โลกที่ไม่รู้จัก : การเดินทางของราเชล

โลกที่ไม่รู้จัก : การเดินทางของราเชล

บทที่1 ตอนที่1 เด็กสาว ทะเลทราย เเละ เครื่องบิน

ณ ทะเลทรายที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้าพร้อมเเสงเเดดที่สาดส่องกระทบกับผืนทรายโดยไร้ซึ่งสิ่งกำบังใดๆบนที่โล่งกว้าง จนปรากฎให้เห็นเป็นไอร้อนระอุที่พวงพุ่งออกมาจากผิวทราย เเละสายลมเบาๆที่พัดนำเอาเศษฝุ่นทรายไปตามลม มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เธอเป็นคนที่ตัวเล็กมีไหล่ที่เเคบ เเละ สูงประมาณ170ซม. ทั่วทั้งตัวสวมเครื่องเเบบทหารลายพรางสีน้ำตาลอ่อนที่เหมาะเเก่การใช้พลางตัวในทะเลทราย เเต่ทั้งชุดกลับดูใหญ่เกินขนาดตัวของเธอจนดูเเปลกเกินจนเห็นได้ชัด ลำตัวท่อนบนถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนบางๆที่มีรอยขาดรุ่งริ่งผืนใหญ่สำหรับป้องกันเเดดในที่โล่งเเจ้ง มันถูกสวมคลุมทับทั้งศรีษะเเละหมวกปีกกว้างเเต่ไม่ได้บังส่วนใบหน้าไว้สำหรับมองทางตรงหน้าได้ชัดเจน บนใบหน้าสวมเเว่นตากันลมอันใหญ่เอาไว้สำหรับป้องกันฝุ่นทรายเข้าตา ที่ไหล่มีปืนไรเฟิลสีน้ำตาลที่ทำจากไม้ พร้อมกับติดสายสะพายเอาไว้สำหรับใช้พาดเพื่อความสะดวกในการพกพา ข้างหลังเเบกกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ลายพลางสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างของกระเป๋าดูอวบจากการยัดของจำนวนมากเอาไว้ รองเท้าที่สวมเป็นรองเท้าคอมเเบททหารลายพลางสีน้ำตาลอ่อนที่ใหญ่เกินกว่าเท้าของเธอจนหลวมทำให้เดินลำบากในทุกๆย่างก้าว มือทั้ง2ข้างสวมถุงมือหนาๆสีดำเอาไว้สำหรับป้องกันการสัมผัสสิ่งต่างๆโดยตรงซึ่งเเน่นอนว่าถุงมือก็ใหญ่กว่ามือของเธอเช่นกัน เด็กสาวก้าวเดินไปบนผืนทรายพร้อมกับทิ้งรอยเท้าที่ทั้งลึก เเละ ใหญ่มาตลอดทาง ถึงเเม้ว่ารองเท้าคอมเเบตทหารจะถูกออกเเบบมาให้เดินได้บนสภาพเเวดล้อมที่หลากหลายเเต่ด้วยน้ำหนักของมันทำให้ทุกครั้งที่เหยียบย่ำลงไปบนทรายมันก็มักจะจมเสมอจนต้องออกเเรงในการยกเท้าเพื่อก้าวต่อ อีกทั้งรองเท้าที่เธอสวมเอาไว้ก็ยังใหญ่เกินไปให้ความรู้สึกหลวมจนไม่สบายเท้าอยู่ตลอด เเต่เมื่อผ่านไปซักพักรอยเท้าเหล่านั้นก็จะถูกกลบเลือนหายไปเอง จากลมที่ผัดเอาทรายมาเเทนที่จนเป็นการลบรอยเท้าเดิมไม่ให้เหลือร่องรอยให้เห็น 

ในระหว่างที่กำลังก้าวเดินไปเรื่อยๆอย่างทุลักทุเลเด็กสาวก็เอาเเต่มองตรงไปทางข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ราวกับถูกบางสิ่งล่อหลอกให้ตรงไปเข้าหา จนกระทั่งในที่สุดเธอก็ได้หยุดเดินเมื่อมาถึงสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เด็กสาวเปิดผ้าคลุมศรีษะของตนออกพร้อมเเว่นตากันลมที่ครอบทั้งเบ้าตาของเธอเอาไว้เพื่อเปิดมุมมองของตนให้รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงกน้าได้กว้าง เเละ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เผยให้เห็นถึงใบหน้าสีขาวที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อไคล บนหัวสวมหมวกปีกกว้างเเบบยื่นไปข้างหน้าลายพลางสีน้ำตาล นัยตาสีดำสนิทพร้อมกับผมสีดำยาวปลิวไสวไปตามลมอ่อนๆของทะเลทราย เธอเเหงนหน้ามองบางสิ่งขนาดใหญ่อีกทั้งมันยังสะท้อนเเสงของดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าจนเห็นมาเเต่ไกล เหมือนเป็นการหลอกล่อให้เด็กสาวสามารถมองเห็นรูปร่างของสิ่งที่เเปลกตาเเละมีขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน จนเป็นการนำพาเธอให้เดินตรงเข้ามาหา เจ้าสิ่งนั้นมันคือเครื่องบินที่ใช้สำหรับรรทุกกองกำลังทหารรวมไปถึงยานพาหนะ ตัวเครื่องบินมีความกว้างอยู่ที่8เมตร เเละ ยาวถึง28เมตรทั่วทั้งตัวเครื่องล้วนถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นทรายสีเหลืองเเดงอ่อนจนไม่เหลือเค้าโครงของสีเดิม ตัวเครื่องเหมือนจมลงไปเล็กน้อย ปีกซ้ายหลุดออกในขณะที่ปีกขวายังคงติดอยู่กับลำตัวในสภาพที่สมบูรญ์ ส่วนหางมีรอยต่อจนดูเหมือนจะหลุดออกได้ทุกเมื่อ เครื่องบินลำนี้เป็นเพียงสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคสงครามที่ผ่านมาเเล้ว เเต่ในสายตาของเด็กสาวเเล้วนั้นมันเป็นสิ่งเเปลกปะหลาดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เเละ ไม่เคยรู้จักหรือเคยพบเจอมาก่อนในชีวิต

เเววตาของเด็กสาวที่จ้องไปยังสิ่งนั้นเเฝงไปด้วยความตื่นตาตื่นใจจนไม่อาจละสายตาต่อวัตถุขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อได้ยืนสังเกตุอยู่นานในที่สุดเธอก็เริ่มที่จะก้าวเดินเข้าไปใกล้สิ่งที่ตนไม่รู้จักมากขึ้น ท่าทางของเด็กสาวไม่เเสดงออกถึงความระวังตัวเเม้เเต่น้อยเเต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้เธอก็เลือกนำมือที่ยังคงสวมถุงมือไปสัมผัสกับผนังเครื่องบินพลางรูปคลำไปมาเป็นการลองเชิงดูก่อน เเต่สุดท้ายกลับไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรได้เลย นั่นเป็นเพราะถุงมือที่หนาจนบดบังสัมผัสบนฝ่ามือของเด็กสาวจนมิดชิด เธอจึงถอดถุงมือข้างซ้ายออกก่อนที่จะใช้มือเปล่าสัมผัสลงไปบนเเผ่นโลหะโดยตรง ทันทีที่วางมือลงไปความรู้สึกเเสบร้อนก็ได้เเล่นผ่านไปทั่วฝ่ามืออันบอบบางของเด็กสาวในทันที เป็นผลมาจากการที่เเผ่นโละภายนอกตัวเครื่องถูกเเสงเเดดสาดส่องเป็นเวลาตลอดวัน นั่นจึงทำให้สิ่งที่เธอทำไม่ต่างอะไรกับการเอามือไปสัมผัสกับกาต้มน้ำที่กำลังเดือดระอุ

"โอ้ย!!!"

เด็กสาวชักมือออกทันควันในขณะที่ใบหน้าเเปรเปลี่ยนด้วยความเจ็บปวดจูดูราวกับจะร้องไห้พลางส่งเสียงร้องดังลั่น เธอสะบัดมือข้างซ้ายไปมาในขณะที่กำลังเดินถอยห่างออกจากสิ่งที่เพิ่งจะสัมผัสเมื่อครู่ ก่อนจะเริ่มเอาปากเป่าฟู่ๆใส่ฝ่ามือข้างซ้ายของเธอที่ถูกความร้อนจนเเดงก่ำไปหมด เมื่อได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของการสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยตรง เธอก็หันกลับไปจ้องมองผนังของเครื่องบินด้วยความโกรธเเค้นที่เกิดจากความไม่รู้ของตัวเอง

เด็กสาวเริ่มเดินเรียบจากด้านซ้ายไปสู่ส่วนท้ายของตัวเครื่อง พร้อมกับเว้นระยะห่างเอาไว้โดยที่ยังคงทำหน้าหงุดหงิด เพื่อไม่ให้เดินเข้าไปใกล้จนไปสัมผัสกับผนังเครื่องบินร้อนๆอีกเป็นครั้งที่2 หลังจากที่เธอได้นำเอามือเปล่าๆของตนวางทาบลงบนเเผ่นโลหะที่ร้อนระอุ จนได้เเผลติดไม้ติดมือมาย่อมเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำพลาดอีก อีกทั้งเเผลเก่าก็ยังคงปรากฎอยู่ที่มือซ้ายของเธอพร้อมกับอาการเเสบร้อนที่ยังคงเด่นชัดจนยากจะลืมเลือน เเต่ก็โชคยังดีที่มือซ้ายนั้นไม่ใช่มือข้างที่ถนัดของเธอ มิฉะนั้นเธอคงทำอะไรๆได้อย่างลำบากไปอีกสักพักใหญ่ เมื่อเด็กสาวเดินมาถึงตรงท้ายเครื่องบินสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือพื้นที่กว้างเหมือนท่อขนาดใหญ่ที่ดูราวกับอุโมงโลหะ ที่เมื่อมองลึกเข้าไปข้างในมันก็ทั้งมืดทึบจนสนิท ตรงส่วนผนังเต็มไปด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่ยึดติดหรือเเขวนเอาไว้เต็มไปหมด ตรงกลางนั้นว่างเปล่าดูโล่งจนกว้างมากพอจะให้คนจำนวน100คนเข้าไปยืนอยู่ข้างในพร้อมกันได้โดยไม่เเออัด หรือเเม้เเต่นำเอายานพาหนะคันใหญ่ยัดเข้าไปได้ทั้งคัน

เด็กสาวเริ่มทำตาลุกวาวจนความรู้หงุดหงิดเมื่อครู่ได้เลือนหายไปพร้อมเดินเข้าไปในตัวเครื่องบินอย่างช้าๆ เมื่อก้าวลงบนพื้นโลหะก็เกิดเสียงเเก้งดังขึ้นตลอดการก้าวเดิน เมื่อมองไปรอบๆจากด้านในตัวเครื่องมันกลับเเตกต่างจากด้านนอกลิบลับ ด้านในตัวเครื่องถึงเเม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นทรายที่ทั้งพื้นเเละผนังไปบ้าง เพราะส่วนท้ายที่ถูกเปิดโล่งโจ้งเอาไว้ตลอดจนลมทะเลทรายพัดเข้า เเต่ถ้าหากนำไปเทียบกลับด้านนอกที่ต้องโดนทั้งเเสงเเดด เเละ ลมทะเลทรายอยู่ตลอดเวลาเเล้วนั้น ด้านในกลับดูสะอาดต่างกันราวฟ้ากับเหวจนน่าประหลาดใจ ผนังที่ทั้งหนาเเละใหญ่ของเครื่องบินเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันทั้งเเดด เเละ อากาศร้อนของทะเลทรายในตอนเช้าได้เป็นอย่างดีเยี่ยม จนทำให้รู้สึกไม่อยากเดินออกไปเผชิญโลกข้างนอกอีก เก้าอี้จำนวนมากถูกยึดติดเอาไว้กับผนังด้านข้างทั้ง2ของเครื่องบินไปจนเกือบจะสุดทาง ภาพของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในมุมมองของเด็กสาวนั้นมันเเทบจะไม่ต่างอะไรกับสรวงสวรค์ หากนำไปเทียบกับการที่ต้องเดินเตร็ดเตร่อยู่บนทะเลทรายด้วยรองเท้าที่ใหญ่จนเดินลำบาก เเละ ถูกเเสงเเดดสาดส่องไปทั่วทั้งร่าง จนเเม้เเต่ผ้าคลุมบางๆที่สวมใส่ก็ยังไม่สามารถจะปกป้องเธอจากอากาศร้อนได้ ข้างในนี้ให้ความรู้สึกที่ยังคงร้อนอบอ้าวอยู่บ้างจากลมร้อนของทะเลทรายที่ยังคงพัดเข้ามาอยู่ตลอด เเต่กลับถูกห่อหุ้มไปด้วยผนังที่ทั้งหนา เเละ ใหญ่จนให้ร่มเงาเเก่ผู้พักพิง สถาณที่เเห่งนี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกทั้งผ่อนคลาย เเละ ไว้วางใจ จนอยากให้ที่เเห่งนี้กลายมาเป็นที่อยู่อาศัยของเธอ 

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวผู้เดินทางจนเหนื่อยล้าก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นดังตุ้บ ก่อนจะเเนบหลังพิงกับผนังที่ไร้ซึ่งความรู้สึกเเสบร้อนใดๆ ผิดกับผนังด้านนอกของเครื่องบิน ก่อนจะนำทั้งกระเป๋าสะพาย ปืนไรเฟิล หมวกปีกกว้าง รวมไปถึงถุงมือออกมาวางเอาไว้ข้างๆลำตัว เด็กสาวทอดเสื้อออกก่อนจะวางไว้ตรงจุดเดียวกันกับของชิ้นอื่นๆ เผยให้เห็นเสื้อยืดสีขาวสะอาด เเละ เนินอกเล็กๆที่สังเกตุได้จากรอยนูนบนเสื้อ  เเล้วจึงค่อยถอดรองเท้าที่ใหญ่เกินไปออกมา เผยให้เห็นรอยเเผลจากการถูกรองเท้ากัดที่ขา เเต่ก็ยังคงสวมถุงเท้าสีน้ำตาลเอาไว้เอาไว้ เธอหันมองไปมารอบๆด้วยความดีอกดีใจจนหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อยเด็กสาวก็เริ่มเดินสำรวจข้างในของเครื่องบินด้วยความตื่นเต้นทันที เธอเริ่มที่จะเดินไปรอบๆพร้อมกับมองดูด้านในเครื่องบินอย่างละเอียดถี่ท้วน ทั้งผนังด้านข้างที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่รู้จักเต็มไปหมด บางสิ่งที่ดูเหมือนเเก้วโค้งนูนติดผนังตลอดทางเเต่กลับไม่ใช่หน้าต่าง ผนังด้านบนที่ทั้งมืด เเละ สูงพอๆกับเธอจำนวนเกือบ5คนยืนซ้อนกัน หรือเเม้เเต่พื้นที่เธอเหยียบตลอดทางล้วนเเต่ก็ทำมาจากโลหะทั้งสิ้น สัมผัสตอนที่เหยียบมันให้ความรู้สึกที่หนักเเน่น จนผิดกลับการก้าวเดินบนทะเลทรายที่ให้ความรู้สึกร่วนยุบลงไป เเละ ไม่เป็นเนื้อเดียวกันจนเดินไม่สบายเท้า จากการได้พบเจอสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นเป็นครั้งเเรกเหล่านี้ ก็ยิ่งเป็นการปลุกความอยากรู้อยากเห็นในตัวของเด็กสาวมากขึ้นไปอีก เธอจึงเริ่มเดินเข้าไปข้างในจนสุดทาง ยิ่งเข้าไปมากเท่าไหร่ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เริ่มมองยากมากขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กสาวต้องเดินชิดข้างซ้ายของผนังพร้อมเอามือคลำทาง จนในที่สุดเธอก็ได้เดินมาถึงสุดทางจนพบเข้ากับบางสิ่ง เมื่อเด็กสาวได้ลองเอามีอลูบคลำดูถึงได้รู้ว่า สิ่งนั้นมันคือบานประตูบานที่ไม่มีกระจก เเละ ดูเหมือนจะถูกล็อคเอาไว้อย่างเเน่นหนา

เพื่อตอบสนองต่อความสงสัยของตน เด็กสาวจึงเริ่มพยายามลองเปิดประตูทุกวิธีทาง ทั้งลองเอาร่างกายของเธอดันจนสุดเเรง ดึงสิ่งที่ดูเหมือนขันโยกอย่างสุดกำลังบนประตูด้วยมือเปล่าทั้งๆที่ไม่รู้วิธีเปิด ยืนถีบไปที่ประตูซ้ำๆอย่างเเรงจนปวดเอว นำพานท้ายของปืนไรเฟิลมากระเเทกลงบนประตูจนมีรอยร้าว หรือเเม้เเต่วิ่งเข้าใส่ประตูก่อนจะเอาไหล่ของตนเองกระเเทกใส่จนไหล่ซ้ายปวดระบม เเต่สุดท้ายประตูบ้านนี้กลับไม่มีเเม้เเต่รอยยุบ มีเพียงรอยขีดข่วนจากการใช้พานท้ายปืนกระเเทกใส่เท่านั้น เด็กสาวจึงถอดใจพร้อมก้มหน้าทำหน้าตาผิดหวังก่อนจะหันหลังกลับ ในตอนนั้นเองที่เธอได้เหลือบไปสังเกตุเห็นเก้าอี้ที่ติดอยู่กับทั้งผนังด้านซ้าย เเละ ขวามือของเธอ ตรงจุดที่ใกล้กับส่วนท้ายของเครื่องบิน ข้างใต้ของเก้าอี้เหล่านั้นมีบางสิ่งที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมใบใหญ่หลายใบ ถูกผ้าผืนใหญ่ลายพลางสีเขียวที่เลาะฝุ่นทรายเล็กน้อยจนดูน่าสงสัย เมื่อเห็นดังนั้นเด็กสาวจึงปรี่ตรงเข้าไปหาสิ่งที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้เหล่านั้นทันที ก่อนจะลากกล่องสี่เหลี่ยมที่ทั้งหนักเเละใหญ่ออกมาชิ้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง เเล้วจึงค่อยๆเอาผ้าลายพรางที่คลุมอยู่ออก สีหน้าของเด็กสาวเเสดงออกอย่าตื่นเต้นราวกับนักล่าขุมทรัพย์ ที่เพิ่งจะพบเจอเข้ากับสมบัติที่ยังไม่เคยถูกใครค้นพบมาก่อน เมื่อเปิดผ้าออกเธอถึงกลับยิ้มเเป้นต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือกล่องโลหะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทั้งหนา เเละ สะอาดสะอ้านจนผิดธรรมชาติ เด็กสาวจึงรีบปลดตัวล็อคที่ปากกล่องออกทันที เเต่ก่อนที่จะได้เปิดฝากล่อง ในตอนนั้นเองที่เจ้าของกล่องเหล่านี้ได้กลับมาถึงบ้านของเขาเเล้ว

"ลุกขึ้นเเล้วเอามือวางเอาไว้เหนือหัว"

เสียงของชายคนหนึ่งดังออกมาจากด้านขวาของเด็กสาวตรงส่วนท้ายของเครื่องบินที่เปิดโล่ง   ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงที่เเหบ เเละ ทุ้มต่ำเหมือนกับผู้ชายเเก่ๆ ทันทีที่เธอได้ยินก็ถึงกับทำตัวเเข็งทื่ออยู่ในท่านั่งคุกเข่า จากการที่อยู่ตัวคนเดียวมานานทันทีที่ได้ยินเสียงของคน มันก็ถึงกับทำให้เธอกับสะดุ้งก่อนจะเริ่มหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงนั้นอย่างช้าๆ เป็นเพราะผนังเครื่องบินที่ปิดทึบจนเกือบจะมืดสนิทไปทั้งลำ เเละ มีเเสงส่องมาจากตรงท้ายเครื่องเพียงทางเดียว ทำให้เห็นชายคนนั้นเเบบย้อนเเสงจนทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด เเต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะเห็นใบหน้าของเขาได้ลางๆ คนที่เธอเห็นคือผู้ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะตัวสูงใหญ่ประมาณ 180 ซม. สวมเเต่เสื้อกล้ามพร้อมกางเกงลายพลางสีเขียว เสื้อผ้าเต็มไปด้วยการซ่อมเเซมจากการเย็บปะมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ผิวทั่วทั้งตัวคล้ำจนเป็นสีน้ำตาล ใบหน้ามีริ้วรอยตามอายุ ดวงตามีสีน้ำตาล มีหนวด เเละ เคราสีขาว ผมขาวปกคลุมไปทั่วทั้งศรีษะที่ไม่ยาวมากนัก ชายชราทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางจ้องมองไปยังเด็กสาว ที่กำลังรื้อข้าวของของตนออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาติ ในขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังถือปืนลูกซองเเบบชัก พร้อมกับเล็งไปที่  ช่วงลำตัวของเด็กสาวตรงๆ เเต่ถึงเเม้ว่าเธอจะถูกข่มขู่โดยการถูกจ่อปืนใส่ในระยะเผาขน เด็กสาวกลับทำเพียงหันไปหาชายชราเเละนิ่งเฉย เนื่องมาจากอาการตกใจกลัวที่รวดเร็วจนสับสน ทำให้สูญเสียวิธีการคิดตัดสินใจไปชั่วขณะเพราะถูกทักโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเด็กสาวยังคงเเสดงออกถึงอาการตื่นตระหนก จนเธอทำตัวไม่ถูกต่อสถาณการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

"ฉันบอกว่าให้ลุกขึ้นยืนเเล้วเอามือไปวางไว้เหนือหัว!!!"

ครั้งนี้ชายชราตะคอกเสียงดังจนเด็กสาวสะดุ้งเเรงกว่าเดิม เธอถึงกับต้องรีบลุกขึ้นโดยไวพร้อมหันทั้งตัวไปยังชายคนนั้น เด็กสาวทั้งรู้สึกเครียดตัวเกร็งซะจนเก็บความรู้สึกกลัวของตนออกไปไม่ได้ จนเผลอเเสดงออกมาให้เห็นผ่านมือทั้ง2ข้างของเธอที่สั่นเกร็งไม่หยุด ลมหายใจหอบเหนี่อยดวงตาเเฝงไปด้วยความหวาดกลัว พลางจ้องมองไปยังปืนที่อยู่ในมือสลับกับใบหน้าของชายชรา พร้อมกับคิดในใจ

"จะทำยังไงดี นี่ฉันจะต้องตายหรือเปล่า  เวรเอ้ยไม่น่าเข้ามาเเต่เเรกเลย ฉันต้องออกไปจากที่นี่ เเต่จะออกไปยังไง เขาจะยิงจริงๆใช่ไหม บัดสบเอ้ย เฮงซวย"

ในตอนนั้นเด็กสาวก็เพิ่งจะตระหนักรู้เรื่องหนึ่งได้ว่าเธอมีปืนไรเฟิลอยู่กระบอกหนึ่ง เเต่ทว่าเเทนที่จะพกพาไว้กับตัวเด็กสาวกลับวางมันเอาไว้ใกล้กับประตูสุดทางด้านหลังของเธอ เด็กสาวเหลือบตาไปมองด้านหลังของตนที่ซึ่งวางปืนไรเฟิลเอาไว้ จนเห็นว่ามันถูกวางเอาไว้ห่างจากตัวเธออย่างมาก ก่อนที่เด็กสาวจะหันกลับมามองที่ดวงตาของชายชราอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้คนตรงหน้าของเธอได้รับรู้ ว่าเธอคิดที่จะทำอะไร

"อย่าเชียวนะ"

ทันทีที่ชายชราพูดเตือนเด็กสาวพร้อมกับส่ายหัวช้าๆเพื่อเป็นการเตือนอีกเป็นครั้งที่3 เเต่ทว่าเทันทีที่พูดจบเธอกลับหันหลังเเล้วออกตัววิ่งอย่างสุดเเรงเเบบไม่คิดชีวิต เมื่อชายชราเห็นดังนั้นเขาจึงวิ่งตรงเข้าใส่เด็กสาวทันที เสียงฝีเท้าของทั้ง2ที่กระทบกับโลหะดังสนั่นไปทั่วเครื่องบิน เเม้เด็กสาวจะเป็นผู้ออกตัวก่อนเเต่ด้วยความยาวของเครื่องบินที่มากกว่า20เมตร เเละ อาการตื่นกลัวจนวิ่งอย่างลุกลี้ลุกลน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายของชายชราที่เข้าถึงตัวเด็กสาวได้ก่อน เขานำเอาพานท้ายของปืนลูกซองกระเเทกเข้ากับท้ายทอยของเธออย่างจังในขณะที่กำลังวิ่ง จนเด็กสาวล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น เเล้วจึงกดเธอลงเอาไว้จนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก

"ไอ้เด็กบ้าเอ้ย"

ทันทีที่สิ้นสุดคำสบถชายชราก็เเกะนำเอาเชือกที่ติดอยู่กับผนังของเครื่องบินออกมา เเล้วจึงค่อยนำมือของเด็กสาวมาไขว้กันก่อนจะลงมือมัดทั้งมือเเละเท้าของเธออย่างหนาเเน่นจนไม่อาจดิ้นหลุด ในขณะนั้นเองเด็กสาวกำลังไม่ได้สติจากการที่ศรีษะถูกกระทบอย่างรุนเเรง จนรู้สึกวิงเวียนเหมือนจะสลบก่อนที่เธอจะค่อยๆหลับไปอย่างช้าๆ

"มันไม่ง่ายกว่าหรือไงวะที่เเกจะฟังคำพูดของคนที่ถือปืนจ่อเเกน่ะ"

ชายชราพูดอีกครั้งในขณะที่กำลังมัดมือ เเละ เท้าของเด็กสาวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะลากขาที่ถูกมัดของเธอไปผูกไว้กันเชือกอีกจุดหนึ่งบนผนัง

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!