NovelToon NovelToon

ตัวร้ายของข้าใครห้ามแตะเด็ดขาด!

บทที่ 1

เรื่อง'รักข้ามภพชาติ' นิยายทางเว็บชื่อดังที่ตัวละครนายเอกที่เป็นผู้แต่งหลุดเข้าไปในโลกนิยายที่ตัวเองแต่งและมาอยู่ในร่างตัวร้ายที่ตัวเองแต่งอย่างไรอย่างนั้นจากนั้นก็ทำการเปลี่ยนบทบาทของตัวเองสลับกับตัวละครนายเอกที่ตัวเองแต่งขึ้นให้มารับบทตัวเองแทน

ส่วนเรื่องเนื้อก็ประมาณว่าตัวคนแต่งเปลี่ยนเนื้อหาตัวเองเปลี่ยนจากตัวร้ายขี้อิจฉามาเป็นเมียพระเอกส่วนนายเอกที่แกแต่งแกก็ยัดเยียดให้มาตายแทนแก!!! ส่วนตัวร้ายหลักแกก็ให้ตายอนาถกว่าเก่าโดยการช่วยพระเอกผลักลงหลุมดาบเนี่ยนะ!?.

"F..ck!! ไอ้คนแต่งแกมันก็นะทำไมไม่แต่งให้ไอ้ตัวแย่งบทชาวบ้านเนี่ยให้มาช่วยกันไม่ให้เกิดสงครามวะ แต่กับแต่งให้มาแย่งบทชาวบ้านเนี่ยนะให้ตายไอ้เวร"

"ฉันขอสาปแช่งแกไอ้นักเขียนที่ทำให้คนอย่างฉัน ที่ติดตามนิยายแกมานานกว่าหนึ่งปีสุดท้ายแกก็ให้พระเอกชนะทุกอย่างส่วนตัวร้ายแกก็ให้แพ้ตลอดไอ้เวร"

"อะไรคือการที่ตัวร้ายจะต้องพูดว่า "ในเมื่อข้าไม่ได้ แกก็อย่าหวัง!" จากนั้นก็ปะทะสู้กันไปมาส่วนนายเอกตัวแย่งบทก็เข้าช่วยพระเอกอีกแรงทำให้สามารถเอาชนะตัวร้ายได้เนี่ยนะ? วอทคืออะไร!!"

ถังฉือที่ตอนนี้แทบจะทุบคอมตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆเสียตรงนั้นเลย

เขายอมไม่ได้กับบทจบที่ตัวนายเอกที่เป็นผู้แต่งหลุดเข้ามานิยายตัวเองและเปลี่ยนให้มันยิ่งแย่ไปกว่าเก่า จากที่แกควรจะดีใจได้แล้วที่พระเอกยอมเป็นผัวแกดีๆ ไม่ใช่ให้แกมาพยายามหาทางกำจัดนายเอกที่ตัวเองสร้างขึ้นแบบนี้!!

อิคนแต่งก็กวนประสาทเสียจริงที่ทำให้ตัวนายเอกเออไม่สิตัวร้ายที่ถูกนายเอกแย่งบทที่เป็นคนมีปมมาตั้งแต่เด็กต้องมาตายถูกวางยาแทน 

ถังฉือพิมพ์บ่นทางเว็บนิยายทันที โดยไม่สนใจเลยว่าคำเหล่านั้นที่พิมพ์ไปจะทำร้ายความรู้สึกหรือไม่สำหรับเขาในตอนนี้แล้วเขายอมไม่ได้เด็ดขาดกับการที่ผู้แต่งเวรคนนี้แต่งนิยายได้ออกมาบัดซบที่สุดแบบนี้

ฉันขอให้แกไม่มีผู้หญิงมารัก

ขอให้แกเป็นเกย์!!!

ขอให้แกทะลุมิติมารับกรรมแทนตัวร้ายที่ถูกนายเอกแย่งบทซะ จะได้โดนฟาดตีโดนคมดาบนับพันซะและคนที่แกแต่งให้เกลียด เกลียดแกซะ ไอ้งี่เง่า!!!

หลังสิ้นเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ที่เต็มไปความเดือดความเกรี้ยวกราดก็ตามด้วยเสียงทุบจอคอมอย่างแรงจากนั้นถังฉือก็เข้านอนทันทีด้วยความเดือดอย่างห้ามไม่ได้

แต่ว่าหารู้ไม่ว่าหากเขานั้นรู้ว่าการหลับครั้งนี้จะทำให้พบกับชะตากรรมที่ไม่สามารถหลีกหนีไปได้เขาก็อยากจะกลับไปขอโทษนักเขียนพันรอบและลบข้อความสาปแช่งเหล่าออกไปให้พ้นๆจากจอคอมซะ!

-----------------------●●------------------------

เช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกของใครบางคนปลุกให้ตื่น

"คุณชายเพคะทรงตื่นได้แล้วเจ้าคะ"

"อือขอนอนต่ออีกห้านาที...."เขากล่าวอย่างเกียจคร้าน

"ไม่ได้แล้วเจ้าคะ ฮูหยินซูเม่ยและคุณชายใหญ่รอร่วมทางอาหารกับท่านอยู่นะเจ้าคะ"นางพยายามปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น

ถังฉือจึงต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจแต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องพบว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนซักแห่งที่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง

"ที่นี่มันที่ไหน...."เขากล่าวออกมาอย่างลืมตัว

"ที่นี่ก็คือห้องของคุณชายยังไงล่ะเเจ้าคะ?" สาวใช้ด้านข้างกล่าวบอกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งงงงัวทันที

"เมื่อกี้เรียกเราว่าอะไรนะ?"เขาถามอีกฝ่าย

"คุณชายเจ้าคะ"นางตอบตามตรง

"ข้าชื่ออะไรแล้วข้าลูกใคร..."เขาถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

"คุณชายมีนามว่า หลิวเฟิ่งลู่ บุตรชายคนที่ห้าของท่านเกาฉางเหยียนอย่างไรเจ้าคะ"นางตอบตามตรง

ถังฉือได้ยินแบบนั้นก็อยากจะนอนไปอีกรอบและนอนไปยาวๆเพื่อไม่ให้ตื่นมาอีกเลย เพราะตอนนี้เขาได้มาอยู่ในโลกนิยายเฮงซวยบังซบที่เขาพึ่งจะด่าไปซะแล้ว

แต่ว่าคำด่าสาปแช่งที่เขาส่งไปให้นักเขียนแต่ว่าทำไมถึงมาตกมาที่เขานะ และยังส่งมาอยู่ในร่างนายเอก...เออไม่สิ...ตัวร้ายหรือตัวประกอบที่ถูกนายเอกแย่งบทตั้งหากถึงจะถูก......

รู้สึกว่าอิผู้แต่งจะปูมาว่าตัวละครตัวนี้เกิดมาในเมืองแคว้นที่มีแต่คนเกลียดชังเขาเพราะเขานั้นเป็นคนอ่อนแอและยังทำห่าอะไรไม่ได้ มีพ่อไม่รักเพราะเป็นลูกชู้แต่ยังดีที่มีพี่ชายต่างมารดาและท่านแม่เลี้ยงค่อยอยู่เคียงข้างเขาแต่ก็นะบทของข้าถูกปูมาให้นักอ่านด่ายิ่งชีวิตบังซบเท่าไรคนอ่านยิ่งชอบ หึๆเพราะงั้นสรุปได้เลยว่าหลังจากเขาวังก็ถูกหาว่าเสแสร้งทำตัวอ่อนแอแต่ความจริงข้ากากจริงๆนะ!!

เขาคิดอยู่นานว่ายังไงซะนี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะกู้บทนายเอกที่ถูกอินายเอกตัวปลอมแย่งบทคืนมาก็ได้!!

ถึงจะไม่เข้าใจว่าที่นี่คือความฝันหรือว่าโลกความจริงกันแน่ แขาก็จะกู้บทนายเอกคืนมาให้ได้!

เมื่อคิดได้แบบนั้นก็ลุกขึ้นและหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย "อือเจ้าไปบอกท่านพี่กับท่านแม่ว่าเดี๋ยวข้าจะรีบออกไปนะเจ้า...."

"มี่ฮวาเจ้าคะ..คุณชาย"นางเห็นว่าอีกฝ่ายจะถามชื่อจึงรีบตอบให้

"เออนั้นแหละ มี่ฮวาขอบคุณนะที่บอกฮะๆ"เขาหัวเราะออกมา

มี่ฮวาเห็นแบบนั้นก็นิ่งอึ้งไปเพราะคุณชายคนที่ห้าไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะออกมาแบบนี้เลย แต่เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเช่นเป็นรอยยิ้มที่งดงามเหลือเกิน

มี่ฮวาออกไปจากห้องทำให้เหลือเพียงแค่ถังฉือไม่สิ หลิวเฟิ่งลู่ตั้งหากที่อยู่ในห้องเพียงคนเดียว เขาเดินไปที่กระจกเก่าบานใหญ่ตรงหน้าพร้อมกับสำรวจเงาในกระจกของตัวเอง

ร่างที่สะท้อนออกมาคือบุรุษรูปร่างบาง ความสูงน่าจะ 177 เห็นจะได้ ผิวพรรณขาวเนียนใสเปล่งปลั่งอย่างธรรมชาติเออไม่สิซีดขาวเสียมากกว่าอีก เรือนผมดำเงางามยาวสลวย ดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนนัยน์ตาสีนิลช่างน่าหลงใหลยิ่งนั้น ริมฝีปากบางซีด แต่ถ้ารวมๆดูแล้วก็ถือได้ว่างดงามมาก

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างเขาที่มีใบหน้างดงามเช่นนี้จะถูกคนมาแย่งบทไปได้ แต่ก็นะต้องทำใจเพราะคนแต่งเขาอยากให้เขาเจอแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้วในเมื่อแกถูกส่งมาเพื่อมาเปลี่ยนบทและคิดจะกำจัดข้าทิ้งทั้งๆที่แกสร้างฉันขึ้นมา....

"แต่ว่าตอนนี้ตัวร้ายอย่างข้าที่ถูกคนอย่างนายเอกแย่งบทไป ข้าก็จะกลับมาทวงบทคืน....เฉินจิ้นหลิง...อ่อไม่สิ เหวินซื่อหลาง ข้าจะไม่มีวันตายแทนแกแน่และไม่มีวันให้แกกับพระเอกหน้าโง่นั้นที่บังอาจมาให้ความรักกับเขาและทิ้งข้าไป ได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิแน่จำเอาไว้ให้ดี!!"

แต่ว่าตอนนี้เขาต้องเล่นตามบทไปเสียก่อนจนกว่าจะถึงวันที่ต้องเข้าวังเพื่อไปแต่งงานจอมปลอมนั่น!

.

.

.

.

ในเวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ได้มาร่วมทานอาหารมื้อเช้ากับฮูหยินซูเม่ยแม่เลี้ยงของเขาและพี่ชายต่างมารดา หลานเทียนหรงแล้ว

ปกติเวลาร่วมทานอาหารก็จะทานกันอย่างเงียบๆ ไม่คุยอะไรพอทานเสร็จก็จะแยกย้ายกันไปแต่วันนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว เมื่อพี่ชายต่างมารดาเห็นว่าน้องชายของตนที่ปกติเป็นคนไม่ยิ้มแต่วันนี้กับยิ้มไม่หุบแถมยังดูท่าทางอารมณ์ดีอีกเสียด้วย

"วันนี้เจ้าดูแปลกไปนะ เฟิ่งลู่..."หลานเทียนหรงทักอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มไปหุบเสีย

"นั้นสิเฟิ่งเอ๋อร์ปกติลูกไม่ค่อยยิ้มเลยนะหรือว่าเมื่อคืนจะฝันดีใช่หรือไม่"ซูเม่ยที่เห็นเช่นกันก็ทักอีกฝ่ายเล่น

หลิวเฟิ่งลู่เห็นสองคนผู้เป็นที่รักที่สุดที่รักเขาทักกันแบบนี้ก็ รู้สึกทำตัวไม่ถูก "ใช่แล้วท่านแม่เมื่อคือลูกฝันว่าเมืองฉู่ของเรากับมารุ่งเรืองอีกครั้ง"

"หากเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกันนะเฟิ่งเอ๋อร์"ซูเม่ยตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้

ส่วนหลานเทียนหรงได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะออกไม่ได้กับความฝันไร้เดียงสาเช่นนี้ของน้องชายตนเอง

เมื่อทานอาหารเสร็จพวกข้ารับใช้ก็เข้ามาเก็บกันออกไป 

หลิวเฟิ่งลู่คิดจะกลับห้องแต่กับถูกพี่ชายต่างมารดาทักให้อยู่เสียก่อน "เจ้าแน่ใจแล้วนะว่าจะไปที่นั้นน่ะ?"

เมื่อได้ยินคำถามอีกฝ่ายซูเม่ยที่นั่งอยู่ข้างๆก็ทำสีหน้าเศร้าใจเช่นกันและเป็นห่วงอีกฝ่ายเช่นกันว่าหากไปที่นั้นจะไม่ยิ่งถูกรังแกกว่าเก่าอีกหรือ

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินเช่นนั้นพร้อมกับสีหน้าของคนที่ตนรักอย่างนั้นก็ยิ้มให้พร้อมกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน "ข้าเต็มใจ....เพื่อเมืองฉู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ยอมเพราะงั้นพวกท่านอย่าเศร้าใจไปเพราะข้าจะทำให้เมืองฉู่ของเรากับมารุ่งเรืองตามความฝันที่ข้าฝันให้ได้..."

"ถ้าเป็นแบบที่เจ้าว่ามาก็ดีสิ ฮึๆจะได้ไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับคนในตระกูล "จู่ๆก็มีเสียงแหลมของสตรีนางหนึ่งพูดขึ้น

"ท่านพี่ ข้าบอกแล้วไงว่าอย่ามาที่ตำหนักนี่อีก น่ะ" ซูเม่ยว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญทันที

คนผู้นั้นก็คือฮูหยินเอกหมินลี่ฟางนั้นเอง นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเดินเข้ามาหาคนร่างบางที่นั่งหันหลังให้พร้อมกับกระชากผมให้หันหน้ามา

หลานเทียนหรงที่เห็นแบบนั้นก็คิดจะเข้าไปดึงให้ออกจากอีกฝ่ายส่วนซูเม่ยก็คิดจะห้ามกับกระทำของฮูหยินเอกแต่หลิวเฟิ่งลู่ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน

"หึ อะไรสายตาแบบนั้นมันอะไรช่างน่าขันยิ่งนักเป็นแค่ลูกอนุภรรยาผู้ต่ำต้อย ทำอะไรก็ไม่ได้ซักอย่างจะมีรึ ที่จะทำให้เมืองฉู่ของพวกเรารุ่งเรืองตามที่ปากว่าได้"

"นี่ฮูหยินนี่ท่าน!!"หลานเทียนหรงได้ยินแบบนั้นก็เดือดแทนน้องชายต่างมารดาของตนแทนไม่ได้ แต่ใครจะไปคิดว่าน้องชายที่แสนจะอ่อนแอของตนนั้นจะทำเรื่องเช่นนี้

หลิวเฟิ่งลู่จับข้อมือเล็กของฮูหยินเอกพร้อมกับดึงออกและบีบกำอย่างแรงก่อนที่จะเป็นฝ่ายกล่าวแทน "ท่านก็ลองดูก็แล้วกันว่าข้าจะทำให้คนที่เหยียบหยาบข้าและคนที่ข้ารัก ได้เห็นว่าคนไร้หนทางเช่นข้าก็สามารถที่จะทำให้คนในเมืองฉู่นี้กลับมารุ่งเรืองได้คอยดูเถอะ!!"

พูดจบก็ผลักอีกฝ่ายอย่างแรงจนล้มไปนอนกับพื้น เฟยเทียนหรงและซูเม่ยที่เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนั้นก็อึ้งกันทันทีร่วมถึงฮูหยินเอกด้วย

"นี่! นี่เจ้ากล้าดียังไงมาผลักเช่นนี้ข้า ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านเกาฉางเหยียนแน่ ข้าจะให้เขาโบยเจ้าให้ตายเลยคอยดู!!"นางลุกขึ้นชี้ด่าอีกฝ่ายทันที

"ท่านแน่ใจนะว่า ตาแก่นั้นจะกล้าตีข้า อย่าลืมสิ ฮูหยินเอกว่าพรุ่งนี้ข้าก็ต้องเข้าวังแล้วหากข้ามีรอยตำหนิจากการโดนโบยขึ้นมาละก็..ตาแก่นั้นอาจหัวหลุดได้นะหึๆ"เขากล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

ฮูหยินเอกก็ทำได้เพียงแค่ชี้เท่านั้นและเก็บคำพูดและรีบวิ่งออกไปจากตำหนักนั้นทันที หลานเทียนหรงเห็นแบบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ส่วนซูเม่ยก็พยายามกันเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้

"ฮ่าๆ ในที่สุดน้องชายของข้าก็กล้าตอบโต้เสียทีนะ พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าเจ้าจะกล้าทำและพูดเช่นนั้นออกไปเจ้าแน่ใจนะว่าตาแก่นั้นจะไม่มีทางตีเจ้าน่ะถ้าเขารู้ว่าเจ้าเรียกเขาเช่นนี้"

"นั้นสิเฟิ่งเอ๋อร์ห้ามกล่าววาจาเช่นนี้อีกนะถึงแม้เขาจะทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าไว้เยอะแต่เขาก็เป็นพ่อของเจ้าเพราะงั้นอย่าเรียกเขาเช่นนี้อีกนะ"ซูเม่ยกล่าวห้ามลูกบุญธรรมของตัวเอง

"ไม่เป็นหรอกท่านแม่ท่านพี่หากเขากล้าทำเขาก็คงต้องรับโทษข้อหาทำให้ว่าที่พระชายาเอกขององค์ใหญ่แห่งแคว้นฉินบาดเจ็บ"เขากล่าวออกมาพร้อมกับหันหลังกลับห้องของตัวเอง

ซูเม่ยและหลานเทียนหรงขมวดคิ้วกันทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วงว่า คนที่พึ่งจากไปนั้นจะรอดอย่างที่พวกเขาหวังไว้หรือไม่

หลิวเฟิ่งลู่ที่กลับมาที่ห้องก็ดูของตกแต่งในห้องที่จัดวางไว้ พอสังเกตดูดีๆตัวละครตัวนี้จะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และชอบสีอะไรที่มันเป็นสีอ่อนๆช่างเหมาะกับเขาเสียจริง

แต่เสียอย่างเดียวคือร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ เพราะขนาดแค่ออกแรงบีบแขนฮูหยินเอกตอนนั้นยังต้องใช้ทั้งหมดที่มีบีบไปยังแขนเล็กนั้นเลย

ถ้าเป็นแบบนี้มีหวังจะเป็นฝ่ายแพ้เสียมากกว่าไม่ได้ล่ะ เราจะต้องหาวิธีที่จะทำให้ชนะไอ้เจ้าคนผู้นั้นให้ได้และทำให้ตัวร้ายไม่สิ หลิ่งเฟยหลง สามีของข้าเป็นองค์จักรพรรดิมังกรให้ได้....

เช้าวันต่อมาสำหรับวันที่เขาต้องจากเมืองฉู่ที่นี่ทุกคนในครอบครัวเขา....ไม่สิตัวปัญหาของเขามายืนส่งเขา

ตาแก่และฮูหยินอีกสามคนที่มาส่งต่างก็ทำสีหน้าหน้าตายทุกคนอยู่อย่างนั้นและลูกชายของพวกนางอีกด้วยเว้นแต่...พี่หลานเทียนหรงและฮูหยินซูเม่ยแม่เลี้ยงของเขาที่ยืนทำหน้าเศร้ากันไม่อยากให้ไป

"พี่ไม่อยากให้เจ้าไปเลย หากไปที่นั้นจะมีใครช่วยเจ้าได้กันนะ.."หลานเทียนหรงกล่าวเสียงสั่นกับอีกฝ่าย

"เฟิ่งเอ๋อร์ไปที่นั้นก็ทำตัวดีๆนะ"ซูเม่ยกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความเสียใจเช่นกัน

หลิวเฟิ่งลู่ที่กำลังจะขึ้นหันมาหาพวกเขาทั้งสองก่อนที่จะกระโดดกอดใส่พวกเขาทั้งสอง "ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่ท่านพี่ข้าจะทำให้เป็นจริงอย่างที่ข้ากล่าวออกไปให้ได้ เพราะงั้นขอให้พวกท่านรอเท่านั้น"

"อย่ามั่วแต่ยืนคุยรีบไปได้แล้ว!!"เกาฉางเหยียนผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่นานรีบกล่าวไล่ลูกชายที่ไม่เคยนับญาติหรือให้ใช้แซ่ให้รีบขึ้นรถม้าไป

หลิวเฟิ่งลู่มองพวกที่เหยียบหยาบเขาอยู่ครู่ด้วยสายตาที่เหมือนกับนักฆ่าทำให้คนที่อยู่ด้านหลังเกิดอาการขนลุกขึ้นมากันทันที

หลังจากที่จ้องอยู่นานเขาก็เก็บสายตาก่อนที่จะขึ้นรถม้าที่ทางวังหลวงส่งมาให้ไป พวกคนที่เห็นสายตาของคนที่พึ่งจากไปนั้นต่างก็ผวากันไปเพราะตั้งแต่คนผู้เกิดมาไม่เคยใช้สายตาแบบนั้นจ้องมาที่พวกเขาเลย

ที่แท้ที่ผ่านมาก็เสแสร้งสินะ แล้วพวกเขาควรจะทำอย่างไรดีหากมันกลับมาอีกทีและทำอย่างที่ว่าได้พวกเขาจะไม่โดนอะไรใช่ไหม

หลิวเฟิ่งลู่ที่นั่งอยู่บนรถม้ามองทอดออกไปด้านนอกด้วยสายตาเฉย 

ไปถึงที่นั้นก็ต้องเจอกับพ่อสามีนั้นก็คือองค์จักรพรรดิก่อนสินะหลังจากนั้นก็พาไปตำหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานอีกสามวันข้างหน้า

แต่ว่า...เท่าที่จำได้ในนิยายนั้นระบุไว้แค่ว่าเจ้าบ่าวของเขานั้นพอเสร็จพิธีก็หายไปเลยไม่แม้แต่จะเข้าหอเพื่อมองหน้าเขาเลย....

แต่ว่าก็ดีนะ.....ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะได้ไม่ต้องเสียตัวให้กับตัวร้ายอย่างไรล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากเห็นใบหน้าเหมือนกันนะว่าจะหล่อขนาดไหน

เพราะตั้งแต่ที่อ่านมาพวกสาวๆต่างพากันหลงเสน่ห์ของตัวร้ายกันทั้งนั้นร่วมถึงตัวเขาด้วย ที่ชอบตัวร้ายมากกว่าพระเอก

รู้สึกว่าจุดเด่นของสองคนนี้ก็คือพระเอกจะผมสีขาวบริสุทร์และมีรอยสีทองที่เป็นคำสาปมังกรขาวที่ผนึกไม่หมดเอาไว้ ส่วนตัวร้ายคือดวงตาสีแดงม่วงอัญมณีที่เป็นดวงตาของมังกรดำ

เฮ้อ แต่ก็นะก็คนอย่างเขาที่ควรเป็นนายเอกกับถูกคนที่สร้างเขาขึ้นมาแย่งไปทั้งพระเอกและตัวร้ายที่ควรหันมาแย่งเขาแต่กับหันไปแย่งเจ้าคนที่สร้างพวกเขาขึ้นมาซะอย่างนั้น

ส่วนเขาก็ถูกมองว่าเป็นตัวขี้อิจฉาและเป็นตัวปัญหาที่สมควรถูกกำจัด....ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะ ทั้งๆที่เขามันก็แค่ตัวละครที่เล่นตามบทเท่านั้นแต่นายเอกแย่งบทที่เป็นคนที่หลุดเข้ามาในนิยายที่ตัวเองแต่งก็รู้สิว่าเกมมันจุดไหนบาง

แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ แกรู้ว่าฉันจะเริ่มจุดไหนแต่ฉันเองก็รู้เช่นกันว่าแกจะเริ่มจุดไหนเช่นกันเพราะงั้นแกไม่มีวันที่จะตามเกมฉันได้หรอก

เขานั่งยกยิ้มขึ้นมา แต่หารู้ไม่ว่าเขานั้นนกำลังถูกใครบางคนจับจ้องมองผ่านทางม่านด้านหน้าคนขับรถม้าเอาไว้อยู่

-----------------------●●------------------------

"ถวายพระพรองค์องค์จักรพรรดิ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ"

ตอนนี้หลังจากที่เข้ามาในวังหลวงแห่งแคว้นฉินสิ่งแรกที่เขาทำคือการมาเคารพต่อพ่อสามีหรือนั้นก็คือองค์จักรพรรดิคนปัจจุบันนั้นเอง

ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างพากันหันมามองเป็นตาเดียวกันหมด เพราะท่วงท่าที่คนร่างบางนั้นทำช่างดูงดงามความสง่างามที่แฝงไปด้วยคนสมฐานะไม่ต่ำหรือเกินไปอย่างมาก

ทำให้ผู้เป็นองค์จักรพรรดิมังกรที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิวขึ้นเป็นปมทันที เพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเท่าที่เขาได้ยินมาเป็นคนขี้อายและยังขี้ขลาดอีกเสียด้วยแต่ใครจะไปคิดว่าพอมาเจอกันจริงๆแล้วคนผู้นี้ช่างสง่างามเกินกว่าคนแรกที่มาเสียอีก

"ลุกขึ้นเถิดคุณชายเกาเฟิ่งลู่ ข้ายินดีต้อนรับท่านสู่แคว้นฉินและข้าก็ยินอย่างยิ่งที่ได้ท่านมาเป็นสะใภ้ให้กับบุตรชายคนโตของข้า"เขากล่าวอย่างยินดี

แต่หารู้ไม่ว่าคำเหล่านั้นและรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าคือสิ่งจอมปลอม เพราะสำหรับคนผู้นี้แล้วคือแค่ต้องการเมืองฉู่ของเขามาครอบครองเฉยๆก็เท่านั้น

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะที่ฝ่าบาททรงต้อนรับเช่นนี้ต่อกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ"

หลังจากที่พูดคุยเสร็จกันจบลงองค์จักรพรรดิก็ให้องครักษ์คนสนิทที่อยู่ด้านหลังพาเขาไปส่งยังตำหนักที่เตรียมไว้สำหรับการเตรียมพร้อมการใช้ชีวิตในวัง

เมื่อมาถึงตำหนักสำหรับที่พักช่วงคราวของเขาองครักษ์ผู้นั้นก็หายไปเสีย เหลือเพียงแค่ข้ารับใช้และสาวใช้เท่านั้นที่อยู่ค่อยรับใช้เขา

"พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้ามีมี่ฮวาค่อยรับใช้แล้ว"หลิวเฟิ่งลู่กล่าวเสียงเรียบกับพวกข้ารับใช้ที่องค์จักรพรรดิมอบให้มารับใช้

พวกข้ารับใช้ได้ยินแบบนั้นก็รับคำสั่งและรีบออกไปกันทันที ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับข้ารับใช้คนสนิทเท่านั้นที่อยู่กับเขา

หลิวเฟิ่งลู่ทอดสายตาไปมากับสถานที่แปลกใหม่ของตน สำหรับเขาแล้วยุคจีนสมัยแบบนี้เช่นงดงามและอากาศดีเสียมากกว่าโลกปัจจุบันของเขาเสียจริง

"ยามนี้เจ้านั้นคงจะสาระแนไปหาพระเอกที่กำลังฝึกดาบอยู่ตรงมุมฝึกดาบสินะ..."หลิวเฟิ่งลู่พึมพำอะไรออกมาทำให้มี่ฮวาที่อยู่ข้างๆสงสัยขึ้น

"คุณชายกำลังพูดถึงใครหรือเจ้าคะ?"มี่ฮวาถามผู้เป็นนายของตัวเอง

"เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าข้าพูดถึงใคร แต่ตอนนี้เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำชามาให้ข้าจะได้หรือไม่"หลิวเฟิ่งลู่หันไปบอกกับอีกฝ่ายที่เข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องให้ออกไปทำอย่างอื่น

มี่ฮวาได้ยินก็ยอมรับคำไปเตรียมของที่ต้องการมาให้ผู้เป็นนายทันที หลิวเฟิ่งลู่มองแผ่นหลังของข้ารับใช้ที่พึ่งจากไปก่อนที่จะหันหลังกลับมามองท้องฟ้าที่สว่างสวยสดงดงามข้างหน้า

แต่จู่ๆก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาเขาจึงหันไปหาอะไรที่มันพอจะให้คนอย่างเขาฝึกร่างกายของเขาได้แต่ก็ไม่มีอะไรพอจะเป็นเครื่องมือฝึกซ้อมได้เลย

หาไปหามาก็เจอกับท่องไม้ยาวที่วางตั้งอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ข้างที่นั้นตรงหน้าตำหนัก เมื่อเห็นแบบนั้นก็รีบไปหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะแกว่งไปมาเหมือนกับร่ายรำกระบี่

เมื่อตอนที่อยู่โลกเดิมนั้นเขาเป็นคนมีฐานะดีจึงได้เรียนวิชาป้องกันตัวมาเยอะและก็ใช้อาวุธต่างๆได้แน่นอนว่าการเรียนใช้กระบี่เขาก็เรียนมาแต่สำหรับเขาแล้วเขาชอบการยิงธนูเสียมากกว่าอีก

เขาแกว่งไม้ไปมาด้วยท่วงท่าสง่างามส่วนสายลมที่พัดผ่านเขาไม้ใบที่ปลิวไปมาก็ตามกระแสลมที่เขาพัดผ่านจนไม้ใบสีเขียวเหล่านั้นปลิววงลอยรอบตัวเขาอย่างสง่างาม

"อะ!"

แกว่งไปแกว่งมาก็เกิดพลาดท่าเผลอเหยียบชายเสื้อของตน จนเสียหลักกระทันหันทำให้เขาหงายไปด้านหลังทันที

แต่ก็มีใครบางคนมาจับรอบเอวเขาไว้ได้ทันพอดี หลิวเฟิ่งลู่ตกใจรีบหันไปมองคนที่มาช่วยรับตนเอาไว้คนผู้นั้นคือบุรุษที่สวมหน้ากากเหล็กปีศาจเอาไว้จึงทำให้ไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

"เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจถามอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองมาที่เขา

เมื่อพึ่งคิดได้ว่าตัวเองนั้นถูกอีกฝ่ายกอดรอบเอวเอาไว้ จึงรีบดิ้นออกจากอีกฝ่ายทันที "อะ!ขออภัยข้าไม่ได้เป็นอะไร ว่าแต่ท่านเป็นใครกัน?"

คนผู้นั้นเห็นอีกฝ่ายดิ้นออกแบบนี้และไหนจะน้ำเสียงที่พูดออกมาช่างน่าหลงใหลน่าเอ็นดูยิ่งนั้นยิ่งสายตาที่เย็นชาไม่กลัวคนแบบนั้นยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปใหญ่

"ข้าเป็นใครหาใช่คนที่เจ้าต้องรู้ไม่...ว่าแต่ท่วงท่าร่ายรำกระบี่เมื่อครู่เป็นการร่ายรำที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย....เจ้าไปได้มาจากไหนรึหรือร่ำเรียนมาจากที่ใด" บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจถามอีกฝ่าย เสียงที่เขากล่าวมาเช่นเป็นเสียงทุ้มใหญ่เหมือนคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีเห็นจะได้เลย

"ข้าจะได้มาจากที่ใดหาใช่สิ่งที่ต้องรู้ไม่ ตอนนี้ท่านควรจะตอบคำถามข้าเสียมากกว่าว่าท่านเป็นใครกันและเข้ามาในที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน!" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเสียงหนักแน่น

บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินก็หัวเราะออกมาก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ายวนใจอีกฝ่าย "ไว้ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าคือใครแต่ตอนนี้เห็นเจ้ากล้าต่อเถียงข้าดี ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินจากปากผู้อื่นเลยว่า เจ้าเป็นคนขี้อายและยังอ่อนแอมิกล้าสู้ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างยิ่งการต่อสู้ก็ไม่ได้เรื่องศิลปะเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่"

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินก็ถึงกับสงสารร่างนี้เสียจริง ก็แน่ละข้ามันก็คล้ายๆนางเอก เออไม่สิตัวร้ายกากๆที่ทำได้เพียงแค่ใช้สมองและวางแผนเท่านั้นเพื่อที่กำจัดนายเอกทิ้งความจริงเป็นเขาเสียมากกว่าที่ถูกอีกฝ่ายยัดเยียดให้เป็นแบบนั้นแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

ตอนนี้เขาคือหลิวเฟิ่งลู่ที่เป็นนายเอกตัวจริงและจะเปลี่ยนบทตัวร้ายให้เป็นพระเอกด้วยค่อยดูเถอะเขาจะทำให้ดู แต่ตอนนี้ใครๆต่างก็คิดว่าเขาคือเกาเฟิ่งลู่เพราะใช้แซ่ของบิดาเจาเองเพื่อแคว้นของเขา

ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขานั้นเป็นคนแซ่หลิวแซ่ของมารดาที่ให้กำเนิดเขาและตายจากเขาไปนานแล้ว

"คำพูดของผู้อื่นหาได้ใช่สิ่งที่ควรจะฟังหรือไม่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตนเองหรือไม่ก็ใช้สมองที่มีคิดเสียก่อน" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่กลัวใคร

บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนกล่าว "ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เจ้าไม่มีทักษะในด้านต่อสู้ก็มิใช่เรื่องจริงสินะ"

"เรื่องนั้นคือความจริงแต่ว่าเข้าถิ่นศัตรูทั้งทีก็ต้องฝึกทักษะป้องกันตัวเอาไว้จะไปเสียหายอะไร" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวออกมาพร้อมกับยกไม้ขึ้นมาแกว่งไปมา

" 'เข้าถิ่นศัตรู' ช่างเป็นคำพูดที่ไม่คิดเลยว่าจะออกจากปากของเจ้าทั้งๆที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อมาเป็นเจ้าสาวให้กับคนของแคว้นนี้แท้ๆจะเป็นศัตรูกันได้อย่างไร?"

"เฮอะ เจ้าสาว? ท่านชายสวมหน้ากากเหล็กปีศาจข้าจะบอกอะไรให้ท่านฟังนะว่า การแต่งงานครั้งนี้ที่จัดขึ้นก็เพื่อที่จะคิดชิงยึดเมืองฉู่ของข้าเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจัดขึ้นมาจริงๆอย่างที่องค์จักรพรรดิกล่าวมาสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งจอมปลอมและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงทุกประการพอเสร็จพิธีแต่งงานข้าก็จะหมดประโยชน์ทันที เพราะงั้น....."

หลิวเฟิ่งลู่ไม่กล้ากล่าวต่อเพราะรู้สึกว่าคำพูดที่ทิ้งไว้กับท่านแม่และท่านพี่เอาไว้และแผนที่คิดจะลบล้างบทพระเอกและคนแย่งบทออกไปนั้นจะเป็นจริงอย่างที่เขาหวังไว้หรือเขาจะทำได้หรือคนที่เป็นแค่นักอ่านและมาอยู่ในร่างตัวละครที่ถูกทุกคนทิ้งแบบนี้จะได้ทำอย่างว่าจริงๆไม่สิไม่ได้แน่ๆเขาก็คงต้องตายแบบในนิยายที่ถูกคนที่เกลียดตนเอายาพิษให้เขากินและตายแน่ๆแบบในนิยาย

"เหตุใดจึงไม่กล่าวต่อ?"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจถามอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบไปไม่พูดต่ออีก

"ข้าไม่จำเป็นต้องพูดให้กับคนแปลกหน้าเช่นท่าน ที่มาแอบดูผู้อื่นเช่นนี้หรอก" หลิวเฟิ่งลู่เก็บอาการอ่อนไหวของตนเองก่อนกล่าวต่อว่าอีกฝ่าย

"คุณชายหม่อมฉันเอาน้ำชาที่คุณชายต้องการมาแล้วเจ้าค่ะ"มี่ฮวาที่รีบยกถาดถ้วยน้ำชามาให้ผู้เป็นนายทันที

หลิวเฟิ่งลู่หันไปข้ารับใช่คนตนที่เรัยกเขาก่อนจะหันกับมาบุรุษสวมหน้าเหล็กปีศาจที่ยืนอยู่ไม่ไกลตนแต่เมื่อหันไปกับพบว่าคนผู้นั้นหายไปเสียแล้ว

"อ่าวหายไปไหนเสียแล้วล่ะ?"เขาขมวดคิ้วสงสัยขึ้นมาทันที

สองวันที่เขามาอยู่ที่วังหลวง

หลิวเฟิ่งลู่นั้นเอาแต่ฝึกฝนวิธีการต่อสู้และคิดวิธีการชนะศัตรูอยู่อย่างเดียวถึงจะมีคนชอบเข้ามาขัดจังหวะเขาก็จะสั่งให้ออกไปหรือไม่ก็หาข้ออ้างไม่ไป

จนทำให้คนในวังเริ่มไปพอใจกับเขาอยู่มากโดยเฉพาะฮองเฮาขององค์จักรพรรดิที่นี่ที่มักให้นางกำนัลมาเชิญเขาตลอดแต่เขาหาได้ไปไม่เพราะว่าเขาสามารถหาข้ออ้างว่าป่วยได้และไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะมีคนมาดูให้เพราะยังไงซะพวกเขาก็ไม่ส่งมาให้อยู่ดี

เขารู้ดีว่าฮองเฮาของนิยายเรื่องนี้เกลียดเขาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ขนาดแค่ให้เรียกตามมารยาทอย่างเช่นเสด็จแม่ยังโดนว่าเป็นชุดเลย 

เขาจึงตั้งใจไว้ว่าขอเพียงแค่ตัวร้ายของเรื่องนี้ยอมอยู่กับเขาและยอมช่วยเขาแค่นี้ก็พอสามารถที่จะยึดบัลลังก์มังกรมาได้ถ้าเขายอมช่วยน่ะนะ

"เฮ้อ เหนื่อยจังร่างนี้ช่างอ่อนแอเกินไปจริงๆแต่ก็ยังดีที่ตอนนี้สามารถปรับลมหายใจได้ ไม่อย่างนั้นคงจะเหนื่อยเร็วกว่านี้แน่"เขากล่าวออกมาพร้อมกับเก็บท่องไม้ยาวนั้นเอาไว้อย่างดี

"ไหนพวกนางกำนัลบอกว่าเจ้าป่วยจนไม่สามารถลุกจากเตียงไง แล้วเหตุใดถึงสามารถออกมาแกว่งไม้ไปมาได้เช่นนี้ล่ะ?"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจที่จู่ๆก็โผล่มาอยู่ด้านหลังของร่างบางตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้

หลิวเฟิ่งลู่สะบัดท่องไม้ในมือใส่คนด้านหลังทันที แต่คนผู้นั้นก็สามารหลบได้และกระโดดออกห่างจากตรงนั้น

"เรื่องของข้า ข้าจะทำอะไรก็ได้โตแล้ว"หลิวเฟิ่งลู่กล่าวกวนอีกฝ่ายไป

"หึ ช่างกล้าพูดนะตัวเจ้าเนี่ย แต่ว่าหลอกล่วงเบื้องสูงเช่นนี้ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่ารึเจ้าน่ะ"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจกล่าวตอบอีกฝ่าย

"ไม่....ตายได้ก็ดีด้วยซ้ำไป"เขาตอบไม่คิด

"เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้ออกมา เจ้าไม่รักชีวิตตัวเองเลยรึไง!"บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินแบบนั้นก็ตะคอกใส่อีกฝ่าย

"เพราะรักมันยังไงล่ะ ข้าถึงอยากตายเพราะว่าหลังจากที่ข้าได้แต่งงานกับกับองค์ชายใหญ่ของที่นี่ข้าก็เจอสิ่งที่เรียกว่านรกเดินดิน...."หลิวเฟิ่งลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวออกมาเหมือนกับว่าเตรียมใจไว้แล้ว

ใช่เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าหลังจากที่แต่งงานเขาก็จะเจอกับสิ่งที่เรียกว่านรกเดินดินของแท้ เพราะแค่วันแต่งงานว่าที่สามีของเขาก็หนีเขาไปทำให้เขาต้องนอนคนเดียว วันต่อมาก็ต้องให้มี่ฮวาช่วยเขาคนเดียวพอไปหาฮองเฮาก็โดนดุ หลังจากนั้นก็ต้องมาเห็นว่าที่สามีอยู่กับคนแย่งบทของเขาและโดนนินทาลับหลังว่าเสแสร้งเป็นขี้ปากของชาวบ้านจนไม่มีหน้าไปไว้ไหนเลย แถมพอกลับเมืองฉู่ก็โดนตาแก่ด่าทุบตีไม่หยุดโดนเมียแกรุมอีกและจะอะไรอีกมากมายสุดท้ายจุดจบของเขาก็คือถูกคนลอบวางยาพิษให้ตายทรมานอย่างโดดเดี่ยวกลางหิมะคนเดียว.....

บุรุษสวมหน้ากากเหล็กปีศาจได้ยินแบบนั้นก็พูดไม่ออกขึ้นมา แต่ก็ยอมกล่าวออกมา"ทำไมถึงคิดเช่นนั้นล่ะ? หรือว่าเจ้ายังคิดอยู่ว่าที่องค์จักรพรรดิให้เจ้ามาเป็นเจ้าสาวให้กับองค์ชายใหญ่เพื่อยึดเมืองฉู่ของเจ้ารึ?"

"ท่านไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้าหรอก ตอนนี้ท่านควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้วหากใครมาเห็น เขาจะหาว่าข้าแอบลักลอบพานักฆ่าเข้ามาในวังหรือไม่ก็คบชู้....."หลิวเฟิ่งลู่กล่าวจบก็เดินเข้าไปในตำหนักทันทีโดยที่ไม่สนใจบุรุษผู้นั้นอีกแล้ว

ช่างเป็นคนที่ลึกลับเสียจริงผิดกับที่ได้ยินมาเป็นอย่างมาก....

ยามซวี (19:00-20:59)

หลิวเฟิ่งลู่ที่พึ่งอาบน้ำเสร็จกำลังหวีดผมสีดำสลวยของตัวเองไปมา โดยมีมี่ฮวายืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นนายของตน

"มี่ฮวา..."เขาเรียกคนด้านหังด้วยเสียงเบา

"เจ้าคะ คุณชายมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เจ้าคะ"มี่ฮวาตอบกลับทันที

"เจ้าจะ....ไม่ทิ้งข้าไปใช่ไหม?"เขากล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่น

"เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้ออกมาเพคะหม่อมฉันจะทิ้งคุณชายไปได้อย่างไรเจ้าคะ!!"มี่ฮวาได้ยินแบบนั้นก็ต้องใจขึ้นมาทันที

"นั้นสินะเจ้าเป็นข้ารับใช้คนสนิทของข้าจะกล้าทิ้งข้าได้อย่างไรกันฮะๆ"หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างน้อยๆที่นี่ก็มีมี่ฮวาที่อยู่กับเขา

ถึงในนิยายจะไม่ระบุถึงนางเพราะไม่ได้เอานางมาด้วยทำให้ไม่รู้ว่าในนิยายมีนางอยู่ด้วย แต่ตอนนี้นางคงจะมีบทช่วยเขาบ้างน่ะแหละ

-----------------------●●------------------------

ในที่สุดวันนั้นก็มาถึงวันที่เขาต้องเล่นเกมนรกนี่เกมที่จะเปลี่ยนให้เขาเจอกับสิ่งที่เรียกว่านรกเดินดินอย่างไรล่ะ

ณ ห้องแต่งตัวสำหรับงานแต่งของเขาภายในห้องมีแค่มี่ฮวาเท่านั้นที่ช่วยเขาเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานครั้งนี้เท่านั้น

ในตามนิยายจะระบุมาถึงตอนเข้างานเลยจะไม่มีการบอกถึงว่าเวลาแต่งตัวนั้นจะมาใครมาช่วยบ้าง แต่ว่าไม่ต้องให้เดาฮองเฮากับองค์จักรพรรดิก็คงจะส่งคนไปให้ฝั่งนายเอกแย่งบททางนั้นเสียมากกว่าเพราะพวกเขารักพระเอกเสียมากกว่ารักตัวร้ายอีกเหตุเพราะตัวร้ายนั้นโหดเหี้ยมเกินไปจึงกลัวว่าหากปกครองเมืองละก็ต้องไม่ดีแน่ จึงเอาแต่เรื่องบังซบให้กับเขาเช่นกัน ก็อย่างตอนนี้ยังไงล่ะที่ให้ข้าที่เป็นคนของเมืองฉู่ที่กำลังจะล้มสลายในอีกไม่นานยังไงล่ะ

ทั้งๆที่ตัวร้ายเรื่องนี้อุส่าจับดาบต่อสู้ตั้งแต่อายุสิบขวบเห็นจะได้อายุสิบสี่ก็เข้าสนามรบต่อสู้กับกองทัพฝั่งศัตรูตั้งมากมายทำให้กองกำลังของจักรพรรดิของแคว้นนี้แข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีใครสามารถต่อกรได้แต่สุดท้ายทั้งหมดที่เขาทำมาก็ถูกนำไปให้พระเอกที่มีพลังมังกรขาวเองคิดดูสิ!!  ตัวร้ายเขาจะไม่ร้ายได้ยังไงล่ะเขาอุส่าสู้มาตั้งนานสุดท้ายก็เอาไปให้พระเอกหมด! ช่างน่าสงสารเสียจริงนะ หลิ่งเฟยหลง ที่เกิดมาเป็นตัวร้ายแบบนี้

"คุณชายหม่อมฉันต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ ชุดแบบนี้หม่อมฉันไม่เคยช่วยสวมให้ใคร จึงไม่ทราบว่าจะต้องเริ่มสวมตัวไหนก่อนดีเจ้าคะ"มี่ฮวาสับสนกับเสื้อผ้าสีแดงที่อยู่ในมือนางมากมาย

หลิวเฟิ่งลู่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่านางเคยแต่แต่งตัวให้เขาด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดาก็เท่านั้นชุดทางการหรือชุดออกงานอะไรแบบนี้เขาไม่เคยได้แต่งหรอก

"มี่ฮวาเจ้าไปรอข้าด้านนอกข้าเดี๋ยวทำเอง"เขากล่าวพร้อมกับหันไปหยิบเสื้อมาสวมใส่เอาเองมี่ฮวาพยายามที่จะช่วยเขาแต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายก็ยอมออกไปแต่โดยนี้

ก่อนที่ออกไปนั้นเขาก็ได้แอบมองตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง เงาที่สะท้อนภาพบุรุษสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเช่นทำให้ดูเหมือนตัวร้ายซะเหลือเกินแต่ยังไงซะเขาก็แค่ต้องทนและปกป้องตนเองจากเหล่าพวกที่จะมารังแกเขาเท่านั้น

.

.

.

 .

ณ เวลานี้คือเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับเขากับการเริ่มต้นชะตากรรมที่แสนน่ากลัวของเขา

บัดนี้ห้องโถงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเคนื่องประดับตกแต่งมากมายอย่างงดงาม สองข้างทางก็ประดับไปด้วยสีมงคลและของมงคลมากมาย ผู้คนมากมายต่างแคว้นต่างดินแดนมาร่วมงานกันอย่างมากมายซะจนแน่นไปหมด

ไม่รอให้นานเสียงสัญญาของการเปิดงานก็เริ่มขึ้นประตูห้องโถงใหญ่เปิดออกกว้างตามมาด้วยเสียงกองเสียงดนตรีมากมายที่เล่นเปิดงาน และแล้วเจ้าของงานก็เดินเปิดงานมา องค์ชายใหญ่ของแคว้นฉิน ที่ผ่านสนามรบมามากมายและสามารถชนะข้าศึกได้ทุกครั้งและยังได้รับขนานนามว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุดในตระกูล ผิดกับคนที่เดินเคียงคู่มาพร้อมกับเขามาก นั้นก็คือพระชายาที่เป็นคุณชายจากต่างเมืองฉู่ที่เขาเล่าลือกันว่าเป็นบุตรชายคนที่ห้าของเจ้าเมืองฉู่ที่มีใบหน้างดงามกว่าสตรีและไม่เป็นรองใครของคนในเมือง แต่ทว่ากับเป็นคนที่อ่อนแอและเป็นคนที่ขี้กลัวเป็นอย่างมาก

ใครๆต่างก็ซุบซิบนินทากันเลยช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย แต่พอมาเห็นกันจริงๆแล้วกับพบว่าช่างเหมาะสมกันเป็นอย่างมาก เจ้าบ่าวที่สวมเสื้อสีแดงลายมังกรลอยเมฆาสีทองที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ด้วยหน้ากากสีทองลอยมังกรเช่นกัน กับเจ้าสาวที่สวมเสื้อสีแดงลายหงส์สีทองที่กำลังโบยบินอยู่เมฆาเช่นกัน เจ้าสาวนั้นถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าฝ้ายผืนบางสีแดงทำให้ไม่เห็นใบหน้าใต้ผ้าฝ้ายนั้นแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความงดงามใต้ผ้าฝ้ายนั้นได้เป็นอย่างดี

ท่วงท่าการเดินของสองคนนั้นช่างงดงามจนทุกคนที่เห็นแทบหยุดหายใจกันเมื่อสองคนนั้นเดินผ่านไป

นักเวลานั้นทุกคนที่เห็นต่างหากันเปลี่ยนความคิดกันทันทีเลยว่าหากไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใครกัน พวกเขาคงคิดว่าเป็นคู่รักที่ฟ้าลิขิตไว้ให้มาคู่กันแน่แท้อย่างแท้จริง

ทั้งคู่เดินเข้ามาทำพิธีคำนับฟ้าดินพร้อมกัน หลังเสร็จฝ่ายองค์รัชทายาทอับดับที่หนึ่งก็เดินมาพร้อมกับพระชายาแห่งแคว้นฉู่ ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันอย่างสง่างามกันเป็นอย่างมากฝ่ายเจ้าสาวที่เดินเคียงข้างก็นิ่งสงบเป็นอย่างมากซะ พิธีต่างๆที่จัดขึ้นราบรื่นไปด้วยดีจนกระทั่งถึงเวลาที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องเข้าหอด้วยกัน

ทั้งคู่ที่กำลังเดินคู่มาด้วยกันจากนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวที่เดินอยู่สักพักก็ปล่อยมือที่กุมเอาไว้ออกและเหมือนว่ากำลังจะเดินไปอีกทาง

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกปล่อยมือก็ไม่ได้คิดจะห้ามอีกฝ่ายกับเก็บมือเอาไว้ในแขนเสื้อของตนและเดินไปยังหอนอนคนเดียวแต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆเจ้าบ่าวก็จับอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาไว้ในท่าอุ้มเจ้าสาวอย่างนั้นแทน

"นี่เจ้า!! ทำอะไรน่ะปล่อยข้านะ!!"หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆอีกใายทำแบบนี้กับตน

"ทำอะไรน่ะหรือ? ว่าที่สามีอุ้มเจ้าสาวเข้าหอมันผิดอย่างไรและอีกอย่างข้าคือสามีของเจ้าเหตุใดจึงต้องปล่อยด้วยล่ะ"องค์รัชทายาทอับดับที่หนึ่งที่อุ้มหันมาหาอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่ายน้ำเสียงของอีกฝ่ายเป็นทุ้มเสน่ห์ที่ใครฟังแล้วต่างหลงใหลทันทีร่วมถึงตัวเขาด้วย

หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูก เพราะเหตุการครั้งนี้ควรจะเป็นแบบที่เขาคิดไว้ก็คือเจ้าบ่าวหนีงานแต่งของตัวเองปล่อยเจ้าสาวนอนคนเดียว!! ไม่ใช่หรอแล้วไหนถึงมาเป็นอุ้มท่าเจ้าสาวแทนล่ะ!!

"นี่ท่าน!!"หลิวเฟิ่งลู่ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรออกไป ถึงจะรู้สึกดีที่เขาทำแบบนี้แทนแต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะทำตัวอย่างไรดีกับอีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงมองเจ้าสาวตนเองที่อยู่ในอ้อมกอดของตนก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าไปยังหอนอนของพวกเขาเมื่อมาถึงเขาก็ถีบประตูหอทันที

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกอุ้มเห็นแบบนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสารประตูขึ้นมาทันที พร้อมกับคิดเรื่องที่ต่อจากนี้จะเจออะไรกันแน่กับตัวร้ายที่ถือได้ว่าโหดสุดๆตรงนี้

ถ้าเปลี่ยนได้เขาขอให้เจ้าบ่าวทิ้งให้เขานอนคนเดียวถ้าจะดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงมาแบบนี้หรือว่าพอเขาเข้ามานิยายก็เปลี่ยนไปด้วยรึ!

นี่มันเหมือนกับเดจาวูมากมันคล้ายกับคนแย่งบทของเจามากๆเพราะความจริงมันก็คิดแบบเขาเหมือนกันว่าตัวเองกับพระเอกจะไม่ได้นอนด้วยกันแต่สรุปนอนด้วยกันและยังป๊าบๆด้วยกันอีก!!!แล้วข้าจะโดนแบบนั้นไหม!

'ปึก'

เมื่อเข้ามาในหอไม่รู้ว่ามีลมหรือว่าอะไรทำให้ประตูหอปิดสนิททันที หลิวเฟิ่งลู่ที่อยู่ในอ้อมกอดตกใจกับเสียงประตูปิดทันที

ชิบแล้วไงตัวข้าที่หวังไว้ว่าขอแค่ตัวร้ายยอมช่วยเขาแต่ไม่ได้หวังไว้ว่าให้มาทำเรื่องแบบนี้เอาแล้วไงทำไงดีหรือ

พอเข้ามาถึงแทนที่อีกฝ่ายจะโยนเขาลงหรือไม่ก็ทำอะไรๆที่มันโหดร้ายตามสไตล์ตัวร้ายที่ควรทำตามนิยายที่ระบุไว้สิก็อย่าเช่นจับนายเอกกดกับกำแพงและจูบหรือไม่ก็มัดเอาไว้และฉีกเสื้ออะไรแบบนั้น

แต่ว่าอีกฝ่ายกับเพียงแค่มาวางเขาไว้บนที่นอนอย่างเบามือเท่านั้น และเดินไปมุมโต๊ะที่มีจอกสีทองสองจอกที่ไว้ใช้สำหรับการคล้องแขนดื่มสุรากัน

หลังจากนั้นก็รินสุราที่เตรียมไว้ให้ใส่จอกสองใบนั้น และยกสองจอกนั้นขึ้นมาจอกใบหนึ่งถูกส่งให้กับคนที่นั่งอยู่บนที่นอนลายมังกรที่ดำนั้นให้

หลิวเฟิ่งลู่ลังเลอยู่ครู่ก่อนที่จะยื่นมือไปรับจอกใบนั้นมาไว้และนั่งจ้องมันอยู่แบบนั้น ไม่คิดจะดื่มมันเข้าไป

"จะมั่วแต่จ้องอยู่นาน วันนี้เป็นวันของเรา!"หลิ่งเฟยหลงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมลุกเสียทีจึงกล่าวออกไป

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวแบบนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะเขาไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไรดีถึงเขาจะเคยอ่านนิยายแนวฉากแต่งงานมามากมายแต่พอมาเจอกับตัวเองเช่นนี้เลยไม่รู้ควรทำไงและอีกอย่างเขาไม่คิดว่าตัวร้ายที่ควรจะหนีไปจากเขาแต่กับมาอยู่ตรงนี้ซะแล้วเขาควรทำยังไงดี

แต่เมื่อตั้งสติได้เขาจึงยื่นแขนที่ถือจอกไปคล้องแขนอีกฝ่ายเอาไว้ และหลังจากนั้นก็ดื่มจอกพร้อมกันและหลังจากดื่มเสร็จก็คล้ายแขนออกกันและยืนกันอยู่อย่างนั้น

หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อดี จึงยืนอยู่เฉยๆอย่างนั้น แต่แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ซัดฝ่ามือใส่เขาอย่างนั้น หลิวเฟิ่งลู่เห็นก็กระโดดหลบการโจมตีอีกฝ่ายทันทีแต่จังหวะนั้นก็ทำให้ผ้าฝ้ายบางที่คลุมหัวหลุดออก

ทำให้เห็นใบหน้าเจ้าสาวได้ชัดเจนอีกฝ่ายนั้นไร้เครื่องสำอาง มีแต่ใบหน้าสีขาวเนียนบนใบหน้าเท่านั้น

"ว้าวไม่อยากจะเชื่อว่าจะงดงามตามที่ได้ยินมา แต่ว่า....ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าการหลบเมื่อครู่ช่างเป็นท่วงท่าที่สง่างามดีนะ"หลิ่งเฟยหลงมองร่างบางที่กระโดดหลบข้ามไปอยู่อีกฝั่งของเตียงใหญ่

เขายกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงที่ดึงติดมายกขึ้นมาสูดดมกลิ่นที่ติดอยู่ หลิวเฟิ่งลู่เห็นก็เริ่มรู้สึกว่าการที่จะเปลี่ยนบทให้ตัวร้ายไม่ตายนี่เป็นความคิดที่แย่มากแน่ๆ

"ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นฝึกวิชาป้องกันตัวมา เพราะงั้นก่อนจะทำเรื่องอย่างว่าพวกเรามาปะมือกันก่อนดีหรือไม่?หลิวเฟิ่งลู่"เขาถามเจ้าสาวที่อยู่ตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาที่เขาไม่วางตา

"เจ้า..."หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกพูดไม่ออกแต่เมื่อคิดถึงชายสวมหน้ากากเหล็กปีศาจนั้นก็ไม่แปลกใจอะไรเขาดึงเสื้อเจ้าสาวออกก่อนตั้งท่า

"หากเจ้าต้องการก็เข้ามาเลย"เขากล่าวกับอีกฝ่ายทันที

แต่ในใจนั่นกับเต็มไปด้วยความกระวนกระวายไปหมดเพราะว่าร่างบางที่อ่อนแอเช่นนี้จะไปสู้กับคนที่มีร่างกำยำแข็งแกร่งและมีพลังยุทธ์เช่นนี้กันได้อย่างไรกัน!

บทที่ 2

ณ เวลานี้ภายในห้องหอที่จัดเตรียมไว้ให้องค์ชายใหญ่ หลิ่งเฟยหลงกับพระชายาของเขาเกาเฟิ่งลู่

แต่ตอนนี้กับกลายเป็นห้องปะมือต่อสู้กันเสียอย่างนั้น

หลิ่งเฟยหลงพุ่งซัดใส่อีกฝ่ายไม่หยุดอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงแค่หลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้เท่านั้นเพราะว่าเขาไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย

แย่ละสิ ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่จะส่งคนมาดูเราเช่นนี้และใครจะไปคิดอีกว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าหอเพื่อมาทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้แย่ละสิขืนให้อีกฝ่ายจับตัวได้มีหวังได้ตายคามือแน่ๆ!!

"เจ้านั้น บอกว่าพระชายาของข้ามีวิชาป้องกันตัวไง แต่ไหนถึงเอาแต่หลบข้าเช่นนี้ล่ะไม่คิดที่โต้กลับมาหน่อยหรือหลิวเฟิ่งลู่ของข้า"หลิ่งเฟยหลงที่เห็นอีกฝ่ายเอาแต่หลบก็เริ่มไม่สนุกเสียแล้ว

"เลิกเรียกข้าแบบนั้นได้แล้ว ข้ากับเจ้าไม่ได้เป็นกันแบบนั้นเสียหน่อย!และอีกอย่างข้าแซ่เกา!" หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกปวดหัวกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมากและไม่รู้จะเริ่มจุดไหนก่อนดี

"เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้าหรอกก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ข้าได้ส่งคนไปสืบมาเรียบร้อยแล้วล่ะ ว่าความจริงแล้วเจ้าน่ะเป็นลูกอนุภรรยาชั้นต่ำถูกผู้เป็นพ่อรังเกียจเข้าไส้ซะจนแซ่เกายังมิให้ตั้งเลยจึงต้องใช้แซ่ของผู้เป็นแม่แทน"

"หึ รู้ขนาดนั้นแท้ๆแต่ก็ยังคิดจะแต่งงานกับข้าเจ้าไม่คิดจะเสียใจหน่อยหรือที่ได้เพียงแค่เศษขยะของเมืองฉู่อย่างข้ามาครอบครองน่ะ" หลิวเฟิ่งลู่กล่าวออกมาแต่ก็ยังตั้งท่าหลบอีกฝ่าย

"เศษขยะ? เข้าใจหาคำมาว่าตัวเองดีเสียจริงนะเจ้าน่ะ ทั้งๆที่เจ้าน่ะทั้งงดงามและมีความสามารถมากมายเช่นนี้แต่กลับเอาแต่ว่าให้ต่ำลงเสียอย่างนั้น" หลิ่งเฟยหลงกล่าวกับอีกฝ่ายที่เอาแต่ว่าตัวเองไม่คิดจะมองค่าตัวเองเสียอย่างนั้น

"เพราะความจริงความสามารถพวกนี้มันไม่ได้เกิดมาจากข้าตั้งแต่แรกอย่างไงล่ะ"หลิวเฟิ่งลู่เบื่อกับคำพูดของอีกฝ่ายที่เอาแต่ชวนให้ปวดหัวตลอดเวลาจึงเตะขวดสุราที่วางอยู่บนโต๊ะใส่อีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงสามารถปัดออกได้อย่างสบาย แต่ว่าอีกฝ่ายเองก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวเขาเช่นกันอีกฝ่ายพุ่งไปดึงหน้ากากสีทองที่อีกฝ่ายนั้นปกปิดใบหน้านั้นเอาไว้ไม่ให้เขาเห็นอยู่นานได้

เมื่อหน้ากากถูกดึงออกก็ทำให้เห็นใบหน้าภายใต้หน้าสีทองนั้น ใบหน้าสีหล่อเหลาสีขาวซีด คิ้วทั้งสองข้างตวัดเฉียงขึ้นดุจกระบี่ ดวงตาหงส์อันแคบยาวที่เชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีม่วงอย่างกับอัญมณีนั้น

หลิวเฟิ่งลู่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็อึ้งกับความหล่อเหลาของอีกฝ่ายทันที ขาแขนสองข้างไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อยเหมือนกับว่าเขาถูกมนต์สะกดเอาไว้

นี่หรือหน้าที่แท้จริงของตัวร้ายในนิยายเรื่องนี้ ทำไมถึงหล่อขนาดนี้นะไม่อยากจะเชื่อเลยหล่อซะจนรู้สึกว่าถ้าตายเพราะเขาคงดีแท้แน่

หลิ่งเฟยหลงเห็นอีกฝ่ายที่ยืนถือหน้ากากนิ่งไปไม่ยอมขยับหนีก็รีบจับตัวอีกฝ่ายกดไว้กับเตียงทันทีด้วยความรวดเร็ว

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกอีกฝ่ายพุ่งโจมตีจับกดเตียงเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกทันที "เจ้าปล่อยข้านะ ปล่อยอ้าก!"

คนใต้ร่างดิ้นอย่างแรงแต่กับถูกคนด้านบนจับรวบแขนสองข้างไว้ด้วยมือข้างเดียวแน่นและจับรวบไว้เหนือศีรษะอย่างแรงและยังบีบอีก

"ในที่สุดก็จับตัวได้เสียที สุดท้ายวิชาป้องกันตัวที่เจ้าว่าฝึกมาก็เป็นแค่คำโกหกหมดเลยสินะเจ้าน่ะ" หลิ่งเฟยหลงมองคนใต้ล่างที่หันหน้าหลบไม่ยอมมองหน้าตน

หลิวเฟิ่งลู่หลบสายตาของอีกฝ่ายไม่กล้ามองหน้าไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่ายแต่ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นหล่อเหลาเกินไปจนเขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายก็เท่านั่น

"เหตุใดจึงไม่หันหน้ามามองข้า....หรือว่าพอเห็นใบหน้าของข้าแล้วทำให้เจ้ากลัวจนไม่กล้ามองรึ?" หลิ่งเฟยหลงเห็นอีกฝ่ายเอาแต่หลับหันหน้าหลบไม่ยอมมองหน้าก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา

เขาบีบกรามอีกฝ่ายให้เห็นหน้ามามองตนก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น "มองหน้าข้า...ถ้าขืนยังคิดจะขัดขืนข้าละก็เตรียมตัวตายอย่างที่เจ้าหวังไว้ได้เลย...."

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะยอมหันหน้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆและลืมตามองใบหน้าอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ตน

"ทำสิ....ฆ่าข้าสิ"เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

อ่า...ถ้าต้องมาตายเพราะตัวร้ายตรงหน้าฆ่าละก็...ก็คุ้มดีนะได้ตายเพราะฝีมือของตัวละครที่ชอบแบบนี้ก็คุ้มดี....ดีกว่าต้องไปตายอย่างเดี่ยวดายท่ามกลางหิมะเช่นนั้น.....

แต่ว่าหากข้าตายไปแบบนี้ตั้งแต่ต้นเช่นนี้เจ้าจะต้องไปเจอกับเฉินจิ้นหลิงนายเอกคนนั้นที่แย่งบทข้าไปและหลังจากนั้นเจ้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามาให้ได้แบบนั้นแต่สุดท้าย....เจ้าก็จะต้องตายเพราะเขา ข้าจะทำอย่างไรดีล่ะ อยากจะช่วยแต่ร่างที่แสนอ่อนแอเช่นนี้จะทำอะไรได้ล่ะ? ข้าควรจะทำอย่างไรดี ตัวร้ายของข้า....ข้าควรทำอย่างไรดีถึงจะช่วยเจ้าไม่ให้ตายเช่นนั้นได้นะ

แววตานั่นมันอะไรกัน...ทำไมคนผู้นี้ถึงได้มองข้าด้วยสายตาห่วงหาเช่นนั้น ทำไมกันนะ นี่เขาอยากจะตายจริงๆอย่างที่ปากว่าจริงๆรึ?....

ความแข็งแกร่งและความสามารถมากมายของหลิ่งเฟยหลงทำให้ผู้คนในวังและเชื้อพระวงศ์ต่างหวั่นพรั่งพรึงกันทันนั้น หากแต่ว่าสายตาของคนใต้ร่างนั้นที่มองมากลับเห็นเขาดูน่าเวทนาสงสาร ราวกับว่า....

"ทำไมเจ้ายังไม่รีบลงมือเสียทีล่ะ?"หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมคนใต้ล่างก็เปิดปากพูดกับอีกฝ่ายที่กำลังมองมาตนไม่วางตา

"นี่เจ้าอย่าบอกนะว่า....อยากตายขนาดนั้นเลยรึ?" หลิ่งเฟยหลงไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้หวั่งเกรงต่อตนและความตายที่กำลังใกล้เข้ามาเลยแม้แต่น้อย

"ถ้าได้ตายด้วยน้ำมือของคนที่ตนรักมันจะไปเสียหายอะไรและอีกอย่างไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องตาย อยู่ดี...."เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกอารมณ์ไม่ถูก

หลิ่งเฟยหลงได้ยินอีกฝ่ายก็กล่าวเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไปในทันที 

รักรึ? คนคนนี้แค่เห็นหน้าข้าครั้งแรกก็รักข้าเลยรึตลอดที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้เลยไม่ใช่เพราะหน้าตาแต่เป็นเพราะกลัวเขาที่เป็นเหมือนปีศาจในคราบมนุษย์เป็นแค่สัตว์ประหลาดในสายผู้คนที่เห็น แม้แต่ท่านพ่อที่เห็นหน้าเขาก็ยังไม่เคยคิดจะมอบความรักในฐานะพ่อให้เลยแม้แต่น้อย แต่กับคนคนนี้กับตอบมาว่า...

ถ้าได้ตายด้วยน้ำมือของคนที่ตนรักมันจะไปเสียหายอะไร....

คำที่พูดออกมานั้นมันคือความจริงหรือว่าแค่ประชดเท่านั้นนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนผู้นี้ที่เป็นแค่สิ่งของเท่านั้นแต่กลับทำให้ข้า....ทำให้คนอย่างข้า

หลิวเฟิ่งลู่เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมลงมือเสียทีก็คิดจะขยับ แต่กลับถูกอีกฝ่ายสกัดจุดเอาไว้ทำให้ขยับร่างกายไม่ได้

"นี่เจ้าทำบ้าอะไร คลายจุดเดี๋ยวนี้นะ"หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกตกใจที่อีกฝ่ายสกัดจุดไม่ให้ร่างกายขยับเช่นนี้ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะต้องทำอะไรก่อนฆ่าตนแน่ๆ

"ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่รึว่าอยากตายน่ะ แต่ก่อนตายขอลิ้มลองเสียหน่อยว่าการนอนกอดบุรุษนั้นมันมีความรู้สึกแตกต่างกับสตรีอย่างไร"พูดจบก็กระชากเสื้ออีกฝ่ายออกทันที

หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกทำตัวไม่ถูก ที่ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายจะฆ่าเขาเลยแต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะมีอารมณ์กับคนอย่างเขาเช่นนี้ด้วยเพราะว่าเขาหน้าสวยหรือว่าอะไรกันแน่..

แต่ว่ามันต่างจากนิยายเป็นอย่างมากราวกับฟ้ากับเหวเพราะปกติแล้วตัวร้ายควรจะหนีการเข้าหอไปซะ แต่กับเปลี่ยนมาอุ้มเข้าห้องหอแทนและก็ปะมือกับเขาไปมาสักพักก็คิดทำเรื่องอย่างว่ากับเขาก่อนฆ่านี่มันเรื่องบ้าอะไรฟะเนี่ย!!

"อะ ไม่นะอย่านะหยุดนะ!!ถ้าจะฆ่าข้าก็ทำซะอย่า...ทำแบบนี้กับข้า!" หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายนั้นล่วงเข้ามาในกางเกงของเขา

"ความตายของเจ้าข้าจะเป็นคนกำหนดเอง! ข้าอยากให้เจ้าตายเมื่อไรก็จะลงมือเมื่อนั้น! ตอนนี้เจ้าทำเพียงแค่ทำตัวให้สมกับเป็นพระชายาของข้าก็พอแล้ว!"

แววตาและน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นทำให้หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ไปสงสารตัวร้ายเช่นนี้ขึ้นมา

หลังจากนั้นคืนของการหลับนอนของพวกเขาก็เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดซะจนเสียงดังไปทั่วบริเวณรอบหอนอนนั้น

-----------------------●●------------------------

"อะ....อา!ไม่นะอึก!!"

หลิวเฟิ่งลู่พยายามกล้ำกลืนเสียงของตนเอาไว้ไม่ให้เล็ดรอดออกไป เหงื่อเย็นเฉียบซึมลึกจนสั่นสะท้าน หยาดน้ำตาจากความเจ็บปวดที่ถูกส่งเข้ามาในกาย ไหลลงตามกรอบหน้างามนั้น

"หลิว...หลิวเฟิ่งลู่..ข้าไม่คิดเลยว่าข้างในของเจ้ามันจะรัดแน่นกว่าสตรีเช่นนี้ ขนาดหญิงบริสุทธิ์ยังสู้เจ้าไม่ได้เลย.."

สองมือของอีกฝ่ายจับต้นขาเรียวยาวแยกออกกว้าง กดทับเอาไว้และกระแทกอย่างบ้าคลั่ง

"อึก...อื้อ!"

หลิวเฟิ่งลู่กัดปากซะจนเลือดไหลออก ทำให้คนด้านบนก้มลงมาจูบครอบครองริมฝีปากบางเล็กนั้นเอาไว้และโถมกายใส่อย่างรุงแรง

"ไม่คิดเลยว่าการกอดบุรุษเช่นนี้กับเจ้ามันจะทำให้รู้สึกดีเยี่ยมเช่นนี้ ถึงตอนแรกข้าจะรู้สึกไม่ชอบใจที่ต้องมาแต่งงานกับบุรุษเพื่อผลประโยชน์แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าคุ้มเสียจริงที่ได้เจ้ามาเป็นของ ของข้าแบบนี้"

องค์ชายใหญ่เอ่ยไปโดนที่ยังคงขบกัดร่างกายใต้ร่าง คุมคามส่วนอ่อนไหวของคนใต้ร่างไม่หยุด เห็นคนใต้ถูกหยอกเย้าซะจนแทบไม่ไหวแล้วก็ยิ่งอยากข่มเหงให้มากขึ้นอีก

หลิวเฟิ่งลู่ทนต่อความรู้สึกที่ถูกอีกฝ่ายหยอกเย้าไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะขยับหรืออะไรได้เลยทำได้เพียงแค่ครางเสียงต่ำออกมาได้เท่านั้น

กายสูงถอนตัวออกอยู่ครู่ ก่อนที่กระแทกกลับเข้าไปด้านในตัวอีกฝ่ายอย่างแรง และงับยอดอกสีชมพูที่บวมแดงนั้นเข้าไป

"อาาา...!"

ความเจ็บปวดและความเสียวซ่านทำให้ชายหนุ่มใต้ล่างร้องเสียงดังออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้ เขาแอ่นตัวขึ้นกระตุกทันที

หลิวเฟิ่งลู่รองรับความปรารถนาอันไร้สิ้นสุดของอีกฝ่ายเอาไว้หมด ด้านในชุ่มเต็มไปด้วยหยาดร้อนของคนด้านบน ทำให้เขาลิ้มรสความรู้สึกของการถูกครอบครองของใครซักคนมันเป็นยังไง

ครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจเป็นครั้งแรก...

คนด้านบนดึงคนที่นอนกระตุกขึ้นมาโอบกอดเอาไว้ ก่อนที่จะกระซิบที่ข้างพูดของเขาด้วยน้ำเสียงชวนน่าหลงใหลเย้ายวนใจออกมาเบาๆให้คนที่สั่นกระตุกได้ยินเพียงผู้เดียว

"เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าเป็นของข้า เป็นหลิวเฟิ่งลู่ของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น...พระชายาที่รักของข้า"

พูดจบก็ขบกัดคอของอีกฝ่ายที่มีรอยขบกัดเป็นจำนวนมากอยากห้ามไม่ได้ คนที่ถูกอีกฝ่ายขบกัดก็ทำได้เพียงแค่ร้องออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้

นี่มันอะไรกันนะทำไมถึงรู้สึกว่าการที่ถูกอีกฝ่ายทำแบบนี้มันดีอย่างไรอย่างนั้นหรือว่า...นี่จะเป็นความรู้สึกของร่างนี้จริงๆกันแน่นะ....

••••••••••••••••¤••••••••••••••••

หลังจากที่หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาใดแล้ว บนเตียงนุ่มมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่นอนอยู่ ไร้เงาของคนที่สุขสมบนเรืองร่างเขาไป ตัวร้ายของเขานั้นไม่ได้อยู่ข้างกายเขา

ขณะคาดว่าอีกฝ่ายคงจะออกไปทำงานตามประสาทขององค์ชายของที่นี่ ศอกทั้งสองข้างพลางดันตัวขึ้นนั้นเขาก็ทอดสายตามองตัวเองก็พบว่าร่างกายนั้นเหมือนถูกชำระออกไปไร้ร่องรอยของการถูกกระทำแต่ลอยแดงที่ถูกตีตราว่าโดนนั้นยังจางๆให้เห็นอยู่

นี่เขาให้คนมาทำความสะอาดตอนข้าหลับรึ?...

"ตื่นแล้วหรือเฟิ่งเอ๋อร์...."

ในขณะที่กำลังมองร่างกายตัวเองที่เปลือยเปล่าไรอาภรณ์นั้นก็มีเสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากมุมใดมุมหนึ่งของห้อง

หลิวเฟิ่งลู่รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายอันเปลือยเปล่าตัวเองเอาไว้และมองหาเจ้าของเสียงทันที

คนที่พูดก็คือหลิ่งเฟยหลงที่ไม่รู้ไปนั่งเชยคางตรงโต๊ะวางหนังสือตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ หลิวเฟิ่งลู่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจเป็นอย่างมากพร้อมกับพยายามปกปิดรอยต่างๆที่คนตรงหน้าทำทิ้งเอาไว้เต็มตัวไปหมด

"เจ้าจะปิดทำไมกันถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นสามีภรรยากันแล้วและอีกอย่าง...เจ้าก็ไม่ใช่สตรีเสียหน่อย" พูดไปก็ลุกเดินมาหาคนที่นั่งอยู่บนเตียงช้าๆ

หลิวเฟิ่งลู่คิดอยากจะขยับหนีแต่ความเจ็บปวดจากการสุขสมเมื่อคืนนั้นแล่นเข้ามาทำให้ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้

หลิ่งเฟยหลงมองคนที่คิดจะขยับหนีตนแต่ก็หนีไม่ได้และไหนจะผลงานที่กระทำไว้บนร่างกายนั้นอีกยิ่งรู้สึกชอบใจเข้าไปใหญ่เขายื่นมือไปเชยคางอีกฝ่ายก่อนกล่าว

"อย่ามั่วแต่นั่งเฉยสิ ถ้าตื่นแล้วก็รีบไปเตรียมตัวซะวันนี้พวกเราต้องไปถวายพระพรให้องค์จักรพรรดิกับฮองเฮาหากช้าจะทำให้พวกเขาไม่ชอบก็เป็นได้"

"เจ้าก็ออกไปก่อนสิแล้วให้สาวใช้มาช่วยข้าซะจะได้รีบไป--!!"ยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นจากเตียงทันที

"นี่! จะทำบ้าอะไรอีกปล่อยข้านะ!!"เขาดิ้นออกจากอีกฝ่ายแต่ยิ่งดิ้นความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นจนต้องกำเสื้ออีกฝ่านแน่น

"อย่าดิ้นให้มากนักสิ ยิ่งขยับช่วงนั้นของเจ้าก็ยิ่งเจ็บเข้าไปกันใหญ่ตอนนี้ทำตัวดีๆ อย่าขยับมั่วซั่วไปทั่ว" พูดจบประโยชน์ก็พาอีกฝ่ายไปห้องอาบน้ำที่อยู่ในเรืองหอ

เมื่อเดินไปถึงก็พบว่าในห้องอาบน้ำได้มีการจัดเตรียมไว้สำหรับอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากกับคนที่อุ้มตน

นี่เขา....รอข้าตื่นก่อนแล้วค่อยออกไปพร้อมกันรึ? ไม่ใช่ว่าพอ...อะไรนั้นแล้วเขาจะฆ่าข้าทิ้งเลยรึ? หรือว่ากำลังคิดจะทำอะไรอย่างอื่นหรือป่าวนะ แต่ว่ารู้สึกดีใจแปลกๆแฮะที่เขายอมรอข้าไม่ทิ้งข้าไปในแบบนิยายที่เขียนไว้ ถึงจะไม่ชอบตรงที่อีกฝ่ายนั้นทำเรื่องแบบนั้นโดยไม่ระงับความต้องการเลยก็เถอะนะ....

เมื่อเข้ามาถึงด้านในอีกฝ่ายก็วางร่างบางลงในถังอาบน้ำ ที่เตรียมไว้ให้ลงช้าๆอย่างอ่อนโยนซะจนหลิวเฟิ่งลู่ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยเพราะในตามนิยายนั้นเรื่องอ่อนโยนอะไรแบบนี้ตัวร้ายไม่เคยทำให้ใครแต่กับเขานั้น....

แต่เมื่อคิดอยู่ครู่คนที่พึ่งวางตนไปก็ลงตามมาเช่นกัน ถังอาบน้ำที่เตรียมไว้ให้นั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะลงไปอาบน้ำด้วยกันอย่างสบายๆ

หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ดีจะเกิดขึ้นกับตนก็คิดจะออกจากถังอาบน้ำนั้นแต่ถูกคนร่างสูงที่พึ่งเข้ามาดึงไว้เสียก่อน

"นี่! จะทำอะไรน่ะปล่อยข้านะอึก!"หลิวเฟิ่งลู่พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายแต่ก็ไร้ผลที่จะต่อกรกับอีกฝ่าย

"หึ แรงดีเสียจริงเมื่อคืนข้าคงจะเบามือไปสินะถึงยังทำให้คนอย่างเจ้าดื้ออยู่เช่นนี้น่ะ"หลิ่งเฟยหลงเห็นคนในอ้อมกอดดิ้นก็รู้สึกอยากทำให้หายดื้อเสียเดียวนั้น

"เหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ไม่ใช่ว่าพอเจ้าสนุกกับร่างกายข้าแล้วจะไปหรือไม่ก็ฆ่าข้าทิ้งเสียล่ะ" หลิวเฟิ่งลู่เอามือดันอกแกร่งตรงหน้าเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้กว่านี้

หลิ่งเฟยหลงได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมากับความคิดของอีกฝ่ายที่เอาแต่คิดเรื่องแบบนี้ตลอด

แต่เขาไม่กล่าวอะไรต่อเพียงแค่ดึงมาไว้ในอ้อมกอดและช่วยชำระร่างกายให้อีกฝ่ายเท่านั่น หลิวเฟิ่งลู่เองก็เบื่อที่จะต่อต้านจึงยอมให้อีกฝ่ายทำไป

อย่างน้อยๆอีกฝ่ายก็ยังไมฆ่าตนก็ยังมีเวลาพอที่จะทำให้อีกฝ่ายนั้นรอดจากความตายแบบนั้นก็เป็นถ้าเกิดเจ้าตัวจะไม่หลงอำนาจเพื่อให้ได้....คนคนนั้นมาครอบครองน่ะนะ

หลังจากที่ทำความสะอาดร่างกายเสร็จคนร่างสูงก็หันหยิบผ้าสำลีผืนใหญ่ห่อหุ้มคนในอ้อมกอดเอาไว้อย่างดี แล้วพาไปเตรียมตัวทันที

เขาวางร่างบางเอาไว้บนเตียงใหญ่และวางชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่งดงามเอาไว้ด้านข้าง หลิวเฟิ่งลู่มองอยู่ครู่ก่อนที่หยิบขึ้นมาสวมใส่เองถึงในใจจะคิดว่าเหตุใดจึงไม่เรียกสาวใช้หรือใครมาช่วยเขาแต่งตัว

เมื่อแต่งตัวเสร็จก็เหลือเพียงแค่ทำผมเท่านั้น เขาหันไปมองบุรุษที่อยู่ด้านข้างของตน หลิ่งเฟยหลงเองก็แต่งตัวเสร็จแล้วเช่นกันคนผู้นั้นแต่งตัวด้วยชุดสีดำสนิท กำลังมัดผมของตัวเองอยู่

"เหตุใดเจ้า....ไม่สิท่านถึงไม่ให้นางกำนัลหรือไม่ก็ขันทีมาช่วยเตรียมตัวให้ล่ะ?"หลิวเฟิ่งลู่อดถามอีกฝ่ายไม่ได้กับเรื่องนี้แต่คำตอบที่อีกฝ่ายพูดมาก็ทำให้คนอย่างเขาไม่อยากจะถามต่อ

"ข้าเกลียดการให้ผู้อื่นมาสัมผัสร่างกายข้า ถ้าหากข้าไม่ต้องการและอีกอย่างข้าไม่อยากให้ผู้อื่นมาสัมผัสของของข้า..."

สุดท้ายเขาก็เห็นข้าเป็นของเล่นแล้วสินะ ของเล่นที่มีความรู้สึกเช่นกันนะ......

-----------------------●●------------------------

ก่อนเข้าไปหาองค์จักรพรรดิที่วังอรุณที่องค์จักรพรรดิและฮองเฮารอพวกเขาอยู่นั้นหลิ่งเฟยหลงก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย

หลิ่งเฟยหลงที่แต่งตัวด้วยชุดสีดำสนิทพร้อมกับสวมหน้ากากเหล็กสีเงินที่ดูน่าเกรงขามเอาไว้อย่างดีปกปิดใบหน้าเอาไว้

ผิดกับพระชายาที่อยู่ข้างกายที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ที่มัดรวบผมเอาไว้และปล่อยออกมาส่วนหนึ่งปักปิ่นสีเงินเอาไว้ และเผยใบหน้าที่งดงามขาวผ่องออกมา

เมื่อเข้ามาถึงวังอรุณก็ทำการคารวะต่อองค์จักรพรรดิและฮองเฮาที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดพร้อมกันทั้งคู่

องค์จักรพรรดิหงเจินตี้กล่าวชมเชยหลิ่งเฟยหลงก่อนที่จะหันมาชมเชยหลิวเฟิ่งลู่อีกคน "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ"

แต่ถ้าสังเกตสีหน้าของฮองเฮาให้ดี หลิวเฟิ่งลู่ก็รู้ทันทีว่า อีกฝ่ายนั้นไม่ชอบตนขนาดไหนแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าขององค์จักรพรรดิ

ฮองเฮาที่มองพลางเหลือบมองหลิวเฟิ่งลู่ที่มีสีหน้าสงบเงียบเรียบง่ายแต่มีกลิ่นอายแปลกๆออกมาก็รู้สึกยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่

ไม่นานบทสนทนาก็จบลงองค์จักรพรรดิหงเจินตี้ ก็โบกมือเป็นสัญญาณให้พวกเขาไป

หลิ่งเฟยหลงและหลิวเฟิ่งลู่ทำการถวายคำนับต่อองค์จักรพรรดิกับฮองเฮาแล้วก่อนเดินออกไป ฟ้ารู้ดีว่าตอนนี้เกมความตายของเขาได้ถูกเปลี่ยนไปแล้วที่เหลือขอเพียงแค่ทำอะไรซักอย่างเพื่อให้เขาไม่ตายและตัวร้ายของเขาด้วย ถึงจะรู้สึกว่าอยากให้ตายแต่เมื่อคิดถึงความไม่ยุติธรรมแล้วก็รู้สึกว่าไม่สมควรที่จะให้เขามาตายอนาถเช่นนั้น

หลังจากที่พวกเขาออกไปกันแล้ว ฮองเฮาที่นั่งด้านข้างก็หันมาหาคนด้านข้าง "เห็นท่าทางของเด็กคนนั้นแล้วหม่อมฉันรู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกลนะเพคะฝ่าบาท....."

ฮองเฮาเอ่ยออกมาด้วยความไม่สบายใจขึ้นมาแปลกๆ

"ข้าเองก็เช่นกัน ว่าเด็กคนนั้นนั่นมีบางอย่างแปลกๆแต่ก็เป็นเรื่องดีอยู่นะ" องค์จักรพรรดิหรเจินตี้รู้สึกพึงพอใจมาก อย่างบอกไม่ถูกเพราะเขาหวังไว้ว่าคนที่อยู่ข้างกายบุตรชายนั้นจะช่วยให้ความบ้าคลั่งในตัวของบุตรของตนหายไปได้

.

.

.

.

หลิวเฟิ่งลู่ที่เดินอยู่ก็รู้แปลกๆขึ้นมา เขาแอบมองแผ่นหลังของคนด้านหน้าที่เดินนำเขาอยู่ ในใจก็คิดแต่เรื่องต่อจากนี้ว่าควรทำอย่างไรต่อดี

ถ้าหากเขาเจอกับเฉินจิ้นหลิงนายเอกของนิยายเรื่องนี้แล้ว...เขาจะยังยอมอยู่เคียงข้างเขาอยู่อีกหรือไม่นะถ้าไม่แล้วเขาควรทำอย่างไรดีเขาควรจะหนีไปดีหรือไม่....หรือพยายามไปหาพระเอกแทนแต่ว่า.....

ตอนนี้เขาพยายามไล่ตามอีกฝ่ายแต่ไปได้ไม่กี่ก้าว เบื้องหน้าก็ดับมืดลงทันควันจนล้มไป

หากทว่ากลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อพยายามลืมตาขึ้นมองก็พบกับใบหน้าที่มีหน้ากากเหล็กสีเงิน

"ท่าน....."หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกแปลกใจที่คนตนหน้ามาช่วยรับตนเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างดี

หลิ่งเฟยหลงมองคนในอ้อมกอดก็คิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ทำหนักเกินไปหน่อย เพราะนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เขาทำกับบุรุษจึงไม่รู้ว่าควรใช้กำลังหรือแรงขนาดไหนต่อการทำเรื่องแบบนั้น

เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็อุ้มขึ้นมาก่อนหันไปกล่าวกับองครักษ์ด้านหลังตน "เจ้าไปเตรียมรถม้ากลับจวนของข้าซะและไปตามหมอหลวงมาด้วย"

"พ่ะย่ะค่ะองค์ชายใหญ่!!"ฮุ่ยเหอรับคำสั่งทันที

หลิวเฟิ่งมองคนที่อุ้มตนก็รู้สึกดีใจขึ้นมาว่า อย่างน้อยตอนนี้ตัวร้ายของเขาก็ยังอยู่ตรงนี้....อยู่ข้างเขา...ยังไมทิ้งเขาไปไหนถึงในสายตาของเขาจะมองว่าเขาเป็นสิ่งของก็ตามเถอะแต่อย่างน้อยๆอีกฝ่ายก็ยังไม่ทิ้งตนไปไหนไม่ได้ไปไหนจากเขา...

ม่านราตรี ที่ปกคลุมไปด้วยสีเลือดของแสงจันทร บนท้องฟ้าสีแดงก็มีเสียงคำรามกึกก้องพร้อมกับหยาดพิรุณสีดำที่ตกตามลงมาสู่พื้น 

ร่างบุรุษที่สวมเกราะสีเงินผมสีขาวและเขามังกรที่สีขาวบริสุทธิ์ ทอดสายตามองคนเบื้อนล่างที่สวมเกราะสีดำผมสีดำแดงเขามังกรสีดำสนิท ที่นอนหายใจรวยรินอยู่ในแอ่งโคลนด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกแต่ก็เห็นแววเกลียดชัง

"นี่มัน.....หรือว่าจะเป็นตอนจบของนิยายรึ? ไม่นะหรือว่า....ฉากนี้คือ"หลิวเฟิ่งลู่ที่มองดูอยู่เห็นก็ถึงกับตกใจกับสภาพตัวร้ายที่มีบาดแผลมากมายเขามังกรสีดำด้านซ้ายก็แตกหักออกไป

เขามองดูหลิ่งเฟยหลงที่นอนจมโคลนสีแดงอยู่แบบนั้นไม่ไกลนักที่ด้านหลังของเขาก็มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ หลิวเฟิ่งลู่เดินเข้าไปดูหลุมนั้นใกล้ๆก็พบกับดาบนับล้านปักอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับว่ากำลังรอให้ใครซักคนโดดลงไป

"ในเมื่อข้าไม่ได้ แกก็อย่าหวัง! " 

เสียงทุ้มคำรามที่แสนน่าเกรงขามดังขึ้น ทำให้หลิวเฟิ่งลู่หันกลับมามองทันทีแต่ก็ต้องพบว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังถูกผลักให้มาทางหลุมนี้พอดีหลิวเฟิ่งลู่เห็นก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ขณะที่ร่างสูงกำยำนั้นก็คือตัวร้ายกำลังตกลงสู่หลุมดาบเขาก็เห็นคนผลักอยู่สองคนที่ช่วยกัน ร่างบุรุษผมสีขาวนัยน์ตาสีฟ้าอย่างกับอัญมณีและก็บุรุษร่างบางที่สง่างามนัยน์ตาสีเขียวมิ้นอมฟ้านั้นก็คือ

หลิ่งหมิงฟู่และเฉินจิ้นหลิง พระเอกกับนายเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างไรล่ะ!!!

ในขณะที่กำลังตะลึงกับสองคนนั้นสติเขาก็กลับมาเมื่อเสียงร้องของตัวร้ายนั้นก็คือหลิ่งเฟยหลงที่กำลังร่วงตกลงไปในหลุมดาบนับล้านเบื้องล่างอยู่นั้นเมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็รีบหันไปหาทันที

"เฟยหลง!!"หลิวเฟิ่งลู่เห็นอีกที่ถูกผลักกำลังตกลงไปก็รีบยื่นมือไปหาอีกฝ่ายทันที

แต่เมื่อยื่นมือไปเพื่อที่จะคว้าอีกฝ่ายไว้แต่กับไม่สามารถสัมผัสได้ หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันทีเมื่อต้องมาเห็นอีกฝ่ายที่ตนอยากจะช่วยกำลังร่วงลงสู่ความตายต่อหน้าเขา

"ม่ายยยย!!"

.

.

.

.

เฮือก!!

"แฮ่กๆ"หลิวเฟิ่งลู่สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาและหอบหายใจอย่างหนักจนแทบควบคุมสติตัวเองไม่ได้

นี่ข้าฝันไปรึ? แต่ว่าภาพเหล่านั้นมันอะไรกันมันคืออะไรกันทำไมถึงต้องทำให้ข้าเห็นด้วยทำไมต้องทำให้เห็นความตายของหลิ่งเฟยหลงด้วย....

"เฟิ่งเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้าซีดเพียงนี้" จู่ๆ คนที่ตนพึ่งฝันเห็นไปก็มาปรากฏตรงหน้าเขานั้นก็คือหลิ่งเฟยหลงนั้นเอง

"ท่าน....."หลิวเฟิ่งลู่มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองมาที่ตนอยู่เช่นกัน

มือหนาของหลิ่งเฟยหลงลูบศีรษะของร่างบางที่นอนหอบหายใจขณะว่า "เมื่อคืนข้ารุนแรงกับเจ้าเกินไป เพราะข้าไม่รู้ว่าควรจะควบคุมเรี่ยวแรงอย่าง ไรดี หมอหลวงบอกว่าให้เจ้าพักสักสองสามวันอาการก็หายแล้ว..."

ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้คนที่นอนอยู่สัมผัสความอุ่นวาบซาบซึมเข้ามาในหัวใจของเขา พร้อมกับความเจ็บปวด

....เขาเป็นห่วงข้าด้วยรึ

ดวงตาคู่สวยสีม่วงอัญมณีที่มองมาทำให้หลิวเฟิ่งลู่ยกมือขวาขึ้นช้าๆ และไปสัมผัสกับใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างลังเล

"ความจริงแล้ว....ตอนนี้สำหรับข้าท่านมองข้าเป็นสิ่งของหรือว่าอะไรกันแน่...."หลิวเฟิ่งลู่ถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นออกไป

ตอนนี้สำหรับเขาแล้วเขายอมเป็นสิ่งของให้กับอีกฝ่ายก็ได้ขอให้ได้อยู่ข้างกายเขาและปกป้องเขาจากความไม่ยุติธรรมที่เขาต้องเจอมาตลอดนั้นไว้ ขอแค่ไม่ให้คนตรงหน้าต้องไปตายเพราะความรักบังตาเช่นนั้น....

หลิ่งเฟยหลงไม่รู้สึกรังเกียจกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่กลับรู้สึกว่ามือนุ่มที่จับใบหน้านั้นทำให้จิตใจของเขาสบายใจและอุ่นใจมาก เขาเอนกายลงไปนอนข้างๆคนที่นอนก่อนและโอบเอวเอาไว้ แล้วปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามสัมผัสต่อไป

"เจ้าอยากได้ยินความจริงหรือว่าคำโกหกล่ะ?" เขาถามไปอย่างนั้นแต่ความจริงเขาเป็นคนที่ไม่ชอบโกหกที่สุดและเกลียดคำโกหกด้วยแต่บางทีหากต้องโกหกเพื่อความจำเป็นเขาก็จะทำ

"....ขอความจริง"

ถึงแม้ความจริงจะน่าหวาดหวั่น แต่กระนั้นคำลวงหลอกโกหกกลับยิ่งโหดร้ายและน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่า

"หากข้าบอกความจริงไป เจ้าจะไม่คิดเรื่องที่อยากตายหรือพูดให้ข้าได้ฟังอีกได้หรือไม่?"

หลิวเฟิ่งลู่ที่นอนสัมผัสใบหน้าอีกฝ่ายอยู่พยักหน้าเบาๆให้กับอีกฝ่าย

"สำหรับข้าแล้ว....ข้าไม่เคยคิดที่จะเชื่อใจใครหรือว่าต้องการใครมาครอบครองเลยแม้แต่น้อยถึงได้มาสำหรับข้าแล้วมันก็ไม่ต่างจากสิ่งของอย่างที่เจ้าว่ามา แต่ว่าพอได้เห็นเจ้าครั้งแรกแล้วในสายตาของข้าเจ้าเป็นคนที่ทำให้คนอย่างข้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับข้า...สำคัญซะจนข้าไม่อยากให้เจ้าไปจากข้าเลย"

คำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นทำให้หลิวเฟิ่งลู่เกิดความรู้สึกแปลกๆต่ออีกฝ่ายขึ้นมาทันที ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองนั้นยังมีโอกาสที่จะช่วยอีกฝ่ายจากความตายที่ลิขิตเอาไว้

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไรไปกันแน่ แต่ว่าเขาอยากที่จะอยู่ข้างกายอีกฝ่ายอยากปกป้องอีกฝ่ายจากความไม่ยุติธรรมต่างๆที่อีกฝ่ายได้รับมา 

เขานั้นอยากแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้จริงๆ หากร่างนี้ไม่อ่อนแอเช่นนี้ละก็ความหวังที่เขามีนั้นอาจจะช่วยอีกฝ่ายได้

แต่เมื่อคิดอยู่ในใจจู่ๆอีกฝ่ายก็ยื่นมือมาสัมผัสเขาก่อนที่จะจูบเขาสอดแทรกลิ้นเข้าไปในปากของเขาอย่างอ่อนโยน

หลิวเฟิ่งลู่สะท้านไปทั้งตัว แต่เมื่อลองสัมผัสจูบนั้นดูแล้วมันช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกินจนเขาเองก็จูบตอบไป

หลังจากนั้นคลื่นลมแห่งความต้องการของทั้งคู่ก็แล่นเข้ามาจนทั้งคู่หลงเข้าไปในคลื่นนั้นทันทีจนไม่สามารถออกมาได้

.

.

.

.

.

"อ๊ะๆ..อ๊า!"

ในขณะที่อารมณ์ความต้องการของทั้งคู่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด หลิ่งเฟยหลงโน้มตัวลงมาจุมพิตที่หางตาของคนใต้ร่างอย่างรักใคร่ ท่าทีช่างอ่อนโยนแต่ว่าช่วงล่างกลับขยับอย่างบ้าคลั่งและดุดัน กระแทกลึกเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งสองแทบจะร่วมเป็นหนึ่ง

หลิวเฟิ่งลู่ถูกอีกฝ่ายกระแทกจนลมหายใจปั่นป่วนไปหมด ของเหลวในกายก็เริ่มไหลออกมาตามจังหวะการขยับของคนด้านบน สมองของเขาพลันว่างเปล่าไปหมด

มือไม้ทำได้เพียงแค่กำขอบเตียงเอาไว้แน่น ตามสัญชาตญาณ

ความรู้สึกตอนนี้ของเขามันบรรยายออกมาเป็นคำไม่ได้ความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอีกฝ่าย

หลิวเฟิ่งลู่พึมพำออกมาอย่างลืมตัวออกไป "เฟยหลง..." เพียงแค่สองคำที่อีกฝ่ายร้องออกมาก็ทำให้คนด้านบนยิ่งตื่นตัวมากขึ้นเข้าไปใหญ่

หลิ่งเฟยหลงยกแผ่นหลังกับสะโพกของหลิวเฟิ่งลู่ขึ้นมานั่งตักของตนเองไว้ และกระแทกกระทั้นหนักขึ้น พลางขบกัดขบเม้มไปตามต้นคออีกฝ่ายและแผ่นยอดอกอีกฝ่าย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดหรือนานขนาดไหน ที่ร่วมรักกันอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ เสียงครางของหลิวเฟิ่งลู่ก็ยังคงร้องเรื่อยๆ ช่องทางด้านหลังของเขาก็ยังคงบีบรัดแน่นอย่างรุนแรง

หลิ่งเฟยหลงรู้สึกว่าอีกฝ่ายใกล้ที่จะเริ่มไม่ไหวแล้ว จึงเร่งจังหวะความเร็วพร้อมกับขยับมือที่กำด้านหน้าเอาไว้ด้วย

ความรู้สึกสุขสมเสียวซ่านที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายที่รุนแรงจนเกินไปจนทำให้หลิวเฟิ่งลู่สติหลุดไปพูดไม่เป็นภาษา ร่างกายเกรงกระตุกหนัก พร้อมกับปลดปล่อยออกมา หลิ่งเหยหลงเองก็ปลดปล่อยเข้าไปในช่องทางที่บีบรัดแน่นของหลิวเฟิ่งลู่

ลมหายใจของทั้งคู่ที่เพิ่งถึงจุดสุดยอดมาดๆ ยังคงหอบหายใจถี่รัวแผ่นอกกระเพื่อมขึ้นไม่หยุด ไม่มีใครที่จะเอ่ยอะไรออกมา

-----------------------●●------------------------

ยามจื่อ (23:00-24:59)

คนร่างกำยำที่กำลังเอนเอียงพิงกับเตียงมองคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ หลิ่งเฟยหลงทอดสายตามองคนร่างบางที่นอนหลับสนิท

ในใจก็พลางคิดแต่เรื่องต่างๆที่คนคนนี้นั้นแตกต่างจากผู้อื่นไม่สิเหมือนกับคนที่ทำให้เขาต้องแข็งแกร่งขึ้น.....

คนที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะยอมแพ้ใครได้อีกคนที่ทำให้เขากลายเป็นมารปีศาจอยู่เช่นนี้คนที่ทำให้เขาไม่สามารถที่อยากจะมีความรักอีก...

ตอนนั้นตอนที่องค์จักรพรรดิบอกเขาว่าจะให้เขากับน้องชายแต่งกับบุรุษนั่นเขาก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเพราะเหตุใดถึงเอาพวกเขาไปแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเช่นนี้

พอรู้ว่าเป็นใครมาจากไหนก็ให้คนไปสืบมาผลที่ได้มาก็คือเป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาเกลียดที่สุดขี้ขลาดและอ่อนแอแบบนี้สำหรับเขาแล้วถ้าได้แต่งขึ้นมาเขาจะไม่สนใจอะไรกับอีกฝ่ายหรือไม่ก็ฆ่าทิ้งเสีย

แต่เมื่อวันที่คนผู้นั้นต้องเข้าวัง เขาก็เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ถึงทำให้คนอย่างเขาต้องไปดูคนที่จะมาเป็นเจ้าสาวเขาแต่เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายเท่านั้นก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา

แววตาที่คนผู้นั้นจ้องมองมาที่องค์จักรพรรดิเช่นเยือกเย็นและนิ่งสงบเหลือเกินผิดกับที่ได้ยินมาหากคนผู้นั้นเป็นคนขี้ขลาดจริงๆอย่างที่ได้ยินมาคงไม่ใช้สายตาที่เหมือนกับนักฆ่าเช่นนั้นมองมาหรอก

แต่เขาก็ยังคงไม่แน่ใจว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายนั้นเป็นคนนิสัยแบบไหนกัน เมื่อถึงเวลาที่คนผู้นั้นต้องกลับตำหนักเขาก็แอบปลอมตัวเข้าไปแอบดูอีกฝ่าย

ตอนที่เห็นอีกฝ่ายนั้นกำลังจับไม้ร่ายรำอยู่นั้นภาพในอดีตของเขาที่เห็นคนตรงหน้าเหมือนกับคนในอดีตที่เขาเคยเข้ามาแอบดูขณะที่กำลังร่ายรำท่วงท่าเช่นนี้เหมือนกัน

ไม่ว่าจะจังหวะหรือท่าทางการจับไม้ที่เหมือนกับจับกระบี่นั้นมันเหมือนกับคนนั้นมากขณะที่กำลังเชยชมอยู่นั้นอีกฝ่ายก็พลาดจนเกือบล้มลงทำให้เขาพุ่งไปรองรับอีกฝ่ายทันที

เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเขาแอบดูอยู่ก็ทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาและยังไม่เกรงกลัวต่อเขาอีกทำให้เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที ปกติคนขี้ขลาดพอเห็นหน้ากากที่เขาใส่นั่นก็คงต้องกลัวจนตัวสั่นไปแล้วแต่คนผู้นี้กับนิ่งสงบไม่กลัวเขา

แถมการพูดของอีกฝ่ายก็ดูหนักแน่นมากซะจนคำเหล่านั้นที่เขาได้ยินมาเป็นคำโกหกไปหมดเลย

แต่ว่าพอได้คุยกับอีกฝ่ายดูแล้วความรู้ของเขามันเหมือนกำลังคุยกับคนผู้นั้น คนที่เขาอยากจะต่อสู้อยู่เคียงข้างคนนั้น....

คนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นช่างเป็นคนที่แปลกใหม่มากเลย คำที่กล่าวมาแต่ละทีมันก็มีเหตุผลไปหมดร่วมถึงการที่พูดถึงองค์จักรพรรดิออกมาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน

แต่เขาก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจอีกฝ่ายอยู่ตรงหนึ่งก็คือคนตรงหน้าช่างเป็นคนที่เก็บความลึกลับไว้เยอะซะเหลือเกินแม้กระทั่งคำพูดที่พูดออกมาก็มักจะทิ้งเอาไว้ให้คนอย่างเขาสงสัยตลอดเวลาที่คุยกัน

แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนอย่างเขารู้สึกอยากจะไปสั่งสอนอีกฝ่ายเหลือเกินก็ตรงที่ว่าอีกฝ่ายนั้นชอบเอาแต่กล่าวว่าถ้าตายไปจะดีกว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงไม่รักชีวิตเช่นนี้นะ!!

แต่เมื่อได้ยินเหตุผลก็ต้องทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาทันที เพราะอีกฝ่ายนั้นรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าการแต่งงานครั้งทำเพื่อผลประโยชน์ก็เท่านั้นแต่ว่า...ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่าตอนนี้ผลประโยชน์ที่ว่าจะยึดเมืองนั้นเขาไม่คิดจะสนใจอีกต่อไปแล้วตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือคนตรงหน้า

ที่ไม่กลัวตายและไม่กลัวสิ่งอื่นใดเหมือนกับคนนั้นที่เขาแอบรัก....

เมื่อถึงยามร่วมหอก็รู้สึกว่าอยากลองฝีมือกับอีกฝ่ายซัดตั้งว่าจะเก่งขนาดไหนแต่เมื่อลองดูกันแล้วอีกฝ่ายนั้นช่างอ่อนแอเสียเหลือเกินแต่ยอมรับเรื่องการหลบของอีกฝ่ายนั้นดีมาก

แต่ว่าถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกเกลียดคำพูดคนอีกฝ่ายที่เอาแต่ดูถูกตัวเองอยู่เช่นนั้นตลอดใช่เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายนั้นต้องเจออะไรมาบ้างแต่ก็ไม่ควรที่จะดูถูกตัวเองอยู่เช่นนั้น

แต่เมื่อจับคนผู้นั้นมาได้และขู่เขาแต่ว่าคำขู่เหล่านั้นกับไร้ผลต่อคนเบื้องล่างของตน คนผู้นั่นเตรียมใจมานานแล้วว่าจะต้องตาย

แต่ว่า...พอเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองขึ้นมาที่เขาก็ทำให้คิดถึงแววตาของคนนั้น คนที่เขาแอบรักคนที่มองเขาเป็นคนที่น่าสงสารไม่ใช่มารปีศาจเช่นนั้น

แต่ว่าเมื่อได้ยินคำนั้นที่ออกมาจากอีกฝ่าย

คำที่พูดว่า ถ้าได้ตายด้วยน้ำมือของคนที่ตนรักมันจะไปเสียหายอะไร....

คำพูดที่คนเบื้องล่างกล่าวมานั้นทำให้เขาคิดถึงตอนที่เจ็บปวดที่สุดเข้ามาทันที ตอนที่เขาเอากระบี่แทงไปที่อกกลางหัวใจของคนนั้นคนที่เขารักที่สุดนั้นเข้าไป

ก่อนตายคนผู้นั้นก็กล่าวคำพูดแบบนี้ออกมาคำพูดที่ทำให้คนอย่างเขาบ้าคลั่งออกมาได้ ตอนนั้นเองทำให้คนอย่างเขาคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเก็บอีกฝ่ายเอาไว้ข้างกายให้ได้เขาจะฝึกอีกฝ่ายให้เป็นของเขาอย่างสมบูรณ์จนไม่อยากหนีเขาไปไหนเลย

คิดอยู่นานก็สัมผัสได้ว่าคนที่นอนข้างๆเหมือนจะสั่นขึ้นมาแปลกๆ จนทำให้คนที่กำลังนั่งคิดอยู่ต้องหันหน้ามามองทันที

ร่างบางที่นอนสั่นนั้นพึมพำอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ต้องทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆนิ่งอึ้งไปทันที "ไม่นะอย่านะ....เฟยหลง...ข้า..ข้าขอโทษ..."

นี่เจ้ากำลังฝันถึงข้าอยู่รึ?....ฝันอะไรกันนะแล้วเหตุใดต้องขอโทษด้วยล่ะ แต่เมื่อตั้งใจฟังดีๆก็อดทำให้ความรู้สึกในใจหยุดนิ่งทันที

"อย่าฆ่าเขานะ.....อย่าฆ่าเขาเลยนะ หลิ่งหมิงฟู่"

------------------------------------------------

บทที่ 3

ยามเช้ามาถึง

ร่างบางที่นอนหลับสนิทลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ เขาทอดสายตามองหาคนที่นอนข้างกายเขาแต่กับพบว่าคนผู้นั้นไม่อยู่เสียแล้ว

อีกแล้วหรือ....คราวนี้ก็คงจะ...

'แกร๊ก แอ๊ด....'

จู่ๆก็มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ทำให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงรีบหันมาเพราะความดีใจว่าเป็นคนที่นอนข้างตนเข้ามา แต่พอเห็นก็ต้องทำให้ผิดหวังเพราะว่าไม่ใช่เขาแต่เป็นใครบางคน

เป็นบุรุษ ที่มีใบหน้าหล่อเหลาและไม่ว่าเมียงมองทางใด ล้วนเปี่ยมด้วยสง่าราศี ดูๆแล้วอายุน่าจะราวๆยี่สิบต้นๆเท่าๆกับตัวเขา

คนผู้นั้นเดินเขามาพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเองอย่างสุขภาพและเคารพต่อของตรงหน้า "กระหม่อมมีนามว่า'หวงฝู่ยี่' เป็นองครักษ์ประจำกายขององค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะกระหม่อมได้รับคำจากองค์ชายใหญามาว่าให้กระหม่อมมาค่อยรับใช้ข้างกายพระชายาเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ..."

หลิวเฟิ่งลู่ทอดสายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเก็บสายตามาแต่เมื่อนึกถึงคนใช้เขาก็นึกถึงมี่ฮวาสาวใช้ประจำกายของเขาที่เขาพามาด้วยแต่ยังไม่ทันจะถามคนที่นึกถึงก็เข้ามาพร้อมกับถือถ้วยอะไรบางอย่างมา

"พระชายาเฟิ่งทรงตื่นแล้วหรือเพคะหม่อมฉันได้เตรียมยาสำหรับบำรุงร่างกายมาให้พระชายาเฟิ่งแล้วนะเพคะ"

หลิวเฟิ่งลู่ที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยิ้มให้และพยักหัวเบาๆเป็นเชิญเข้าใจอีกฝ่ายก่อนที่จะยื่นมือไปรับถ้วยยายนั้นขึ้นมาดื่ม

หลังจากดื่มเสร็จก็ให้มี่ฮวาเอาไปเก็บหลังจากที่เหลือแค่สองคน หลิวเฟิ่งลู่จึงเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย "องค์ชายใหญ่ เขาไปไหนเสียแล้วล่ะ..."

"องค์ชายใหญ่ถูกเรียกตัวไปที่วังหลวงเพื่อสนทนาเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ"

"อย่างงั้นรึ...."

แย่ล่ะสิฉากแนวนี้ตัวนำคือนายเอก....ตอนนี้ก็คืนที่สองแล้วหลังจากเข้าหอของพวกเราเหลืออีกแค่วันเดียวก็ถึงวันแต่งงานของนายเอกแย่งบทกับพระเอกเสียแล้ว....หลังจากพ้นคืนนั้นก็....เจอกับตัวร้ายเสียแล้วทำอย่างไรดีล่ะถึงจะเข้าไปห้ามไม่ให้พวกเขาต้องเจอกันนะ......

แต่ว่า...ชะตามันก็ลิขิตไว้ให้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...ตอนนี้สิ่งที่ข้าควรทำก็คือแข็งแกร่งขึ้นเท่านั่นเพื่อที่จะได้ปกป้องอีกฝ่ายเป็นโล่ให้กับอีกฝ่าย

"ฝู่ยี่...."หลิวเฟิ่งลู่รีบหันหน้าไปหาคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆตน

"พระชายามีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ"หวงฝู่ยี่คุกเข่าลงตรงหน้าทันที

"ที่นี่มีลานเอ่อหมายถึงที่ฝึกกระบี่หรืออาวุธอะไรแบบนี้น่ะ "หลิวเฟิ่งลู่พยายามที่จะอธิบายกับอีกฝ่าย

"ลานฝึกหรือ ที่จวนขององค์ชายใหญ่ต้องมีอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะเพราะองค์ชายใหญ่ทรงโปรดการฝึกกระบี่เป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ"หวงฝู่ยี่ตอบไปโดยไม่ลังเล

"ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปที่นั้นได้หรือไม่ข้าอยากฝึกกระบี่!"หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดกลับอีกฝ่ายให้พาตนไปทันมี

หวงฝู่ยี่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเพราะปกติแล้วเท่าที่ได้ยินมาอีกฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้เลยไม่สิถึงสนก็ไม่มีใครช่วยสอน

.

.

.

.

.

เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ที่เตรียมตัวเรื่องส่วนตัวเสร็จก็เดินมาตามทางที่หวงฝู่ยี่เดิมนำให้ ตอนนี้เขาแต่งตัวด้วยชุดธรรมสีครามแต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถที่จะปกปิดความงามของอีกฝ่ายได้

เขาทอดสายตามองจวนของหลิ่งเฟยหลงอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างมาก เพราะพื้นที่โดยร่วมแล้วถูกตกแต่งไปด้วยต้นไม้แปลกใหม่ที่งดงามมากมายและดอกไม้ต่างๆแถมยังกว้างใหญ่เป็นอย่างมากมีห้องหลายห้องอยู่พอสมควร

เมื่อมาถึงที่หมายหลิวเฟิ่งลู่มองลานกว้างใหญ่ตรงหน้า รอบลานเรียงรายไปด้วยชั้นศาสตราวุธ และมีหุ้นไม้ที่ไว้ใช้ฝึกและอะไรอีกหลายๆอย่างที่ไว้ใช้ฝึก

หลิวเฟิ่งลู่เห็นก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีและเดินดูรอบๆทั่วลานกว้างอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างมากซะจนทำให้มี่ฮวาที่ตามหลังมารู้สึกว่านายของตนเปลี่ยนไปมาก

เพราะว่านายของตนปกติเป็นคนกลัวของมีคมเป็นอย่างมาก และเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้อาวุธเลยแม้แต่น้อยแต่ว่าตั้งแต่เข้าวังมานายของตนก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนไปเลย

หลังจากที่สำรวจดูอาวุธอยู่นานเขาก็หยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งแต่ก็วางลงกลับที่เดิมทันที เขามองดาบที่เก็บที่เดิมอย่างเรียบเฉย

ว่าแล้วเชียว...มือนี่มันเล็กเกินไปไม่สิอ่อนแอเกินไปที่จะจับดาบแบบนี้......

แล้วแบบนี้ความหวังที่จะทำ....ข้าควรทำอย่างไรดี...

แต่เมื่อวางลงเขาก็ไปเห็นไม้พลองยาวจึงหยิบขึ้นมาแกว่งไปมาก่อนที่จะลงไปร่ายรำกระบวนท่าพื้นฐานของการฝึกกลางลาน

หวงฝู่ยี่ที่ยืนดูอยู่ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีท่าพื้นฐานของเส้าหลินอยู่ที่ผู้ใดก็ตามที่ฝึกฝนมาย่อมสามารทำได้

แต่ทว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงมีทั้งๆที่เป็นคนไร้วรยุทธ์ แต่เหตุพอมองดูแล้วรู้สึกได้ถึงว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่ได้ยินมาแน่

ทั้งท่วงท่าการจับไม้พลองและจังหวะการกวัดแกว่ง และการขยับจังหวะนั้นช่างสง่างามและดูน่าเกรงขามมากอย่างกับว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่เล่าลือกันมา

หลิวเฟิ่งลู่กวัดแกว่งไม้พลองไปมาในใจก็เอาแต่คิดว่าถ้าฝึกแบบนี้ทุกวันละก็ต้องสามารถจับดาบกระบี่ได้ถนัดมากขึ้นและไม่อ่อนแรงได้อีกเขาจะไม่ทำตัวให้ไร้ประโยชน์เด็ดขาดในเมื่อพระเจ้าส่งเขามาให้มาแก้ไขเรื่องราวในนิยายเรื่องนี้เขาก็จะทำเพื่อตัวเขาและหลิ่งเฟยหลงด้วย

-----------------------●●------------------------

ณ เวลานั้นในวังหลวงหงเจินตี้องค์จักรพรรดิกำลังนั่งมองแผ่นที่ขนาดใหญ่ของแคว้งพร้อมกับบุตรชายของตนนั้นก็คือหลิ่งเฟยหลง

"เสด็จพ่อต้องการที่จะให้ลูกไปจัดการกับเผ่าวิหคใต้ใช่หรือไม่?"หลิ่งเฟยหลงที่ยืนมองแผ่นที่ตรงหน้าอย่างเฉยเมย

องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เห็นแบบนั้นก็รู้สึกเหนื่อยใจบุตรชายของตนที่ทำตัวไม่เป็นเดือดเป็นภัยต่อสิ่งที่จะให้ทำเช่นนี้

"ใช่ แต่เจ้าเองก็อย่าเหิมเกริมจนเกินไปถึงฝั่งนั้นจะเป็นเผ่าวิหคแต่ก็เก่งในด้านโจมตีระยะไกลหากประมาทขึ้นมาจะเป็นฝั่งเจ้าที่เสียเปรียบ..."หงเจินตี้เอ็ดอีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงหาได้สนใจคำพูดของผู้เป็นพ่อหรือไม่เขาทำเพียงแค่มองแผ่นที่ตรงหน้าอยู่ครู่และเดินออกไปจากห้องทรงอักษรอย่างไม่สนใจอะไร องค์จักรพรรดิมองบุตรชายของตนที่ทำตัวไม่เคารพต่อสิ่งใดแบบนั้นก็รู้กังวลขึ้นมาว่าหากอนาคตให้ขึ้นเป็นใหญ่จะรอดหรือไม่....

ขณะที่ออกมาจากห้องทรงอักษรก็เดินอยู่มุมทางเดินนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าข้างหน้าของตนกำลังมีใครบางคนเดินมาทางเขา

บุรุษผู้ที่มีความคล้ายกับเขาไม่สิแตกต่างอย่างกับหยินหยางที่ผู้หนึ่งคือหยางแสงอาทิตย์ของความหวังกับหยินที่เป็นแสงจันทรแห่งความสิ้นหวัง

ใช่คนที่กำลังเดินมาทางเขาก็คือหลิ่งหมิงฟู่น้องชายของเขาที่ใครๆต่างก็เทิดทูนและเคารพกันอย่างดี

"คารวะเสด็จพี่....วันนี้เช่นบังเอิญยิ่งนักที่ได้พบกับเสด็จพี่"หลิ่งหมิงฟู่ที่เห็นหลิ่งเฟยหลงก็ทำการเคารพต่ออีกฝ่ายทันที

หลิ่งเฟยหลงไม่ได้ตอบอะไรอีกฝ่ายเพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก็นึกถึงเมื่อคืนขึ้นมาได้ตอนที่คนที่นอนข้างๆนอนและละเมอพูดออกมา

อย่าฆ่าเขานะ...อย่าฆ่าเขาเลยนะ หลิ่งหมิงฟู่

หลิ่งเฟยหลงขมวดคิ้วขึ้นทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปโดยไม่คิดจะคุยกับอีกฝ่ายหรือสนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

หลิ่งหมิงฟู่ที่เห็นพี่ชายของตนเดินจากไปก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรอีกแล้วเพียงแค่เดินคอตกไปห้องทรงอักษรที่องค์จักรพรรดิรอตนอยู่

หลิ่งเฟยหลงที่กำลังเดินก็เอาแต่คิดว่า คนอย่างเจ้าหมอนั้นน่ะรึจะสามารถฆ่าคนอย่างเขาได้ร้อยปีผ่านไปก็อย่าหวัง!!!

ยามเซิน (15:00-16:59)

หลิ่งเฟยหลงที่ขี่ม้ากลับมาถึงจวนก็รีบลงจากหลังม้าและรีบไปยังห้องของตนเองเมื่อเปิดเข้าไปกับไม่พบกับคนคนนั้นพระชายาของเขา

"พระชายาไปไหน?"เขาหันไปถามสาวใช้ที่รีบเดินมารับใช้เขา

"ทูลองค์ชายใหญ่พระชายาเฟิ่งอยู่ที่ลานฝึกเพคะ"สาวใช้ตอบโดยยังคงก้ใหน้าอยู่

หลิ่งเฟยหลงได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินไปยังลานฝึก ที่อยู่หลังเรืองทันที

เมื่อไปถึงก็พบกับองครักษ์หวงฝู่ยี่กับมี่ฮวายืนมองไปยังลานฝึก แต่เมื่อพวกเขาเห็นหลิ่งเฟยหลงก็คิดจะทำความเคารพทันทีแต่หลิ่งเฟยหลงห้ามเอาไว้และหันไปมองทางลานฝึกทันที

เบื้องหน้าของเขาก็คือ พระชายาของตนที่กำลังร่ายรำด้วยไม้พลองไปมาไม่หยุด ทุกท่วงท่าที่กวัดแกว่งไม้พลองไปมานั้นเช่นสง่างามน่ามองเหลือเกิน

ทำซะเขาเองก็ไม่สามารถละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย หลิวเฟิ่งลู่ยังคงร่ายรำต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจเลยว่าตนเองนั้นกำลังถูกสายตาของคนที่ตนรักจับจ้องมองอยู่

แต่เมื่อหันมาแล้วก็ต้องสบตากับคนที่ตนรัก ทำให้หลิวเฟิ่งลู่ถึงกับนิ่งหยุดการร่ายรำทันที

ตัวร้าย.....!!

-------------------

ณ เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆอีกฝ่ายก็มาปรากฏอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว เขายอมให้อีกฝ่ายรู้เรื่องว่ามีวิชาป้องกันตัวได้แต่เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขามีวิชากระบี่ติดตัวเพราะเกรงว่าหากรู้อีกฝ่ายต้องคิดว่าเขาเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาแน่

จึงรีบเก็บไม้พลองและรีบเดินตรงไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ในที่ร่ม "ถวายบังคมองค์ชายใหญ่..."

ในขณะที่กำลังจะย่อตัวลงอีกฝ่ายก็ดึงเอาไว้ก่อนที่จะดึงไปสู่อ้อมกอดของอีก หวงฝู่ยี่มีฮวาและข้ารับใช้ในจวนต่างตกตะลึกที่องค์ชายใหญ่ของตนทำเรื่องเช่นนี้ด้วย

"องค์ชายใหญ่...."หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆอีกฝ่ายทำเช่นนี้กับตน

"ทั้งๆที่ยังอาการไม่ดีเหตุใดถึงออกมาตากลมตากแดดอยู่ข้างนอกเช่นนี้หากเป็นอะไรไปขึ้นมาข้าจะปวดใจเอาได้นะ

คำพูดที่หลิ่งเฟยหลงกล่าวมานั้นยิ่งทำให้คนรอบตัวอดอึ้งตกใจไม่ได้ เพราะว่าองค์ชายใหญ่ของตนไม่เคยคิดจะสนใจชีวิตใครหรือห่วงใครมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วแต่กับพระชายาที่เป็นบุรุษด้วยกับสุขภาพอ่อนโยนซะจนรู้สึกอึ้งกันตามๆไป

หลิวเฟิ่งลู่ที่ถูกอีกฝ่ายกอดพร้อมกับคำพูดที่กล่าวออกมาก็ทำให้รู้สึกดีใจขึ้นมาป่นเขิน"องค์ชายใหญ่ทรงอย่ากังวลไปเลยกระหม่อมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว และอีกอย่างกระหม่อมก็อยากที่เดินชมจวนขององค์ชายใหญ่ด้วยก็เลยออกมาพอเห็นลานฝึกก็รู้สึกอยากร่ายรำกระบี่ดู...เสียหน่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ"

"เหตุใดจึงต้องเป็นกล่าวเป็นพิธีเช่นนั้นเจ้าเป็นพระชายาของข้า เรียกข้าว่าเฟยหลงเสียเถอะและก็ให้พูดแบบที่พวกเราเจอกันครั้งแรกเสียเถอะ"

เขายอมให้เรียกชื่อด้วยและยังให้พูดเป็นแบบกันเองอีกดีจัง...เขาพูดจริงๆสินะที่เห็นข้าเป็นพระชายาเป็นภรรยาของเขาไม่ใช่สิ่งของ...

"อือท่านเฟยหลง" หลิวเฟิ่งลู่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่ายพร้อมกับพยักหน้ายิ้มให้อีกฝ่าย

หลิ่งเฟยหลงเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ชะงักขึ้นมาทันที เพราะรอยยิ้มอีกฝ่ายยิ้มมานั้นช่างน่ามองเสียจริงจนห้ามใจแทบไม่ไหว

"ว่าแต่เมื่อครู่การร่ายรำนั้นของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก"หลิ่งเฟยหลงชมอีกฝ่ายที่กำลังส่งยิ้มให้อยู่

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกเขินเข้าไปใหญ่จนทำตัวไม่ถูก แต่แล้วน้ำเสียงที่อีกฝ่ายกล่าวมาก็ต้องทำให้หลิวเฟิ่งลู่นิ่งอึ้งไปทันที

"ในเมื่อเจ้าพอมีฝีมือในด้านนี้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น"พูดจบประโยชน์ก็มีองครักษ์สี่ห้าหกคนเดินมาตั้งเป็นแนวตรงกันอย่างเรียบร้อย

"นี่มัน..."มี่ฮวาที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจขึ้นมา ส่วนหวงฝู่ยี่และเหล่าข้ารับใช้เห็นก็ทำเพียงแค่เก็บสีหน้าของตนเท่านั้นเพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนกลางลาน

หลิวเฟิ่งลู่มองพวกองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของหลิ่งเฟยหลงอย่างเข้าใจความหมายทันที "นี่ท่าน .... เข้าใจแล้วหากท่านต้องการเช่นนี้ข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าข้านั้นเป็นพระชายาที่ดีให้แก่ท่าน"

"พูดดีถ้างั้น เลือกอาวุธซะเพราะถ้าหากพลาดก็คือตาย"เขากล่าวออกมาอย่างไม่เป็นเดือด

"องค์ชายใหญ่หม่อมฉันขอร้องท่านเถิดนะเพคะ คุณชายของหม่อมฉันไม่มีความสามารถในด้านการต่อสู้เลยแม้แต่น้อยเพคะโปรดทรงอย่างทำเช่นนี้เลยนะเพคะ"มี่ฮวารีบวิ่งเข้ามาขว้างหน้าพวกเขาทั้งสองทันที

"นี่หล่อนกล้าดียังไงมาขว้างหน้าข้าเช่นนี้!"หลิ่งเฟยหลงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที

มี่ฮวาเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาก็กลัวขึ้นมาทันทีแต่ก็ใจแข็งยืนบังต่อเพื่อปกป้องนายตนเองแต่จู่ๆก็วูบไปเพราะคนด้านหลังฟาดท้ายทอยจนสลบไป หลิวเฟิ่งลู่พยุงตัวสาวใช้คนสนิทของตนอย่างเบามือ

"โปรดอภัยให้กับความใสซื่อของนางด้วย นางยังเด็กและเคยเห็นแต่ข้ายามจับผ้าเท่านั้นนางไม่เคยรับรู้หรือเห็นข้าจับอาวุธมาก่อน เพราะงั้นโปรดอย่าลงโทษนางถือว่าข้าขอ...."

"ข้าจะไม่ถือสานางหากเจ้าทำให้ข้าพึ่งพอใจน่ะนะถ้าไม่ก็เตรียมใจอย่างที่เจ้าหวังก็แล้วกัน"หลิ่งเฟยหลงแสยะยิ้มออกมา

"ถ้าเช่นนั้น.....ข้าแค่ไม้พลองนี่ก็พอแล้วละเพราะถึงยังไงซะข้าก็ไม่มีแรงพอที่จะจับกระบี่หรืออาวุธอย่างอื่นแต่อย่างไรอยู่แล้ว...."กล่าวจบก็ส่งมี่ฮวาให้หวงฝู่ยี่ก่อนที่จะหันหลังไปยังลานฝึกตรงกลางลาน

หลิ่งเฟยหลงเห็นก็ไม่ได้คิดจะกล่าวอะไรเพียงแค่หันไปนั่งดูการประลองตรงหน้าเท่านั้น พวกข้ารับใช้ที่เห็นต่างพากันกลัวว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า

ตอนนี้หลิวเฟิ่งลู่ที่เตรียมตัวพร้อมสู้เขามองดูองครักษ์ที่สวมหน้ากากสีดำลงมา และถือกระบี่เตรียมจะเข้ามา

อา....เอาล่ะตอนนี้ถ้าข้าตายก็ไม่ใช่ที่สนใจของใครอยู่แล้วตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือใช้ความสามารถที่มีแสดงให้คนที่นี่ได้เห็นว่าข้านั้นไมใช่ผู้ที่อ่อนแอจะมาเหยียบย่ำได้!!!

-----------------------●●------------------------

ณ ตำหนักของฮองเฮา

ฮองเฮาที่นั่งอยู่มุมห้องที่มืดกำลังนั่งสั่นกลัวอะไรซัก จนทำให้ควบคุมร่างกายไม่อยู่

ไอ้เจ้าเด็กนั้น......

แววตานั้นมันอะไรกัน? 

แววตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อเหมือนกับเจ้าเฟยหลงนั้นไม่สิแววตาแบบนั้นมันเหมือนกับเจ้าหมอนั้นเจ้าคนเมื่อยี่สิบปีก่อนที่เจ้าเฟยหลงฆ่าไป

แต่ว่าจะเป็นไปได้ไงก็เจ้าเด็กนั้นมันก็แค่ลูกอนุภรรรยาชั้นต่ำที่เจ้าคนของแคว้นนั้นทำไปทั่ว แต่ว่าเพราะเหตุใดเจ้าเฟยหลงถึงไมฆ่ามันล่ะ

แต่กลับพามันมาพาองค์จักรพรรดิเพื่อทำสิ่งนั้นหรือว่ามันเองก็คิดเช่นกันว่าเจ้าเด็กนั้นเหมือนกับเจ้าหมอนั้นกันนะ!!

แต่ว่าหน้าตารูปลักษณะก็ไม่มีความคล้ายกับเจ้าหมอนั้น

เพราะอะไรข้าต้องมากลัวมันเช่นนี้ด้วย!!

"ทูลฮองเฮาเรียกข้าน้อยมามีคำสั่งอะไรจะให้ข้าน้อยไปหรือ?"จู่ๆก็มีชายใส่ชุดสีดำสนิทปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีดำลายอสูรเอาไว้

"มาแล้วรึ! ดีข้ามีงานที่จะให้เจ้าไปทำจนฟังซะ"ฮองเฮาที่เห็นบุรุษที่ตนกำลังรออยู่มาแล้วก็รีบและเดินไปหาทันที

"เชิญฮองเฮาสั่งมาได้เลยข้าน้อยจะรีบไปทำทันที"บุรุษชุดดำรีบคำนับรอคำสั่งทันที

"เจ้าไปสืบเรื่องของเจ้าหลานเฟิ่งลู่ที่แคว้นฉู่ซะว่าความจริงแล้วมันเป็นลูกของใครกันแน่และความจริงแล้วมันแซ่อะไรกันแน่!!"

"ขอรับข้าน้อยจะรีบไปสืบมาให้ท่านทันที"กล่าวจบชายชุดดำก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

.

.

.

.

.

.

'ควับ' 'เพล้ง'

"อะไรกัน....ไม่อยากจะเชื่อว่าพระชายาเฟิ่งจะมีความสามารขนาดนี้"ฮุ่ยเหอที่ยืนดูอยู่ข้างหลังก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

หลิ่งเฟยหลงที่นั่งมองสังเกตทักษะของคนที่อยู่ในลานฝึกอย่างสนอกสนใจ พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่แค่หลบเก่งแต่ว่าสามารถจดจำท่วงท่าการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างดี

แม้ตอนนี้จะเป็นสี่รุมหนึ่งแต่เหล่าองครักษ์ของเขาก็ไม่สามารถที่จะทำให้อีกฝ่ายนั้นยอมแพ้ได้

ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง...นี่แหละคนที่จะมาเป็นตัวแทนให้กับคนผู้นั้นได้

หลิวเฟิ่งลู่มองคู่ต่อสู้ที่บุกเข้ามาทีละคนในใจก็เอาแต่คิดวิธีการที่จะทำอย่างไรให้ฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้ตนได้

ตอนนี้เขากำลังมองดูข้าอยู่ ข้าต้องทำให้อีกฝ่ายอมรับให้ได้ว่าข้านั้นไม่ได้อ่อนแออย่างที่มีคนบอกมา

ข้าจะต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ว่า ข้านั้นสามารถที่จะปกป้องเขาได้!!!!

"พวกเจ้า พอได้แล้วการประลองจบเพียงเท่านี้!"หลิ่งเฟยหลงลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนที่จะยกมือห้ามพวกองครักษ์ที่กำลังจะโจมตีอีกฝ่าย

ทุกคนในลานฝึกหยุดมือลงกันทันทีพร้อมกับคุกเข่าลงพร้อมกัน หลิวเฟิ่งลู่ยืนหอบหายใจอย่างหนักมือที่ถือไม้พลองก็สั่นไม่หยุด

เอ๋? จบแล้วหรอข้ายังไม่ได้ฟาดใครให้สลบไปเลยนะ หรือว่าท่านเบื่อการต่อสู้ของข้าแล้วหรอ?

หลิ่งเฟยหลงเดินลงมา จากที่นั่งก่อนจะเดินมาที่กลางลานฝึกที่หลิวเฟิ่งลู่ยืนหอบหายใจอยู่เขามายืนอยู่ตรงหน้าก่อนกล่าว

"ถือว่าน่าชื่นชม การหลบการโจมตีของเจ้าและการโต้กลับถือว่าออกมาดีแต่ข้อเสียก็มีเยอะอยู่พอสมควร"เขากล่าวพร้อมกับยื่นมือไปจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมามองตน

"ขออภัยที่ข้ายังทำได้ไม่ดีพออย่างที่ท่านหวังเอาไว้...แฮ่กๆ"หลิวเฟิ่งลู่พูดกล่าวกับอีกฝ่ายพร้อมหอบหายใจอย่างหนัก

"ไม่เจ้าทำให้คนอย่างข้าพอใจแล้ว เพียงแค่ยังไม่ดีพอก็เท่านั้น"เขากล่าวก่อนที่จะเปลี่ยนมาอุ้มอีกฝ่ายแทน

"ทะ....ท่านเฟยหลงนี่ท่าน"หลิวเฟิ่งลู่ตกใจขึ้นมาทันทีที่จู่ๆก็อุ้มแบบนี้

"วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากพอแล้ว ข้าสั่งให้คนเตรียมน้ำอาบและอาหารไว้ให้เรียบร้อย"เขากล่าวพร้อมกับเดินออกไปจากลานฝึกตรงนั้น

คนที่เห็นต่างก็พากันสับสนว่าสรุปนายของตนนั้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ จริงๆแล้วต้องการที่จะทำอะไรกันแน่

ยามไฮ่ (21:00-20:59)

เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมากซะจนไม่สามารถที่จะปรนนิบัตให้กับคนที่นอนด้านข้างได้จึงทำได้เพียงแค่กอดกันเท่านั้น

หลิ่งเฟยหลงที่กอดจากทางด้านหลังก็เอาหัวมาซุกไว้ที่คอขาวของอีกฝ่ายสูดกลิ่นกายของอีกฝ่ายเท่านั้น

"พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานของน้องชายข้าแล้ว" หลิ่งเฟยหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็สามารถทำให้คนในอ้อมกอดเกร็งตัวมาได้

"ที่ท่านพูดมาคือความจริงรึ ที่น้องชายท่านกำลังจะได้แต่งงานเสียแล้วน่ะ" ถึงในใจจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็แกล้งถามอีกฝ่ายไป

"ใช่พรุ่งก็วันแต่งงานน้องชายข้า ข้าจึงจะบอกกับเจ้าว่าพวกเราต้องไปอยู่ที่วังหลวงนานเสียหน่อยน่ะ"กล่าวไปมือที่กอดก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น

"อย่างนั้นหรือ...ถ้างั้นก็เป็นการดีไม่ใช่หรือกับวันแต่งงานน้องชายท่าน"

"นี่เจ้ายังไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าข้ากำลังจะบอกอะไรกับเจ้าน่ะ?"เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแปลกๆ

"ข้ารู้สิ ท่านกำลังจะบอกข้าว่าน้องท่านก็มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นองค์จักรพรรดิใช่หรือไม่?" หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่พอใจกับคำตอบที่ตอบไปจึงรีบแก้ตัว

"ใช่.....แต่ก็ยังไม่ถูก"

"แล้วความจริงท่านต้องการจะบอกอะไรกับข้ากันแน่หรือ?"

"หากพวกเราไปอยู่ที่วังหลวงข้าก็จะทำดีกับเจ้าไม่ได้และไม่สามารถที่จะอยู่กับเจ้าได้ตลอดอย่างไรล่ะ..." หลิ่งเฟยหลงพูดออกมาพร้อมกับจับอีกฝ่ายให้หันมามองตน

"ท่าน....."หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินคำพูดของอีกที่กล่าวมาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที

"หากวันพรุ่งนี้มาถึงละก็สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือห้ามแสดงความสามารถที่เจ้ามีออกมาเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่...." เขากล่าวกับอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ตน

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังจะปกป้องตนอยู่จึงตอบรับสัญญากับอีกฝ่ายทันที "อือ ข้าเข้าใจท่านแล้ว ข้าจะไม่แสดงความสามารถที่มีให้ใครเห็นเด็ดขาดตามที่ท่านต้องการ...."

"อือดี.."

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จทั้งสองก็หลับตาพร้อมกันและนอนกอดกัน หลับพร้อมกันทันทีในอ้อมกอดของแต่ละฝ่าย

----------------------------

เวลานี้หลิวเฟิ่งลู่ที่แต่งชุดด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่มีลวดลายของหงส์ทองอย่างสง่ากำลังนั่งมองวิวจากทางหน้าต่างรถม้าอยู่

ส่วนหลิ่งเฟยหลงที่นั่งมาด้วยกันแต่งชุดด้วยเสื้อสีครามลายมังกรดำที่มีลวดลายที่งดงามและแฝงไปด้วยเสน่ห์กำลังนั่งนิ่งสงบมองคนที่นั่งตรงกันข้ามกับตรง

"เจ้าจำเรื่องเมื่อคืนที่ข้าได้บอกกับเจ้าเอาไว้ได้หรือไม่?"หลิ่งเฟยหลงที่นั่งมองอีกฝ่ายที่เอาแต่มองวิวด้านนอกไม่สนใจตนจึงถามอีกฝ่าย

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายถามตนจึงหันกลับมาและตอบอีกฝ่ายทันที "ได้สิ ท่านบอกว่าอย่าแสดงความสามารถที่มีออกไปให้ผู้อื่นเห็น...."

"อือดี...."เมื่อได้รับคำตอบเขาจึงพยักหน้าและไม่ได้คิดจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายอีก

.

.

.

.

ในที่สุดก็มาถึงวังหลวงเสียทีประตูวังเปิดออกทันทีและรถม้าก็มาหยุดอยู่จุดที่ลงพอดี 

ในขณะที่ประตูรถม้าจะเปิดหลิ่งเฟยหลงก็ใช้จังหวะที่อีกฝ่ายไม่สนใจตน ดึงเขาเข้ามาจูบไปทีหนึ่งก่อนที่จะปล่อยและรีบลงออกไปจากรถม้าทันที

หลิวเฟิ่งลู่ถูกอีกฝ่ายจูบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูก แต่ก็ต้องเก็บอาการและรีบลงมาในขณะที่จะลงจากรถม้าก็เกือบตกบันไดแต่ก็ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ

แต่หลิวเฟิ่งลู่ก็รู้ดีว่านี่คือการแสดงเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจให้กับตนหากรู้ก็จะไม่ต่างอะไรจากจุดอ่อนของเขา

ทุกคนในงานพอเห็นองค์ชายใหญ่ที่เดินนำมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ โดยมีพระชายาเดินก้มหน้ามาและทำสีหน้ากังวลทุกคนในงานก็รู้ทันทีว่าสองคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างที่เห็นในวันแต่งงานอย่างนั้น

จึงพากันแอบซุบซิบนินทาพูดคุยกันแต่หลิวเฟิ่งลู่หาและหลิ่งเฟยหลงหาได้สนไม่พวกเขาทำเพียงแค่เดินอย่างสง่างามไปเท่านั้น

แต่ว่าในใจของหลิวเฟิ่งลู่ก็รู้สึกไม่ดีแปลกๆขึ้นมา เพราะว่าถึงจะรู้ว่าคือการแสดงแต่เล่นแบบนี้ก็รู้สึกเสียกำลังใจเช่นกันแต่ก็ต้องทนไว้เพื่อความอยู่รอดของพวกเขาทั้งสอง

เมื่อมาถึงในห้องโถงใหญ่ก็ถูกเชิญไปนั่งประจำของตัวเอง หลิ่งเฟยหลงตั้งแต่ลงมาก็ทำเป็นไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

จนในที่สุดเวลาของการเปิดงานก็เริ่มขึ้น ทุกอย่างล่วงเหมือนกับวันที่พวกเขาแต่งงานกัน เสียงดนตรีเสียงพลุเสียงผู้คนทุกอย่างล่วงเหมือนกับวันนั้นเพียงแต่เสียงของผู้คนนั้นไม่ใช่เสียงนินทาซุบซิบแต่เป็นเสียงยินดี...

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าความไม่ยุติธรรมของตัวเอกกับตัวร้ายมันต่างกันยังไง....

เขามองดูคู่บ่าวสาวนั้นก็คือพระเอกกับนายเอกที่แย่งบทเขาไปนั้น พอมองดูดีๆแล้วพวกเขาสองคนก็เหมาะสมกันจริงๆอย่างที่ว่า...

แต่ว่า...ถ้าเกิดมาคู่กันแล้วทำไมแกถึงไม่แต่งให้แกครองคู่กับพระเอกตั้งแต่แรกล่ะ เหวินซื่อหลาง      ไอ้เจ้านักเขียนเฮงซวยหลุดโลก!!!ไม่สิไอ้ผู้แต่งเรื่อง'รักข้ามภพชาติ' ตั้งหากที่สมควรโดน!!

หลิ่งเฟยหลงที่นั่งอยู่ข้างๆสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่เอาแต่จับจ้องมองคู่บ่าวสาวเบื้องล่างไม่วางตา แต่ทว่าแววตาที่จ้องมองมานั้นกับไม่ใช่แววตาแห่งความยินดีแต่เป็นสายตาอาฆาตแค้น

เหตุใดถึงจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นนะ แต่ว่าก็ดีช่างน่าสนใจเสียจริงดูซิว่ากำลังวางแผนอะไรไว้กันแน่นะ...พระชายาของข้า...

ในเวลานี้เป็นเวลาที่คู่บ่าวสาวจะทำการสาบานต่อกัน พิธีก็เหมือรกับเขาหมดทุกรูปแบบไม่ต่างกันเพียงแต่ว่าเจ้าสาวนั้นเกร็งตัวอยู่ตลอดแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร

หลิวเฟิ่งลู่ที่มองดูตัวเอกสองคนเข้าพิธีกัน ภายในใจก็เอาแต่คิดว่าหลังจากวันพรุ่งนี้เกมระหว่างเขากับตัวนายเอกแย่งบทก็จะเริ่มขึ้น

ช่างน่าสนุกแล้วสิ....ข้าจะทำให้คนอย่างเจ้ากลัวข้าไปจนวันตายเลยว่าอย่าได้คิดมาลองดีกับตัวละครที่แกสร้างขึ้นมาเองแบบนี้เด็ดขาด

.

.

.

.

หลังจากที่พิธีแต่งงานสิ้นสุดลง หลิวเฟิ่งลู่ก็ออกมาจากงานคนเดียวส่วนหลิ่งเฟยหลงนั้นกับยังคงอยู่ในงานไม่ยอมออกมา

หลิวเฟิ่งลู่จึงต้องเดินอยู่คนเดียวตามลำพังเท่านั้นเพราะตอนนี้มี่ฮวาก็อยู่ที่จวนไม่สามารถติดตามเขามาได้ส่วนหวงฝู่ยี่ก็ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำกายของหลิ่งเฟยหลง

เขาเดินไปมาตามทางที่เป็นทางให้เดิน เขาเดินไปในใจก็เอาแต่คิดถึงเรื่องว่าพรุ่งนี้เขาจะทำตัวยังไงไม่ให้เป็นที่นินทาหรือให้นายเอกของเรื่อง เฉินจิ้นหลิง ทำเป็นแกล้งช่วยเขาไม่ให้เกิดขึ้นอย่างไรดี

ยิ่งคิดความรู้สึกที่เกลียอีกฝ่ายก็เริ่มก่อตัวขึ้นเข้าไปใหญ่ เพราะแค่คิดถึงตอนที่เขาถูกฮองเฮาว่าและเกิดกลัวอีกฝ่ายจนจะร้องไห้ออกมาตอนนั้นก็รู้สึกสงสารร่างนี้ขึ้นมาแล้ว

ตอนนั้นถ้าอ่านดีๆก็จะรู้ทันทีว่านายเอกตัวจริงนั้นกลัวฮองเฮาจริงๆจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่เจ้าคนแย่งบทนั้นกับคิดแบบเดียวกับฮองเฮาว่าเขาแกล้งบีบน้ำตากลัว

โธ่ ถ้าตอนนั้นฉันสามารถเข้าไปได้พ่อจะตบหัวให้สมองกลวงๆของหัวแกหลุดออกมาและจะเหยียบให้เละคาเท้าเลยแม่งเอ๊ย แค่คิดก็โมโหจนอยากจะบ้าตายแล้วสิ

เอาจริงๆนะถ้าไม่ห่วงเรื่องที่หลิ่งเฟยหลงเตือนเอาไว้ละก็เขาก็คงจะแสดงจุดยืนให้เห็นแล้วว่าเขานั้นไม่ได้อ่อนแอและไม่ได้เสแสร้งเช่นนั้น!!

หึ...รอก่อนเถอะ'เฉินจิ้นหลิง'พรุ่งนี้ข้าจะทำให้คนอย่างรู้จักจุดยืนของตนเลยว่าถึงแกจะมีฮองเฮาให้ท้ายแต่ก็สู้คนอย่างข้าไม่ได้หรอกที่รู้เรื่องของแกจนหมด!!!

"นั้นมันพระชายาขององค์ชายใหญ่นี่นา...เหตุใดถึงออกม่อยู่คนเดียวเช่นนี้ล่ะ?"

"นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าพระชายาขององค์ชายใหญ่นั้นเป็นแค่ลูกอนุภรรยาชั้งต่ำเฉยๆ แถมยังเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เสียด้วย"

"ใช่ๆคนแบบนี้มีหรือที่องค์ชายใหญ่จะมาสนใจน่ะ ที่ตอนนั้นแต่งงานด้วยกันก็แค่เพื่อผลประโยชน์ขององค์จักรพรรดิเฉยๆก็เท่านนั้น"

หลิวเฟิ่งลู่หันหน้าไปมองก็เห็นกลุ่มของพวกผู้หญิงที่ดูๆแล้วก็น่าจะเป็นลูกของตระกูลขุนนางที่ไหนซักกระกูลหนึ่งกำลังจับกลุ่มซุบซิบรับหลังเขาอยู่ไม่สิตั้งใจเสียมากกว่า

แต่หลิวเฟิ่งลู่หาได้สนใจไม่สำหรับเขาแล้วพวกนางก็ไม่ได้ต่างจากตัวประกอบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาเป็นตัวทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจไม่สิน่ารำคาญเสียมากกว่าไม่ว่าจะเรื่องไหนไม่สิไม่ว่าจะยุคไหนก็มักจะมีตัวประกอบน่ารำคาญคอยซ้ำเติมตัวละครหลักก็เท่านั้น

แต่แล้วจู่ๆก็มีคำพูดหนึ่งที่นางพวกนั่นกล่าวออกมาทำให้หลิวเฟิ่งลู่ที่ไม่สนใจต้องรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินพวกนางกล่าว

"ช่างน่าสงสารองค์ชายใหญ่เสียจริงนะ เป็นลูกคนแรกแต่กับด้อยกว่าองค์ชายเล็กเสียอย่างนั้นฮะๆ"

"ด้อยกว่าอย่างนั้นรึ? อะไรหรือที่ด้อยกว่าน้องชายของเขารึ?"หลิวเฟิ่งลู่หันไปกล่าวกับพวกนางที่กำลังคุยนินทาไม่หยุด

"อ่าวพระชายาเฟิ่งได้ยินด้วยรึ ตายจริงข้านี่ปากไม่ดีเสียจริงที่เผลอพูดอะไรแบบนั้นออกไปแย่เสียจริง"นางทำเป็นเอามือเล็กนั้นมาปิดของนางเบาๆและทำตัวเหมือนรู้สึกผิด

"หม่อมฉันเพียงแค่ได้ยินมาน่ะเพคะ ว่าเป็นอะไรแบบนั้นน่ะเพคะไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวว่าอะไรองค์ชายใหญ่ของท่านพระชายาเฟิ่งเลยนะเพคะ"นางอีกเองก็แก้ตัวเช่นกัน

ส่วนที่เหลือก็ทำเป็นเอาพัดมาปิดใบหน้าและแอบหัวเราะใต้พัดที่ยกขึ้นมาปิดเท่านั้น

"อย่างงั้นหรือ? ได้ยินมาจากผู้อื่นอย่างงั้นหรือ?" หลิวที่มองดูพวกนางที่กำลังหัวเราะกันอยู่ก็แสยะยิ้มขึ้นมา "แหมๆพวกเจ้านี่ช่างเหมือนกับสุนัขตัวเมียเสียจริงเวลาสุนัขตัวไหนมันเห่าหอนพวกที่เหลือก็จะเห่าหอนตามช่างน่าขันยิ่งนัก"

"นี่เจ้ากล้าว่าพวกข้าเป็นสุนัขรึ!!"พวกนางได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนสีหน้ากันทันที

"ก็แค่เปรียบเปรยก็เท่านั้น ใครจะยอมรับก็รับไปแต่จะบอกอะไรไว้ให้นะว่า....การว่านินทาลับหลังคนชั้นสูงหรือลูกขององค์จักรพรรดิเช่นนี้ระวังปากของพวกเธอจะไม่มีไว้ให้ทานข้าวกันนะ....."หลิวเฟิ่งลู่ใช้สายตาที่ทำให้ผู้พบเห็นต่างพากันสะท้านขึ้นมาทันทีเพราะแววตาที่จับจ้องไปนั้นมันอย่างว่าหากยังกล้าทำอีกชีวิตคงจะหาไม่ได้....

"พวกหม่อมฉันต้องขออภัยต่อพระชายาเฟิ่ง ด้วยเพคะ ที่เผลอพูดออกไปพวกหม่อมฉันจะไม่พูดลับหลังเช่นนี้อีก"พวกนางทุกคนที่แอบบนินทากันต่างพากันคุกเข่าสั่นกลัวกันทันที

หลิวเฟิ่งลู่ยกยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้พวกนาง "ถ้ามีคราวหน้าก็เตรียมที่ฝั่งศพตระกูลพวกเจ้าไว้ได้เลยนะ...."

กล่าวจบก็เดินจากไปโดยไม่หันมาอีก พวกนางทุกคนที่นั่งคุกเข่าต่างพากันทรุดลงกันทันที

"เมื่อกี้นี่มันอะไรกันสายตานั้นน้ำเสียงนั้นใช่เกาเฟิ่งลู่จริงๆหรือ!"

-----------------------●●------------------------

หลิวเฟิ่งลู่เดินกลับเข้ามาในงานแต่กลับไม่พบผู้เป็นสามีของตน จึงรู้สึกว่าตนนั้นถูกทิ้งเสียแล้วแต่ก็มีใครบางคนมาสะกิดเขาจากทางด้านหลัง

หลิวเฟิ่งลู่หันไปมองแต่กับพบว่าคนที่สะกิดตนนั้น กลับใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้จึงทำไม่ให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

"ช่วยไปกับข้าจะได้หรือไม่?"คนผู้นั้นพูดข้างหูของเขา

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินน้ำเสียงก็ต้องทำให้ตัวเกร็งขึ้นมาทันทีและไม่กล้าที่จะปฏิเสธต่ออีกฝ่ายจึงยามเดินตามไปแต่โดยดี

เมื่อออกมาจากงานที่พ้นสายตาทุกคน คนที่ชวนหลิวเฟิ่งลู่มาก็ถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่ายออกมาคนที่ชวนคือคนที่หลิวเฟิ่งลู่ไมคิดว่าจะเป็นเขานั้นก็คือองค์จักรพรรดิของแคว้นฉินคนปัจจุบันนั้น

"วันนี้ลูกชายของข้าจะเริ่มไม่ให้ความสนใจเหมือนตอนที่มาหาข้าครั้งแรกเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกันที่จวนหรือไม่?"องค์จักรพรรดิหงเจินตี้ที่ถอดหน้ากากออกหันมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน

"เรื่องนั้นกระหม่อมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน....ว่ารองค์ชายใหญ่ของกระหม่อมเป็นอะไรไป แต่ว่าให้ข้าเดาก็คงเพราะว่าเขากำลังแสดงจุดยืนอยู่กระมั่งพ่ะย่ะค่ะ"หลิวเฟิ่งลู่ตอบไปโดยไม่คาดคิดว่าองค์จักรพรรดิจะมาเรียกตนมาคุยกันเป็นส่วนตัวเช่นนี้

"อย่างนั้นรึ ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเสียจริงตัดขาดจากคนคนนั้นไม่ได้จริงๆ"องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เอามือขึ้นมากุมขมับของตนเองและส่ายหัวไปมา

"คนคนนั้น? ฝ่าบาทกำลังหมายถึงใครรึ?"หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินก็ถามอีกฝ่ายทันที

"เขาเป็นอาจารย์ของหลิ่งเฟยหลงชื่อว่า หลินฉีถิง แต่เมื่อสิบปีก่อน เกิดเรื่องบางอย่างที่ทำข้าให้เข้าใจผิดและเผลอทำให้เขาถูกหลิ่งเฟยหลงฆ่าทิ้ง..."

นี่องค์จักรพรรดิยอมเปิดเผยเรื่องเช่นนี้ให้กับคนอย่างข้าด้วยรึ? รู้สึกว่าในนิยายองค์จักรพรรดิจะแลให้ความสนใจข้าเสียมากกว่าเฉินจิ้นหลิงนะ น่าจะใช่ นั้นจึงเป็นจุดที่ทำให้คนอย่างข้าต้องเจอกับคำว่า นรกเดินดินอย่างไรล่ะ ถึงจะมีองค์จักรพรรดิให้ความสนใจแต่ว่าก็ไม่สามารถดึงเขามาเป็นพวกได้หรอกเพราะอีกฝ่ายนั้น.....รักพระเอกเสียมากกว่าตัวร้ายอีกจึงเป็นเหตุที่ถูกตัวร้ายฆ่าอย่างไรล่ะ...

ถึงจะรู้สึกสงสารอยู่ก็เถอะนะแต่ว่าการรักลูกไม่เท่ากันมันก็จะเป็นเช่นนี้แหละ แต่เดี๋ยวนะ....เหตุใดถึงยอมให้หลิ่งเฟยหลงฆ่าล่ะทั้งๆที่ตัวเองก็มีสายเลือดมังกรเช่นกันกลับปล่อยให้ตัวร้ายฆ่าได้ง่ายๆเช่นนั้นเลยหรือ รู้สึกว่าตอนนั้นจะถูกตัดออกไปด้วยสิจึงไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันแน่แต่พอมาอีกทีตัวร้ายก็เอาดาบแทงหัวใจเสียแล้วหลังจากนั้นพระเอกก็เข้ามาและเกิดการต่อสู้กัน.....

แต่ว่าอดีตของตัวร้ายที่คนเขียนปูมาก็มีแค่บอกว่าเขานั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นที่ยอมรับของทุกคนแต่กับถูกตีตราว่าเป็นมารปีศาจและถูกแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปก็เท่านั้นไม่เห็นระบุถึงเรื่องที่ตัวเขานั้นมีอาจารย์และฆ่าตายเลยนี่หว่าหรือว่านิยายเรื่องนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่คนอย่างข้ายังไม่รู้นะ

สงสัยข้าต้องสืบหาแล้วสิว่าเมื่อสิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเหตุใดตัวร้ายถึงได้ทำตัวนิสัยแบบนี้และก็เหตุใดถึงอยากได้บัลลังก์ขนาดนั้นถึงในนิยายจะระบุว่าเพื่อรักแต่ว่าต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ?

"เช่นนั้นเองรึ....ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าองค์ชายใหญ่เคยมีอาจารย์และเคยเป็นอะไรแบบนั้นมาก่อน"หลิวเฟิ่งลู่เก็บความคิดในหัวเอาไว้และแกล้งสนทนากับคนตรงหน้าต่อไป

"เจ้าไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลก เพราะเรื่องนี้คนที่รู้ก็มีแค่ตัวข้าและก็เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้เรื่องเกี่ยวกับอดีตเพราะวันนั้นเป็นข้าที่เป็นต้นเหตุที่มำให้เขาตาย..."

"แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงเอาเรื่องนี้มาบอกกับคนอย่างข้าล่ะ?"หลิวเฟิ่งลู่อดสงสัยไม่ได้

องค์จักรพรรดิหันหน้ามามองคนตรงหน้าก็จะยกนยิ้มและกล่าว "เพราะเจ้าน่าจะเป็นคนเดียวที่จะสามารถหยุดเขาได้อย่างไรล่ะ....หลิวเฟิ่งลู่"

"ฝ่าบาท! ข้าไม่ได้.."

"เรื่องแซ่หลิวนั้นข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนแซ่เกาแต่กระนั้นข้าก็ไม่ได้เอาเรื่องนั้นมาใส่ความหรอก สิ่งที่ข้าต้องการก็คือตัวเจ้าเท่านั้นที่ข้าต้องการ...."องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เห็นอีกฝ่ายเริ่มกระวนกระวายก็พูดแก้ให้ฟัง

"เหตุใดฝ่าบาททรงคิดว่าเป็นข้าล่ะที่สามารถหยุดเขาได้?....."

"เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน....แต่ความรู้สึกมันบอกข้าว่า เจ้าคือคนที่สามารถหยุดได้หยุดความเศร้าในตัวของหลิ่งเฟยหลงลูกชายของข้าได้น่ะ..."

หลิวเฟิ่งลู่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนี้ความคิดที่บอกว่ารักไม่เท่าเทียบถูกตัดทิ้งออกไปทันที เพราะดูจากแววตาและน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้วดูยังไงก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นรักลูกคนนี้ของตนเช่นกัน

แต่ว่าเพราะอะไรในนิยายถึงทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้รักเลยล่ะ? หรือว่าพอเขาเข้ามาจึงทำให้นิยายเรื่องนี้เปลี่ยนเนื้อหาหรอก็อาจจะใช่นะขนาดตอนเข้าหออีกฝ่ายยังยอมเข้าไปพร้อมกับเขาเลย

ไม่ได้การ ถึงเป็นนี้ขึ้นมามีหวังตัวเอกของเรื่องต้องรู้แน่ๆว่าเขาเองก็เป็นคนจากต่างโลกเช่นกัน...แต่ถึงอย่างไรเป้าหมายก็ยังคงเป็นแบบเดิมก็คือช่วยตัวร้ายของเขาเท่านั้น!

"ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะพยายามทำให้องค์ชายใหญ่ของข้าเป็นไปตามที่องค์จักรพรรดิต้องการให้เป็นให้ได้พ่ะย่ะค่ะ"หลิวเฟิ่งลู่โครงคำนับต่ออีกฝ่ายด้วยท่วงท่าสง่างามทันที

องค์จักรพรรดิหงเจินตี้เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาและเดินไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับก้มหน้าพูด"ความหวังของข้าอยู่ที่เจ้าแล้วนะหลิวเฟิ่งลู่"

"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

"เรียกข้าว่าเสด็จพ่อสิเจ้าเป็นภรรยาลูกชายข้าก็ถือว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ"องค์จักรพรรดิกล่าวกับอีกฝ่าย

"เรื่องนั้นข้ายังไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไรว่าจะดีหรือไม่ ที่จะกล่าวเช่นต่อฝ่าบาท"หลิวเฟิ่งลู่รู้สึกเกร็งตัวขึ้นมา

"อือแล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน อยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายเลยข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอกเพราะสำหรับข้าแล้วเจ้าเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุด...."กล่าวจบองค์จักรพรรดิก็สวมหน้ากากและเดินจากไป

รู้สึกว่าความหวังที่จะชนะอีกฝ่ายเริ่มมีแล้วสิ..

-------------------------------------------------

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!