ดับแค้นวันสิ้นโลก ตอนที่5 ชักจะไม่ชอบมาพากลแล้วสิ
ในชีวิตก่อน
ณ ห้องโล่งสีขาวขนาดไม่กว้างนักและมีเตียงอยู่ตรงกลางห้องพร้อมกับชุดอุปกรณ์แพทย์และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆที่ใช้สำงานวิจัยกับคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานพร้อมกับโฮโลแกรมขนาดใหญ่สองหน้าจอที่ใช้ฉายภาพงานพร้อมกับแป้นพิมพ์ไว้สำหรับพิมพ์ แล้วก็กระดาษขาวที่เขียนอะไรบางอย่างเอาไว้พร้อมปากกาที่ตั้งทับไว้ รอบๆห้องที่ประกอบด้วยตู้และลิ้นชักมากมายที่ข้างในนั้นกักเก็บอุปกรณ์เคมีและวัสดุโครงสร้างแบบแปลนไม่ก็เครื่องมือเครื่องใช้
ภายในห้องนั้นมีอยู่กันแค่2คนคือ1ชายหนุ่มที่มีผ้าพันแผลพันไว้รอบดวงตาจนปิดสนิทกับเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเป็นรองเป็นรอยเต็มไปหมดจนมิสามารถแยกออกได้ว่านี่คือเสื้อถ้าไม่ได้ใส่และมีคราบเลือดและลอยซึมของเลือดเต็มไปหมดแถมยังส่งกลิ่นคาวอีก แต่ที่น่าแปรกคือบนผิวกายของชายหนุ่มกลับไม่มีแผลเลยแม้แต่น้อย ซึ่งชายคนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงสีขาว และที่ข้อแขนข้างขวาที่ถูกต่อสายระโยงระยางที่กำลังลำเรียงสารเคมีบางอย่างที่มาพร้อมกับโลหิตสีข้น
ส่วนหญิงสาวอีกคนนั้นเธอใส่ชุดวันพีชสีดำทับด้วยแจ็คเก็ตที่มีฮูดกับสายรัดหนึ่งคู่ห้อยอยู่ด้านหลัง ตรงใบหน้าส่วนล่างถูกปิดไว้ด้วยหน้ากากกันแก๊สที่มีดูมีออบเจ็คมากมาย บนเรือนผมสีดอกเลาถูกคาดด้วยแว่นตากันลมสีทึบ ซึ่งเธอคนนี้กำลังนั่งสร้างอุปกรณ์บางอย่างอยู่ในโปรแกรมบนหน้าจอโฮโลแกรม
ในตอนนั้น หลังจากที่พวกเขาข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งการสูญเสียกันมา...
".. ดร. ผมอยากจะแข็งแกร่งให้มากกว่านี้.." เสียงสะอื้นพร้อมทั้งน้ำตาแห่งลูกผู้ชายดังขึ้นมาจากชายหนุ่มผู้นอนอยู่บนเตียง "ผมอยากฆ่าพวกมันให้เยอะกว่านี้.." เขาเคียดแค้น "ผมอยากจะปกป้องพวกเขาให้ยิ่งกว่านี้.." เขาโศกเศร้า "ผมไม่อยากที่จะให้ใครต้องมาตายเพราะไอ้เวรพวกนี้อีกแล้ว .... " และเขาก็สิ้นหวัง
น้ำเสียงแห่งความโกรธแค้นที่เจือปนไปด้วยความเศร้าหมองถูกลั่นขึ้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนด้วยน้ำตากับหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับกำหมัดแน่นราวกับว่าเขาพึ่งผ่านห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังมา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบเสียงก้องของหญิงสาวที่เย็นชาก็ดังขึ้น
"ก็ย้อนเวลากลับไปซะสิ ถ้าทำได้ก็ไปกินสมองไอ้พวกมนุษย์น่าโง่ที่มีวิวัฒนาการแค่ระดับ0ซะก็สิ้นเรื่อง"
หญิงสาวหยุดการรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ลงและหันหน้าที่สวมใส่หน้ากากขนาดใหญ่ไปทางชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาสีแดงสด พร้อมกล่าวขึ้นราวกับกำลังประชดประชัน แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าหญิงสาวนั้นพูดจริงเพราะเธอไม่ได้มีท่าทีที่ล้อเล่นเลยกับคำพูดนั้น
"มันทำได้ที่ไหนกัน"
ชายหนุ่มเถียง
"ตามทฤษฏีแล้วเมื่อผู้ที่มีไวรัสอยู่แล้วไวรัสพวกนั้นจะทำการแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ต่างๆและทำการกระตุ้นให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ และถ้าทำอย่างที่ฉันบอกได้ล่ะก็ พอนายวิวัฒนาการไปอีกระดับนึงพลังทุกอย่างก็จะข้ามขั้นไปอีกระดับนึง เนืองด้วยไวรัสที่มีอยู่แล้วทำการหลอมรวมกับไวรัสที่เข้ามาใหม่ และยิ่งนายกินมันเยอะมากเท่าไร ไอ้กายภาพหวนคืนนั่นก็ยิ่งทวีคูณความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนทั้งพลังจิตกับพลังนั้นของนายก็จะพัฒนาขึ้นเช่นกันแต่ก็ไม่เท่ากันการฟื้นฟูอยู่ดี"
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยสมองที่ทรงภูมิด้วยความรู้นับไม่ถ้วนพร้อมด้วยกล่าวอธิบายอย่างฉะฉานและชัดเจน
"แต่! มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีหลอกนะ ถ้าไอ้ไวรัสพวกนี้มันถูกหลอมรวมมากจนเกินไปกว่าคนผู้นั้นจะรับได้ล่ะก็ เขาคนนั้นจะได้รับสิ่งที่เรียกว่าตายทั้งเป็นเลยหล่ะหรือจะเรียกว่าอยากตายก็ตายไม่ได้ก็ว่าได้.. " เธอพูดต่อพร้อมจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังนอนเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอยู่ด้วยนัยน์ตาที่ท่อแสงสีฉาดออกมาอย่างแปลกประหลาด
"ใช่ฉันผู้นี้รู้ว่านายคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับอัจฉริยะผู้มีไอคิวสูงที่สุดในโลกตลอดกาลอย่างฉัน มีหรือจะไม่สามารถทำมันให้เกิดขึ้นได้"
เธอหยุดพูดไปครู่นึงพร้อมวิเคราะห์ท่าทีของชายหนุ่ม จากนั้นก็พูดขึ้นราวกับว่าเธอสามารถอ่านใจคนตรงหน้านี้ได้ยังไงยังงั้น
หญิงสาวกล่าวจบก็ทำการถอดหน้ากากขนาดใหญ่นั้นวางไว้กับโต๊ะและทำการดึงเข็มฉัดยาออกมาจากสายรัดตรงหน้าขาข้างหนึ่งและทำการฉีดของเหลวออกไปก่อนหน่อยนึง ก่อนที่จะเดินมาถึงชายหนุ่มและทำการฉีดอะไรบางอย่างลงไปตรงบริเวณต้นคออย่างแม่นยำ เข็มทำการแทงลึกลงไปโดยไม่มีการขัดขืนเลยแม้แต่น้อยและต่อมาเขาก็หลับไปพร้อมกับความสงสัยและความโศกเศร้านั้น....
"แต่ตอนนี้นายไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอนาคตก่อน เพราะปัจจุบันนั้นนายก็ยังแข็งแกร่งพอที่กวาดล้างมันอยู่แล้ว..."
ปัจจุบัน
"ดร.ขอบคุณสำหรับทฤษฎีบ้าๆนั่นก็แล้วกัน"
ชายหนุ่มพึมพัมกับตัวเองถึงดร.อัจฉริยะคนนั้น...
หลังจากที่กานต์จัดการกินสมองของพวกมันไปเสร็จแล้วนั้น ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ก็เพิ่มขึ้นอีก2%จนตอนนี้มีอยู่5% ส่วนตัวเลขอีกด้านก็เพิ่มขึ้นจนเป็น2.670Kหรือ2670นั่นเองพร้อมกับตัวเลขลบที่อยู่ข้างล่างที่ยังคงอยู่-0เท่าเดิม
และเขาก็สั่งให้3คนที่เหลือให้ไปกับเขาที่โรงเรียน ซึ่งทั้งแก๊งนั้นจริงๆแล้วก็เรียนที่โรงเรียนเดียวกันทั้งหมดนั่นแหละแต่อยู่กันคนละอาคารเลยไม่ค่อยได้ข้องแวะกันสักเท่าไร ส่วนใหญ่เวลาถูกใช้งานก็จะถูกใช้ตอนเวลาว่างหรือหลังเลิกเรียนเท่านั้น
ตอนนี้เสื้อผ้าของชายหนุ่มมีแต่เลือดเต็มไปหมด เลยขอเสื้อผ้านักเรียนของแจ็กหนึ่งในนักเลงที่รุมทำร้ายเขาเมื่อกี้ใส่ แจ็กยอมให้อย่างว่าง่ายไม่มีคัดค้านใดๆ และได้ใส่แค่แจ็คเก็ตดำตัวหนึ่งเท่านั้นเพื่อปิดบังร่างกาย ใช่ใครมันจะไปกล้าขัดคำสั่งของฆาตกรที่ฆ่าคนแล้วยังสบายใจได้อยู่หล่ะ
ส่วนคนที่เหลืออยู่อีก2คนคือเอ็มกับไม้ก็ยังหวาดกลัวต่อกานต์อยู่เนื่องด้วยเหตุการณ์เมื่อกี้เลยทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะหนีเลยแม้แต่น้อยถึงจะอยากหนีมากแค่ไหนก็ตาม
และเหตุผลที่ว่าทำใมชายหนุ่มถึงไม่ฆ่าทั้ง3คนนั้น ก็ง่ายๆ แค่อยากได้ลูก(ทาส)มือ ในเหตุการณ์การเอาตัวรอดในครั้งนี้
"เอาหล่ะจากนี้พวกนายจะต้องรับใช้ฉันเข้าใจไหม" เมื่อแต่งตัวใหม่เสร็จเขาก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์เช่นเคยพร้อมท่าทางที่สงบลงจนไม่เห็นเค้าเดิมจากเมื้อกี้เลย
พวกเขาทั้ง3ที่ไม่มีทางเลือกมากนักก็ได้แต่พยังหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดทั้งหมด
"ฉันจะต้องบอกสิ่งนี้ให้พวกแกได้รู้ หลังจากนี้อีกไม่นานวันสิ้นโลกจะมาถึงและสิ่งที่เรียกว่าซอมบี้จะออกอาลวาดแพร่เชื้อ เมื่อถึงตอนนั้นพวกนายจะขอบคุณฉัน"
คำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือถูกเปล่งออกมาจากชายผู้เป็นฆาตกรสุดโรคจิต..
"บ้าน่า! เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน แต่ถ้ามันเป็นจริงแล้วไอ้บ้าที่กินสมองคนสดๆแบบนี้มันเป็นตัวอะไรกัน"
พวกเขาที่ได้ฟังสิ่งนี้หลุดออกจากปากของคนที่พึ่งกินสมองคนอย่างเลือดเย็นก็คิดขึ้นอย่างวิเคราะห์ แต่ถึงให้หาข้ออธิบายมายังไงก็คงไม่มีทางเชื่อสนิทใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ถ้าไม่เห็นกับตา เหมือนดั่งประโยคที่ว่าสิบว่าไม่เท่าตาเห็น
...
หลังจากที่กานต์ไดัพูดคุยกับทั้งสามคนนั้นไปสักพัก ก็เดินทางมาโรงเรียนและมุ่งไปที่ห้องอาบน้ำในทันทีเพราะถึงเลือดจะหายไปแล้วแต่กลิ่นคาวมันยังคงอยู่ไม่หายไปไหนเขาเลยคิดที่จะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยขึ้นไปหาเพื่อนของเขาเพื่อวางแผนเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดนี้
ส่วนแจ็คเอ็มและไม้เขาก็ปล่อยให้กลับไปที่อาคารเรียนของพวกเขาก่อน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปแอบอยู่ในห้องเก็บของแทนเพราะยังผวาอยู่เลยที่ได้เห็นคนเป็นๆได้ตายต่อหน้าแถมยังโดนกินสมองอีก ดูเหมือนว่าพวกเขาคงจะหวาดกลัวและจิตตกไปอีกนานเลยหล่ะกว่าจะกลับมาเป็นปกติ
ดูจากหลังที่กานต์ได้พูดถึงซอมบี้แล้วด้วยถึงพวกเขาจะไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวออกมาว่าเชื้อไวรัสที่ทำให้คนคลั่ง แล้วเริ่มทำร้ายคนรอบข้างได้ระบาดหลุดออกมาซึ่งตอนนั้นที่พวกเขายังคงฟังข่าวอยู่ ด้วยความเป็นวัยรุ่นก็รู้กฮึกเหิมว่าซอมบี้บุกแล้วได้เวลาพวกเราจะไปฆ่ามันแล้วเหมือนในเกมหรือในหนังที่ตัวเอกจะออกไปสู้ด้วยเทคนิคต่างๆ
แต่ที่นี่คือความเป็นจริง ตอนนี้เมื่อพวกเขาเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่าเลยคิดได้ว่าถ้าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นไม่ไช่ว่าพวกเขาจะอยู่ในอาการจิตตกหรอกเหรอถ้าเจอศพคนตายเกลื่อนกลาด พวกเขาจะไม่หวาดกลัวงั้นเหรอถ้่าฝูงซอมบี้จะเข้ามากัด ใช่แล้วพวกเขาจะไม่ต่างจากตอนนี้มากนักอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ถูกพวกมันกัดจนติดเชื้อก็เป็นได้
เมื่อมาถึงพวกเขาที่เริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ ก็มองไปรอบๆห้อง ซึ่งภายในนี้มีสิ่งที่น่าจะทำเป็นอาวุธได้อยู่ ก็คงจะเป็นมีดทำครัวสองเล่มที่วางอยู่ตรงชั้นเก็บของ ขาโต๊ะเก้าอี้และด้ามจอบที่หักนับสิบ ชะแลงที่ตั้งอยู่ริมห้อง พล้าเก่าเล่มนึงที่ถูกทิ้ง ไม้ถูพื้นที่ยังไม่ได้ใช้ ขวานที่ใช้ในงานประดิษฐ์ ค้อนที่ใช้ในงานหััตถกรรม และตะปูที่อยู่ในถังนับไม่ถ้วน
ตอนนี้ในหัวของพวกเขาต่างคิดขึ้นต่างๆนานาว่าจะทำไงกับของพวกนี้ดี แต่ร่างกายกลับไม่ได้ขยับเขยื้อนไปตามความคิดนั้น พวกเขาทั้งสามต่างนั่งหมกตัวกันอย่างสงบอยู่ในห้องที่แออัด ที่ค่อนข้างจะดีหน่อยที่ห้องนี้มีพัดลมเพดานที่คอยพัดไล่ความร้อนอยู่ไม่งั้นพวกเขาคงโดนอบตายอยู่ในนี้แน่
..
เวลา10:05
ตัดฉากมาที่กานต์ที่ตอนนี้อาบน้ำเสร็จแล้ว กำลังเดินบันไดขึ้นไปยังห้องเรียน ถึงเขาจะมาสายแต่ก็คงไม่มีอาจารย์คนไหนมาดุเขาเป็นแน่เพราะพวกเขาทั้งหมดนั้นอยู่ที่ห้องประชุม ใช่แล้วหล่ะวันนี้ทั้งเช้าจะไม่มีการเรียนการสอนเพราะเหล่าอาจารย์ต่างต้องเขาประชุมอย่างกระทันหันกันหมด กานต์ที่รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมีประชุมเร่งด่วนเข้ามา เขาเลยไปจัดการพวกนั้นก่อนแล้วถึงจะมาที่นี่ ซึ่งแผนการอันแยบยลนี้ถูกคิดมาตั้งแต่แวบแรกที่เขาพึ่งตื่นมาในยุคนี้แล้ว
ในขณะที่กำลังเดินขึ้นบันใดจากชั้น2ไปชั้น3อยู่นั้น ดันเจอเข้ากับเหล่านักเลงอีกแก็งนึงที่เป็นคู่อริกับแก็งของแจ็กโดยบังเอิญ
พวกนี้ปกติก็จะไม่มาละลานกับเขาหรอกนะแต่วันนี้พวกมันกลับมาล้อมรอบกานต์เอาไว้ราวกับจะรุมกระทืบยังไงยังงั้น
นี่มันอาจจะเป็นเพราะเมื่อหลายวันก่อนเขาไปฟ้องอาจารย์ก็เป็นได้ที่พวกมันสูบบุหรี่ในโรงเรียนจนทำให้ต้องเรียกผู้ปกครอง แต่นั่นมันเป็นเพราะเพื่อนในห้องให้เขาไปบอกอาจารย์ต่างหากหล่ะถึงได้เป็นเป็นนี้
เมื่อชีวิตก่อนตอนที่พวกมันล้อมเขาไว้ เขาก็โดนอัดจนเละมีรอยฟกช้ำทั่วตัว และมันก็เป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดของเขาด้วย เมื่อพ่อกับแม่และน้องสาวรู้ว่าเขาโดนรุมกระทืบอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่สวนกลับเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่เสียศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก
เขาจำมันได้และก็ไม่อยากให้มันเป็นเหมือนเดิมอีก เมื่อคิดได้ดังนั้นก็แสยะยิ้มขึ้นในใจเพราะตอนนี้เขามีพลังแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้ได้เต็มที่ก็ตามเพราจากการต่อสู้เมื่อกี้มันทำให้เขาล้ามาก แต่ต่อให้โดนรุมด้วยคนปกติเป็นร้อยคนเขาก็สู้ได้สบายๆ
"เฮ้.. แกจำเมื่อวันก่อนได้รึป่าวว่ะ ที่แกไปฟ้องอาจารย์หน่ะ" ชายคนหนึ่งที่หน้าตาค่อนข้างดีหน่อย ผลักเขาติดกำแพงพร้อมยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆอย่างเย้อหยิ่งและกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่แสดงถึงความหงุดหงิด
"..."
กานต์ยังคงสีหน้าปกติเอาไว้และไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งนั้นปล่อยให้เหตุการณ์มันวนลูปในรูปแบบเดิม จากนั้นเขาก็สายศีรษะเบาๆบ่งบอกว่า'พวกมันไม่น่าเลย'
แต่ชายหนุ่มตรงข้ามกลับไม่ทันได้สังเกตุและศีรษะไปกล่าวกับลูกน้องที่ยืนอยู่รอบๆ
"ไปปิดทางเดินบันใดไว้"
เมื่อได้ยินคำพูดจากชายที่หน้าจะเป็นหัวโจก ชายที่มีหน้าตาดุดันหน่อยสองสามคนก็เดินออกไปกั้นบันใดขึ้นลงตามที่เขาสั่ง
เหล่านักเรียนที่เห็นว่ามีคนมากั้นบันใดเอาไว้ก็รู้ในทันทีว่าต้องมีคนโดนรุมซ้อม เพราะทุกครั้งที่มีคนมาทำแบบนี้ ก็จะมีนักเรียนคนนึงหรือสองคนเดินอ่วมออกมาด้วยรอยช้ำเขียวตามตัว และในครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันแค่ต้องลอลุ้นว่าจะเป็นใครกันที่เดินออกมา ซึ่งเส้นทางบันใดทางด้านนี้ของตึกจะไม่มีอาจารย์คนไหนเข้ามาใช้อย่างแน่นอนเพราะอีกฝั่งนั้นเป็นห้องพักครูมีหรือที่คุณครูผู้มีงานเยอะทั้งหลายจะว่างพอจะเดินอ้อม
"ทำได้แซบนักนะแก ฉันจะทำให้แกจำได้เองว่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกฉันเมื่ออาทิตย์ก่อน"
เขาเค้นเสียงออกมาด้วยความโกรธ พร้อมกำมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและหักกระดูกจนเกิดเสียงสองสามครั้ง จากนั้นมันก็ตั้งท่าเล็กน้อยพร้อมกับเหวี้ยงหมัดหมายที่จะพุ่งเข้าไปที่หน้าของอีกฝ่าย
"เอาหล่ะตอนนี้ก็ไม่มีใครแล้วจะเข้ามายุ่งแล้ว ฉันจะได้เอาคืนเรื่องเมื่อครั้งก่อนสักที" ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงพันเปลี่ยนจากเมื่อกี้ราวกับคนละคน จากใบหน้าเรียบๆก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เมื่อหลังจากที่สองคนนั้นเดินออกไปกั้นบันใด แทนที่พวกเขาที่เหลือจะได้เห็นใบหน้าที่กำลังหวาดกลัวของกานต์ แต่พวกเขากลับเป็นฝ่ายหวาดกลัวซะเอง.!
'ชักจะไม่ชอบมาพากลแล้วสิ'
ชายหนุ่มที่เหวี่ยงหมัดออกมาพลันคิดขึ้นในใจขณะที่หมัดยังคงพุ่งเป้าไปที่หน้าของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้าม เมื่อได้ยินสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามได้กล่าวออกมา มันก็เหมือกับเขาได้ยินเป็นรางร้าย เนื่องจากแทนที่ฝ่ายตรงข้ามแทนที่มันจะหวาดกลัวแต่กลับกัน ชายหนุ่มกลับแสยะยิ้มขึ้นอย่างมีนัยยะ ต่อมาเขาก็เกิดอาการกลัวขึ้นอย่างฉับพลันทันใดและอยากคิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่แต่ก็คงสายไปแล้วหล่ะ...
ตอนที่6
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 15
Comments