ ที่ทั้งห้องเงียบสนิท ปราศจากผู้คน
ฉันลุกจากโต๊ะเดินไปหายัยเอินเอินตามที่เจ้าตัวกวักมือเรียก
“พี่คนเมื่อวานส่งข้อความมาบอกว่าให้ไปเจอกันที่ร้านกาแฟหลังเลิกเรียน”
“อ้าว! ทำไมล่ะ”
“อย่าถามเขามากได้ไหม เขาไม่รู้…” ยัยเอินเอินตอบเสียงยาน “เขาเพิ่งได้ข้อความเมื่อกี้นี้เอง เนี่ยอีกแป๊บจะเข้าเรียนแล้วเลยรีบวิ่งมาบอก”
“แล้วไม่รู้จักโทรไปถามพี่เขาดูล่ะ”
“ไม่ใช่หน้าที่นี่ ทีหลังพี่อันอันก็อย่าทำโทรศัพท์หายสิ เขาไปล่ะ”
แล้วเจ้าหล่อนก็รีบวิ่งออกไปโดยพึมพำอะไรลับหลังคนเดียว
“เนี่ย! ไม่ขอบคุณเขา แล้วยังว่าเขาอีก ไม่รู้จักบุญคุณเลย”
“หน็อย… พี่ได้ยินนะยัยเด็กบ้า!”
ด้วยเหตุประการฉะนี้ ฉันถึงได้มานั่งซดชานมเย็นแก้วที่ห้าอยู่ที่ร้านกาแฟหลังโรงเรียน แต่ก็เป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงแล้วที่มานั่งรอน้องกอหญ้าอยู่ที่นี่ ร้านก็ใกล้จะปิดเต็มที คนที่เข้ามานั่งก็ทยอยออกไปจนหมด ข้างนอกก็มืดแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเลย
เอ… จะว่าไปฉันก็ไม่เคยเห็นน้องกอหญ้าเสียด้วยสิ แถมน้องเขาก็ไม่รู้จักฉันอีกต่างหาก แล้วมันจะไปเจอกันได้ยังไง
แต่มาคิดดูอีกที ยัยเอินเอินบอกว่าน้องเขาให้ฉันมานั่งรอที่โต๊ะเบอร์สิบ ถ้ากอหญ้ามาแล้วก็น่าจะตรงมาที่โต๊ะนี้เลยสิ หรือว่าน้องเขาจะลืมไปแล้ว โอย…
คิดได้ดังนั้น ฉันก็เลยกะจะลุกไปของยืมโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ร้านเพื่อโทรหาเอินเอิน จังหวะนั้นประตูร้านก็ถูกเปิดเข้ามา ฉันรีบหันไปมองลุ้นให้เป็นน้องที่นัดฉันมาจะได้กลับบ้านเสียที ทว่าพอเห็นว่าเป็นนักเรียนชายร่างสูง ความหวังก็เลยสลาย ฉันจึงตรงไปที่พี่พนักงานทันที
“พี่คะ หนูขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ พอดีหนูทำโทรศัพท์หาย”
พี่สาวผู้นั้นมองฉันครู่หนึ่ง แล้วก็ชะโงกหน้ามองข้ามไหล่ฉันไปที่โต๊ะ คงจะคิดว่าฉันกินไปเยอะขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้จ่ายเงินล่ะสิ สงสัยกลัวฉันจะชักดาบ
ฉันก็เลยยิ้มเจื่อนๆ พาร่างกลับไปที่โต๊ะเพื่อหยิบกระเป๋าตังค์ ฉันจะได้ใช้โทรศัพท์ที่ร้านได้เสียที แต่แล้วโต๊ะของฉันที่เคยว่างเปล่าก็ถูกครอบครองด้วยนายคนนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองตอนที่ฉันเดินไปถึงโต๊ะพอดี
“ขอโทษนะคะ โต๊ะนี้มี…”
แล้วฉันก็ต้องอ้าปากค้างไว้เพียงเท่านั้น เพราะเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ฉันตกใจจนต้องเผลอเรียกชื่อเขาออกมา
“กัปตัน!”
กัปตัน! ใช่แล้ว! กัปตันคนที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุดเนี่ยแหละ ทำไมต้องมาเจอกับเขาที่นี่อีกจนได้ แต่ใจเย็นๆ ไว้ก่อนอันอัน เขาไม่รู้จักเธอ
เจ้าของร่างสูงสบตากับฉันแล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้นแสดงความประหลาดใจ มือข้างหนึ่งกำลังหมุนโทรศัพท์มือถือของเขาเล่นบนโต๊ะ
“ตะ… โต๊ะนี้มีคนนั่งแล้ว” พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ฉันก็เลยรีบชิงเอ่ยปากไล่
“ขอนั่งด้วยคนไม่ได้เหรอ”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาของนายนั่นที่มองมามันดูแปลกๆ ชอบกล ทำให้ขนลุกวาบ
“งั้น… งั้นนายนั่งไปเถอะ ฉันกำลังจะกลับพอดี”
ไม่ได้การแล้วถ้าอยู่ต่อไปนานๆ เขาต้องสงสัยแน่ ยิ่งฉันทำตัวลุกลี้ลุกลน มือก็สั่นแบบควบคุมไม่ได้อีก ฉันรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋า แต่แล้ว…
หมับ!
เย้ย! จู่ๆ อีตากัปตันก็คว้าข้อมือฉันที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าตังค์ไว้
“จะรีบไปไหน”
น้ำเสียงน่าขนลุกชะมัด
“ฉะ…ฉะ…ฉะ”
ติดอ่างไปอีก! ฉันมั่นใจว่าไม่ได้มีพิรุธอะไร แต่จู่ๆ ก็โดนจู่โจมแบบนี้มันก็ตั้งตัวไม่ทันน่ะสิ
“ไม่อยู่คุยด้วยกันก่อนล่ะ จำฉันไม่ได้เหรอ สาวๆ ที่ไหนก็อยากคุยกับฉันทั้งนั้น”
“จะ… จำได้สิ นายชื่อกัปตันไง อยู่มอห้าห้องสาม นายดะ… ดังจะตาย ใครๆ ก็รู้จัก”
โอย… ตาบ้า จู่ๆ จะมาอยากสานสัมพันธ์อะไรกับฉันตอนนี้ นายชอบผู้ชายไม่ใช่หรือไง แล้วอยู่ๆ มาแตะเนื้อต้องตัว ถึงนายจะเป็น แต่ฉันก็ถือนะเฟ้ย!
“ก็ดังขึ้นเยอะเลย ต้องขอบคุณคุณตีนไก่”
ตะ… ตีนก่งตีนไก่อะไรกัน โอ๊ย! แล้วเมื่อไรยัยน้องกอหญ้าจะมาสักทีนะ นี่ฉันพร่ำบอกตัวเองในใจไม่ให้ลนลานไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว
“แล้ว… นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“บังเอิญว่าฉันเก็บโทรศัพท์ได้ ก็เลยจะเอามาคืน”
“อึก!”
แล้วฉันก็เลยหยุดสะดีดสะดิ้งเพราะความอึ้ง ประกอบกับนายกัปตันที่ออกแรงดึงมือฉันพอดี ร่างของฉันก็เลยเซลงไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา
ไม่ม้าง~ โลกคงไม่กลมขนาดนั้น เขาคงเก็บโทรศัพท์ของคนอื่นได้แน่ๆ เพราะเด็กผู้หญิงที่ชื่อกอหญ้าต่างหากที่เป็นคนถือโทรศัพท์ของฉันไว้อยู่
กัปตันละมือออกจากโทรศัพท์ที่เขานั่งหมุนเล่นอยู่สักพัก ฉันจึงได้เห็นว่าเจ้าโทรศัพท์สีดำในเคสสีชมพูมันดูคล้ายๆ กับโทรศัพท์ของฉันที่ทำตกหายไป
ของฉันจริงๆ ด้วย!
“โทรศัพท์ฉันไปอยู่ที่นายได้ยังไง”
กัปตันหัวเราะหึ “ก็ฉันเป็นคนเก็บได้ มันก็ต้องอยู่ที่ฉันสิ”
“โกหก เมื่อวานคนที่คุยกะฉันคือน้องที่ชื่อกอหญ้า”
“อ้อ…” เขาทำท่าเหมือนนึกขึ้นมาได้ “นั่นน้องสาวฉันเอง”
กอหญ้าเป็นน้องกัปตัน! สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดกลายเป็นความจริงจนได้
ขอถอนคำพูดที่เคยกล่าวขอบคุณสรวงสวรรค์ ดูเหมือนพวกเขาจะเกลียดฉันสุดๆ เลยล่ะถึงเล่นงานกันขนาดนี้ วันนั้นคนในสนามมีเป็นร้อย ทำไมคนที่เก็บได้ต้องเป็นเขาด้วยเนี่ย
“ว่าแต่เธอจะมาถามอะไรให้มากเรื่องเนี่ย ฉันเก็บได้ก็เอามาคืน ไม่ดีใจหรือไง”
“ขอบใจ แต่นายนี่มาช้ามากเลยนะ”
ฉันแอบถอนหายใจ ดูท่าทางแล้วเขาคงแค่เอาโทรศัพท์มาคืนจริงๆ ก็นั่นสินะ ต่อให้เขาเก็บโทรศัพท์ฉันได้ เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าฉันคือนางสาวไก่เขี่ย ฉันนี่คิดมากไปเองตลอด
ฉันยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย สีหน้าโล่งใจ แต่ขณะที่ยื่นมือออกไปก่อนจะถึงโทรศัพท์ กัปตันก็ดึงมันหนีไป
“เผอิญว่าเพิ่งเลิกซ้อมน่ะ ช่วงนี้ใกล้แข่งแล้วด้วย”
“นายก็ฝากให้น้องกอหญ้าเอามาให้ก็ได้นี่ รู้ไหมว่าฉันรอนายนานมาก”
“อืม… อยากมาดูหน้าเธอน่ะ” ก่อนที่สมองฉันจะทันประมวลความหมายได้ กัปตันก็โพล่งขึ้นมาอีก “สรุปว่านี่โทรศัพท์เธอสินะ”
“กะ… ก็ใช่น่ะสิ”
ตาบ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่…
“งั้นเธอก็คือยัยตีนไก่!”
หมอนี่ท่าจะเพี้ยน พูดถึงตีนไก่อะไรนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่เห็นรู้เรื่อง
“พูดอะไร ยัยตีนไก่อะไร ฉันไม่รู้จัก ฉันชื่ออันอันต่างหาก แต่ถ้าอยากกินตีนไก่ก็พอจะบอกร้านดังให้นายได้บ้าง”
“อย่ามาทำเป็นเนียน ก็ยัยคนที่เขียนข่าวใส่ร้ายว่าฉันเป็นเกย์ในหนังสือพิมพ์โรงเรียนไง!”
“อ้อ… นายคงหมายถึงนางสาวไก่เขี่ย ฮ่าๆ”
ฉันคลายปมที่คิ้ว แอบดีใจที่ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่อีตากัปตันพยายามจะสื่อ แล้ววินาทีต่อมาถึงนึกขึ้นได้ว่า…
หะ! เขารู้ความจริงแล้ว! รู้ได้ยังไง!
“หา… ว่าไงนะ ตีนไก่ ไก่เขี่ยอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน” ท่าทางของฉันก็เลยเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบในบัดดล
“แต่ฉันจำเสียงโทรศัพท์ในวันนั้นได้ วันที่ฉันโดนแอบถ่ายรูป เสียงแปลกๆ แบบนี้ไม่มีใครที่ไหนแน่”
อึก! เพราะไอ้ริงโทนบ้าๆ นี่แท้ๆ เลย ถ้าฉันเปลี่ยนตามที่พี่มิกกี้บอกตั้งแต่แรก หมอนี่อาจจะไม่เอะใจก็ได้ แต่ขืนยอมรับไปเขาต้องฆ่าฉันแน่ๆ ทำอะไรสักอย่างสิยัยอันอัน
จะว่าไปสกิลการเล่นละครไม่เนียนที่เรียนมาจากปลาดาวก็น่าจะพอใช้ได้บ้างล่ะมั้ง
“เอ่อ… นั่นไม่ใช่โทรศัพท์ของฉันหรอกนะ ฉันดูผิดน่ะ ตายแล้ว แย่จัง แหะๆ ของฉันต้องมีลายดอกไม้ที่เคสด้วย” ฉันรีบรัว พูดเอง สรุปเอง
กัปตันพยักหน้าทำเหมือนจะเชื่อ ทำให้ฉันยิ่งโล่งใจแต่…
“ถ้าไม่ใช่ของเธอ งั้นฉันจะโยนทิ้ง”
“หา…”
เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาจริง มองหน้าฉันนิ่ง แต่ยักคิ้วกวนประสาท
“หนึ่ง…”
“เดี๋ยวๆ รอเจ้าของก่อนไหม เอามาให้ฉันช่วยหา เดี๋ยวก็เจอ”
“สอง…”
“นายๆ มันแพงนะเฟ้ย! ถ้าเจ้าของมาเจอ นายแย่แน่”
“สะ…”
กัปตันยกขึ้นเหมือนจะปาลงพื้นจริงๆ
“อ๊าย! โอเคๆ ฉันยอมแล้ว ของฉันเอง ฮือ… อย่าโยนน้า…”
ฉันรีบยกมือสารภาพ ทำน้ำเสียงน่าสงสาร หวังว่าเขาจะเห็นใจ
“เธอนี่มันลื่นจริงๆ เลย เห็นๆ อยู่ว่าภาพล็อกหน้าจอเป็นรูปเธอยังจะมาแถ…”
กัปตันใช้นิ้วโป้งกดปุ่มทำให้หน้าจอโทรศัพท์สว่างจ้าขึ้นมา แล้วก็เห็นเป็นหน้าฉันชูของนิ้วอย่างที่เขาว่าจริงๆ อ๋อย… หมองูตายเพราะงูฉันใด ยัยอันอันก็ตายเพราะรูปหน้าจอฉันนั้น
“แหะๆ งั้นขอคืนนะ จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน”
ฉันเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์อีกรอบ แต่เขาก็ดึงมันหนีอีกครั้ง
“คิดว่าที่เธอใส่ร้ายฉันมันจะจบง่ายๆ เหรอ”
“ฉันยอมรับว่าโทรศัพท์เป็นของฉัน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นนางสาวไก่เขี่ยนี่ เสียงโทรศัพท์ที่นายได้ยินมันอาจจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ใช้ก็ได้”
“อ๋อเหรอ…” กัปตันลากเสียงประชด แล้วเขาดึงมือฉันไป บังคับให้กางนิ้วชี้ออกแล้วทาบลงที่ปุ่มด้านล่างหน้าจอ หมอนั่นไม่ปล่อยจนกระทั่งสามารถปลดล็อกโทรศัพท์ของฉันได้สำเร็จ
“ทำอะไรของนายเนี่ย!!”
“เงียบ! ก่อนที่ฉันจะบอกคนทั้งโรงเรียนว่านางสาวไก่เขี่ยคือใคร”
หมอนั่นชี้นิ้วห้ามพร้อมดุด้วยน้ำเสียงดังที่ฟังดูจริงจัง ฉันก็เลยได้แต่ปิดปากเงียบ นั่งสลดอยู่ฝั่งตรงข้าม
“…”
เขาจิ้มลงบนหน้าจออยู่สองสามทีแล้วก็วางมันลงบนโต๊ะ
“นี่ไงรูปฉันที่เธอแอบถ่าย มันอยู่ในโทรศัพท์เธอ แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่อีก!”
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้… จำเลยจำนนต่อหลักฐานค่ะ แหะๆ
“โอเคๆ ฉันเองแหละ ฉันคือนางสาวไก่เขี่ย แต่นายจะมาโกรธฉันไม่ได้นะ มันเป็นเรื่องจริง”
ฉันบุ้ยปาก โยนความผิดให้เป็นของนายกัปตันเสียเอง จริงๆ การที่เขาจะจู๋จี๋กับแฟนไม่ว่าจะเพศใดก็ไม่ผิด แต่ไม่ใช่ที่ในโรงเรียนเฟ้ย!
“ที่ฉันโกรธเพราะมันไม่ใช่เรื่องจริงเนี่ยแหละ ฉันไม่ได้กอดกับมันโว้ย! มีคนแกล้งเอาหมามุ่ยไปใส่เสื้อไอ้เปี๊ยก ฉันถึงต้องไปดูให้มัน นี่ไม่สงสัยหรือไงที่ตอนนั้นมันหายหน้าไปตั้งสองสามวัน มันไปนอนโรงพยาบาลมาเฟ้ย!”
อ้าว… เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่ฉันเห็นนี่นา
“แต่ๆๆ ฉันก็ไม่ได้เขียนชื่อนายตรงๆ นี่ ฉันเขียนชื่อย่อ หนังสือนินทาดาราใครๆ เขาก็ทำกัน ใครจะไปรู้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเป็นนาย คนชื่อกอไก่มีตั้งเยอะแยะ”
“คงจะมีแต่ยัยโง่อย่างเธอล่ะมั้งที่ไม่รู้ ‘หลังแป้นบาส’ นักกีฬาว่ายน้ำเขาไปว่ายกันที่สนามบาสมั้ง แล้วนี่อะไร เบลอรูปหน้าฉัน แต่ยังเห็นกระเป๋าที่วางอยู่เนี่ย มันเป็นของฉันชัดๆ เธอรู้ไหมว่าตอนแรกๆ มีแต่คนมาถามจนตอบไม่ไหว แถมสาวๆ ก็ยังหนีไปหมด โชคดีที่ยังมีคนเชื่อฉันอยู่บ้าง”
ฉันได้แต่อ้าปากค้าง หมดคำพูด ไม่รู้จะเถียงกับเขาได้อย่างไรเลยจริงๆ ผู้ชายอะไรด่าฉอดๆ มาเป็นชุด ฉันว่าฉันไม่ได้เข้าใจผิดนะ
“เธอต้องไปห้องปกครองกับฉัน!”
ห้องปกครอง!
“อ๊าย~ อย่า! อย่าเลยนะ มันจำเป็นจริงๆ ชมรมของฉันกำลังจะถูกปิด ถ้าไม่ทำแบบนั้นชมรมฉันแย่แน่ ยกโทษให้ฉันเถอะน้า… จะให้ฉันทำอะไรก็ได้”
ฉันยกมือไหว้ อ้อนวอน แทบจะกราบนายนี่พร้อมดอกไม้ธูปเทียนอยู่แล้ว
“ก็ได้ๆ” เขาเงียบไปครู่หนึ่งจึงยอม “ถ้าเธอเขียนแก้ข่าวให้ฉัน”
เอ๋… เขายอมง่ายๆ ผิดคาดแฮะ แต่นั่นมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง
“หา… จริงเหรอ ขอบคุณนะ เย่! นายใจดีที่สุดเลย”
ฉันกระโดดโลดเต้นจนเผลอจะโผเข้ากอดกัปตัน เพราะลืมตัวยังเผลอคิดว่าเขาชอบผู้ชาย แต่นายนั่นรีบดันตัวออกมาก่อนพร้อมกับเมินหน้าหนี
“พอเลย… ส่งมาให้ฉันอ่านก่อนด้วย ถ้าฉันอนุมัติ เธอถึงจะเอาไปลงได้”
สาบานเถอะว่าหมอนั่นให้อภัยฉันแล้วจริงๆ เขาแกล้งให้ฉันแก้ตั้งสิบกว่ารอบ แทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่ว่า… โฮะๆ หมอนั่นคงไม่ได้นอนเหมือนกัน เพราะต้องคอยอ่านและอนุมัติ
ปรากฏว่าเปล่าเลย… วันนี้เขาไม่ได้มาโรงเรียน ได้ยินว่าจะมีแข่งรอบคัดเลือกเร็วๆ นี้จึงลาหยุดไปเก็บตัวก่อนซ้อมใหญ่ได้ ป่านนี้คงนอนตีพุงหัวเราะเยาะฉันอยู่ล่ะมั้ง
ช่างเถอะ… เอาเป็นว่าฉันมีงานส่งให้พี่มิกกี้สำหรับตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โรงเรียนฉบับต่อไป ซึ่งเราทั้งสองก็ประเมินกันแล้วว่าจะช่วยลดความเกลียดชังที่มีต่อชมรมลงไปได้บ้าง เพราะบทกลอนขอโทษขอโพยที่กัปตันบังคับให้ฉันเขียนเพื่อเป็นตัวตลกในสายตาชาวโรงเรียน ไหนจะบทความเยินยอตัวเองเลี่ยนๆ ที่ฉันต้องฝืนใจแต่งตามใบสั่งของเขาอีก
ส่วนปลาดาวก็เปิดคอลัมน์ใหม่ สัมภาษณ์นักเรียนชายหนุ่มฮ็อตของโรงเรียน ยัยนั่นจริงจังถึงขั้นออกเงินจ้างตากล้องมืออาชีพมาถ่ายเหล่าบรรดาชายหนุ่มรูปหล่อในสตูดิโอชื่อดัง พร้อมกับชูจุดขายว่าจะไม่มีใครเห็นภาพแบบนี้ที่ไหนแน่ๆ คาดการณ์กันว่านั่นจะช่วยเพิ่มยอดคนอ่านให้กับเราได้อีก ตอนแรกพวกเราก็คัดค้านกันเพราะเห็นว่างบประมาณไม่พอ เจ้าหล่อนก็เลยสวนกลับมาสองคำว่า
‘ฉันรวย’
เป็นอันว่ารู้เรื่อง
“เยี่ยมมาก ต้นฉบับรายปักษ์นี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เดี๋ยวเหลือแค่ส่งไฟล์ให้ทางโรงพิมพ์” พี่มิกกี้ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเอ่ยสรุปการประชุม
ฉันและปลาดาวสมาชิกเพียงสองคนช่วยกันปรบมือ ประหนึ่งว่านี่คือความสำเร็จขั้นสุดยอด ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างรู้ดีว่าต้องทำงานหนักแบบนี้ต่อไปทุกสองอาทิตย์ โดยลืมไปอีกเช่นเคยว่าพวกเรากำลังนั่งอยู่ที่โรงอาหารท่ามกลางเหล่านักเรียน
ยังไงก็ช่างเถอะ ชมรมของเรารอดตายเป็นครั้งที่สอง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 27
Comments