Exousia Record : Rebellion
ตูมมม!!!
เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมเพลิงสีส้มแดงพวยพุ่งขึ้นฟ้า เปลวไฟบิดเบี้ยวราวกับสิ่งมีชีวิตกำลังคำราม กำแพงคอนกรีตสั่นสะเทือน เศษปูนถล่มลงมาเป็นฝุ่นควันคลุ้ง
“แม่ง…นี่มันบ้าอะไรกันวะ…”
เสียงของเด็กหนุ่มคนนึงที่กำลังนั่งงอตัวเอาหลังพิงกำแพง หายใจหอบ ชุดเกราะสีดำเงาสลับเงินขอบทอง มือข้างหนึ่งกำการ์ดไว้แน่น อีกข้างถือมีดสั้นที่ไม่รู้ว่าเอาไว้กันตัวหรือไว้รู้สึกว่าตัวเองยังควบคุมอะไรได้บ้าง
เสียงคล้ายเสียงหัวเราะที่บิดเบี้ยวเกินจะบรรยายผสานกับเสียงเหล็กเสียดกันดังมาจากอีกฝั่งของเพลิง
“ไอ้ความซวยนี้มันอะไรกันฟะ…” เขาพึมพำ สบถต่อในใจ
ให้ตายเถอะ พื้นที่โดยรอบกลายเป็นทะเลเพลิงในฉับพลัน
เขาหลับตาแน่นชั่วครู่พลางคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนกลับไปยังจุดเริ่มต้น…
เช้าวันจันทร์ในเมืองแห่งการศึกษา เขตที่ 4
ฟ้าสีอ่อนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเริ่มกลืนแสงแดดอ่อน ๆ อย่างอ้อยอิ่ง กลุ่มนักเรียนมัธยมปลายทยอยเดินบนฟุตบาทอิฐสีเหลืองซีดที่ทอดยาวสู่โรงเรียนกลางของเมือง
ตรงทางแยกใกล้ตึกพักนักเรียน มีจุดนัดพบเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างเสาไฟถนน—ที่ที่กลุ่มของ “ซาโตะ อายูมะ” มารวมตัวกันทุกเช้า
เวลา 06:57 น.
“อรุณสวัสดิ์”
เสียงแรกดังขึ้นจาก อามาโนะ ยูริโกะ
หญิงสาวผมยาวตรงในชุดนักเรียนเรียบร้อยเกินเกณฑ์ สะพายกระเป๋าไว้ข้างหนึ่ง มือถือหนังสือชีวะพร้อมสมุดจด
“มาคนแรกอีกแล้วสินะ”
มิซากิ สึกิโนะ เดินมาเงียบ ๆ จากด้านหลัง มือหนึ่งยังถือขวดนม อีกมือขยี้ตา ใบหน้าง่วงจัดแบบไม่แคร์โลก
“ปกติก็มีแต่เธอสองคนที่มาทันเวลา”
เสียงใหม่ดังขึ้นพร้อมฝีเท้าสม่ำเสมอ
ผู้พูดคือ นานาเสะ อากินะ นักเรียนหญิงท่าทางสงบ ผมสั้นระต้นคอ มาพร้อมกระเป๋าเอกสารเรียบ ๆ และหูฟังข้างเดียว
“อากินะก็มาเร็วกว่าปกติแฮะ” ยูริโกะหันไปทัก
“วันนี้ตื่นง่ายกว่าทุกทีน่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม”
“เป็นลางแปลก ๆ ชะมัด…” สึกิโนะพึมพำ แล้วนั่งลงตรงขอบฟุตบาท
จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างหนักหน่วงก็ดังมาแต่ไกล
“ฮ่าแฮ่ก…มาทันมั้ย!?!”
“พอดีเป๊ะเลย” ยูริโกะตอบพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
คนที่วิ่งมาคือ ซาโตะ อายูมะ
ผมยุ่ง เสื้อยังไม่ติดกระดุมครบ กระเป๋าสะพายข้างหลุดมาอยู่ด้านหน้า พร้อมเหงื่อเต็มหลัง
“นี่วิ่งลงมาจากห้องรึพุ่งมาจากมิติอื่น?” สึกิโนะถามด้วยน้ำเสียงไร้แววตื่นเต้นใด ๆ
“…เกือบไม่รอด…” อายูมะทรุดนั่งหอบอยู่ข้างต้นไม้
“ขาดแค่คนเดียวแล้วสินะ” อากินะหันมองถนน
“แล้วคนที่…มาสายที่สุดในกลุ่มของวันนี้ละ?” ยูริโกะว่า
“จะมีใครอีกล่ะ…” อายูมะพึมพำ
เวลา 07:05 น.
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นอย่างไม่มีความเร่งรีบแม้แต่น้อย
คิซารากิ คาสึมะ
ผมทองสว่าง ท่าทางดูเหมือนนักเลง เสื้อคลุมหลุดจากไหล่หนึ่งข้าง มือถือมือถืออีกมือหาว
“ขอโทษที\~ ตื่นไม่ไหวจริงๆ โดนแมวข่วนตอนตีสี่…ฝันว่ากำลังโดนตบด้วยท่อนเหล็กเลยล่ะ…”
“จะเชื่อดีมั้ยเนี่ย…” อายูมะหรี่ตา
“…ยังไงก็ได้เถอะ ตอนนี้ครบแล้ว เดินกันเลย” ยูริโกะประกาศเสียงนิ่งๆ พร้อมหมุนตัวนำไปก่อน
ระหว่างทาง ทุกคนเดินตามทางอิฐสีเหลืองที่ทอดผ่านสวนข้างโรงเรียน บทสนทนาเรื่อยเปื่อยก็ดังขึ้นตามแบบปกติของกลุ่มที่เหมือนจะธรรมดา…แต่ก็ไม่เคยจริง ๆ
เสียงอายูมะกับคาสึมะประสานกันดังลั่น
เวลา 07:20 น.
ทั้งห้าเดินผ่านประตูโรงเรียนมัธยมต้นแบบกลาง อาคารสีขาวดีไซน์โมเดิร์น พื้นกระจก ผนังปูนเรียบ และทางเดินลวงตาแบบเขาวงกต
ขณะที่พวกเขากำลังเข้าใกล้ห้องเรียน…
นักเรียนคนนึงที่นั่งอยู่บนโต๊ะนักเรียน และภาพรอบตัวทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ
29พฤษภาคม2011 เวลา23:33น.
เสียงลมพัดกรูเข้ามาอย่างฉับพลันใบไม้ไหวกระเพื่อม เสียดสีกันดัง “กรอบแกรบ” ท่ามกลางความมืดดำในสวนด้านหลังโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนึง เงาร่างหนึ่งกระตุกเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“…อึก…หนาว…”
เด็กหนุ่มผมดำลืมตาขึ้นมาช้าๆ เขานอนอยู่บนพื้นหญ้าเย็นเฉียบ ใบหน้าเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำค้าง แผ่นหลังรู้สึกแสบเหมือนถูกฝังลงกับดินมาหลายชั่วโมง
[ที่นี่มันที่ไหน แล้วทำไมดึกดื่นปานนี้ทำมั้ย ตรูถึงได้มานอนอยู่บนพื้นหญ้าฟะ]
เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมองไปรอบอย่างหมดแรง ท่ามกลางความเงียบไม่มีแม้แต่เสียงหมาซักตัว หรือแสงไฟจากตึกข้างเคียงมีเพียงความเงียบรอบตัวเขา เขาควักโทรศัพท์ออกกระเป๋ากางเกงมาดูตอนนี้เวลา 23:36 น.
“ชั่งเถอะ รีบกลับหอพักก่อนแล้วค่อยคิดแล้วกัน”
เขารีบคว้ากระเป๋านักเรียนที่หลนอยู่ข้างๆและปีนออกจากรั้วโรงเรียน ถนนที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร เวลานี้มีเพียงเด็กนักเรียนมัธยมปลายคนนึงที่กำลังเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่คนเดียว เสาไฟฟ้าตามทางให้แสงสลัวๆเป็นช่วงๆ
“อะไรวะเนี่ย…”
ในขณะที่เดินอยู่คนเดียว—โดยไม่มีป้ายบอกทางหรือเสียงแม้แต่น้อย ถนนค่อย ๆ แปรเปลี่ยน อาคารข้างทางเหมือนละลายรวมเข้าหากัน พื้นผิวของโลกเหมือนถูกแทนที่ด้วยภาพวาดเหนือจริงในฝันร้ายของจิตรกรเสียสติ
เขาหยุดก้าว เบิกตากว้าง
เบื้องหน้าคือ… เวทีโอเปร่ากลางแจ้ง ที่เหมือนผสานเข้ากับโลกของ Wonderland ม่านเวทีสีเลือด คลี่ออกช้า ๆ กลิ่นหมึกพิมพ์เก่า ๆ และฝุ่นผสมกลิ่นเน่าโชยมาแตะจมูก
“ปัง…ปัง…ปัง…”
เสียงปืน? ไม่—มันเป็นเสียงกระทบพื้นไม้ของไม้คอนดักเตอร์
“…นั่นมัน…”
สปอร์ตไลท์สามดวงฉายลงมากลางเวที ท่ามกลางแสงสีขาวซีด สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์ในชุดวาทยากร (conductor) ปรากฏตัวแต่ว่ามันไม่มีหัว… ตรงคอมีเพลิงสีฟ้าเปล่งแสงระยิบเหมือนอัญมณีลุกโชน มันทำท่าเหมือนกำลังมองเขาอยู่ แม้ไร้ตา ไร้ใบหน้า
นักเรียนมัธยมปลายชะงักนิ่งอยู่บนทางเดินยกระดับที่พาเข้าสู่โซนที่นั่งผู้ชม เสียงฝีเท้าเงียบลง แม้แต่เสียงลมหายใจยังกลัวจะไปรบกวนบรรยากาศของ “การแสดง” ที่กำลังจะเริ่ม
เวทีโอเปร่าขนาดยักษ์เบื้องหน้าเรืองแสงสลัวๆ ท่ามกลางม่านกำมะหยี่สีแดงคล้ำที่ไหวกระเพื่อมโดยไม่มีลม บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ แปรเปลี่ยนราวกับทั้งอาคารโรงละครกำลังมีชีวิต โครงสร้างเริ่มขยับ เสาและเพดานโค้งตัวไปมาได้เหมือนแขนขาของสัตว์ประหลาด
“นั่นมัน…อะไรกันแน่…”
กลางเวที สิ่งมีชีวิตในชุดวาทยากรสูงโปร่งยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่มีหัว มีเพียงเปลวเพลิงสีฟ้าที่ลุกโชนแทนที่ส่วนศีรษะ ไม้บาตองในมือถูกยกขึ้นสูงราวกับจะเปิดม่านการแสดงอันศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้น…
“ฉัวะ!”
เสียงเครื่องสายชุดหนึ่งลากโน้ตยาวราวกับกรีดร้อง ม่านทั้งสองฝั่งเวทีเปิดออก เผยให้เห็น เหล่านักดนตรี ที่นั่งเรียงกันเป็นวงออร์เคสตรา
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์—บางตัวคือหุ่นไม้ ผิวแตกร้าว บางตัวมีแววตาว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตาเก่าที่ถูกทิ้ง
พวกมันเล่นดนตรี…ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบในความวิปลาส เสียงไวโอลินเริ่มสูงขึ้น ค่อยๆ ซ้อนทับด้วยเสียงกลองที่กระแทกเป็นจังหวะเหมือนเสียงหัวใจเต้น ทางเดินใต้เท้าเด็กหนุ่มเริ่มขยับ เก้าอี้ผู้ชมโดยรอบพลันเปลี่ยนรูปร่าง—บางตัวกลายเป็นร่างมนุษย์หุ่นเชิด บ้างมีแขนยาวเกินจริง บ้างไร้หน้า พวกมัน…หันมามองเขา
“…เจ้าพวกนี้มัน…ปีศาจหรอ…”
นักเรียนมัธยมปลายพยายามถอยหลัง แต่พื้นด้านหลังกลับหายไป—ถูกแทนที่ด้วย “เวิ้งอากาศสีดำสนิท”
ไม่มีทางถอยกลับ
“ปึง!”
ไม้บาตองของ Conductor ตวัดลง
นักดนตรีเริ่มเล่นพร้อมกัน เสียงประสานวิปริตไหลทะลักออกมาเหมือนคลื่นน้ำท่วม
“ฮวู่ววววววววววววววววววววว!!”
เสียงนั้น ไม่ใช่เสียงธรรมดา มันคือเสียงคลื่น เสียงลูกแรกพุ่งซัดใส่ร่างเด็กหนุ่มจนกระเด็นไปชนเข้ากับราวเหล็กที่ทางเดิน
เสียง “โครม!” ดังลั่น ก่อนร่างของเขาจะทรุดลงกับพื้นไม้แข็งกระด้าง ความรู้สึกเจ็บปวดแร้นไปทั่วร่าง ปอดถูกบีบอัดจนหายใจแทบไม่ออก ราวกับอากาศทั้งหมดถูกรีดออกจากอกในพริบตา แขนซ้ายที่ยกขึ้นป้องกันถูกแรงปะทะจนชา รู้สึกแสบร้อนร้าวไปถึงข้อศอก
เลือดซึมออกมาตามข้อศอกและหัวเข่าที่กระแทกพื้น ข้างแก้มถลอกครูดกับพื้นไม้ เสี้ยวเนื้อฉีกขาดเล็กน้อยเลือดผสมกับฝุ่นละอองในอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม้เก่าและสนิม
[ …ขยับไม่ได้… แขน…ชาไปหมด… ]
ทุกลมหายใจกลายเป็นแรงบีบบังคับให้ร่างกายยังคงเคลื่อนไหว หูอื้อไปชั่วขณะ เสียงออร์เคสตรายังคงดำเนินอยู่ แต่มันกลายเป็นเพียงเสียงห่างไกลเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น
เขาพยายามดันตัวขึ้น มือสั่นระริก ร่างกายไม่ตอบสนองตามใจคิด แขนขวาถูกใช้แบกรับน้ำหนักทั้งตัว แม้จะเจ็บจนเส้นเอ็นเหมือนจะขาด เสียงดนตรียังคงดำเนินไปอย่างไม่มีความปราณี เหมือนโลกทั้งใบกำลังเฉลิมฉลองความตายของเขา
เงาตุ๊กตาผู้ชมขยับใกล้เข้ามาทีละตัว ทีละก้าว เสียงข้อต่อตกร่อง “กึก กึก” ดังประสานไปกับเสียงไวโอลินที่ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนย้ำเตือนว่าการแสดงนี้ยังไม่จบ
[ต้องรีบ…ต้องรีบหนี…]
ความคิดนั้นวนซ้ำอยู่ในหัว แม้ร่างกายจะไม่เชื่อฟังก็ตาม เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เลือดจากริมฝีปากที่แตกไหลซึมลงคาง มือขวาที่ยังขยับได้ค่อย ๆ ดันตัวขึ้นอีกครั้ง
“ปึง!!”
เสียงไม้บาตองกระแทกอีกครั้งหนึ่ง คลื่นเสียงลูกที่สองกระแทกตามมา คราวนี้มันไม่ได้พุ่งตรงเข้าใส่เหมือนเดิม แต่กวาดเป็นระลอกขนาดมหึมา เหมือนคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าทำลายล้างทุกอย่างบนเวที
พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าแปรเปลี่ยน—แตกออกเป็นริ้วร้าว เสาเวทีสองต้นงอเหมือนงู ทะยานฟาดลงข้างตัวเขา เฉียดไปเพียงนิดเดียว
แรงอัดอากาศกดร่างของเด็กหนุ่มจนทรุดเข่าลงอีกครั้ง หูทั้งสองข้างแทบแตกจากแรงสั่นสะเทือน สมองเหมือนจะระเบิดในพริบตา
เลือดไหลออกจากรูหูและจมูกโดยไม่รู้ตัว ร่างกายอ่อนแรงอย่างน่ากลัว ทุกอย่างเหมือนจะดับวูบลงตรงนั้น แต่แววตาของเขายังไม่มอดสนิท—มีบางอย่างในดวงตานั้น… ไม่ใช่ความหวัง แต่เป็น “คำถาม” ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
[ที่นี่…มันคือที่ไหนกันแน่… และไอ้บ้านั่นคืออะไร…] เสียงเครื่องสายกรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท ม่านสีเลือดไหวระริก เด็กหนุ่มยังคงพยายามคลานไปข้างหน้า ช้าๆ ท่ามกลางแสงไฟประสาท และเสียงเชียร์เงียบงันจากตุ๊กตาผู้ชมที่ไม่มีปาก
…และเป็นตอนนั้นเอง เบื้องหลังม่านเวที—มีเงาร่างสูงโปร่งในชุดยืนพิงฉากหลังอยู่ราวกับดูการแสดงนี้มานานแล้ว ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาหรือเธอที่กำลังรับชมอยู่เลย ราวกับหลุดจากโลกใบนี้
แม้กระทั่งเด็กหนุ่ม—ที่กำลังทรุดตัวลงบนพื้นเวที เลือดไหลเปื้อนปลายคาง ก็ยังไม่รู้ตัวว่า “ที่แห่งนี้เขาไม่ได้อยู่แค่คนเดียว” เสียงดนตรีบ้าคลั่งยังดำเนินต่อไป ทุกเสียงโน้ตเหมือนจะกรีดเข้าไปในกระดูก เสียดแทงสมอง และบังคับหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ
/…โจมตีมันให้ได้…เพียงแค่หนึ่งครั้ง…/
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าในหัว… ไม่ใช่เสียงพูดตามปกติ หากเป็นคลื่นความคิดที่ซึมเข้ามาโดยไม่ถามความสมัครใจ เสียงนั้น…อบอุ่นอย่างน่าประหลาด แต่ก็มีกลิ่นอายของ “บางสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าความตาย”
/ถ้าไม่ทำ…เธอจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกเลย/
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างหัวใจเต้นผิดจังหวะ ร่างกายแม้จะอ่อนแรง แต่จิตใจกลับถูกเขย่ารุนแรงจากความจริงที่ไม่รู้ว่าคือภาพหลอนหรือการเตือน
[โจมตีมัน…แค่ครั้งเดียว…งั้นหรอ?]
แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีอะไรนอกจากตัวเปล่า เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด กับความตายที่รออยู่ทุกวินาที ต่อจากฉากที่เธอในชุดเดรสบอกว่า “นี่คือโอกาสเดียว… โจมตีเสีย ก่อนที่ม่านจะปิดลง”
มือขวากำแน่น เลือดไหลซึมจากรอยแตกที่นิ้ว แม้จะยังไม่รู้ว่า “จะโจมตียังไง” เขาก็ยังฝืนก้าวไปข้างหน้า เวทีเบื้องหน้ากว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ม่านขนาดยักษ์เหนือศีรษะค่อย ๆ เลื่อนลงมาทีละน้อย เวลามีจำกัด
ทันใดนั้น—Conductor ขยับ ไม่มีสัญญาณเตือน ไม่มีเสียงประกาศเริ่มการแสดง ไม้บาตองในมือขวาถูกตวัดฟาดอย่างรวดเร็ว เส้นเสียงแหวกอากาศดัง ฉัวะ เหมือนดาบที่ฟันทุกสิ่งเป็นสองท่อน
เขารีบหลบ!—แต่ว่า ไม่ทันแขนขวาโดนเสี้ยวคลื่นเสียงเฉียดจนเนื้อเปิด เลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้นไม้ของเวที เจ็บ…แต่ยังพอทนไหว เขากัดฟัน กระโจนใส่ Conductor อย่างไม่คิดชีวิต
หมัดขวาฟาดไปเต็มแรง—แต่ยังไม่พอ หมัดมันไปส่งไม่ถึง!
‘ผัวะ!’ คลื่นต้านมองไม่เห็นกระแทกหน้าอกเขาจนร่างปลิวกระเด็น กระแทกกับเสาแสงฉากหลังอย่างแรง จนเวทีสะเทือน หูอื้อ ตาพร่า เจ็บเหมือนซี่โครงหักไปสองสามซี่
\อย่าเพิ่งถอย…
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งในหัว นุ่มนวล แต่แฝงด้วยแรงผลักดันที่เยือกเย็น
\ดูให้ดี…จังหวะของมัน
เด็กหนุ่มกัดฟันยันตัวลุกอีกครั้ง เสียงโน้ตของเปียโนเริ่มกลับมา ไม้บาตองของ Conductor ยกขึ้นสูงอีกหน
“ฉันไม่ได้มีเซนด้านดนตรีนะเห้ย”
ครั้งที่สอง—เขาสังเกต
หนึ่ง…ยกขึ้น
สอง…เล็ง
สาม…สะบัด!
เขาพุ่งตัวหลบก่อนไม้จะฟาด คลื่นเสียงพุ่งเฉียดใบหน้า—ปลายผมขาดเป็นริ้ว แต่อย่างน้อย…เขาไม่ได้โดนเต็ม ๆ ยังไม่ทันตั้งหลัก ไม้บาตองอีกข้างสะบัดจากซ้ายเข้าหาเขา คลื่นลูกที่สองมาเร็วกว่าเดิม
“มันมีสองจังหวะซ้อนกัน…”
เขาคลานไปข้างหน้าอีกครั้ง เหนื่อยแทบขาดใจ เลือดจากคิ้วหยดลงบนพื้นจนมองเห็นภาพเบลอ ๆ แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ครั้งที่สาม—เขาเข้าใกล้มากพอที่จะมองเห็นโครงสร้างของ Conductor ชัดเจน
ไม่มีหัว ไม่มีหน้า แต่เปลวไฟสีฟ้าที่ลุกไหม้เหนือคอของมัน…แปลกประหลาด เหมือนเป็นจุดควบคุมกลางของทุกสิ่งบนเวทีนี้ ราวกับจงใจบอกจุดอ่อนให้เห็นกันชัดๆ ไม้บาตองยกขึ้นอีกครั้ง
“ตอนนี้ล่ะ!”
เด็กหนุ่มกัดฟันพุ่งเข้าใส่อีกหน ครั้งนี้เขาหลบคลื่นเสียงได้เกือบหมด แต่ยังโดนปลายแรงกระแทกอัดเข้าที่ไหล่ ร่างหมุนเคว้งกลางอากาศก่อนจะกระแทกกับแท่นลำโพงข้างเวที แท่นแหลกละเอียด เขากลิ้งลงมากองกับพื้น หอบหนัก—แทบหายใจไม่ออก
แต่ก็ “พอจะเข้าใจแล้ว”
“สามจังหวะ…แล้วมันต้องเว้นวรรคเล็กน้อย”
ดวงตาสั่นไหว—แต่กลับเริ่มนิ่งขึ้น
ร่างกายยังเจ็บปางตาย แต่สติกลับคมกริบกว่าเดิมแม้จะเล็กน้อย สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลัง “เรียนรู้” ไม่ใช่แค่จังหวะของศัตรู แต่เป็นจังหวะของ “เวที” ทั้งหมด
เขารวบแรงเฮือกสุดท้าย พุ่งเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย รอให้ไม้บาตองสะบัดจังหวะที่สามแล้วหยุดวูบเพียงเสี้ยววินาที จากนั้น…
“เปลี่ยนทิศ!”เขาสไลด์ตัวเข้าไปทางด้านข้าง ไม่พุ่งตรงอีก
และหมัดของเขาก็ฟาดเข้าใส่ร่างของ Conductor แม้จะไม่ใช่หมัดที่มีอะไรพิเศษ เป็นแค่หมัดธรรมดาแต่เปลวไฟสีฟ้ากลับสั่นไหว เงาของเวทีรอบข้างแปรปรวน
“…!”
Conductor ชะงัก เสียงทั้งหมดบนเวทีแตกพร่า หุ่นนักดนตรีล้มระเนระนาด ม่านเวที…ค่อย ๆ ลดต่ำลงจนใกล้พื้น เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง
มือที่เปื้อนเลือดแนบกับหน้าอก เลือดทะลักออกมาจากปาก กระดูกส่วนต่างๆแตกระเอียด อวัยวะภายในฉีกขาด ตาค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ หัวใจยังเต้น…แม้จะเจ็บไปทั้งร่าง เขารอดแบบเส้นยาแดงผ่าแปดและก่อนม่านจะปิดสนิท เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้งในหัว
/ดีมาก…ถึงแม้สภาพจะดูไม่ได้ก็ตาม/
เสียงนั้นแผ่วเบาลง
ก่อนจะหายไปพร้อมกับความมืดที่กลืนกินทุกอย่าง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 10
Comments