ตัวร้ายของข้าใครห้ามแตะเด็ดขาด!

ตัวร้ายของข้าใครห้ามแตะเด็ดขาด!

บทที่ 1

เรื่อง'รักข้ามภพชาติ' นิยายทางเว็บชื่อดังที่ตัวละครนายเอกที่เป็นผู้แต่งหลุดเข้าไปในโลกนิยายที่ตัวเองแต่งและมาอยู่ในร่างตัวร้ายที่ตัวเองแต่งอย่างไรอย่างนั้นจากนั้นก็ทำการเปลี่ยนบทบาทของตัวเองสลับกับตัวละครนายเอกที่ตัวเองแต่งขึ้นให้มารับบทตัวเองแทน

ส่วนเรื่องเนื้อก็ประมาณว่าตัวคนแต่งเปลี่ยนเนื้อหาตัวเองเปลี่ยนจากตัวร้ายขี้อิจฉามาเป็นเมียพระเอกส่วนนายเอกที่แกแต่งแกก็ยัดเยียดให้มาตายแทนแก!!! ส่วนตัวร้ายหลักแกก็ให้ตายอนาถกว่าเก่าโดยการช่วยพระเอกผลักลงหลุมดาบเนี่ยนะ!?.

"F..ck!! ไอ้คนแต่งแกมันก็นะทำไมไม่แต่งให้ไอ้ตัวแย่งบทชาวบ้านเนี่ยให้มาช่วยกันไม่ให้เกิดสงครามวะ แต่กับแต่งให้มาแย่งบทชาวบ้านเนี่ยนะให้ตายไอ้เวร"

"ฉันขอสาปแช่งแกไอ้นักเขียนที่ทำให้คนอย่างฉัน ที่ติดตามนิยายแกมานานกว่าหนึ่งปีสุดท้ายแกก็ให้พระเอกชนะทุกอย่างส่วนตัวร้ายแกก็ให้แพ้ตลอดไอ้เวร"

"อะไรคือการที่ตัวร้ายจะต้องพูดว่า "ในเมื่อข้าไม่ได้ แกก็อย่าหวัง!" จากนั้นก็ปะทะสู้กันไปมาส่วนนายเอกตัวแย่งบทก็เข้าช่วยพระเอกอีกแรงทำให้สามารถเอาชนะตัวร้ายได้เนี่ยนะ? วอทคืออะไร!!"

ถังฉือที่ตอนนี้แทบจะทุบคอมตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆเสียตรงนั้นเลย

เขายอมไม่ได้กับบทจบที่ตัวนายเอกที่เป็นผู้แต่งหลุดเข้ามานิยายตัวเองและเปลี่ยนให้มันยิ่งแย่ไปกว่าเก่า จากที่แกควรจะดีใจได้แล้วที่พระเอกยอมเป็นผัวแกดีๆ ไม่ใช่ให้แกมาพยายามหาทางกำจัดนายเอกที่ตัวเองสร้างขึ้นแบบนี้!!

อิคนแต่งก็กวนประสาทเสียจริงที่ทำให้ตัวนายเอกเออไม่สิตัวร้ายที่ถูกนายเอกแย่งบทที่เป็นคนมีปมมาตั้งแต่เด็กต้องมาตายถูกวางยาแทน 

ถังฉือพิมพ์บ่นทางเว็บนิยายทันที โดยไม่สนใจเลยว่าคำเหล่านั้นที่พิมพ์ไปจะทำร้ายความรู้สึกหรือไม่สำหรับเขาในตอนนี้แล้วเขายอมไม่ได้เด็ดขาดกับการที่ผู้แต่งเวรคนนี้แต่งนิยายได้ออกมาบัดซบที่สุดแบบนี้

ฉันขอให้แกไม่มีผู้หญิงมารัก

ขอให้แกเป็นเกย์!!!

ขอให้แกทะลุมิติมารับกรรมแทนตัวร้ายที่ถูกนายเอกแย่งบทซะ จะได้โดนฟาดตีโดนคมดาบนับพันซะและคนที่แกแต่งให้เกลียด เกลียดแกซะ ไอ้งี่เง่า!!!

หลังสิ้นเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ที่เต็มไปความเดือดความเกรี้ยวกราดก็ตามด้วยเสียงทุบจอคอมอย่างแรงจากนั้นถังฉือก็เข้านอนทันทีด้วยความเดือดอย่างห้ามไม่ได้

แต่ว่าหารู้ไม่ว่าหากเขานั้นรู้ว่าการหลับครั้งนี้จะทำให้พบกับชะตากรรมที่ไม่สามารถหลีกหนีไปได้เขาก็อยากจะกลับไปขอโทษนักเขียนพันรอบและลบข้อความสาปแช่งเหล่าออกไปให้พ้นๆจากจอคอมซะ!

-----------------------●●------------------------

เช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกของใครบางคนปลุกให้ตื่น

"คุณชายเพคะทรงตื่นได้แล้วเจ้าคะ"

"อือขอนอนต่ออีกห้านาที...."เขากล่าวอย่างเกียจคร้าน

"ไม่ได้แล้วเจ้าคะ ฮูหยินซูเม่ยและคุณชายใหญ่รอร่วมทางอาหารกับท่านอยู่นะเจ้าคะ"นางพยายามปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น

ถังฉือจึงต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจแต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องพบว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนซักแห่งที่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง

"ที่นี่มันที่ไหน...."เขากล่าวออกมาอย่างลืมตัว

"ที่นี่ก็คือห้องของคุณชายยังไงล่ะเเจ้าคะ?" สาวใช้ด้านข้างกล่าวบอกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งงงงัวทันที

"เมื่อกี้เรียกเราว่าอะไรนะ?"เขาถามอีกฝ่าย

"คุณชายเจ้าคะ"นางตอบตามตรง

"ข้าชื่ออะไรแล้วข้าลูกใคร..."เขาถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

"คุณชายมีนามว่า หลิวเฟิ่งลู่ บุตรชายคนที่ห้าของท่านเกาฉางเหยียนอย่างไรเจ้าคะ"นางตอบตามตรง

ถังฉือได้ยินแบบนั้นก็อยากจะนอนไปอีกรอบและนอนไปยาวๆเพื่อไม่ให้ตื่นมาอีกเลย เพราะตอนนี้เขาได้มาอยู่ในโลกนิยายเฮงซวยบังซบที่เขาพึ่งจะด่าไปซะแล้ว

แต่ว่าคำด่าสาปแช่งที่เขาส่งไปให้นักเขียนแต่ว่าทำไมถึงมาตกมาที่เขานะ และยังส่งมาอยู่ในร่างนายเอก...เออไม่สิ...ตัวร้ายหรือตัวประกอบที่ถูกนายเอกแย่งบทตั้งหากถึงจะถูก......

รู้สึกว่าอิผู้แต่งจะปูมาว่าตัวละครตัวนี้เกิดมาในเมืองแคว้นที่มีแต่คนเกลียดชังเขาเพราะเขานั้นเป็นคนอ่อนแอและยังทำห่าอะไรไม่ได้ มีพ่อไม่รักเพราะเป็นลูกชู้แต่ยังดีที่มีพี่ชายต่างมารดาและท่านแม่เลี้ยงค่อยอยู่เคียงข้างเขาแต่ก็นะบทของข้าถูกปูมาให้นักอ่านด่ายิ่งชีวิตบังซบเท่าไรคนอ่านยิ่งชอบ หึๆเพราะงั้นสรุปได้เลยว่าหลังจากเขาวังก็ถูกหาว่าเสแสร้งทำตัวอ่อนแอแต่ความจริงข้ากากจริงๆนะ!!

เขาคิดอยู่นานว่ายังไงซะนี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะกู้บทนายเอกที่ถูกอินายเอกตัวปลอมแย่งบทคืนมาก็ได้!!

ถึงจะไม่เข้าใจว่าที่นี่คือความฝันหรือว่าโลกความจริงกันแน่ แขาก็จะกู้บทนายเอกคืนมาให้ได้!

เมื่อคิดได้แบบนั้นก็ลุกขึ้นและหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย "อือเจ้าไปบอกท่านพี่กับท่านแม่ว่าเดี๋ยวข้าจะรีบออกไปนะเจ้า...."

"มี่ฮวาเจ้าคะ..คุณชาย"นางเห็นว่าอีกฝ่ายจะถามชื่อจึงรีบตอบให้

"เออนั้นแหละ มี่ฮวาขอบคุณนะที่บอกฮะๆ"เขาหัวเราะออกมา

มี่ฮวาเห็นแบบนั้นก็นิ่งอึ้งไปเพราะคุณชายคนที่ห้าไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะออกมาแบบนี้เลย แต่เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเช่นเป็นรอยยิ้มที่งดงามเหลือเกิน

มี่ฮวาออกไปจากห้องทำให้เหลือเพียงแค่ถังฉือไม่สิ หลิวเฟิ่งลู่ตั้งหากที่อยู่ในห้องเพียงคนเดียว เขาเดินไปที่กระจกเก่าบานใหญ่ตรงหน้าพร้อมกับสำรวจเงาในกระจกของตัวเอง

ร่างที่สะท้อนออกมาคือบุรุษรูปร่างบาง ความสูงน่าจะ 177 เห็นจะได้ ผิวพรรณขาวเนียนใสเปล่งปลั่งอย่างธรรมชาติเออไม่สิซีดขาวเสียมากกว่าอีก เรือนผมดำเงางามยาวสลวย ดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนนัยน์ตาสีนิลช่างน่าหลงใหลยิ่งนั้น ริมฝีปากบางซีด แต่ถ้ารวมๆดูแล้วก็ถือได้ว่างดงามมาก

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างเขาที่มีใบหน้างดงามเช่นนี้จะถูกคนมาแย่งบทไปได้ แต่ก็นะต้องทำใจเพราะคนแต่งเขาอยากให้เขาเจอแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้วในเมื่อแกถูกส่งมาเพื่อมาเปลี่ยนบทและคิดจะกำจัดข้าทิ้งทั้งๆที่แกสร้างฉันขึ้นมา....

"แต่ว่าตอนนี้ตัวร้ายอย่างข้าที่ถูกคนอย่างนายเอกแย่งบทไป ข้าก็จะกลับมาทวงบทคืน....เฉินจิ้นหลิง...อ่อไม่สิ เหวินซื่อหลาง ข้าจะไม่มีวันตายแทนแกแน่และไม่มีวันให้แกกับพระเอกหน้าโง่นั้นที่บังอาจมาให้ความรักกับเขาและทิ้งข้าไป ได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิแน่จำเอาไว้ให้ดี!!"

แต่ว่าตอนนี้เขาต้องเล่นตามบทไปเสียก่อนจนกว่าจะถึงวันที่ต้องเข้าวังเพื่อไปแต่งงานจอมปลอมนั่น!

.

.

.

.

ในเวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ได้มาร่วมทานอาหารมื้อเช้ากับฮูหยินซูเม่ยแม่เลี้ยงของเขาและพี่ชายต่างมารดา หลานเทียนหรงแล้ว

ปกติเวลาร่วมทานอาหารก็จะทานกันอย่างเงียบๆ ไม่คุยอะไรพอทานเสร็จก็จะแยกย้ายกันไปแต่วันนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว เมื่อพี่ชายต่างมารดาเห็นว่าน้องชายของตนที่ปกติเป็นคนไม่ยิ้มแต่วันนี้กับยิ้มไม่หุบแถมยังดูท่าทางอารมณ์ดีอีกเสียด้วย

"วันนี้เจ้าดูแปลกไปนะ เฟิ่งลู่..."หลานเทียนหรงทักอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มไปหุบเสีย

"นั้นสิเฟิ่งเอ๋อร์ปกติลูกไม่ค่อยยิ้มเลยนะหรือว่าเมื่อคืนจะฝันดีใช่หรือไม่"ซูเม่ยที่เห็นเช่นกันก็ทักอีกฝ่ายเล่น

หลิวเฟิ่งลู่เห็นสองคนผู้เป็นที่รักที่สุดที่รักเขาทักกันแบบนี้ก็ รู้สึกทำตัวไม่ถูก "ใช่แล้วท่านแม่เมื่อคือลูกฝันว่าเมืองฉู่ของเรากับมารุ่งเรืองอีกครั้ง"

"หากเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกันนะเฟิ่งเอ๋อร์"ซูเม่ยตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้

ส่วนหลานเทียนหรงได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะออกไม่ได้กับความฝันไร้เดียงสาเช่นนี้ของน้องชายตนเอง

เมื่อทานอาหารเสร็จพวกข้ารับใช้ก็เข้ามาเก็บกันออกไป 

หลิวเฟิ่งลู่คิดจะกลับห้องแต่กับถูกพี่ชายต่างมารดาทักให้อยู่เสียก่อน "เจ้าแน่ใจแล้วนะว่าจะไปที่นั้นน่ะ?"

เมื่อได้ยินคำถามอีกฝ่ายซูเม่ยที่นั่งอยู่ข้างๆก็ทำสีหน้าเศร้าใจเช่นกันและเป็นห่วงอีกฝ่ายเช่นกันว่าหากไปที่นั้นจะไม่ยิ่งถูกรังแกกว่าเก่าอีกหรือ

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินเช่นนั้นพร้อมกับสีหน้าของคนที่ตนรักอย่างนั้นก็ยิ้มให้พร้อมกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน "ข้าเต็มใจ....เพื่อเมืองฉู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ยอมเพราะงั้นพวกท่านอย่าเศร้าใจไปเพราะข้าจะทำให้เมืองฉู่ของเรากับมารุ่งเรืองตามความฝันที่ข้าฝันให้ได้..."

"ถ้าเป็นแบบที่เจ้าว่ามาก็ดีสิ ฮึๆจะได้ไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับคนในตระกูล "จู่ๆก็มีเสียงแหลมของสตรีนางหนึ่งพูดขึ้น

"ท่านพี่ ข้าบอกแล้วไงว่าอย่ามาที่ตำหนักนี่อีก น่ะ" ซูเม่ยว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญทันที

คนผู้นั้นก็คือฮูหยินเอกหมินลี่ฟางนั้นเอง นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเดินเข้ามาหาคนร่างบางที่นั่งหันหลังให้พร้อมกับกระชากผมให้หันหน้ามา

หลานเทียนหรงที่เห็นแบบนั้นก็คิดจะเข้าไปดึงให้ออกจากอีกฝ่ายส่วนซูเม่ยก็คิดจะห้ามกับกระทำของฮูหยินเอกแต่หลิวเฟิ่งลู่ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน

"หึ อะไรสายตาแบบนั้นมันอะไรช่างน่าขันยิ่งนักเป็นแค่ลูกอนุภรรยาผู้ต่ำต้อย ทำอะไรก็ไม่ได้ซักอย่างจะมีรึ ที่จะทำให้เมืองฉู่ของพวกเรารุ่งเรืองตามที่ปากว่าได้"

"นี่ฮูหยินนี่ท่าน!!"หลานเทียนหรงได้ยินแบบนั้นก็เดือดแทนน้องชายต่างมารดาของตนแทนไม่ได้ แต่ใครจะไปคิดว่าน้องชายที่แสนจะอ่อนแอของตนนั้นจะทำเรื่องเช่นนี้

หลิวเฟิ่งลู่จับข้อมือเล็กของฮูหยินเอกพร้อมกับดึงออกและบีบกำอย่างแรงก่อนที่จะเป็นฝ่ายกล่าวแทน "ท่านก็ลองดูก็แล้วกันว่าข้าจะทำให้คนที่เหยียบหยาบข้าและคนที่ข้ารัก ได้เห็นว่าคนไร้หนทางเช่นข้าก็สามารถที่จะทำให้คนในเมืองฉู่นี้กลับมารุ่งเรืองได้คอยดูเถอะ!!"

พูดจบก็ผลักอีกฝ่ายอย่างแรงจนล้มไปนอนกับพื้น เฟยเทียนหรงและซูเม่ยที่เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนั้นก็อึ้งกันทันทีร่วมถึงฮูหยินเอกด้วย

"นี่! นี่เจ้ากล้าดียังไงมาผลักเช่นนี้ข้า ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านเกาฉางเหยียนแน่ ข้าจะให้เขาโบยเจ้าให้ตายเลยคอยดู!!"นางลุกขึ้นชี้ด่าอีกฝ่ายทันที

"ท่านแน่ใจนะว่า ตาแก่นั้นจะกล้าตีข้า อย่าลืมสิ ฮูหยินเอกว่าพรุ่งนี้ข้าก็ต้องเข้าวังแล้วหากข้ามีรอยตำหนิจากการโดนโบยขึ้นมาละก็..ตาแก่นั้นอาจหัวหลุดได้นะหึๆ"เขากล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

ฮูหยินเอกก็ทำได้เพียงแค่ชี้เท่านั้นและเก็บคำพูดและรีบวิ่งออกไปจากตำหนักนั้นทันที หลานเทียนหรงเห็นแบบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ส่วนซูเม่ยก็พยายามกันเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้

"ฮ่าๆ ในที่สุดน้องชายของข้าก็กล้าตอบโต้เสียทีนะ พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าเจ้าจะกล้าทำและพูดเช่นนั้นออกไปเจ้าแน่ใจนะว่าตาแก่นั้นจะไม่มีทางตีเจ้าน่ะถ้าเขารู้ว่าเจ้าเรียกเขาเช่นนี้"

"นั้นสิเฟิ่งเอ๋อร์ห้ามกล่าววาจาเช่นนี้อีกนะถึงแม้เขาจะทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าไว้เยอะแต่เขาก็เป็นพ่อของเจ้าเพราะงั้นอย่าเรียกเขาเช่นนี้อีกนะ"ซูเม่ยกล่าวห้ามลูกบุญธรรมของตัวเอง

"ไม่เป็นหรอกท่านแม่ท่านพี่หากเขากล้าทำเขาก็คงต้องรับโทษข้อหาทำให้ว่าที่พระชายาเอกขององค์ใหญ่แห่งแคว้นฉินบาดเจ็บ"เขากล่าวออกมาพร้อมกับหันหลังกลับห้องของตัวเอง

ซูเม่ยและหลานเทียนหรงขมวดคิ้วกันทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วงว่า คนที่พึ่งจากไปนั้นจะรอดอย่างที่พวกเขาหวังไว้หรือไม่

หลิวเฟิ่งลู่ที่กลับมาที่ห้องก็ดูของตกแต่งในห้องที่จัดวางไว้ พอสังเกตดูดีๆตัวละครตัวนี้จะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และชอบสีอะไรที่มันเป็นสีอ่อนๆช่างเหมาะกับเขาเสียจริง

แต่เสียอย่างเดียวคือร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ เพราะขนาดแค่ออกแรงบีบแขนฮูหยินเอกตอนนั้นยังต้องใช้ทั้งหมดที่มีบีบไปยังแขนเล็กนั้นเลย

ถ้าเป็นแบบนี้มีหวังจะเป็นฝ่ายแพ้เสียมากกว่าไม่ได้ล่ะ เราจะต้องหาวิธีที่จะทำให้ชนะไอ้เจ้าคนผู้นั้นให้ได้และทำให้ตัวร้ายไม่สิ หลิ่งเฟยหลง สามีของข้าเป็นองค์จักรพรรดิมังกรให้ได้....

เช้าวันต่อมาสำหรับวันที่เขาต้องจากเมืองฉู่ที่นี่ทุกคนในครอบครัวเขา....ไม่สิตัวปัญหาของเขามายืนส่งเขา

ตาแก่และฮูหยินอีกสามคนที่มาส่งต่างก็ทำสีหน้าหน้าตายทุกคนอยู่อย่างนั้นและลูกชายของพวกนางอีกด้วยเว้นแต่...พี่หลานเทียนหรงและฮูหยินซูเม่ยแม่เลี้ยงของเขาที่ยืนทำหน้าเศร้ากันไม่อยากให้ไป

"พี่ไม่อยากให้เจ้าไปเลย หากไปที่นั้นจะมีใครช่วยเจ้าได้กันนะ.."หลานเทียนหรงกล่าวเสียงสั่นกับอีกฝ่าย

"เฟิ่งเอ๋อร์ไปที่นั้นก็ทำตัวดีๆนะ"ซูเม่ยกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความเสียใจเช่นกัน

หลิวเฟิ่งลู่ที่กำลังจะขึ้นหันมาหาพวกเขาทั้งสองก่อนที่จะกระโดดกอดใส่พวกเขาทั้งสอง "ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่ท่านพี่ข้าจะทำให้เป็นจริงอย่างที่ข้ากล่าวออกไปให้ได้ เพราะงั้นขอให้พวกท่านรอเท่านั้น"

"อย่ามั่วแต่ยืนคุยรีบไปได้แล้ว!!"เกาฉางเหยียนผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่นานรีบกล่าวไล่ลูกชายที่ไม่เคยนับญาติหรือให้ใช้แซ่ให้รีบขึ้นรถม้าไป

หลิวเฟิ่งลู่มองพวกที่เหยียบหยาบเขาอยู่ครู่ด้วยสายตาที่เหมือนกับนักฆ่าทำให้คนที่อยู่ด้านหลังเกิดอาการขนลุกขึ้นมากันทันที

หลังจากที่จ้องอยู่นานเขาก็เก็บสายตาก่อนที่จะขึ้นรถม้าที่ทางวังหลวงส่งมาให้ไป พวกคนที่เห็นสายตาของคนที่พึ่งจากไปนั้นต่างก็ผวากันไปเพราะตั้งแต่คนผู้เกิดมาไม่เคยใช้สายตาแบบนั้นจ้องมาที่พวกเขาเลย

ที่แท้ที่ผ่านมาก็เสแสร้งสินะ แล้วพวกเขาควรจะทำอย่างไรดีหากมันกลับมาอีกทีและทำอย่างที่ว่าได้พวกเขาจะไม่โดนอะไรใช่ไหม

หลิวเฟิ่งลู่ที่นั่งอยู่บนรถม้ามองทอดออกไปด้านนอกด้วยสายตาเฉย 

ไปถึงที่นั้นก็ต้องเจอกับพ่อสามีนั้นก็คือองค์จักรพรรดิก่อนสินะหลังจากนั้นก็พาไปตำหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานอีกสามวันข้างหน้า

แต่ว่า...เท่าที่จำได้ในนิยายนั้นระบุไว้แค่ว่าเจ้าบ่าวของเขานั้นพอเสร็จพิธีก็หายไปเลยไม่แม้แต่จะเข้าหอเพื่อมองหน้าเขาเลย....

แต่ว่าก็ดีนะ.....ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะได้ไม่ต้องเสียตัวให้กับตัวร้ายอย่างไรล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากเห็นใบหน้าเหมือนกันนะว่าจะหล่อขนาดไหน

เพราะตั้งแต่ที่อ่านมาพวกสาวๆต่างพากันหลงเสน่ห์ของตัวร้ายกันทั้งนั้นร่วมถึงตัวเขาด้วย ที่ชอบตัวร้ายมากกว่าพระเอก

รู้สึกว่าจุดเด่นของสองคนนี้ก็คือพระเอกจะผมสีขาวบริสุทร์และมีรอยสีทองที่เป็นคำสาปมังกรขาวที่ผนึกไม่หมดเอาไว้ ส่วนตัวร้ายคือดวงตาสีแดงม่วงอัญมณีที่เป็นดวงตาของมังกรดำ

เฮ้อ แต่ก็นะก็คนอย่างเขาที่ควรเป็นนายเอกกับถูกคนที่สร้างเขาขึ้นมาแย่งไปทั้งพระเอกและตัวร้ายที่ควรหันมาแย่งเขาแต่กับหันไปแย่งเจ้าคนที่สร้างพวกเขาขึ้นมาซะอย่างนั้น

ส่วนเขาก็ถูกมองว่าเป็นตัวขี้อิจฉาและเป็นตัวปัญหาที่สมควรถูกกำจัด....ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะ ทั้งๆที่เขามันก็แค่ตัวละครที่เล่นตามบทเท่านั้นแต่นายเอกแย่งบทที่เป็นคนที่หลุดเข้ามาในนิยายที่ตัวเองแต่งก็รู้สิว่าเกมมันจุดไหนบาง

แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ แกรู้ว่าฉันจะเริ่มจุดไหนแต่ฉันเองก็รู้เช่นกันว่าแกจะเริ่มจุดไหนเช่นกันเพราะงั้นแกไม่มีวันที่จะตามเกมฉันได้หรอก

เขานั่งยกยิ้มขึ้นมา แต่หารู้ไม่ว่าเขานั้นนกำลังถูกใครบางคนจับจ้องมองผ่านทางม่านด้านหน้าคนขับรถม้าเอาไว้อยู่

-----------------------●●------------------------

"ถวายพระพรองค์องค์จักรพรรดิ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ"

ตอนนี้หลังจากที่เข้ามาในวังหลวงแห่งแคว้นฉินสิ่งแรกที่เขาทำคือการมาเคารพต่อพ่อสามีหรือนั้นก็คือองค์จักรพรรดิคนปัจจุบันนั้นเอง

ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างพากันหันมามองเป็นตาเดียวกันหมด เพราะท่วงท่าที่คนร่างบางนั้นทำช่างดูงดงามความสง่างามที่แฝงไปด้วยคนสมฐานะไม่ต่ำหรือเกินไปอย่างมาก

ทำให้ผู้เป็นองค์จักรพรรดิมังกรที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิวขึ้นเป็นปมทันที เพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเท่าที่เขาได้ยินมาเป็นคนขี้อายและยังขี้ขลาดอีกเสียด้วยแต่ใครจะไปคิดว่าพอมาเจอกันจริงๆแล้วคนผู้นี้ช่างสง่างามเกินกว่าคนแรกที่มาเสียอีก

"ลุกขึ้นเถิดคุณชายเกาเฟิ่งลู่ ข้ายินดีต้อนรับท่านสู่แคว้นฉินและข้าก็ยินอย่างยิ่งที่ได้ท่านมาเป็นสะใภ้ให้กับบุตรชายคนโตของข้า"เขากล่าวอย่างยินดี

แต่หารู้ไม่ว่าคำเหล่านั้นและรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าคือสิ่งจอมปลอม เพราะสำหรับคนผู้นี้แล้วคือแค่ต้องการเมืองฉู่ของเขามาครอบครองเฉยๆก็เท่านั้น

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะที่ฝ่าบาททรงต้อนรับเช่นนี้ต่อกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ"

หลังจากที่พูดคุยเสร็จกันจบลงองค์จักรพรรดิก็ให้องครักษ์คนสนิทที่อยู่ด้านหลังพาเขาไปส่งยังตำหนักที่เตรียมไว้สำหรับการเตรียมพร้อมการใช้ชีวิตในวัง

เมื่อมาถึงตำหนักสำหรับที่พักช่วงคราวของเขาองครักษ์ผู้นั้นก็หายไปเสีย เหลือเพียงแค่ข้ารับใช้และสาวใช้เท่านั้นที่อยู่ค่อยรับใช้เขา

"พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้ามีมี่ฮวาค่อยรับใช้แล้ว"หลิวเฟิ่งลู่กล่าวเสียงเรียบกับพวกข้ารับใช้ที่องค์จักรพรรดิมอบให้มารับใช้

พวกข้ารับใช้ได้ยินแบบนั้นก็รับคำสั่งและรีบออกไปกันทันที ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับข้ารับใช้คนสนิทเท่านั้นที่อยู่กับเขา

หลิวเฟิ่งลู่ทอดสายตาไปมากับสถานที่แปลกใหม่ของตน สำหรับเขาแล้วยุคจีนสมัยแบบนี้เช่นงดงามและอากาศดีเสียมากกว่าโลกปัจจุบันของเขาเสียจริง

"ยามนี้เจ้านั้นคงจะสาระแนไปหาพระเอกที่กำลังฝึกดาบอยู่ตรงมุมฝึกดาบสินะ..."หลิวเฟิ่งลู่พึมพำอะไรออกมาทำให้มี่ฮวาที่อยู่ข้างๆสงสัยขึ้น

"คุณชายกำลังพูดถึงใครหรือเจ้าคะ?"มี่ฮวาถามผู้เป็นนายของตัวเอง

"เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าข้าพูดถึงใคร แต่ตอนนี้เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำชามาให้ข้าจะได้หรือไม่"หลิวเฟิ่งลู่หันไปบอกกับอีกฝ่ายที่เข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องให้ออกไปทำอย่างอื่น

มี่ฮวาได้ยินก็ยอมรับคำไปเตรียมของที่ต้องการมาให้ผู้เป็นนายทันที หลิวเฟิ่งลู่มองแผ่นหลังของข้ารับใช้ที่พึ่งจากไปก่อนที่จะหันหลังกลับมามองท้องฟ้าที่สว่างสวยสดงดงามข้างหน้า

แต่จู่ๆก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาเขาจึงหันไปหาอะไรที่มันพอจะให้คนอย่างเขาฝึกร่างกายของเขาได้แต่ก็ไม่มีอะไรพอจะเป็นเครื่องมือฝึกซ้อมได้เลย

หาไปหามาก็เจอกับท่องไม้ยาวที่วางตั้งอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ข้างที่นั้นตรงหน้าตำหนัก เมื่อเห็นแบบนั้นก็รีบไปหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะแกว่งไปมาเหมือนกับร่ายรำกระบี่

เมื่อตอนที่อยู่โลกเดิมนั้นเขาเป็นคนมีฐานะดีจึงได้เรียนวิชาป้องกันตัวมาเยอะและก็ใช้อาวุธต่างๆได้แน่นอนว่าการเรียนใช้กระบี่เขาก็เรียนมาแต่สำหรับเขาแล้วเขาชอบการยิงธนูเสียมากกว่าอีก

เขาแกว่งไม้ไปมาด้วยท่วงท่าสง่างามส่วนสายลมที่พัดผ่านเขาไม้ใบที่ปลิวไปมาก็ตามกระแสลมที่เขาพัดผ่านจนไม้ใบสีเขียวเหล่านั้นปลิววงลอยรอบตัวเขาอย่างสง่างาม

"อะ!"

แกว่งไปแกว่งมาก็เกิดพลาดท่าเผลอเหยียบชายเสื้อของตน จนเสียหลักกระทันหันทำให้เขาหงายไปด้านหลังทันที

แต่ก็มีใครบางคนมาจับรอบเอวเขาไว้ได้ทันพอดี หลิวเฟิ่งลู่ตกใจรีบหันไปมองคนที่มาช่วยรับตนเอาไว้คนผู้นั้นคือบุรุษที่สวมหน้ากากเหล็กปีศาจเอาไว้จึงทำให้ไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

"เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจถามอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองมาที่เขา

เมื่อพึ่งคิดได้ว่าตัวเองนั้นถูกอีกฝ่ายกอดรอบเอวเอาไว้ จึงรีบดิ้นออกจากอีกฝ่ายทันที "อะ!ขออภัยข้าไม่ได้เป็นอะไร ว่าแต่ท่านเป็นใครกัน?"

คนผู้นั้นเห็นอีกฝ่ายดิ้นออกแบบนี้และไหนจะน้ำเสียงที่พูดออกมาช่างน่าหลงใหลน่าเอ็นดูยิ่งนั้นยิ่งสายตาที่เย็นชาไม่กลัวคนแบบนั้นยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปใหญ่

"ข้าเป็นใครหาใช่คนที่เจ้าต้องรู้ไม่...ว่าแต่ท่วงท่าร่ายรำกระบี่เมื่อครู่เป็นการร่ายรำที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย....เจ้าไปได้มาจากไหนรึหรือร่ำเรียนมาจากที่ใด" บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจถามอีกฝ่าย เสียงที่เขากล่าวมาเช่นเป็นเสียงทุ้มใหญ่เหมือนคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีเห็นจะได้เลย

"ข้าจะได้มาจากที่ใดหาใช่สิ่งที่ต้องรู้ไม่ ตอนนี้ท่านควรจะตอบคำถามข้าเสียมากกว่าว่าท่านเป็นใครกันและเข้ามาในที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน!" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเสียงหนักแน่น

บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินก็หัวเราะออกมาก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวนใจอีกฝ่าย "ไว้ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าคือใครแต่ตอนนี้เห็นเจ้ากล้าต่อเถียงข้าดี ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินจากปากผู้อื่นเลยว่า เจ้าเป็นคนขี้อายและยังอ่อนแอมิกล้าสู้ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างยิ่งการต่อสู้ก็ไม่ได้เรื่องศิลปะเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่"

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินก็ถึงกับสงสารร่างนี้เสียจริง ก็แน่ละข้ามันก็คล้ายๆนางเอก เออไม่สิตัวร้ายกากๆที่ทำได้เพียงแค่ใช้สมองและวางแผนเท่านั้นเพื่อที่กำจัดนายเอกทิ้งความจริงเป็นเขาเสียมากกว่าที่ถูกอีกฝ่ายยัดเยียดให้เป็นแบบนั้นแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

ตอนนี้เขาคือหลิวเฟิ่งลู่ที่เป็นนายเอกตัวจริงและจะเปลี่ยนบทตัวร้ายให้เป็นพระเอกด้วยค่อยดูเถอะเขาจะทำให้ดู แต่ตอนนี้ใครๆต่างก็คิดว่าเขาคือเกาเฟิ่งลู่เพราะใช้แซ่ของบิดาเจาเองเพื่อแคว้นของเขา

ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขานั้นเป็นคนแซ่หลิวแซ่ของมารดาที่ให้กำเนิดเขาและตายจากเขาไปนานแล้ว

"คำพูดของผู้อื่นหาได้ใช่สิ่งที่ควรจะฟังหรือไม่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตนเองหรือไม่ก็ใช้สมองที่มีคิดเสียก่อน" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่กลัวใคร

บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนกล่าว "ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เจ้าไม่มีทักษะในด้านต่อสู้ก็มิใช่เรื่องจริงสินะ"

"เรื่องนั้นคือความจริงแต่ว่าเข้าถิ่นศัตรูทั้งทีก็ต้องฝึกทักษะป้องกันตัวเอาไว้จะไปเสียหายอะไร" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวออกมาพร้อมกับยกไม้ขึ้นมาแกว่งไปมา

" 'เข้าถิ่นศัตรู' ช่างเป็นคำพูดที่ไม่คิดเลยว่าจะออกจากปากของเจ้าทั้งๆที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อมาเป็นเจ้าสาวให้กับคนของแคว้นนี้แท้ๆจะเป็นศัตรูกันได้อย่างไร?"

"เฮอะ เจ้าสาว? ท่านชายสวมหน้ากากเหล็กปีศาจข้าจะบอกอะไรให้ท่านฟังนะว่า การแต่งงานครั้งนี้ที่จัดขึ้นก็เพื่อที่จะคิดชิงยึดเมืองฉู่ของข้าเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจัดขึ้นมาจริงๆอย่างที่องค์จักรพรรดิกล่าวมาสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งจอมปลอมและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงทุกประการพอเสร็จพิธีแต่งงานข้าก็จะหมดประโยชน์ทันที เพราะงั้น....."

หลิวเฟิ่งลู่ไม่กล้ากล่าวต่อเพราะรู้สึกว่าคำพูดที่ทิ้งไว้กับท่านแม่และท่านพี่เอาไว้และแผนที่คิดจะลบล้างบทพระเอกและคนแย่งบทออกไปนั้นจะเป็นจริงอย่างที่เขาหวังไว้หรือเขาจะทำได้หรือคนที่เป็นแค่นักอ่านและมาอยู่ในร่างตัวละครที่ถูกทุกคนทิ้งแบบนี้จะได้ทำอย่างว่าจริงๆไม่สิไม่ได้แน่ๆเขาก็คงต้องตายแบบในนิยายที่ถูกคนที่เกลียดตนเอายาพิษให้เขากินและตายแน่ๆแบบในนิยาย

"เหตุใดจึงไม่กล่าวต่อ?"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจถามอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบไปไม่พูดต่ออีก

"ข้าไม่จำเป็นต้องพูดให้กับคนแปลกหน้าเช่นท่าน ที่มาแอบดูผู้อื่นเช่นนี้หรอก" หลิวเฟิ่งลู่เก็บอาการอ่อนไหวของตนเองก่อนกล่าวต่อว่าอีกฝ่าย

"คุณชายหม่อมฉันเอาน้ำชาที่คุณชายต้องการมาแล้วเจ้าค่ะ"มี่ฮวาที่รีบยกถาดถ้วยน้ำชามาให้ผู้เป็นนายทันที

หลิวเฟิ่งลู่หันไปข้ารับใช่คนตนที่เรัยกเขาก่อนจะหันกับมาบุรุษสวมหน้าเหล็กปีศาจที่ยืนอยู่ไม่ไกลตนแต่เมื่อหันไปกับพบว่าคนผู้นั้นหายไปเสียแล้ว

"อ่าวหายไปไหนเสียแล้วล่ะ?"เขาขมวดคิ้วสงสัยขึ้นมาทันที

สองวันที่เขามาอยู่ที่วังหลวง

หลิวเฟิ่งลู่นั้นเอาแต่ฝึกฝนวิธีการต่อสู้และคิดวิธีการชนะศัตรูอยู่อย่างเดียวถึงจะมีคนชอบเข้ามาขัดจังหวะเขาก็จะสั่งให้ออกไปหรือไม่ก็หาข้ออ้างไม่ไป

จนทำให้คนในวังเริ่มไปพอใจกับเขาอยู่มากโดยเฉพาะฮองเฮาขององค์จักรพรรดิที่นี่ที่มักให้นางกำนัลมาเชิญเขาตลอดแต่เขาหาได้ไปไม่เพราะว่าเขาสามารถหาข้ออ้างว่าป่วยได้และไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะมีคนมาดูให้เพราะยังไงซะพวกเขาก็ไม่ส่งมาให้อยู่ดี

เขารู้ดีว่าฮองเฮาของนิยายเรื่องนี้เกลียดเขาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ขนาดแค่ให้เรียกตามมารยาทอย่างเช่นเสด็จแม่ยังโดนว่าเป็นชุดเลย 

เขาจึงตั้งใจไว้ว่าขอเพียงแค่ตัวร้ายของเรื่องนี้ยอมอยู่กับเขาและยอมช่วยเขาแค่นี้ก็พอสามารถที่จะยึดบัลลังก์มังกรมาได้ถ้าเขายอมช่วยน่ะนะ

"เฮ้อ เหนื่อยจังร่างนี้ช่างอ่อนแอเกินไปจริงๆแต่ก็ยังดีที่ตอนนี้สามารถปรับลมหายใจได้ ไม่อย่างนั้นคงจะเหนื่อยเร็วกว่านี้แน่"เขากล่าวออกมาพร้อมกับเก็บท่องไม้ยาวนั้นเอาไว้อย่างดี

"ไหนพวกนางกำนัลบอกว่าเจ้าป่วยจนไม่สามารถลุกจากเตียงไง แล้วเหตุใดถึงสามารถออกมาแกว่งไม้ไปมาได้เช่นนี้ล่ะ?"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจที่จู่ๆก็โผล่มาอยู่ด้านหลังของร่างบางตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้

หลิวเฟิ่งลู่สะบัดท่องไม้ในมือใส่คนด้านหลังทันที แต่คนผู้นั้นก็สามารหลบได้และกระโดดออกห่างจากตรงนั้น

"เรื่องของข้า ข้าจะทำอะไรก็ได้โตแล้ว"หลิวเฟิ่งลู่กล่าวกวนอีกฝ่ายไป

"หึ ช่างกล้าพูดนะตัวเจ้าเนี่ย แต่ว่าหลอกล่วงเบื้องสูงเช่นนี้ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่ารึเจ้าน่ะ"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจกล่าวตอบอีกฝ่าย

"ไม่....ตายได้ก็ดีด้วยซ้ำไป"เขาตอบไม่คิด

"เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้ออกมา เจ้าไม่รักชีวิตตัวเองเลยรึไง!"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินแบบนั้นก็ตะคอกใส่อีกฝ่าย

"เพราะรักมันยังไงล่ะ ข้าถึงอยากตายเพราะว่าหลังจากที่ข้าได้แต่งงานกับกับองค์ชายใหญ่ของที่นี่ข้าก็เจอสิ่งที่เรียกว่านรกเดินดิน...."หลิวเฟิ่งลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวออกมาเหมือนกับว่าเตรียมใจไว้แล้ว

ใช่เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าหลังจากที่แต่งงานเขาก็จะเจอกับสิ่งที่เรียกว่านรกเดินดินของแท้ เพราะแค่วันแต่งงานว่าที่สามีของเขาก็หนีเขาไปทำให้เขาต้องนอนคนเดียว วันต่อมาก็ต้องให้มี่ฮวาช่วยเขาคนเดียวพอไปหาฮองเฮาก็โดนดุ หลังจากนั้นก็ต้องมาเห็นว่าที่สามีอยู่กับคนแย่งบทของเขาและโดนนินทาลับหลังว่าเสแสร้งเป็นขี้ปากของชาวบ้านจนไม่มีหน้าไปไว้ไหนเลย แถมพอกลับเมืองฉู่ก็โดนตาแก่ด่าทุบตีไม่หยุดโดนเมียแกรุมอีกและจะอะไรอีกมากมายสุดท้ายจุดจบของเขาก็คือถูกคนลอบวางยาพิษให้ตายทรมานอย่างโดดเดี่ยวกลางหิมะคนเดียว.....

บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออกขึ้นมา แต่ก็ยอมกล่าวออกมา"ทำไมถึงคิดเช่นนั้นล่ะ? หรือว่าเจ้ายังคิดอยู่ว่าที่องค์จักรพรรดิให้เจ้ามาเป็นเจ้าสาวให้กับองค์ชายใหญ่เพื่อยึดเมืองฉู่ของเจ้ารึ?"

"ท่านไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้าหรอก ตอนนี้ท่านควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้วหากใครมาเห็น เขาจะหาว่าข้าแอบลักลอบพานักฆ่าเข้ามาในวังหรือไม่ก็คบชู้....."หลิวเฟิ่งลู่กล่าวจบก็เดินเข้าไปในตำหนักทันทีโดยที่ไม่สนใจบุรุษผู้นั้นอีกแล้ว

ช่างเป็นคนที่ลึกลับเสียจริงผิดกับที่ได้ยินมาเป็นอย่างมาก....

ยามซวี (19:00-20:59)

หลิวเฟิ่งลู่ที่พึ่งอาบน้ำเสร็จกำลังหวีดผมสีดำสลวยของตัวเองไปมา โดยมีมี่ฮวายืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นนายของตน

"มี่ฮวา..."เขาเรียกคนด้านหังด้วยเสียงเบา

"เจ้าคะ คุณชายมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เจ้าคะ"มี่ฮวาตอบกลับทันที

"เจ้าจะ....ไม่ทิ้งข้าไปใช่ไหม?"เขากล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่น

"เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ออกมาเพคะหม่อมฉันจะทิ้งคุณชายไปได้อย่างไรเจ้าคะ!!"มี่ฮวาได้ยินแบบนั้นก็ต้องใจขึ้นมาทันที

"นั้นสินะเจ้าเป็นข้ารับใช้คนสนิทของข้าจะกล้าทิ้งข้าได้อย่างไรกันฮะๆ"หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างน้อยๆที่นี่ก็มีมี่ฮวาที่อยู่กับเขา

ถึงในนิยายจะไม่ระบุถึงนางเพราะไม่ได้เอานางมาด้วยทำให้ไม่รู้ว่าในนิยายมีนางอยู่ด้วย แต่ตอนนี้นางคงจะมีบทช่วยเขาบ้างน่ะแหละ

-----------------------●●------------------------

ในที่สุดวันนั้นก็มาถึงวันที่เขาต้องเล่นเกมนรกนี่เกมที่จะเปลี่ยนให้เขาเจอกับสิ่งที่เรียกว่านรกเดินดินอย่างไรล่ะ

ณ ห้องแต่งตัวสำหรับงานแต่งของเขาภายในห้องมีแค่มี่ฮวาเท่านั้นที่ช่วยเขาเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานครั้งนี้เท่านั้น

ในตามนิยายจะระบุมาถึงตอนเข้างานเลยจะไม่มีการบอกถึงว่าเวลาแต่งตัวนั้นจะมาใครมาช่วยบ้าง แต่ว่าไม่ต้องให้เดาฮองเฮากับองค์จักรพรรดิก็คงจะส่งคนไปให้ฝั่งนายเอกแย่งบททางนั้นเสียมากกว่าเพราะพวกเขารักพระเอกเสียมากกว่ารักตัวร้ายอีกเหตุเพราะตัวร้ายนั้นโหดเหี้ยมเกินไปจึงกลัวว่าหากปกครองเมืองละก็ต้องไม่ดีแน่ จึงเอาแต่เรื่องบังซบให้กับเขาเช่นกัน ก็อย่างตอนนี้ยังไงล่ะที่ให้ข้าที่เป็นคนของเมืองฉู่ที่กำลังจะล้มสลายในอีกไม่นานยังไงล่ะ

ทั้งๆที่ตัวร้ายเรื่องนี้อุส่าจับดาบต่อสู้ตั้งแต่อายุสิบขวบเห็นจะได้อายุสิบสี่ก็เข้าสนามรบต่อสู้กับกองทัพฝั่งศัตรูตั้งมากมายทำให้กองกำลังของจักรพรรดิของแคว้นนี้แข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีใครสามารถต่อกรได้แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เขาทำมาก็ถูกนำไปให้พระเอกที่มีพลังมังกรขาวเองคิดดูสิ!!  ตัวร้ายเขาจะไม่ร้ายได้ยังไงล่ะเขาอุส่าสู้มาตั้งนานสุดท้ายก็เอาไปให้พระเอกหมด! ช่างน่าสงสารเสียจริงนะ หลิ่งเฟยหลง ที่เกิดมาเป็นตัวร้ายแบบนี้

"คุณชายหม่อมฉันต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ ชุดแบบนี้หม่อมฉันไม่เคยช่วยสวมให้ใคร จึงไม่ทราบว่าจะต้องเริ่มสวมตัวไหนก่อนดีเจ้าคะ"มี่ฮวาสับสนกับเสื้อผ้าสีแดงที่อยู่ในมือนางมากมาย

หลิวเฟิ่งลู่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่านางเคยแต่แต่งตัวให้เขาด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดาก็เท่านั้นชุดทางการหรือชุดออกงานอะไรแบบนี้เขาไม่เคยได้แต่งหรอก

"มี่ฮวาเจ้าไปรอข้าด้านนอกข้าเดี๋ยวทำเอง"เขากล่าวพร้อมกับหันไปหยิบเสื้อมาสวมใส่เอาเองมี่ฮวาพยายามที่จะช่วยเขาแต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายก็ยอมออกไปแต่โดยนี้

ก่อนที่ออกไปนั้นเขาก็ได้แอบมองตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง เงาที่สะท้อนภาพบุรุษสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเช่นทำให้ดูเหมือนตัวร้ายซะเหลือเกินแต่ยังไงซะเขาก็แค่ต้องทนและปกป้องตนเองจากเหล่าพวกที่จะมารังแกเขาเท่านั้น

.

.

.

 .

ณ เวลานี้คือเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับเขากับการเริ่มต้นชะตากรรมที่แสนน่ากลัวของเขา

บัดนี้ห้องโถงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเคนื่องประดับตกแต่งมากมายอย่างงดงาม สองข้างทางก็ประดับไปด้วยสีมงคลและของมงคลมากมาย ผู้คนมากมายต่างแคว้นต่างดินแดนมาร่วมงานกันอย่างมากมายซะจนแน่นไปหมด

ไม่รอให้นานเสียงสัญญาของการเปิดงานก็เริ่มขึ้นประตูห้องโถงใหญ่เปิดออกกว้างตามมาด้วยเสียงกองเสียงดนตรีมากมายที่เล่นเปิดงาน และแล้วเจ้าของงานก็เดินเปิดงานมา องค์ชายใหญ่ของแคว้นฉิน ที่ผ่านสนามรบมามากมายและสามารถชนะข้าศึกได้ทุกครั้งและยังได้รับขนานนามว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุดในตระกูล ผิดกับคนที่เดินเคียงคู่มาพร้อมกับเขามาก นั้นก็คือพระชายาที่เป็นคุณชายจากต่างเมืองฉู่ที่เขาเล่าลือกันว่าเป็นบุตรชายคนที่ห้าของเจ้าเมืองฉู่ที่มีใบหน้างดงามกว่าสตรีและไม่เป็นรองใครของคนในเมือง แต่ทว่ากับเป็นคนที่อ่อนแอและเป็นคนที่ขี้กลัวเป็นอย่างมาก

ใครๆต่างก็ซุบซิบนินทากันเลยช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แต่พอมาเห็นกันจริงๆแล้วกับพบว่าช่างเหมาะสมกันเป็นอย่างมาก เจ้าบ่าวที่สวมเสื้อสีแดงลายมังกรลอยเมฆาสีทองที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ด้วยหน้ากากสีทองลอยมังกรเช่นกัน กับเจ้าสาวที่สวมเสื้อสีแดงลายหงส์สีทองที่กำลังโบยบินอยู่เมฆาเช่นกัน เจ้าสาวนั้นถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าฝ้ายผืนบางสีแดงทำให้ไม่เห็นใบหน้าใต้ผ้าฝ้ายนั้นแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความงดงามใต้ผ้าฝ้ายนั้นได้เป็นอย่างดี

ท่วงท่าการเดินของสองคนนั้นช่างงดงามจนทุกคนที่เห็นแทบหยุดหายใจกันเมื่อสองคนนั้นเดินผ่านไป

นักเวลานั้นทุกคนที่เห็นต่างหากันเปลี่ยนความคิดกันทันทีเลยว่าหากไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใครกัน พวกเขาคงคิดว่าเป็นคู่รักที่ฟ้าลิขิตไว้ให้มาคู่กันแน่แท้อย่างแท้จริง

ทั้งคู่เดินเข้ามาทำพิธีคำนับฟ้าดินพร้อมกัน หลังเสร็จฝ่ายองค์รัชทายาทอับดับที่หนึ่งก็เดินมาพร้อมกับพระชายาแห่งแคว้นฉู่ ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันอย่างสง่างามกันเป็นอย่างมากฝ่ายเจ้าสาวที่เดินเคียงข้างก็นิ่งสงบเป็นอย่างมากซะ พิธีต่างๆที่จัดขึ้นราบรื่นไปด้วยดีจนกระทั่งถึงเวลาที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องเข้าหอด้วยกัน

ทั้งคู่ที่กำลังเดินคู่มาด้วยกันจากนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวที่เดินอยู่สักพักก็ปล่อยมือที่กุมเอาไว้ออกและเหมือนว่ากำลังจะเดินไปอีกทาง

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกปล่อยมือก็ไม่ได้คิดจะห้ามอีกฝ่ายกับเก็บมือเอาไว้ในแขนเสื้อของตนและเดินไปยังหอนอนคนเดียวแต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆเจ้าบ่าวก็จับอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาไว้ในท่าอุ้มเจ้าสาวอย่างนั้นแทน

"นี่เจ้า!! ทำอะไรน่ะปล่อยข้านะ!!"หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆอีกใายทำแบบนี้กับตน

"ทำอะไรน่ะหรือ? ว่าที่สามีอุ้มเจ้าสาวเข้าหอมันผิดอย่างไรและอีกอย่างข้าคือสามีของเจ้าเหตุใดจึงต้องปล่อยด้วยล่ะ"องค์รัชทายาทอับดับที่หนึ่งที่อุ้มหันมาหาอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่ายน้ำเสียงของอีกฝ่ายเป็นทุ้มเสน่ห์ที่ใครฟังแล้วต่างหลงใหลทันทีร่วมถึงตัวเขาด้วย

หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูก เพราะเหตุการครั้งนี้ควรจะเป็นแบบที่เขาคิดไว้ก็คือเจ้าบ่าวหนีงานแต่งของตัวเองปล่อยเจ้าสาวนอนคนเดียว!! ไม่ใช่หรอแล้วไหนถึงมาเป็นอุ้มท่าเจ้าสาวแทนล่ะ!!

"นี่ท่าน!!"หลิวเฟิ่งลู่ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรออกไป ถึงจะรู้สึกดีที่เขาทำแบบนี้แทนแต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะทำตัวอย่างไรดีกับอีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงมองเจ้าสาวตนเองที่อยู่ในอ้อมกอดของตนก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าไปยังหอนอนของพวกเขาเมื่อมาถึงเขาก็ถีบประตูหอทันที

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกอุ้มเห็นแบบนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสารประตูขึ้นมาทันที พร้อมกับคิดเรื่องที่ต่อจากนี้จะเจออะไรกันแน่กับตัวร้ายที่ถือได้ว่าโหดสุดๆตรงนี้

ถ้าเปลี่ยนได้เขาขอให้เจ้าบ่าวทิ้งให้เขานอนคนเดียวถ้าจะดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงมาแบบนี้หรือว่าพอเขาเข้ามานิยายก็เปลี่ยนไปด้วยรึ!

นี่มันเหมือนกับเดจาวูมากมันคล้ายกับคนแย่งบทของเจามากๆเพราะความจริงมันก็คิดแบบเขาเหมือนกันว่าตัวเองกับพระเอกจะไม่ได้นอนด้วยกันแต่สรุปนอนด้วยกันและยังป๊าบๆด้วยกันอีก!!!แล้วข้าจะโดนแบบนั้นไหม!

'ปึก'

เมื่อเข้ามาในหอไม่รู้ว่ามีลมหรือว่าอะไรทำให้ประตูหอปิดสนิททันที หลิวเฟิ่งลู่ที่อยู่ในอ้อมกอดตกใจกับเสียงประตูปิดทันที

ชิบแล้วไงตัวข้าที่หวังไว้ว่าขอแค่ตัวร้ายยอมช่วยเขาแต่ไม่ได้หวังไว้ว่าให้มาทำเรื่องแบบนี้เอาแล้วไงทำไงดีหรือ

พอเข้ามาถึงแทนที่อีกฝ่ายจะโยนเขาลงหรือไม่ก็ทำอะไรๆที่มันโหดร้ายตามสไตล์ตัวร้ายที่ควรทำตามนิยายที่ระบุไว้สิก็อย่าเช่นจับนายเอกกดกับกำแพงและจูบหรือไม่ก็มัดเอาไว้และฉีกเสื้ออะไรแบบนั้น

แต่ว่าอีกฝ่ายกับเพียงแค่มาวางเขาไว้บนที่นอนอย่างเบามือเท่านั้น และเดินไปมุมโต๊ะที่มีจอกสีทองสองจอกที่ไว้ใช้สำหรับการคล้องแขนดื่มสุรากัน

หลังจากนั้นก็รินสุราที่เตรียมไว้ให้ใส่จอกสองใบนั้น และยกสองจอกนั้นขึ้นมาจอกใบหนึ่งถูกส่งให้กับคนที่นั่งอยู่บนที่นอนลายมังกรที่ดำนั้นให้

หลิวเฟิ่งลู่ลังเลอยู่ครู่ก่อนที่จะยื่นมือไปรับจอกใบนั้นมาไว้และนั่งจ้องมันอยู่แบบนั้น ไม่คิดจะดื่มมันเข้าไป

"จะมั่วแต่จ้องอยู่นาน วันนี้เป็นวันของเรา!"หลิ่งเฟยหลงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมลุกเสียทีจึงกล่าวออกไป

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวแบบนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะเขาไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไรดีถึงเขาจะเคยอ่านนิยายแนวฉากแต่งงานมามากมายแต่พอมาเจอกับตัวเองเช่นนี้เลยไม่รู้ควรทำไงและอีกอย่างเขาไม่คิดว่าตัวร้ายที่ควรจะหนีไปจากเขาแต่กับมาอยู่ตรงนี้ซะแล้วเขาควรทำยังไงดี

แต่เมื่อตั้งสติได้เขาจึงยื่นแขนที่ถือจอกไปคล้องแขนอีกฝ่ายเอาไว้ และหลังจากนั้นก็ดื่มจอกพร้อมกันและหลังจากดื่มเสร็จก็คล้ายแขนออกกันและยืนกันอยู่อย่างนั้น

หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อดี จึงยืนอยู่เฉยๆอย่างนั้น แต่แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ซัดฝ่ามือใส่เขาอย่างนั้น หลิวเฟิ่งลู่เห็นก็กระโดดหลบการโจมตีอีกฝ่ายทันทีแต่จังหวะนั้นก็ทำให้ผ้าฝ้ายบางที่คลุมหัวหลุดออก

ทำให้เห็นใบหน้าเจ้าสาวได้ชัดเจนอีกฝ่ายนั้นไร้เครื่องสำอาง มีแต่ใบหน้าสีขาวเนียนบนใบหน้าเท่านั้น

"ว้าวไม่อยากจะเชื่อว่าจะงดงามตามที่ได้ยินมา แต่ว่า....ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าการหลบเมื่อครู่ช่างเป็นท่วงท่าที่สง่างามดีนะ"หลิ่งเฟยหลงมองร่างบางที่กระโดดหลบข้ามไปอยู่อีกฝั่งของเตียงใหญ่

เขายกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงที่ดึงติดมายกขึ้นมาสูดดมกลิ่นที่ติดอยู่ หลิวเฟิ่งลู่เห็นก็เริ่มรู้สึกว่าการที่จะเปลี่ยนบทให้ตัวร้ายไม่ตายนี่เป็นความคิดที่แย่มากแน่ๆ

"ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นฝึกวิชาป้องกันตัวมา เพราะงั้นก่อนจะทำเรื่องอย่างว่าพวกเรามาปะมือกันก่อนดีหรือไม่?หลิวเฟิ่งลู่"เขาถามเจ้าสาวที่อยู่ตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาที่เขาไม่วางตา

"เจ้า..."หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกพูดไม่ออกแต่เมื่อคิดถึงชายสวมหน้ากากเหล็กปีศาจนั้นก็ไม่แปลกใจอะไรเขาดึงเสื้อเจ้าสาวออกก่อนตั้งท่า

"หากเจ้าต้องการก็เข้ามาเลย"เขากล่าวกับอีกฝ่ายทันที

แต่ในใจนั่นกับเต็มไปด้วยความกระวนกระวายไปหมดเพราะว่าร่างบางที่อ่อนแอเช่นนี้จะไปสู้กับคนที่มีร่างกำยำแข็งแกร่งและมีพลังยุทธ์เช่นนี้กันได้อย่างไรกัน!

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 3

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!