ตูมมม!!!
เสียงระเบิดดังลั่นพร้อมเพลิงสีส้มแดงพวยพุ่งขึ้นฟ้า เปลวไฟบิดเบี้ยวราวกับสิ่งมีชีวิตกำลังคำราม กำแพงคอนกรีตสั่นสะเทือน เศษปูนถล่มลงมาเป็นฝุ่นควันคลุ้ง
“แม่ง…นี่มันบ้าอะไรกันวะ…”
เสียงของเด็กหนุ่มคนนึงที่กำลังนั่งงอตัวเอาหลังพิงกำแพง หายใจหอบ ชุดเกราะสีดำเงาสลับเงินขอบทอง มือข้างหนึ่งกำการ์ดไว้แน่น อีกข้างถือมีดสั้นที่ไม่รู้ว่าเอาไว้กันตัวหรือไว้รู้สึกว่าตัวเองยังควบคุมอะไรได้บ้าง
เสียงคล้ายเสียงหัวเราะที่บิดเบี้ยวเกินจะบรรยายผสานกับเสียงเหล็กเสียดกันดังมาจากอีกฝั่งของเพลิง
“ไอ้ความซวยนี้มันอะไรกันฟะ…” เขาพึมพำ สบถต่อในใจ
ให้ตายเถอะ พื้นที่โดยรอบกลายเป็นทะเลเพลิงในฉับพลัน
เขาหลับตาแน่นชั่วครู่พลางคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนกลับไปยังจุดเริ่มต้น…
เช้าวันจันทร์ในเมืองแห่งการศึกษา เขตที่ 4
ฟ้าสีอ่อนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเริ่มกลืนแสงแดดอ่อน ๆ อย่างอ้อยอิ่ง กลุ่มนักเรียนมัธยมปลายทยอยเดินบนฟุตบาทอิฐสีเหลืองซีดที่ทอดยาวสู่โรงเรียนกลางของเมือง
ตรงทางแยกใกล้ตึกพักนักเรียน มีจุดนัดพบเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างเสาไฟถนน—ที่ที่กลุ่มของ “ซาโตะ อายูมะ” มารวมตัวกันทุกเช้า
เวลา 06:57 น.
“อรุณสวัสดิ์”
เสียงแรกดังขึ้นจาก อามาโนะ ยูริโกะ
หญิงสาวผมยาวตรงในชุดนักเรียนเรียบร้อยเกินเกณฑ์ สะพายกระเป๋าไว้ข้างหนึ่ง มือถือหนังสือชีวะพร้อมสมุดจด
“มาคนแรกอีกแล้วสินะ”
มิซากิ สึกิโนะ เดินมาเงียบ ๆ จากด้านหลัง มือหนึ่งยังถือขวดนม อีกมือขยี้ตา ใบหน้าง่วงจัดแบบไม่แคร์โลก
“ปกติก็มีแต่เธอสองคนที่มาทันเวลา”
เสียงใหม่ดังขึ้นพร้อมฝีเท้าสม่ำเสมอ
ผู้พูดคือ นานาเสะ อากินะ นักเรียนหญิงท่าทางสงบ ผมสั้นระต้นคอ มาพร้อมกระเป๋าเอกสารเรียบ ๆ และหูฟังข้างเดียว
“อากินะก็มาเร็วกว่าปกติแฮะ” ยูริโกะหันไปทัก
“วันนี้ตื่นง่ายกว่าทุกทีน่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม”
“เป็นลางแปลก ๆ ชะมัด…” สึกิโนะพึมพำ แล้วนั่งลงตรงขอบฟุตบาท
จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างหนักหน่วงก็ดังมาแต่ไกล
“ฮ่าแฮ่ก…มาทันมั้ย!?!”
“พอดีเป๊ะเลย” ยูริโกะตอบพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
คนที่วิ่งมาคือ ซาโตะ อายูมะ
ผมยุ่ง เสื้อยังไม่ติดกระดุมครบ กระเป๋าสะพายข้างหลุดมาอยู่ด้านหน้า พร้อมเหงื่อเต็มหลัง
“นี่วิ่งลงมาจากห้องรึพุ่งมาจากมิติอื่น?” สึกิโนะถามด้วยน้ำเสียงไร้แววตื่นเต้นใด ๆ
“…เกือบไม่รอด…” อายูมะทรุดนั่งหอบอยู่ข้างต้นไม้
“ขาดแค่คนเดียวแล้วสินะ” อากินะหันมองถนน
“แล้วคนที่…มาสายที่สุดในกลุ่มของวันนี้ละ?” ยูริโกะว่า
“จะมีใครอีกล่ะ…” อายูมะพึมพำ
เวลา 07:05 น.
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นอย่างไม่มีความเร่งรีบแม้แต่น้อย
คิซารากิ คาสึมะ
ผมทองสว่าง ท่าทางดูเหมือนนักเลง เสื้อคลุมหลุดจากไหล่หนึ่งข้าง มือถือมือถืออีกมือหาว
“ขอโทษที\~ ตื่นไม่ไหวจริงๆ โดนแมวข่วนตอนตีสี่…ฝันว่ากำลังโดนตบด้วยท่อนเหล็กเลยล่ะ…”
“จะเชื่อดีมั้ยเนี่ย…” อายูมะหรี่ตา
“…ยังไงก็ได้เถอะ ตอนนี้ครบแล้ว เดินกันเลย” ยูริโกะประกาศเสียงนิ่งๆ พร้อมหมุนตัวนำไปก่อน
ระหว่างทาง ทุกคนเดินตามทางอิฐสีเหลืองที่ทอดผ่านสวนข้างโรงเรียน บทสนทนาเรื่อยเปื่อยก็ดังขึ้นตามแบบปกติของกลุ่มที่เหมือนจะธรรมดา…แต่ก็ไม่เคยจริง ๆ
เสียงอายูมะกับคาสึมะประสานกันดังลั่น
เวลา 07:20 น.
ทั้งห้าเดินผ่านประตูโรงเรียนมัธยมต้นแบบกลาง อาคารสีขาวดีไซน์โมเดิร์น พื้นกระจก ผนังปูนเรียบ และทางเดินลวงตาแบบเขาวงกต
ขณะที่พวกเขากำลังเข้าใกล้ห้องเรียน…
นักเรียนคนนึงที่นั่งอยู่บนโต๊ะนักเรียน และภาพรอบตัวทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ
29พฤษภาคม2011 เวลา23:33น.
เสียงลมพัดกรูเข้ามาอย่างฉับพลันใบไม้ไหวกระเพื่อม เสียดสีกันดัง “กรอบแกรบ” ท่ามกลางความมืดดำในสวนด้านหลังโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนึง เงาร่างหนึ่งกระตุกเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“…อึก…หนาว…”
เด็กหนุ่มผมดำลืมตาขึ้นมาช้าๆ เขานอนอยู่บนพื้นหญ้าเย็นเฉียบ ใบหน้าเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำค้าง แผ่นหลังรู้สึกแสบเหมือนถูกฝังลงกับดินมาหลายชั่วโมง
[ที่นี่มันที่ไหน แล้วทำไมดึกดื่นปานนี้ทำมั้ย ตรูถึงได้มานอนอยู่บนพื้นหญ้าฟะ]
เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมองไปรอบอย่างหมดแรง ท่ามกลางความเงียบไม่มีแม้แต่เสียงหมาซักตัว หรือแสงไฟจากตึกข้างเคียงมีเพียงความเงียบรอบตัวเขา เขาควักโทรศัพท์ออกกระเป๋ากางเกงมาดูตอนนี้เวลา 23:36 น.
“ชั่งเถอะ รีบกลับหอพักก่อนแล้วค่อยคิดแล้วกัน”
เขารีบคว้ากระเป๋านักเรียนที่หลนอยู่ข้างๆและปีนออกจากรั้วโรงเรียน ถนนที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร เวลานี้มีเพียงเด็กนักเรียนมัธยมปลายคนนึงที่กำลังเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่คนเดียว เสาไฟฟ้าตามทางให้แสงสลัวๆเป็นช่วงๆ
“อะไรวะเนี่ย…”
ในขณะที่เดินอยู่คนเดียว—โดยไม่มีป้ายบอกทางหรือเสียงแม้แต่น้อย ถนนค่อย ๆ แปรเปลี่ยน อาคารข้างทางเหมือนละลายรวมเข้าหากัน พื้นผิวของโลกเหมือนถูกแทนที่ด้วยภาพวาดเหนือจริงในฝันร้ายของจิตรกรเสียสติ
เขาหยุดก้าว เบิกตากว้าง
เบื้องหน้าคือ… เวทีโอเปร่ากลางแจ้ง ที่เหมือนผสานเข้ากับโลกของ Wonderland ม่านเวทีสีเลือด คลี่ออกช้า ๆ กลิ่นหมึกพิมพ์เก่า ๆ และฝุ่นผสมกลิ่นเน่าโชยมาแตะจมูก
“ปัง…ปัง…ปัง…”
เสียงปืน? ไม่—มันเป็นเสียงกระทบพื้นไม้ของไม้คอนดักเตอร์
“…นั่นมัน…”
สปอร์ตไลท์สามดวงฉายลงมากลางเวที ท่ามกลางแสงสีขาวซีด สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์ในชุดวาทยากร (conductor) ปรากฏตัวแต่ว่ามันไม่มีหัว… ตรงคอมีเพลิงสีฟ้าเปล่งแสงระยิบเหมือนอัญมณีลุกโชน มันทำท่าเหมือนกำลังมองเขาอยู่ แม้ไร้ตา ไร้ใบหน้า
นักเรียนมัธยมปลายชะงักนิ่งอยู่บนทางเดินยกระดับที่พาเข้าสู่โซนที่นั่งผู้ชม เสียงฝีเท้าเงียบลง แม้แต่เสียงลมหายใจยังกลัวจะไปรบกวนบรรยากาศของ “การแสดง” ที่กำลังจะเริ่ม
เวทีโอเปร่าขนาดยักษ์เบื้องหน้าเรืองแสงสลัวๆ ท่ามกลางม่านกำมะหยี่สีแดงคล้ำที่ไหวกระเพื่อมโดยไม่มีลม บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ แปรเปลี่ยนราวกับทั้งอาคารโรงละครกำลังมีชีวิต โครงสร้างเริ่มขยับ เสาและเพดานโค้งตัวไปมาได้เหมือนแขนขาของสัตว์ประหลาด
“นั่นมัน…อะไรกันแน่…”
กลางเวที สิ่งมีชีวิตในชุดวาทยากรสูงโปร่งยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่มีหัว มีเพียงเปลวเพลิงสีฟ้าที่ลุกโชนแทนที่ส่วนศีรษะ ไม้บาตองในมือถูกยกขึ้นสูงราวกับจะเปิดม่านการแสดงอันศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้น…
“ฉัวะ!”
เสียงเครื่องสายชุดหนึ่งลากโน้ตยาวราวกับกรีดร้อง ม่านทั้งสองฝั่งเวทีเปิดออก เผยให้เห็น เหล่านักดนตรี ที่นั่งเรียงกันเป็นวงออร์เคสตรา
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์—บางตัวคือหุ่นไม้ ผิวแตกร้าว บางตัวมีแววตาว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตาเก่าที่ถูกทิ้ง
พวกมันเล่นดนตรี…ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบในความวิปลาส เสียงไวโอลินเริ่มสูงขึ้น ค่อยๆ ซ้อนทับด้วยเสียงกลองที่กระแทกเป็นจังหวะเหมือนเสียงหัวใจเต้น ทางเดินใต้เท้าเด็กหนุ่มเริ่มขยับ เก้าอี้ผู้ชมโดยรอบพลันเปลี่ยนรูปร่าง—บางตัวกลายเป็นร่างมนุษย์หุ่นเชิด บ้างมีแขนยาวเกินจริง บ้างไร้หน้า พวกมัน…หันมามองเขา
“…เจ้าพวกนี้มัน…ปีศาจหรอ…”
นักเรียนมัธยมปลายพยายามถอยหลัง แต่พื้นด้านหลังกลับหายไป—ถูกแทนที่ด้วย “เวิ้งอากาศสีดำสนิท”
ไม่มีทางถอยกลับ
“ปึง!”
ไม้บาตองของ Conductor ตวัดลง
นักดนตรีเริ่มเล่นพร้อมกัน เสียงประสานวิปริตไหลทะลักออกมาเหมือนคลื่นน้ำท่วม
“ฮวู่ววววววววววววววววววววว!!”
เสียงนั้น ไม่ใช่เสียงธรรมดา มันคือเสียงคลื่น เสียงลูกแรกพุ่งซัดใส่ร่างเด็กหนุ่มจนกระเด็นไปชนเข้ากับราวเหล็กที่ทางเดิน
เสียง “โครม!” ดังลั่น ก่อนร่างของเขาจะทรุดลงกับพื้นไม้แข็งกระด้าง ความรู้สึกเจ็บปวดแร้นไปทั่วร่าง ปอดถูกบีบอัดจนหายใจแทบไม่ออก ราวกับอากาศทั้งหมดถูกรีดออกจากอกในพริบตา แขนซ้ายที่ยกขึ้นป้องกันถูกแรงปะทะจนชา รู้สึกแสบร้อนร้าวไปถึงข้อศอก
เลือดซึมออกมาตามข้อศอกและหัวเข่าที่กระแทกพื้น ข้างแก้มถลอกครูดกับพื้นไม้ เสี้ยวเนื้อฉีกขาดเล็กน้อยเลือดผสมกับฝุ่นละอองในอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม้เก่าและสนิม
[ …ขยับไม่ได้… แขน…ชาไปหมด… ]
ทุกลมหายใจกลายเป็นแรงบีบบังคับให้ร่างกายยังคงเคลื่อนไหว หูอื้อไปชั่วขณะ เสียงออร์เคสตรายังคงดำเนินอยู่ แต่มันกลายเป็นเพียงเสียงห่างไกลเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น
เขาพยายามดันตัวขึ้น มือสั่นระริก ร่างกายไม่ตอบสนองตามใจคิด แขนขวาถูกใช้แบกรับน้ำหนักทั้งตัว แม้จะเจ็บจนเส้นเอ็นเหมือนจะขาด เสียงดนตรียังคงดำเนินไปอย่างไม่มีความปราณี เหมือนโลกทั้งใบกำลังเฉลิมฉลองความตายของเขา
เงาตุ๊กตาผู้ชมขยับใกล้เข้ามาทีละตัว ทีละก้าว เสียงข้อต่อตกร่อง “กึก กึก” ดังประสานไปกับเสียงไวโอลินที่ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนย้ำเตือนว่าการแสดงนี้ยังไม่จบ
[ต้องรีบ…ต้องรีบหนี…]
ความคิดนั้นวนซ้ำอยู่ในหัว แม้ร่างกายจะไม่เชื่อฟังก็ตาม เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เลือดจากริมฝีปากที่แตกไหลซึมลงคาง มือขวาที่ยังขยับได้ค่อย ๆ ดันตัวขึ้นอีกครั้ง
“ปึง!!”
เสียงไม้บาตองกระแทกอีกครั้งหนึ่ง คลื่นเสียงลูกที่สองกระแทกตามมา คราวนี้มันไม่ได้พุ่งตรงเข้าใส่เหมือนเดิม แต่กวาดเป็นระลอกขนาดมหึมา เหมือนคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าทำลายล้างทุกอย่างบนเวที
พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าแปรเปลี่ยน—แตกออกเป็นริ้วร้าว เสาเวทีสองต้นงอเหมือนงู ทะยานฟาดลงข้างตัวเขา เฉียดไปเพียงนิดเดียว
แรงอัดอากาศกดร่างของเด็กหนุ่มจนทรุดเข่าลงอีกครั้ง หูทั้งสองข้างแทบแตกจากแรงสั่นสะเทือน สมองเหมือนจะระเบิดในพริบตา
เลือดไหลออกจากรูหูและจมูกโดยไม่รู้ตัว ร่างกายอ่อนแรงอย่างน่ากลัว ทุกอย่างเหมือนจะดับวูบลงตรงนั้น แต่แววตาของเขายังไม่มอดสนิท—มีบางอย่างในดวงตานั้น… ไม่ใช่ความหวัง แต่เป็น “คำถาม” ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
[ที่นี่…มันคือที่ไหนกันแน่… และไอ้บ้านั่นคืออะไร…] เสียงเครื่องสายกรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท ม่านสีเลือดไหวระริก เด็กหนุ่มยังคงพยายามคลานไปข้างหน้า ช้าๆ ท่ามกลางแสงไฟประสาท และเสียงเชียร์เงียบงันจากตุ๊กตาผู้ชมที่ไม่มีปาก
…และเป็นตอนนั้นเอง เบื้องหลังม่านเวที—มีเงาร่างสูงโปร่งในชุดยืนพิงฉากหลังอยู่ราวกับดูการแสดงนี้มานานแล้ว ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาหรือเธอที่กำลังรับชมอยู่เลย ราวกับหลุดจากโลกใบนี้
แม้กระทั่งเด็กหนุ่ม—ที่กำลังทรุดตัวลงบนพื้นเวที เลือดไหลเปื้อนปลายคาง ก็ยังไม่รู้ตัวว่า “ที่แห่งนี้เขาไม่ได้อยู่แค่คนเดียว” เสียงดนตรีบ้าคลั่งยังดำเนินต่อไป ทุกเสียงโน้ตเหมือนจะกรีดเข้าไปในกระดูก เสียดแทงสมอง และบังคับหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ
/…โจมตีมันให้ได้…เพียงแค่หนึ่งครั้ง…/
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าในหัว… ไม่ใช่เสียงพูดตามปกติ หากเป็นคลื่นความคิดที่ซึมเข้ามาโดยไม่ถามความสมัครใจ เสียงนั้น…อบอุ่นอย่างน่าประหลาด แต่ก็มีกลิ่นอายของ “บางสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าความตาย”
/ถ้าไม่ทำ…เธอจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกเลย/
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างหัวใจเต้นผิดจังหวะ ร่างกายแม้จะอ่อนแรง แต่จิตใจกลับถูกเขย่ารุนแรงจากความจริงที่ไม่รู้ว่าคือภาพหลอนหรือการเตือน
[โจมตีมัน…แค่ครั้งเดียว…งั้นหรอ?]
แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีอะไรนอกจากตัวเปล่า เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด กับความตายที่รออยู่ทุกวินาที ต่อจากฉากที่เธอในชุดเดรสบอกว่า “นี่คือโอกาสเดียว… โจมตีเสีย ก่อนที่ม่านจะปิดลง”
มือขวากำแน่น เลือดไหลซึมจากรอยแตกที่นิ้ว แม้จะยังไม่รู้ว่า “จะโจมตียังไง” เขาก็ยังฝืนก้าวไปข้างหน้า เวทีเบื้องหน้ากว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ม่านขนาดยักษ์เหนือศีรษะค่อย ๆ เลื่อนลงมาทีละน้อย เวลามีจำกัด
ทันใดนั้น—Conductor ขยับ ไม่มีสัญญาณเตือน ไม่มีเสียงประกาศเริ่มการแสดง ไม้บาตองในมือขวาถูกตวัดฟาดอย่างรวดเร็ว เส้นเสียงแหวกอากาศดัง ฉัวะ เหมือนดาบที่ฟันทุกสิ่งเป็นสองท่อน
เขารีบหลบ!—แต่ว่า ไม่ทันแขนขวาโดนเสี้ยวคลื่นเสียงเฉียดจนเนื้อเปิด เลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้นไม้ของเวที เจ็บ…แต่ยังพอทนไหว เขากัดฟัน กระโจนใส่ Conductor อย่างไม่คิดชีวิต
หมัดขวาฟาดไปเต็มแรง—แต่ยังไม่พอ หมัดมันไปส่งไม่ถึง!
‘ผัวะ!’ คลื่นต้านมองไม่เห็นกระแทกหน้าอกเขาจนร่างปลิวกระเด็น กระแทกกับเสาแสงฉากหลังอย่างแรง จนเวทีสะเทือน หูอื้อ ตาพร่า เจ็บเหมือนซี่โครงหักไปสองสามซี่
\อย่าเพิ่งถอย…
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งในหัว นุ่มนวล แต่แฝงด้วยแรงผลักดันที่เยือกเย็น
\ดูให้ดี…จังหวะของมัน
เด็กหนุ่มกัดฟันยันตัวลุกอีกครั้ง เสียงโน้ตของเปียโนเริ่มกลับมา ไม้บาตองของ Conductor ยกขึ้นสูงอีกหน
“ฉันไม่ได้มีเซนด้านดนตรีนะเห้ย”
ครั้งที่สอง—เขาสังเกต
หนึ่ง…ยกขึ้น
สอง…เล็ง
สาม…สะบัด!
เขาพุ่งตัวหลบก่อนไม้จะฟาด คลื่นเสียงพุ่งเฉียดใบหน้า—ปลายผมขาดเป็นริ้ว แต่อย่างน้อย…เขาไม่ได้โดนเต็ม ๆ ยังไม่ทันตั้งหลัก ไม้บาตองอีกข้างสะบัดจากซ้ายเข้าหาเขา คลื่นลูกที่สองมาเร็วกว่าเดิม
“มันมีสองจังหวะซ้อนกัน…”
เขาคลานไปข้างหน้าอีกครั้ง เหนื่อยแทบขาดใจ เลือดจากคิ้วหยดลงบนพื้นจนมองเห็นภาพเบลอ ๆ แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ครั้งที่สาม—เขาเข้าใกล้มากพอที่จะมองเห็นโครงสร้างของ Conductor ชัดเจน
ไม่มีหัว ไม่มีหน้า แต่เปลวไฟสีฟ้าที่ลุกไหม้เหนือคอของมัน…แปลกประหลาด เหมือนเป็นจุดควบคุมกลางของทุกสิ่งบนเวทีนี้ ราวกับจงใจบอกจุดอ่อนให้เห็นกันชัดๆ ไม้บาตองยกขึ้นอีกครั้ง
“ตอนนี้ล่ะ!”
เด็กหนุ่มกัดฟันพุ่งเข้าใส่อีกหน ครั้งนี้เขาหลบคลื่นเสียงได้เกือบหมด แต่ยังโดนปลายแรงกระแทกอัดเข้าที่ไหล่ ร่างหมุนเคว้งกลางอากาศก่อนจะกระแทกกับแท่นลำโพงข้างเวที แท่นแหลกละเอียด เขากลิ้งลงมากองกับพื้น หอบหนัก—แทบหายใจไม่ออก
แต่ก็ “พอจะเข้าใจแล้ว”
“สามจังหวะ…แล้วมันต้องเว้นวรรคเล็กน้อย”
ดวงตาสั่นไหว—แต่กลับเริ่มนิ่งขึ้น
ร่างกายยังเจ็บปางตาย แต่สติกลับคมกริบกว่าเดิมแม้จะเล็กน้อย สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลัง “เรียนรู้” ไม่ใช่แค่จังหวะของศัตรู แต่เป็นจังหวะของ “เวที” ทั้งหมด
เขารวบแรงเฮือกสุดท้าย พุ่งเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย รอให้ไม้บาตองสะบัดจังหวะที่สามแล้วหยุดวูบเพียงเสี้ยววินาที จากนั้น…
“เปลี่ยนทิศ!”เขาสไลด์ตัวเข้าไปทางด้านข้าง ไม่พุ่งตรงอีก
และหมัดของเขาก็ฟาดเข้าใส่ร่างของ Conductor แม้จะไม่ใช่หมัดที่มีอะไรพิเศษ เป็นแค่หมัดธรรมดาแต่เปลวไฟสีฟ้ากลับสั่นไหว เงาของเวทีรอบข้างแปรปรวน
“…!”
Conductor ชะงัก เสียงทั้งหมดบนเวทีแตกพร่า หุ่นนักดนตรีล้มระเนระนาด ม่านเวที…ค่อย ๆ ลดต่ำลงจนใกล้พื้น เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง
มือที่เปื้อนเลือดแนบกับหน้าอก เลือดทะลักออกมาจากปาก กระดูกส่วนต่างๆแตกระเอียด อวัยวะภายในฉีกขาด ตาค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ หัวใจยังเต้น…แม้จะเจ็บไปทั้งร่าง เขารอดแบบเส้นยาแดงผ่าแปดและก่อนม่านจะปิดสนิท เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้งในหัว
/ดีมาก…ถึงแม้สภาพจะดูไม่ได้ก็ตาม/
เสียงนั้นแผ่วเบาลง
ก่อนจะหายไปพร้อมกับความมืดที่กลืนกินทุกอย่าง
เพลิงสีฟ้าในโพรงหัวของ Conductor ลุกวาบอย่างบ้าคลั่ง เสียงคลื่นดนตรีกึกก้องกดทับร่างของเด็กหนุ่มที่นอนแนบพื้นเวทีราวกับถูกรัดด้วยเชือกพันธนาการนับร้อย
“————!”
ไม่มีเสียงใดหลุดจากปากเขา ความเจ็บปวดรุนแรงเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้
เสียงสั่นของสายไวโอลินและเสียงเปียโนที่ดุดันประสานกันอย่างบ้าคลั่ง ก่อน Conductor จะยกแขนขึ้น ร่างกายบิดเบี้ยวขณะรวบรวมคลื่นเสียงสุดท้าย เขากำลังจะจบการแสดงด้วย—หมายสังหารที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องสลายไปพร้อมกัน มือของมันเงื้อขึ้นเหนือหัว ท่วงท่าราวนักวาทยกรที่กวัดแกว่งชีวิตของผู้อื่นได้ด้วยปลายนิ้ว
ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลงขึ้น สติสุดท้ายตะโกนให้เขาเคลื่อนไหว…แต่ร่างกายไม่ตอบสนองและในวินาทีนั้นเอง—
‘ชึบ…!’
คลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนทั่วทั้งโรงละครพลันแตกกระจายออกเหมือนกระจกถูกทุบ ใยพลังราวเงาสีดำบางอย่างแทรกผ่านกลางเวที เหมือนมีบางสิ่ง “หยุดโน้ตสุดท้าย” ไว้ก่อนที่มันจะสัมผัสร่างของเด็กหนุ่ม
เพลิงสีน้ำเงินในหัว Conductor สั่นไหวก่อนจะค่อย ๆ มอดดับไป พร้อมกับร่างสูงนั้นที่ทรุดลงเงียบ ๆ เสียงดนตรีหายไปทันที—ราวกับเวทีทั้งหมดได้ “ตัดฉากลง” ม่านเวทีค่อย ๆ ปิดลง… และสติของเด็กหนุ่มก็ดับวูบไปทุกอย่างกลายเป็นสีดำ
ฉากถัดไป: ห้องสีขาว
แสงไฟเพดานนิ่งสงบ ไม่มีการกระพริบ ไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่เสียงลมหายใจก็เหมือนถูกกลืนลงไปในความเงียบ
เตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้องอย่างโดดเดี่ยว ผ้าปูสะอาดเรียบตึงจนไร้รอยยับ ผ้าพันแผลแน่นรัดรอบเอวและไหล่ของเด็กหนุ่ม—รอยแผลลึกที่ควรพรากชีวิตเขาไปแล้ว ถูกประสานอย่างเร่งด่วนจนเหลือเพียงอาการบาดเจ็บระดับที่พอขยับตัวได้…แต่ความเจ็บปวดไม่ลดลงแม้แต่น้อย เหมือนทุกครั้งที่ขยับตัว
ข้างเตียงเป็นโต๊ะไม้เล็ก มีแก้วน้ำวางอยู่กับกล่องยา ไม่มีกลิ่นยา ไม่มีเสียงเครื่องมือ ไม่มีบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เขาคุ้นเคย และนอกหน้าต่าง…
ไม่มีแม้แต่เงาอาคารหรือแสงจากเมือง ไม่มีทิวทัศน์ของต้นไม้ ถนน หรือผู้คน มีเพียงม่านแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กว้างไกลเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ลอยนิ่งอยู่ในความเวิ้งว้างราวกับห้องนี้อยู่ท่ามกลางสุญญากาศ เป็นพื้นที่ที่ถูกแยกขาดจากโลกเดิมโดยสิ้นเชิง
“ที่นี่…คืออะไรกันแน่”
เสียงของเขาแผ่วเบา ทะลุความเงียบเหมือนเสียงกระซิบในฝัน ก่อนที่ความคิดจะไหลไปไกลกว่านั้น เสียงส้นรองเท้าดังขึ้นจากประตูที่เปิดออกอย่างช้า ๆ
หญิงสาวในชุดสูทสีดำก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ผมยาวสีนิลตกลงแนบไหล่ เธอเดินเข้ามาใกล้ มองเขาด้วยดวงตาที่นิ่งสนิทแต่ไม่เย็นชา เหมือนคนที่เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เผยความคิดใด ๆ
“ตื่นแล้วสินะ”
เด็กหนุ่มไม่ตอบในทันที เขาเพียงเหลือบมองเธออย่างระแวดระวัง
“ฉันช่วยรักษานายไว้แล้ว ถึงจะหยาบๆไปหน่อยก็ตาม…”
“และก็ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่โลกที่นายเคยอยู่ และที่สำคัญ—มันไม่มีเวลาให้พักฟื้นมากนัก”
“สรุปแล้ว…เธอเป็นใคร”
หญิงสาวยิ้มเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่รอยยิ้มที่ปลอบใจ แต่ก็ไม่ใช่เยาะเย้ย
“ตื่นมาก็ถามเข้าประเด็นหลักเลยหรอ แต่ไม่สำคัญว่าฉันจะเป็นใครหรืออะไรหรอก แล้วนายจะเรียกฉันว่าอะไรก็แล้วแต่เลย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับนาย”
เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังหมู่ดาวที่เงียบงัน ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงที่แผ่วลง
“สิ่งที่โจมตีเธอนั่น…มันไม่ใช่แค่ฝันร้าย”
เด็กหนุ่มเงียบ เขารู้ดีว่าภาพนั้นยังชัดเจน เพลิงสีฟ้า เสียงดนตรี เสียงกรีดร้องในหัวที่ไม่มีใครได้ยินภายในโรงละคร
“พวกมันถูกเรียกว่า Nightmare—พวกมันถือกำเนิดจากความอารมณ์แง่ลบของมนุษย์ที่มาทับถมกันจนเป็นรูปร่าง และกินมนุษย์”
“................?”
เธอหันกลับมา และส่งสายตามาที่เขา
“ไอตัวที่โจมตีเธอคร่าวนี้นะเป็นแค่ของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาเอาไวทดสอบนายเฉยๆ ของจริงนะอาจะโหดกว่านี้”
“ทำไมละ…ทำไมต้องเป็นฉัน”
หญิงสาวเดินกลับมาหาเขา ชะโงกลงเล็กน้อย เงาของเธอบดบังแสงไฟบนเพดาน
“เมื่อวานนี้ เพราะอะไรไม่รู้ สำหรับสิ่งผิดปกติอย่างเธอนะพวกนั้นถือว่าเธอเป็นของหวานชั้นเลิศเลยละ ที่ส่งกลิ่นหอมเกินจะห้ามใจเลยละ เพราะงั้นเลยต้องลากเธอมาที่นี่เพื่อลองทดสอบว่าถ้าเจอของจริงจะรอดได้ซักกี่น้ำ”
เด็กหนุ่มเบิกตาขึ้น ปากของเค้าขยับเล็กน้อยและส่งเสียงอแกมาอย่างแผ่วเบา “อะไรนะ…”
“ความเจ็บปวดที่นายรู้สึกตอนนั้น—มันเป็นของจริง มันไม่ใช่ควาทฝันซักทีเดียว และมันจะรุนแรงกว่านี้อีกหลายเท่าในครั้งถัดไป”
เธอหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋า เป็นวัตถุทรงเหมือนลูกเต๋า20หน้าเล็กสีดำด้าน วางไว้บนโต๊ะเหล็กข้างเตียง
“ถ้าจะปล่อยไว้เฉยๆมันก็ดูจะใจร้ายไปใช่มั้ยละ เลยอยากเสนอตัวช่วย แต่ในอีกทางหนึ่ง ถ้านายต้องการจะต่อสู้กับมัน นายก็ต้องมีพลังที่จะรับมือ”
“…พูดเหมือนให้ฉัจะนมีทางเลือก”
หญิงสาวพยักหน้า
“ทางหนึ่งคือรอให้มันมาถึงตัว แล้วตายช้าๆ โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร อีกทาง…คือรับสิ่งนี้มาใช้ให้เต็มที่”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าห้องที่เงียบอยู่แล้วกลับเงียบกว่าที่เคย เขาจ้องสิ่งของเล็ก ๆ บนโต๊ะนั้น มันดูไม่มีพิษภัย แต่กลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันแปลก ๆ
“…แล้วมันคืออะไร? และมีไว้ทำอะไร?”
“สิ่งนี้เรียกว่า Exousia—มันไม่ใช่ชื่อกลุ่ม ไม่ใช่คำสวยหรู มันเป็นคำที่เรียกผู้ที่ยอมรับในพลังที่ไม่ควรจะมีอยู่บนโลกนี้ละนะ”
“ถ้าฉันรับมันไวแล้ว…จะเป็นอย่างไง”
หญิงสาวไม่ตอบในทันที แต่สายตาของเธอเข้มขึ้นเล็กน้อย
“เป็นคำถามที่ดี เธอก็จะได้รับพลังที่สามารถรังสรรค์ปาฏิหาริย์ช่วยเหลือผู้คน ได้ยังละ”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงที่สดใสและไม่จริง ด้วยที่ท่าเหมือนราวกับเรื่องที่คุยเมื่อกี้เป็นเรื่องตลกคาเฟ่
“มันจะทำการใช้ข้อมูลนิสัยและแนวคิดทั้งชีวิตของเธอมาออกแบบตัวตนExousiaของเธอ ก็อย่างเช่น ความเศร้าของเธอ ความรักของเธอ ความโลภของเธอ ความสิ้นหวังของเธอ และความปรารถนาของเธอ”
เด็กหนุ่มตัวค้างไปเนื่องจากความสับสน สมองของเค้ายังประมาณผลข้อมูลที่ได้รับไม่ทัน
“เรื่องที่จะบอกก็มีแค่นี้แหละ”
เธอหันหลังกลับไปและเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ ตอนที่เธอจับลูกบิดประตูเธอก็เอ่ยปากออกมา…
“จริงสิ ฉันลืมบอกไปเรื่องนึง ถ้าเธอใช้มันเธอจะเสียอะไรบางอย่างไปและจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป จงเตรียมใจและคิดให้ดีๆก่อนที่จะใช้มัน และก็เธอจะตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องนอนของเธอ”
“เดี๋ยวก่อนยังมีเรื่องที่อยากจะ….”
สติของเขาก็ดันไป หลังจากที่ประตูถูกปิดลง
วันที่30พฤษภาคม2011 ณ เกาะกลางทะเลนอกชายฝั่งที่ถูกตัดขาดจากพื้นดินเมืองแห่งการศึกษาสึกามิมีพื้นที่57,589ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งหมด5.7ล้านคน แบ่งเป็น27เขต สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเมืองมีประชากรส่วนใหญ่มากกว่า69%เป็นนักเรีย อีก15%นักวิจัยและครู มีนักเรียนจากทั่วโลกมารวมตัวกัน
หอพักนักเรียนชายเก่าๆแหล่งนึงในเขตที่4 ภายนอกผนังที่ควรจะเป็นสีขาวกลับถูกคราบสกปรกที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานกลบ ที่ชั้น6บริเวณริมสุดตรงทางเดินมีห้องที่ป้ายหมายเลขและชื่อของเจ้าของห้องถูกเขียนไว้ราวกับไม่ได้ตั้งใจที่จะเขียนมันเลย643-ซาโตะ อายูมะ
แสงแดดยามเช้าส่องทะลุผ่านม่านหนาสีกรมท่า เข้าที่ดวงตาของโดเมย์ อายูมะ ที่กำลังนอนหมดสภาพหลังผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน
“เช้าแล้วหรอ…”
เขาค่อยลุกขึ้นสลัดจากแรงดึงดูดจากเตียง
“โอ้ย!?”และทั้งที่หลังจากการก้าวขาออกจากเตียง เค้าก็ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า และเป็นเวลานั้นเอง
“เจ็บๆ หืมมม…นี่มัน”
มันก็คือผ้าพันแผลที่พันอยู่ทั่วตัวอย่างดี และเค้าก็สังเกตได้ที่ปลายแขนขวาของเค้ามีสร้อยข้อมือที่ดูไม่เข้ากันกับตัวเขาอย่างแรง ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกคือมันไม่ได้มีไว้เพื่อผูกกับข้อมือแต่เพื่อไม่ให้หล่นมันหายไป มันคือลูกเต๋าสีดำ20หน้าที่เห็นในความฝัน
“ไม่ใช่ความฝันจริงๆสินะ”
สีหน้าของเขาซีดลง เหงื่อที่หน้ารังเกียจไหลท่วมหน้าเขา
“จริงสิวันนี้ ต้องไปโรงเรียนด้วยนิหว่า อ่าาาสายแล้ว!!”
เวลาปัจจุบัน06:32น.
ยามเช้าของวันไปโรงเรียนแสนธรรมดา เมืองแห่งการศึกษาที่หอพักชายในเขตที่4 ชั้น6ห้องของ ‘ซาโตะ อายูมะ’ นักเรียนมัธยมปลายที่กำลังรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ โดยเอาน้ำมาล้างแค่หน้ากับแปรงฟันแบบลวก ๆ แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนบนเก้าอี้สีดำที่สภาพดูไม่จะไม่ได้รับการดูแลเลย วิ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
เวลา06:59น. ถนนระหว่างทางไปโรงเรียนที่ซาโตะ อายูมะเรียนอยู่ สภาพโดนรอบดูเรียบง่ายแต่ก็ไม่ได้ดูตกยุค พื้นถนนถูกปูด้วยอิฐสีเหลืองอ่อน
“เห่…วันนี้คาสึมะมาถึงเป็นคนแรกหรอ ฝนคงตกหนักแน่”
นักเรียนมัธยมปลายผมสีทองท่าทางเหมือนนักเลงที่อยู่ตรงหน้าของอายูมะก็คือเพื่อนสมัยของเค้า ‘คิซารากิ คาสึมะ’ ที่ยืนเล่นโทรศัพท์ที่ทางเบื่อ ๆ อยู่คนเดียว
“กวนโอ้ยกันใช้”
“เปล่าก็ปกติสึกิโนะจะมาเป็นคนแรกตลอดและคาสึมะนะจมาสายที่สุดในกลุ่มไม่ใช่หรอ แถมดันมารอเป็นคนแรกร้อยวันพันปีจะมีซักหน”
“กวนโอ้ยกันเห็นๆเลยนิหว่า!!”
คาสึมะกระโดดพุ่งไปล็อกคออายูมะ โดยที่ไม่ได้ตั้ง
“โอ้ย ๆ …ยอมแล้ว ๆ พวก”
ในระหว่างชุลมุน ก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างกระทันหัน
“พวกนายนี่นะจะเล่นกันก็ชวนดูสถานที่หน่อยสิ ว่าแต่ผ้าพนฝันแผลนั้นคืออะไร”
เสียงผู้หญิงที่แทรกเข้ามาอย่าง ก็คือ ‘อามาโนะ ยูริโกะ’ เป็นเพื่อนสมัยเด็กของอายูมะและคาสึมะ ที่ดูด้วยแววตาเอือมระอาทั้งสองคอง
“อุบัติเหตุเล็กน้อยนะ”
“งั้นหรอ”
“เอ้าๆ เล่นกันพอแค่นี้แล้วไปโรงเรียนกันได้แล้ว”
เธอหันหน้ามาพูดด้วยเสียงที่นุ่นนวลพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วสึกิโนะกับอากินะแหละ”
“ทั้งสองคนไปรอที่โรงเรียนก่อนแล้ว”
“ถ้างั้นพวกเรารีบไปก่อนโรงเรียนกันก่อนเถอะ”
เวลา07:11น. พวกอายูมะอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมแห่งนึงในเมืองแห่งการศึกษา อาคารสีขาวขนาดใหญ่ดีไซน์ดูเลียบ ๆ แบน ๆ ที่ชั้นบนๆมีสะพานมีหลังคาที่เชื่อมกับตึกรอบ ๆ ภายในอาคารหลักหากเข้าไปครั้งแรกอาจจะพูดได้เลยว่าเป็นเขตวงกตขนาดยอม ๆ เคยมีเหตุการณ์นักเรียนจำนวนมากหลงทางอยู่ในนั้นเป็นชาติ ภายหลังเลยต้องมีแผนที่ติดไว้หลายจุดภายในอาคาร
“เส้นยาแดงผ่าแปดเหมือนเคยละนะ”
“เวลาเดินเข้านะเหลือ ๆ เลยละ”
คาสึมะเอามือไขว้หลัง แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่เคยได้ยินมั้ย ข่าวเรื่องนักเรียนใหม่นะ”
ยูริโกะเริ่มพูดเปิดประเด็น
“อ่อ ใช้นักเรียนที่จะเข้ามาในสัปดาห์หน้าอะไรนั้นใช่มั้ย รู้สึกว่าจะประสบอุบัติเหตุอะไรซักอย่างจนต้องพักรักษาแถวนี้ตั้งหนึ่งปีเต็ม”
“คิดว่าจะเป็นคนแบบไหนละ”
“ไม่รู้สิ จะยังไงก็ได้ช่างมัน”
“อามูยะคุงยังเป็นพวกไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากการ์ตูนกับเกมเหมือนเคย”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ ว่าแต่วิชาแรกวิชาอะไรนะ”
“รู้สึกว่าจะเป็นชีวะนะ เห็นว่าวันนี้จะมีสอบเก็บคะแนนเยอะซะด้วยนะวันนี้”
“ไม่จริง มีสอบด้วยหรอนี้พีงเปิดเทอมแค่สัปดาห์กว่าเองนะ”
คาสึมะพูดด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน
“ลืมไปแล้วสินะ”
“คงลืมจริง ๆ นั้นแหละ”
ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูด้านบนมีป้ายห้องเขียนไว้ว่า2/3 ถ้าหากให้อธิบายคงเป็นที่มีกำแพงกระจกที่สามารถมองเหตุได้จากทั้งสีทิศยกเวนบริเวณกระดานดำสีขาว กำแพงกระจกสามารถเปลี่ยนเป็นกำแพงสีขาวทึบในทันที เค้าค่อยเปิดประตูอย่างช้า ๆ ภายในห้องก็คือ… จะว่าไงละ ภายในห้องมีแต่ความสับสนวุ่นวายราวกับอยู่ในคอนเสิร์ต มีเสียงคุยเจียวจ้าวดันอยู่เป็นระยะๆ ด้านหลังห้องหัวหน้าห้องเล่นกีต้าร้องเพลงที่เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่ง มีพวกที่ยืนเต้นอยู่บนเก้าอี้ด้วย
“อรุณสวัสดี มาแล้วกันหรอ”
เสียงทักทายที่มาจากหลังห้องตรงข้ามกับพวกที่เล่นกีต้าอยู่ เป็นเสียงผู้หญิงที่ฟังดูง่วงเหงาหาวนอนมากๆ เป็นเสียงของ ‘มิซากิ สึกิโนะ’
“ราตรีสวัสดี”
“แปลว่าเมื่อคือเล่นเกมโต้รุ่งสินะ”
“ไม่ไหวเลย”
อายูมะกับคาสึมะพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกนายก็กล้าพูดเนอะ ไม่ดูตัวเองเลย”
“เอ้าอ่าวเก็บโทรศัพท์ได้แล้ว07:20แล้ว” ครูประจำชั้นตะโกนออกมาจากหน้าห้องที่มีกล่องพลาสติกสีชมพูสำหรับเก็บโทรศัพท์ของทุกคน
ประมาณ1ชั่วโมงผ่านไป เวลา08:20น. มีซากศพจำนวนมากกองเพนิน ถ้าจะพูดให้ถูก คือเหล่านักเรียนที่พึ่งสอบมาเสร็จมาดๆสภาพทุกเหมือนคนเหมือนศพที่นอนรอการย่อยสลายไปตามธรรมชาติ บางคนก็นอนตายอยู่บนโต๊ะนักเรียน บางคนก็ไปนอนตรงพื้น บางคนก็นั่งสมาธิและมีสวดมนตร์อะไรซักอย่างลอยออกมาจากปาก บางคนก็หยิบหนังสือขึ้นมาเพื่อเช็คคำตอบของตัวเอง ส่วนพวกของอายูมะนั้นก็ก็สภาพไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงกับนอนตายเป็นซาก อายูมะมานั้งอ่านนิยายแฟนตาซีเพื่อความผ่อนคลาย
ประโยคสนทนาในห้องก็จะยังพอมีอยู่เช่น ข้อนี้ตอบอะไร ข้อนั้นตอบอะไร ราว ๆ นี้ และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงพักกลางวัน พวกอายูมะกำลังนั้งตรงม้านั่งของตึกมัธยมต้นที่ชั้น1
“เวลานี้ผ่านไปไวจริงๆเลยนะ”
คนที่บนออกมาคืออายูมะ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ สรุปแล้วอากินะจังก็ไม่มาสินะ”
“คงไม่สบายแหละ ด้วยให้อายูมะคุงไปเยี่ยมและเอางานไปส่งเลย”
“ทำไมต้องเป็นชั้นวะ” เค้ากลอกตาไปมองที่ยูริโกะอย่างช้า
“ก็นายไม่น่าจะมีธุระอะไรนิ” เป็นคำพูดที่เค้าเถียงไม่ออก
“…ครับๆเข้าใจแล้วครับ”
“วันนี้ไม่ค่อยมีประเด็น” คาสึมะพูดด้วยเสียงที่นิ่งเรียบ
“ถ้าประเด็นกรือกัวข้อก็มีแค่เรื่องนักเรียนใหม่ ไม่ก็ข่าวคดีคนหายจำนวนมากเป็นประวัติการณ์”
“แล้วนั้นมันอะไรละนั้น”
“รู้สึกว่าน่าจะเป็นข่าวที่ว่ามีคนจำนวนมากที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หายตัวไปในเวลาไล่เลี่ยกันนะ”
อายูมะพูดในสิ่งที่เค้ารู้จากการฟังข่าวเมื่อหลายวันก่อนและพยายามเอาไปปะติดปะต่อเรื่องในข่าวกับเรื่องที่เจอเมื่อวานนี้ภายในหัว เค้าพอที่จะเข้าใจบางส่วนแล้ว
“มันก็ไม่ใช่ประเด็นให้พูดคุยตามสไตล์กลุ่มเรานี่หว่า…”
เวลา16:13น. เวลากลับบ้านของเหล่านักเรียน อายูมะเดินไปที่หอพักของ ‘นานาเสะ อากินะ’ คนเดียวเพื่อที่จะเอางานของวันนี้ไปส่งให้
‘ติดอง…’
“นี่อากินะ ชั้นเอางานมาส่งนะ นี่นอนอยู่รึไง”
เอาหยิบโทรศัพท์หน้าจอสัมผัสเก่าออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ตุด…ตึก…ตุก…ตึก…หาโหลใครคะ”
เสียงที่ฟังดูลุกลี้ลุกลนดันออกมาจากโทรศัพท์เก่าๆ
“ชั้นเองอายูมะไง วันนี้เอางานมาส่งให้เฉยๆนะ”
“อะ…อายุมะคุงหรอ ขะ…ขะ…ขอบคุณ”
เสียงเต็มไปความสับสนและมึนงงจบลงก่อนที่จะมีเสียงเดิน ‘กึๆ’ ก่อนที่ประตูจะเลื่อนเปิดออก
“โย้ว อะนี่”
“อ่าขอบคุณ”
เขายื่นของให้เธอโดยไม่ใส่ใจอะไร
“นี่เธอเป็นอะไรมากมั้ย หมายถึงอาการป่วยนะ”
“อ่าก็ยังไม่ค่อยดีเท่ไหร่ เออคือว่าขอบคุณจริงบ่าย”
“เอาเดียวก่อน”
เธอรีบปิดประตูก่อนที่เค้าจะพูดจบ
“เป็นอะไรของเค้าเนี่ย ช่างเถอะกลับก่อนแล้วกัน”
‘นั้นสิ ๆ เธอคนนั้นดูตกใจตอนเห็นนาย อย่างกับเห็นเลยนะพวก’
เค้าหันไปด้านหลังที่ที่น่าจะเป็นต้นเสียง แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ในสถานะการแบบนี้คงบอกได้แค่ว่าหูแว่วหรือไม่ก็คิดไปเองนั้นแหละ
เค้าค่อย ๆ เดินกลับหอของเค้าอย่างช้า ตอนนี้เค้าบนทางเดินกลับหอที่เดิมที่เคยใช้แล้วหลุดไปที่แปลงเมื่อคืนนี้ และระหว่างทางที่เดินก็มีเสียงพูดมากน่ารำคาญที่ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่เสียงแว่ว พูดมาไม่หยุดเป็นชาติแล้ว
‘นี่ๆ ทางนี้มันทางที่นายโดนเล่นงานเมื่อวานไม่ใช่หรอ’
“ช่วยเงียบไปก่อนได้มั้ย เอาไว้พอถึงหอแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน ถ้าพูดคนเดียวมันจะดูเป็นคนบ้าสิเฟ้ย”
’นายก็แค่หยิบหูฟังมาใส่แค่นี้ พูดดูไม่แปลงแล้วน่า’
‘เฮ่ ขอแนะนำรีบให้ก่อนที่มันจะรู้สึกว่านายอยู่ตรงนี้ ควรก่อนเคราะห์ดีที่มีบุคคลที่สามเข้ามาแทรกแต่คราวนี้มันของจริงแน่’
“เห้ย ๆ ทำไมไม่รีบบอกตั้งแรกละ’
และทันใดนั้นพื้นที่รอบๆก็เปลี่ยนไปทันที่ ‘เอาอีกแล้วเลาะ’ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว พื้นที่ถูกเปลี่ยนจากพื้นอิฐเป็นงานศิลปของเด็กสามขวบ ตึกรามบ้านช่องเปลี่ยนเป็นงานศิลปะตัดแปะโทนสีม่วงทอง ทองฟ้าปกคลุมไปด้วยความมืดยาวค่ำคืน แต่ก็มีแสงสว่างจากไหนไม่
“ซวยชะมัด” อายูมะพึมพำออกมาจากลำคอ
‘ไม่เอาน่า ยังไงซักวันก็ต้องเจอ’
“ไม่จริงงงงง!!”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!