ตอนที่สอง
รับขวัญนั่งอยู่ในห้องโถงส่วนหน้า แม้โซฟาจะใหญ่ นุ่ม นั่งสบายแต่สายตาของพี่ชายที่จับจ้องเขานั้นกลับทำให้คนตัวเล็กรู้สึกอึดอัด จนต้องห่อตัวลีบเล็กลง พาให้เขานั้นดูผอมแห้งแคะแกรนมากกว่าเก่า คนเป็นพ่อเห็นดังนั้นจึงกระแอมขึ้นเบา ๆ
"อย่ามัวแต่จ้อง แนะนำตัวสิ"
หน้าที่เป็นตัวอย่างที่ดี และผู้นำของน้อง ๆ ผลักดันให้จักรกฤษณ์ ที่มักมีสีหน้าเรียบเฉยและบึ้งตึง ขึงขังขึ้นมาทันที เขาขยับแว่นเล็กน้อย ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง ใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่มที่สุด เพราะเขาตระหนักถึงความสำคัญของน้องเล็กคนนี้ดี
"พี่กริชครับ อายุสิบห้า ถึงจะยุ่ง ๆ เรื่องสอบเข้า แต่ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจมาถามพี่ๆได้ทุกเมื่อ แล้วสำหรับขวัญน่ะ พี่อนุญาตให้เข้าออกฝั่งปีกขวาได้อิสระ แต่อย่าซนนักละ" รับขวัญสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อตนและให้ความเป็นกันเอง ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นแววตาขัดเขินจากกริชด้วย
คนตัวเล็กพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อย ๆ เขาค่อย ๆ ก้าวลงจากโซฟา เดินตรงไปหาจักรกฤษณ์ก่อนจะหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าที่ตนพกติดตัวมาด้วย
"ขวัญไม่รู้ว่าพี่กริชจะชอบหรือเปล่า แต่ขวัญทำเองเลยนะครับ ต่อไปถ้าขวัญดื้อห้ามตีขวัญนะครับ" เขายื่นพวงกุญแจกระต่ายน้อยในมือส่งให้พี่ชายคนโต รอยยิ้มใสซื่อจริงใจนั้น ทำให้คนเป็นพี่ต้องหยิบเอาพวงกุญแจอย่างเสียไม่ได้ ท่ามกลางสีหน้าดีอกดีใจของคนเป็นแม่ ที่ลูกคนเล็กรู้จักฉอเลาะเอาอกเอาใจผู้อื่น
"ขอบใจนะ พี่จะห้อยไว้กระเป๋าสตางค์ก็แล้วกัน" เขาตอบสั้น ๆ และคิดว่าการเอาไปปช้จริง คงไม่ทำให้คนให้เสียน้ำใจแน่ จะว่าไปเจ้าขวัญก็เลือกสีถูกใจเรานะ คงตั้งใจเลือกให้เหมาะกับจุดเด่นของแต่ละคน
จักรกฤษณ์เหลือบมองพวงกุญแจกระต่ายชิ้นที่สอง ที่อยู่ในมือของจักรวาล มันมีลำตัวสีขาวและตาสีแดงเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่ว่าสีหน้าของจักรวาลที่จักรกฤษณ์ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้คนที่ไม่คิดสนใจเรื่องอื่น นอกจากการพัฒนาตนเองเช่นเขาเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
"ประวัติคร่าว ๆ ของพวกเราสี่พี่น้อง ทุกคนคงจะรู้กันอยูู่แล้ว สิ่งที่ขวัญอยากจะพูดในวันนี้ก็คือ.." เด็กชายถอยออกจากพี่ชายทั้งสามคน
"ขวัญดีใจที่ได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับทุกคน ต่อจากนี้ขวัญจะเป็นเด็กดีของทุกคน ขอให้เอ็นดูขวัญกันเยอะ ๆ นะครับ" ในวงแขนของรับขวัญนั้น มีเจ้ามาร์ตินคอยให้กำลังใจเต็มเปี่ยม เขาจึงยิ้มแย้มได้กว้างกว่าที่เคย
คนห้องนั้นราวกับว่าได้พบเจอโลกใบใหม่ ที่งดงามสดใส โลกที่ช่วยลบล้างอดีตอันมืดมนไปจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ปริญและนักรบที่ต่างกุมมือทอดมองกันและกัน มาถึงตอนนี้ลูก ๆ ที่พวกเขาเลือกมาอยู่ในบ้าน คงไม่ทำให้เขาผิดหวัง ทั้งตอนนี้และในอนาคต
"หึ เข้าใจพูดนะเรา แบบนี้พี่จะกล้าดุเราได้ยังไง"
"นั่นสินะพี่ชายใหญ่ น้องเล็กน่ารักขนาดนี้ พี่คนนี้จะเอ็นดูขวัญมาก ๆ เอง" จักรกลพยักหน้าถี่รัวเห็นด้วยกับจักรกฤษณ์ เขาชูพวงกุญแจกระต่ายสีเหลืองขึ้นแกว่งไปมา
พี่ชายคนโตและคนที่สาม ต่างเปิดใจพูดคุยทำความรู้จักกับน้องน้อยเป็นอย่างดี ส่วนคนรองที่เอาแต่นั่งเงียบ และจ้องมองรับขวัญนั้นก็เล่นเอาเด็กชายทำตัวไม่ถูก รับขวัญจึงไม่กล้าเข้าใกล้จักรวาลเลยแม้แต่นิด ทว่าในสายตาของนักรบนั้นเข้าใจความคิดความรู้สึกของลูกคนรองได้ดีกว่าคนอื่น ๆ เพราะเขาเป็นคนเลือกจักรวาลมาเป็นสมาชิกในครอบครัว
จักรวาลคนนี้ไม่ต่างจากนักรบทั้งลักษณะภายนอก นิสัย และกระบวนการความคิด ความสุขุมเยือกเย็นในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาจากโจทย์ที่นักรบให้ หลายต่อหลายครั้ง ทำให้จักรวาลเป็นลูกที่นักรบไว้วางใจมากที่สุด และหากคนเป็นพ่อเช่นเขาเดาไม่ผิด เจ้้าเสือน้อยตัวนี้ คงกำลังจ้องตะครุบกระต่ายน้อยอยู่เป็นแน่
เด็กนั้นคงคิดว่าไม่อยากมีขวัญเป็นน้อง ปริญจะสังเกตเห็นไหมนะ นักรบนึกเป็นห่วงขณะเหลือบมองภรรยา
"เดี๋ยวเถอะวาฬ ทำหน้าแบบนั้น คิดจะขู่ให้ขวัญกลัวหรือไง" และแล้วคนเป็นแม่ก็ไม่อาจทนเฉยอยู่ได้ ปริญลุกขึ้นยืนจังก้ามือเท้าเอว ใบหน้าสวยดุดันบอกถึงความไม่พอใจ และจักรวาลจะต้องโดนอบรมส่วนตัวแน่ ถ้ายังปั้นหน้าบึ้งตึง ปล่อยออร่าไม่น่าคบหาอยู่แบบนั้น
จักรวาลเหลือบมองมารดา ต่อด้วยบิดาที่กำลังยกยิ้มมุมปากให้เขาอย่างรู้ทัน ตาแก่นั้น พาเด็กคนนี้มาทดสอบฉันงั้นหรอ เขาหันหน้ากลับมามองเด็กชายที่ให้พวงกุญแจแก่เขา
"เปล่าครับท่านแม่ ผมแค่กำลังคิดว่าจะเอาพวงกุญแจกระต่ายขาวติดตัวตลอดเวลาได้ยังไง" คำโกหกถูกใช้เเป็นคำอธิบาย และมีเพียงคนเดียวในห้องนั้นที่เชื่อสนิทใจ นั่นก็คือน้องเล็กคนใหม่
"ถะ..ถ้าพี่วาฬอยากพกติดตัวตลอดเวลา ขวัญจะทำเป็นเข็มกลัดเล็ก ๆ ให้แทนดีไหมครับ" บรรยากาศตึงเครียดระหว่างรับขวัญและจักรวาลค่อย ๆ หายไป เมื่อผู้เป็นพี่เผยยิ้มบางเบา พยักหน้ารับข้อเสนอ
รับขวัญยิ้มยินดี อยากจะกระโดดโลดเต้น เมื่อในที่สุดพี่ชายคนรองก็ยอมเปิดใจให้เขาแล้ว
แม่ครับ จากนี้ขวัญต้องมีแต่ความสุข แน่เลยครับ
นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อสามปีก่อน แต่ตอนนี้สิ เหล่าพี่ชายที่แสนดีของเรา ค่อย ๆ เผยธาตุแท้ออกมา พร้อม ๆ กับที่เรารู้ว่าตระกูลคลากส์นั้นมีศัตรูอยู่มากมายแค่ไหน ถึงคุณพ่อกับคุณแม่จะไม่ให้เราเกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจก็เถอะ แต่เราก็ไม่สามารถไปไหนมาได้ตามใจ เหมือนเพื่อน ๆ อยู่ดี
เด็กหนุ่มครุ่นคิด แก้มนุ่มโป่งพองขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ ถึงจะเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวเองก็ตาม รับขวัญไม่กล้าดื้อดึงเอาแต่ใจ เพราะพวกที่รับเคราะห์จากความเอาแต่ใจของเขา คงไม่พ้นบอดิการ์ดและพ่อบ้านชาลล์ แต่บางครั้งสิ่งที่แม่บุญธรรมอยากให้เขาทำนั้น มันดูจะเกินเหตุมากไปหน่อย
เริ่มจากเขาที่โตขึ้น แม่ปริญก็เริ่มเลี้ยงเขาเหมือนเด็กผู้หญิง ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วก็ซื้อชุดเจ้าหญิงให้เขา ใส่เป่าเค้กวันเกิด ยิ่งกว่านั้น ยังบอกว่าจะดูตัวหนุ่ม ๆ มาให้เขาอีกต่างหาก
ถ้าไม่กลัวว่าพี่กลกับพี่วาฬจะเดือดร้อนละก็ เราคงไปกินไอติมกับเพื่อนภพแล้ว หึ!
ขณะที่รับขวัญกำลังตัดใจจากการได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นปกติอยู่นั้น เสียงของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ดังขึ้น
"อยากกินไอศครีมขนาดนั้นเลยหรอ น้าพงษ์ครับ เลี้ยวรถแวะคาเฟ่กระต่ายตรงตึกหัวมุมนั่นที" จักรวาลเอ่ยเสียงเรียบสั่งให้ขับรถออกนอกเส้นทาง
"พี่วาฬครับ ถ้ากลับช้า คุณแม่ต้องคอลสายทางไกลมาดุแน่"
"กิน ๆ ไปเถอะครับ เนื้อหนังจะได้เยอะกว่านี้หน่อย แล้วถ้าพี่พาไป ท่านแม่ไม่ว่าหรอก" คนเป็นพี่ตัดบท เขายกมือปัดผมที่ตกลงมาปิดดวงตาสีเหลืองอ่อนออกอย่างเบามือ
"ไม่ว่าผม แต่ว่าพี่ คราวที่แล้ว..ก็ได้ครับ ขวัญจะกินเยอะ ๆ " สุดท้ายคนตัวเล็กต้องยอมจำนนให้สายตาดุดัน ที่แฝงบางอย่างไว้ภายใน ซึ่งส่วนลึกที่เก็บซ่อนไว้ของจักรวาล ก็เป็นสิ่งที่ทำให้กลางอกของรับขวัญบีบรัด จนหายใจไม่ออกทุกครั้งไป
"เด็กดี" จักรวาลววางมือลงบนเรือนผมสีชมพูอ่อน ที่ทั้งหอม นุ่ม สัมผัสไม่ต่างจากครั้งแรกที่เขาได้แตะต้อง ปลายนิ้วและพวงกุญแจกระต่ายตัวนั้น
แม้ว่ากลิ่นหวานละมุนละไมจะอยู่แค่เอื้อม แต่จักรวาลต้องใช้ความอดทนทั้งหมดที่มี เพื่อหยุดความคิดบ้า ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉาก ๆ
รับขวัญได้แต่ยอมเป็นเด็กดี ดังคำที่เคยบอกเอาไว้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน แม้บางครั้งอยากถามจักรวาลให้รู้เรื่อง ว่าทำไมคนฉลาด สุขุม และใจเย็นอย่างเขานั้น ถึงได้ไปอาละวาดต่อยตี จนต้องซ้ำชั้น ทำให้ตอนนี้ รับขวัญ จักรวาล และจักรกล เรียนอยู่รุ่นเดียวกัน
ไม่เคยเห็นพี่วาฬโกรธขนาดนั้นเลย มันเรื่องอะไรกันนะ อยากรู้จัง มือเล็กเผลอบีบมาร์ตินเสียแน่น ริมฝีปากจิ้มลิ้มโค้งลงเช่นเดียวกับเรียวคิ้วและแววตาสดใส เริ่มหดหู่ลงเรื่อย ๆ
จักรวาลมองเห็นทุกอากัปกิริยาของน้องเล็ก เขาข่มตาหลับลงเอนตัวพิงเบาะรถ
"ไว้คราวหน้าชวนเอกภพมาด้วย.." ไม่ทันพูดจบเสียงคนที่นั่งเงียบมานานก็โพล่งขึ้น ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"พี่วาฬจะชวนไอ้ภพมาด้วยทำไม เสียบรรยากาศหมด ! " จักรกลตบเบาะที่นั่งข้างตัวน้ำเสียงห้วนจัด เพียงแค่ได้ยินชื่อ เอกภพ เพื่อนสนิทของรับขวัญ ผมสีบรนด์ของเขาขยับไปมา ตามที่อีกฝ่ายกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง
"พี่กลยังโกรธภพอยู่หรอครับ อย่าโกรธภพเลยนะครับ" รับขวัญรีบปรี่ไปนั่งข้าง ๆ เบาะของจักรกลในทันที เขาทั้งกุมมือทั้งเอียงแก้มนิ่มไปกับไหล่ของพี่ชายคนที่สาม ดวงตาสสีเหลืองอ่อนทอประกายออดอ้อนเว้าวอน เสียจนจักรวาลทนดูไม่ได้ จนคนพี่ชายรองต้องสะบัดหน้าหนี ออกไปมองนอกตัวรถ
"ขวัญ พี่เตือนขวัญด้วยความหวังดีนะ ไอ้ภพน่ะมันคนสองหน้า ไว้ใจไม่ได้ เลิกเป็นเพื่อนกับมันเถอะขวัญ" จักรกลคว้าไหล่น้องน้อยเอาไว้ จ้องลึกลงในดวงตาสีนวลชวนฝันนั้น แม้จะถูกฤทธาดวงตาสีอำพัน ทำให้เขาต้องหวั่นไหว จนไม่กล้าหักหาญน้ำใจคนเป็นน้อง แต่เรื่องของเอกภพเรื่องเดียวเท่านั้น ที่เขายอมไม่ได้
รับขวัญชะงักไปชั่วขณะ ไม่นึกว่าพี่ชายจะเกลียดเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาแบบนี้ ทั้งที่กว่าจะอ้อนแม่บุญธรรมให้ยอมคบเพื่อนคนนี้ได้ เขาต้องยอมทำตามกฏใหม่ไปหลายอย่าง ความน้อยเนื้อต่ำใจ บีบคั้นน้ำตาให้รื้นเอ่อดวงตาของน้องเล็ก
"แต่เขา เขาเป็นคนเดียวที่ยอมเป็นเพื่อนขวัญ ฮึก"
"ขะ ขวัญ ขวัญอย่าร้องไห้นะ พี่ไม่ได้จงเกลียดจงชังหมอนั่นหรอกนะ พี่อาจจะยังรู้จักหมอนั่นไม่ดีพอ.." จักรกลสะดุ้งเมื่อตนเป็นต้นเหตุให้น้องเสียใจ แต่ที่เขาผวาคือรังษีอำมหิตจากพี่ชายคนรองที่เมื่อเหลือบสายตาไปมอง ก็ราวกับถูกดวงตาสีทับทิมนั่นเชือดคอขาดกระเด็น
"เอางี้ไหม พี่จะลองทำความรู้จักกับหมอนั่นให้มากขึ้นดีไหมล่ะ" เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่ขมับของเด็กหนุ่มผมบรอนด์ ทั้งที่สันหลังของเขากำลังรู้สึกหนาวเยือก เหมือนยืนหันหลังให้ตู้แช่แข็ง
คนที่กำลังเสียใจ ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างสดใสออกมาทันควัน
"จริงนะครับ พี่กลกับภพ ต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่"
"พะ พี่ก็คิดอย่างนั้น" จักรกลได้แต่ยิ้มแหย รับคำน้องน้อยทั้งที่ในหัวนั้นมีแต่คำว่าไม่มีทาง ฉันกับหมอนั่นไม่มีทางญาติดีกันแน่
จักรวาลลอบถอนหายใจที่ครั้งนี้จักรกลรู้จักผ่อนปรณ เพราะไม่ใช่แค่เขาที่จะลงโทษคนที่ทำร้ายรับขวัญ แต่ท่านแม่ก็ต้องสำเร็จโทษมันคนนั้นอย่างเลือดเย็นแน่ แม้คน ๆ นั้นจะเป็นลูกก็ตาม
แต่คนที่ซื่อบื้อ ไม่ได้มีแค่ขวัญสินะ เอกภพคนนั้น ที่เรายอมให้เป็นเพื่อนขวัญได้ก็เพราะ เป้าหมายของมันคือกล ถ้าเจ้านั่นคอยดึงกลที่ชอบติดหนึบกับขวัญไปได้ล่ะก็ ฉันคงมีโอกาสได้อยู่กับขวัญ โดยไม่ต้องแอบปีนระเบียงไปหาเขา จะว่าไป ถ้าฉันปล่อยให้เอกภพเขมือบกลละก็ พี่กริชจะเล่นงานฉันหรือเปล่านะ
"ถึงแล้วครับคุณหนู เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมง ผมจะมารับครับ" พงษ์พัฒน์หรือน้าพงษ์ มองคุณหนูทั้งสามผ่านกระจกมองหลัง เขาเห็นจักรวาลเปิดประตูให้น้อง ๆ ลงรถตามไป เมื่อกวาดสายตาดูโดยรอบ ก็เห็นการ์ดคอยอารักขาอยู่ในจุดที่ช่วยเหลือได้ทัน จึงใส่เกียร์รถขับออกไป
รับขวัญก้าวเท้าเข้าไปในร้านคาเฟ่กระต่ายเป็นคนแรก เขาตื่นเต้นที่จะได้เจอเจ้าปุกปุยตัวเป็น ๆ เพราะพยายามขอคุณแม่เท่าไหร่ ท่านก็ไม่ใจอ่อนให้เขาเลี้ยงสัตว์ ขนาดเขาใช้สิทธิ์เจ้าของเรือนผลิบาน เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะนางพญาน้ำผึ้ง อย่างปริญ คลากส์ได้
"โอ้ น่ารักจังเลย พี่วาฬดูสิครับ เจ้าตัวนี้เหมือนพี่เลย" ร่างเล็กปรี่เข้าไปนั่งยอง ๆ มองดูกระต่ายสีขาวตัวใหญ่ทั่วทั้งตัวของมัน โดดเด่นด้วยดวงตาสีแดง และเพราะมันเป็นการะต่ายในร้ายคาเฟ่ มันจึงคุ้นชินกับคนมากหน้าหลายตา เจ้าสี่ขาขยับเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างรู้งาน คนและสัตว์สบตากันครู่หนึ่ง รับบขวัญก็สามารถอุ้มมันนั่งตักได้แล้ว
"ร้านนี้สำหรับขวัญคงเป็นสวรรค์บนดินเลยสินะเนี่ย เข้าใจเลือกร้านจังนะครับ คุณพี่ชาย" จักรกลผุดยิ้มมุมปาก ปราดมองจักรวาลอย่างรู้ทัน แต่คนเป็นพี่นั้นเนียนมากกว่าที่คิด สีหน้าของจักรวาลยังเรียบเฉย แม้แต่ขนคิ้วยังไม่กระตุกสักเส้น
"จะสั่งอะไรก็รีบสั่ง มีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว"
"จริงด้วยครับพี่กลสั่งเลย สั่งให้ขวัญด้วยนะ ขวัญกินได้ทุกอย่าง" รับขวัญว่าพลางลุกขึ้น บนแขนของเขายังมีเจ้าขนปุยนั่งอยู่
"แล้วขวัญจะไปไหนครับ" จักรวาลยังไม่ทันได้คำตอบ รับขวัญก็วิ่งหายไปอีก
มุมหนึ่งของร้าน
ดวงตาสีทับทิมจ้องเขม็งไปยังทิศทางที่รับขวัญเดินไป บริเวณนั้นมีภาพแขวนของกระต่าย ผู้นำทางอลิซเข้าไปสู่ดินแดนอันมหัศจรรย์
จักรวาลสูดลมหาายใจลึก ๆ พลางสังเกตสิ่งผิดปกติรอบ ๆ ร้าน ที่แม้จะมีคนของตระกูลคลากส์อยู่ปะปนกับคนทั่วไป แต่เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ตอนนี้ไม่เพียงแค่รับขวัญเท่านั้น ที่เขาต้องรับผิดชอบความปลอดภัย ยังมีจักรกลอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขากำลังคิดจะปั้นคนหน่วยก้านดีอย่างเอกภพมาฝึก และทำหน้าที่ติดตามจักรกล ถ้าเขาทำได้ละก็ เขาจะได้รับโบนัสจากพ่อแม่ และยังเป็นการกำจัดก้างขวางคอไปด้วย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เอกภพ แต่เป็นพี่กริชต่างหาก คนฉลาดเจ้าเล่ห์แบบนั้นต้องรู้ทันฉันแน่ น่าหงุดหงิดชะมัด
ในจำนวนสามพี่น้องที่ถูกมารดาบิดาบุญธรรมปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นก็เหลือเพียงกริชและวาฬเท่านั้น ที่ตอบสนองบททดสอบได้ทุกรูปแบบ ส่วนกลที่มีผลการเรียนดีนั้น พอจะฝากฝังกิจการค้าขายได้ แต่น้องคนที่สามนี้ ไม่มีไหวพริบพอสำหรับงานเบื้องหลัง ทั้งนักรบและปริญ จึงเปลี่ยนแบบแผนให้กล ได้ทำในสิ่งที่ถนัด เพื่อดึงศักยภาพและพรสวรรค์ออกมาได้สูงสุด
"พี่วาฬมีเรื่องกลุ้มใจหรอครับ หน้าเครียดเชียว" กลิ่นหอมหวานลอยมาพร้อมน้ำเสียงห่วงใย รับขวัญยังยืนอยู่ใกล้กับเก้าอี้ของตน ที่เป็นตัวริมทางเดินในร้าน เขาก้มตัวเข้ามาใกล้กับจักรวาลที่กำลังหลับตาขมวดคิ้วอยู่ ก่อนมือบางจะวางทาบหน้าผากของพี่ชาย ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่สบาย แต่มือของเขาถูกหยุดไว้ด้วยมือร้อนผ่าวของจักรวาล ที่คว้ามือของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างรวดเร็ว
"พี่คิดเรื่องงานที่ท่านแม่เพิ่งสั่งมาน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก อ่าวภพ นั่งลงสิ สั่งอะไรหรือยัง" เขากระตุกมือรับขวัญเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายวางกระต่าย แล้วนั่งรอออเดอร์ที่จักรกลเป็นนคนสั่งให้
ภาพลักษณ์ และนิสัย ของเอกภพนั้น ไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่น่าจะมาสนิทกับรับขวัญได้ หากแต่เขาเป็นคนเดียวที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลคลากส์พูดถึงด้วยสีหน้าปลาบปลื้มทุกครั้งว่า
วันนี้ที่โรงเรียนล้อผม ภพเขาก็เข้าไปปะทะแบบนี้ ๆ เท่มากเลยครับ
จักรวาลปราดมองเพื่อนสนิทของรับขวัญตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบหนึ่ง เขารู้ว่ารับขวัญเคยพาเอกภพไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ หลังจากนั้นไม่กี่วันเอกภพก็ถูกทดสอบว่าจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายได้มากน้อยขาดไหน และมันน่าทึ่งมากที่เด็กจากครอบครัวธรรมดา จะผ่านการทดสอบแบบไร้รอยขีดข่วน
แน่นอนว่าจักรวาล ไม่ต้องการให้หน้าไหนได้ใกล้ชิดรับขวัญ แต่เพราะเขาไม่อาจอยู่ดูแลรับขวัญได้ตลอดเวลา เลยจำใจต้องยอมให้น้องชายมีเพื่อนสนิท ครั้งแรกที่เห็นเอกภพจับมือรับขวัญ เขานั้นหึงจนแทบคลั่ง แต่เมื่อจักรกลปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเอกภพ เขาก็ได้รู้ถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง
ทำให้ช่วงเวลานั้นเขาต้องต่อสู้กับตัวเองว่าจะเลือกหึงน้องเล็กหรือหวงน้องชายคนที่สามดี แต่ปัญหาก็จบลง เมื่อเขาเอาเรื่องของเอกภพไปเป่าหูจักรกฤษณ์ได้สำเร็จ ในตอนที่เขาซ้ำชั้น เพื่อจะได้ดูแลน้องทั้งสองนั้น ก็ได้จักรกฤษณ์ช่วยสนับสนุนให้มันผ่านไปได้ด้วยดี
บางที ท่านแม่อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ ส่วนตาแก่ถึงคัดค้านก็ต้องยอมตามท่านแม่อยู่ดี จักรวาลไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงพ่อบุญธรรม เขาเคยคิดว่า มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ตนนั้นมีผมสีเหมือนกับนักรบ แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น ได้เรียนรู้และผ่านประสบการณ์หลากหลาย ที่ตาแก่คนนั้นประเคนใส่เขา แบบไม่คำนึงว่า ชีวิตของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องเจออะไรมากมายขนาดนี้ เขาก็ได้รู้ว่า นักรบและเขาเหมือนกันเกินไป
เสือสองตัวจะอยู่ถ้ำเดียวกันได้ยังไง เหอะ !
ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มแสร้งยิ้มไปตามเรื่องตามราว ซึ่งเหตุการณ์ตรงหน้าก็ไม่ผิดจากที่คิดนัก หากว่าจักรกลและเอกภพได้นั่งทานไอศครีมบนโต๊ะเดียวกัน บรรยากาศถึงได้อึมครึมสุด ๆ และถ้าไม่มีเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คงลุกขึ้นมาต่อยกันร้านแตกแน่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments