สิ่งที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า

บทที่ 1 – คืนที่ไม่มีดาว

ค่ำคืนนั้นเงียบจนผิดธรรมดา—ไม่มีเสียงสัตว์ ไม่มีเสียงลม มีเพียงความว่างเปล่าหนักอึ้งที่กดทับลงมาบนทุกสรรพสิ่ง อีเลียส แฮร์โรว์ยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม้ที่เป็นรอยแตก ท่ามกลางแสงเทียนสลัว ๆ ที่ขับไล่ความมืดได้เพียงน้อยนิด เขาเฝ้ามองท้องฟ้าที่ไร้ดาว รู้สึกถึงบางอย่างในอากาศ

จากขอบฟ้าเหนือป่าทึบ แสงสีฟ้าครามพลันฉายวาบ แสงนั้นไม่เหมือนฟ้าผ่าหรือแสงเหนือ แต่มัน “ลื่นไหล” เหมือนหมึกในน้ำ และมันพุ่งตกลงสู่ผืนโลกโดยไม่มีเสียง

แผ่นดินสั่นสะเทือนเพียงชั่ววินาที ตามมาด้วยกลิ่นบางอย่าง...กลิ่นเหมือนเนื้อไหม้ปนโลหะเก่า อีเลียสไม่เคยกลัว แต่ครั้งนี้หัวใจของเขาเต้นแรงผิดปกติ เหมือนบางสิ่งในร่างกายพยายามจะหนีออกจากกระดูก

เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุม หยิบตะเกียงน้ำมัน แล้วเปิดประตูไม้เก่าที่ส่งเสียงเอี๊ยดแหลมออกมา เขาไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะคิด ทว่าในหัวของเขามีเพียงเสียงหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า—เสียงที่ไม่ใช่ของเขา

“เจ้าต้องไป...”

 

บทที่ 2 – ร่องรอยแรก

อีเลียส แฮร์โรว์ก้าวลึกเข้าไปในป่าทึบที่เปียกชื้นและเย็นยะเยือก ราวกับหมอกในคืนนั้นจะแทรกซึมเข้าผิวหนังแทนลมหายใจของเขา แสงจากตะเกียงน้ำมันสว่างวูบไหวในมือ คล้ายจะกลัวสิ่งที่อยู่ในความมืดเสียเอง

เขารู้เส้นทางในป่านี้ดี—มากกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนไป บางต้นไม้ดูเหมือนจะบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อย กิ่งบางกิ่งที่ไม่เคยมี ก็ปรากฏขึ้นมาในที่ที่ไม่น่าจะมี

ไม่นานนัก เขาก็มาถึงจุดที่แสงสีฟ้าตกลงมา

กลางป่าโล่ง ราวกับมีบางสิ่งขุดพื้นดินเป็นวงกลมขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสิบเมตร ดินดำสนิทและไหม้เกรียมเป็นชั้น ๆ มีเส้นลวดลายประหลาดคล้ายรากไม้ฝังแน่นอยู่รอบหลุม เส้นเหล่านั้นเรืองแสงจาง ๆ เมื่อเขาขยับเข้าใกล้

แต่ที่ทำให้เขาหยุดหายใจชั่วขณะ...คือวัตถุขนาดเท่าฝ่ามือ ที่นอนนิ่งอยู่กลางหลุม

มันดูไม่ใช่โลหะ แต่ก็ไม่ใช่หิน พื้นผิวของมันเป็นเงาสีดำลึกจนดูคล้ายจะกลืนแสงรอบข้าง และหากมองนานพอ เหมือนจะเคลื่อนไหวภายในอย่างช้า ๆ เหมือนของเหลวบางอย่างพริ้วไหวภายในรูปร่างคงที่

อีเลียสก้มลง หยิบมันขึ้นมาช้า ๆ ความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวของเขา ไม่ใช่ความตื่นเต้น...แต่คือ การรับรู้ของบางสิ่งที่กำลังตื่น

เสียงครางต่ำ ๆ ดังก้องอยู่ในจิตสำนึก—ไม่ใช่ด้วยหู แต่ด้วยความรู้สึกที่ลึกกว่านั้น มันคล้ายกับคำพูดที่ยังไม่ได้เปล่งออกมาจากสิ่งที่ไม่มีปาก ไม่มีภาษา

เขากลับมาที่บ้านพร้อมวัตถุนั้น และวางมันไว้กลางโต๊ะ ห่างจากตัวเขาราวหนึ่งช่วงแขน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกว่า...มันกำลังจ้องมองเขา

และเมื่อคืนมาถึง เสียงกระซิบก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ ไม่ใช่แค่เสียงเดียว

 

บทที่ 3 – เสียงที่ไร้ปาก

คืนถัดมา บ้านไม้ของอีเลียสเงียบเกินกว่าจะเรียกว่าปลอดภัย ไม่มีเสียงแมลง ไม่มีเสียงไม้ลั่น ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของเขาเองที่รู้สึกว่าค่อย ๆ หายไปจากตัวตน ราวกับว่ากาลเวลารอบตัวเขาถูกดูดกลืนไปทีละวินาที

เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ โดยมีวัตถุปริศนาวางนิ่งอยู่เบื้องหน้า แม้มันจะไร้การเคลื่อนไหว แต่ในความรู้สึกของเขา มัน “ดิ้นอยู่” ตลอดเวลา ราวกับมันมีชีวิต มีจิตสำนึก และมีกระแสความคิดที่กำลังสอดแทรกเข้ามาในสมองของเขา

เสียงเริ่มแรกนั้นแผ่วเบาเหมือนลมกระซิบ เขาคิดว่าตนเองจินตนาการไปเอง แต่เมื่อเขาเอามือปิดหู เสียงนั้นกลับ “ชัดเจนขึ้น”

> “เอียนธาล์...อาร์-ธา-โกล...โซธาลิออน...”

ถ้อยคำแปลกประหลาดไร้ความหมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง รวดเร็วเกินกว่าจะจับใจความ แต่มัน ฝากร่องรอย ไว้ในจิตใจ เหมือนน้ำหมึกหยดลงบนผ้าขาว และค่อย ๆ แพร่กระจาย

มือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวเอง เขาหยิบปากกา และเขียนสัญลักษณ์ประหลาดลงบนกระดาษ ไม่ใช่ภาษาใดในโลกที่เขารู้จัก มันเหมือนอักขระของบางสิ่ง...ที่โบราณเกินกว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้

ในกระจกเหนือเตาผิง เขาเห็นบางสิ่งที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น—เงาร่างสีดำสูงผิดธรรมชาติยืนอยู่เบื้องหลังเขาในภาพสะท้อน รูปร่างของมันไร้รายละเอียด ไม่มีใบหน้า ไม่มีแขน ไม่มีขา มีเพียงเงาทึบที่เหมือนหมอกกำลังควบแน่นด้วยจิตอาฆาต

แต่เมื่อเขาหันกลับไป มันก็หายไปแล้ว

กระดาษตรงหน้าเขามีอักขระเขียนเต็มหน้ากระดาษ และเขาไม่อาจหยุดเขียนได้ มือของเขาเหมือนถูกควบคุม เส้นหมึกลากไปตามคำสั่งที่ไม่ได้ยิน แต่ เข้าใจ

สิ่งนั้นกำลังพูดกับเขา

ไม่ใช่ด้วยเสียง

ไม่ใช่ด้วยภาพ

แต่มัน “ซึมเข้าสู่จิต”

และเมื่อเขาผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาฝัน—ฝันถึงดวงดาวสีดำที่หมุนรอบหลุมว่างเปล่า เสียงกรีดร้องของเวลา และบางสิ่งที่ใหญ่เกินจักรวาล ซึ่ง กำลังหันมามองเขา

 

บทที่ 4 – ร่างที่ซ่อนอยู่

รุ่งเช้าแทบไม่ต่างอะไรกับรัตติกาล แสงจากดวงอาทิตย์ส่องลงมาอย่างอ่อนแรง ราวกับมันเองก็หวาดกลัวต่อสิ่งที่ซ่อนอยู่บนผืนโลก อีเลียสตื่นขึ้นมาบนพื้นห้อง กระดาษเต็มไปด้วยอักขระแปลกประหลาดกระจัดกระจายรอบตัวเขา และวัตถุสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะดูเหมือนจะ "ขยับเข้าใกล้" มากกว่าที่เขาจำได้

เขารวบรวมเอกสารทั้งหมดและเผามันทิ้งในเตาผิง แต่ควันสีดำที่ลอยออกมากลับมีกลิ่นบางอย่าง...กลิ่นเหมือนเลือดที่ผ่านเวลา กลิ่นที่กระตุ้นสัญชาตญาณดิบของสมองส่วนที่เก่าแก่ที่สุดให้ หวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล

หลังจากล้างหน้าที่บ่อข้างบ้าน เขาสังเกตเห็นบางสิ่งแปลกตาในกระจกน้ำ—ใบหน้าของเขาดูเหมือนบิดเบี้ยวไปชั่ววินาที ดวงตาของเขาเหมือนจะมีบางสิ่ง “มองกลับมา” จากภายใน ไม่ใช่เขา...แต่เป็นบางอย่าง ที่อยู่ลึกกว่าเขา

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ อีเลียสได้ยินเสียงฝีเท้า—ไม่ใช่จากคน แต่ก็ไม่ใช่สัตว์ มันไม่หนักพอจะเป็นมนุษย์ ไม่เบาพอจะเป็นหมา มันคือฝีเท้าของบางสิ่งที่ "เดินด้วยร่างที่ไม่ควรมีอยู่"

เขาเปิดประตูบ้านออกช้า ๆ และพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

ไม่มีเลย...

จนกระทั่งเขากลับเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู

เสียงฝีเท้านั้นกลับดังขึ้นอีกครั้ง ภายในบ้าน

อีเลียสหยิบไฟฉาย ค่อย ๆ เดินผ่านห้องโถง เสียงฝีเท้าเงียบลงเมื่อเขาเข้าใกล้ แต่มันไม่หายไป—มันแค่ “เปลี่ยนที่อยู่”

เขามาถึงห้องเก็บของ ซึ่งไม่เคยเปิดใช้งานมาหลายปี กลอนเก่า ๆ ขึ้นสนิมยังคงแน่นหนา แต่เขาสัมผัสได้ว่ามี “บางอย่าง” อยู่ข้างใน เสียงหายใจแผ่วเบาเหมือนคนกำลังกลั้นหายใจอยู่หลังประตูไม้

เมื่อเขาตัดสินใจเปิดประตู...

ภายในว่างเปล่า

ไม่มีสิ่งมีชีวิต

แต่พื้นไม้กลับเต็มไปด้วยรอยเท้า...ไม่ใช่เท้าคน ไม่ใช่เท้าสัตว์ แต่เป็นรอยเท้าที่ยาวผิดรูป มีสามนิ้ว และมี "รอยครูด" ตามข้าง ๆ เหมือนมีอะไรลากตามมา

และบนผนังไม้ มีบางสิ่งถูก “ขูด” ทิ้งไว้

อักขระเดียวกับที่เขาเขียนเมื่อคืน

แต่เขาไม่ได้เขียนมันไว้ที่นั่น...

 

บทที่ 5 – ผู้เฝ้าประตู

อีเลียสไม่อาจข่มตาหลับได้อีกเลยตั้งแต่คืนนั้น

เขานั่งอยู่ในความมืดโดยมีตะเกียงน้ำมันสว่างเพียงเลือนราง วัตถุปริศนาอยู่บนโต๊ะ ตรงจุดเดิม—แต่เขารู้ว่ามันไม่ได้ “อยู่นิ่ง” เลย

ในขณะที่เขาจ้องมองมัน ก็เหมือนมันจ้องกลับ และในเงาสะท้อนจากกระจกด้านหลังเขา...บางครั้งมันก็ “มีเงาเพิ่มขึ้นมา”

ความหวาดระแวงผลักดันให้อีเลียสตัดสินใจออกจากบ้าน เขาไม่รู้ว่าต้องการไปที่ไหน แต่ฝันในคืนก่อนชี้นำเขา—ภาพของอาคารสีเทา ซากสถานีเก่าที่ถูกปล่อยร้างมานานกว่าสิบปี

สถานีร้างหมายเลข 9

ที่ซึ่งไม่มีใครกลับออกมาอีกนับตั้งแต่เกิด “อุบัติเหตุ” ที่ไม่มีการอธิบาย

เส้นทางสู่สถานีเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านเหมือนแขนของคนที่ถูกเผา เปลือกไม้แตกร้าว และมอสสีดำเกาะเต็มพื้น ราวกับว่าผืนป่ากำลังตายอย่างช้า ๆ

เมื่อเขามาถึงสถานีร้าง

อีเลียสพบประตูโลหะขึ้นสนิมที่ยังเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ด้านในมืดสนิท มีกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้

เขาค่อย ๆ เดินเข้าไป ไฟฉายในมือส่องผ่านแผ่นเหล็กขึ้นสนิม ฝุ่นหนาแน่น และผนังที่มีรอยขูดเป็นเส้นซ้ำซาก

ที่ห้องด้านในสุด เขาพบตู้เหล็กใบหนึ่งที่ถูกล็อกไว้ด้วยกลไกเก่า ๆ และฝุ่นที่หนาทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครเปิดมันมานานแล้ว

แต่เมื่อเขาสัมผัสที่กลอน

มัน “เปิดออกเอง”

ภายในตู้มีเอกสารเก่าแก่ ผุพัง และม้วนไมโครฟิล์มที่จารึกข้อมูลจากยุคก่อนการล่มสลายของสถานี

มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตา—แฟ้มบันทึกเขียนด้วยลายมือ ในหน้าปกมีข้อความว่า:

“ผู้เฝ้าประตู” – รหัสการเฝ้าระวังพิเศษสำหรับการสำรวจวัตถุ Xeno-04

ใจเขากระตุก วัตถุ Xeno-04 คือสิ่งที่เขาเก็บมาจากป่าใช่หรือไม่?

เขาอ่านต่อ และขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง “ขยับ” อยู่ในความมืดด้านหลัง...

> “Xeno-04 มิใช่เพียงสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หากแต่เป็น ตัวกลาง ระหว่างโลกของเราและสิ่งที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของมนุษย์ ผู้ที่สัมผัสมันจะเริ่ม ‘ได้ยิน’ และเริ่ม ‘เขียน’ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน...หรือมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา”

อีเลียสรู้ทันทีว่า เขาไม่ได้เป็นแค่เหยื่ออีกต่อไป

เขาเริ่มกลายเป็น “ประตู”

และมีบางสิ่งกำลังรอจะเปิดเข้ามา

 

บทที่ 6 – จิตที่หลุดลอย

เมื่ออีเลียสเดินกลับจากสถานีร้าง ฟ้าก็เริ่มหม่นลงอย่างผิดธรรมชาติ

ไม่ใช่ยามค่ำ ไม่ใช่พายุ

มันเหมือนเงามืดจากเบื้องบนกำลังคลุมท้องฟ้าไว้เหมือนผืนผ้าสีดำที่แผ่ปกโลก

เขารู้สึกว่าตนเองเบากว่าปกติ—ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็น จิตสำนึก

บางส่วนของเขาเหมือนกำลัง “หลุดออกจากกัน” ช้า ๆ

เมื่อก้มมองเงาของตนเอง มันไม่ขยับตามร่าง

เงานั้น...เคลื่อนไหวเอง

ถึงบ้าน เขาพบว่าเอกสารที่เผาไปแล้วนั้นกลับมาปรากฏอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง แต่อักขระที่เคยบรรจงกลับกลายเป็นลายมือหวัดเร่งรีบ และบางแผ่นมีคราบเลือดซึมเป็นวง

เขาพยายามอ่าน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามมองตรง ๆ ตัวหนังสือเหล่านั้นจะ “เปลี่ยนไป” เหมือนมันไม่ต้องการให้ถูกเข้าใจ

คืนถัดมา

เขาฝันอีกครั้ง—ฝันถึงสถานที่ที่ไม่มีรูปทรง ไม่มีมิติ ไม่มีแสงหรือเสียง แต่เต็มไปด้วย “การรับรู้” ที่หนาแน่นเกินจะทนรับไหว

มีบางสิ่งรอเขาอยู่ที่นั่น มันไม่มีร่าง ไม่มีชื่อ แต่เขารู้ว่ามันคือ ผู้เฝ้ามอง

มันไม่พูด มันไม่ขยับ

แต่มัน ซึมเข้าสู่จิตเขาเหมือนหมึกดำลงในน้ำใส

เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเลือดไหลออกจากจมูก และเสียงกระซิบในหัวที่ไม่หยุดแม้ในยามตื่น

> “ปล่อยให้ข้าเข้าไป...”

“บานประตูเปิดอยู่แล้ว...”

“เจ้าคือสะพาน เจ้าคือปาก เจ้าคือร่าง...”

เขากระโดดจากเตียงด้วยความตกใจ

ภาพในกระจกสะท้อนตัวเขาอีกครั้ง—แต่ในดวงตาเขา ไม่ใช่ตัวเขาเองที่อยู่ในนั้นอีกต่อไป

และเมื่อเขายื่นมือแตะกระจก

มันไม่แข็งเหมือนเคย

แต่ “ยุบ” ลงไป เหมือนแตะผิวน้ำ...หรือผิวของโลกที่บางเกินไปแล้ว

 

บทที่ 7 – สิ่งที่ลอดผ่านมา

ในคืนที่ฟ้าเงียบเกินกว่าจะเรียกว่าค่ำ อีเลียสนั่งอยู่กลางห้องในบ้านไม้ของเขา รายล้อมด้วยกระดาษอักขระ แสงจากตะเกียงค่อย ๆ หรี่ลงแม้ไม่มีลม สรรพเสียงทุกอย่างหายไป—แม้แต่เสียงหัวใจเต้น

เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป

หรือบางที “ที่นี่” ก็ไม่ใช่ที่เดิมอีกแล้ว

พื้นใต้ฝ่าเท้าเริ่มสั่นเบา ๆ ราวกับโลกหายใจ สอดคล้องกับเสียงกระซิบที่เริ่มชัดเจนขึ้น

> “มันมาแล้ว...”

“บานประตูเปิดออก...”

“เนื้อของเจ้า คือทางผ่าน...”

ทันใดนั้น กลางห้องเกิดแสงวาบที่ไม่มีที่มา ไม่มีทิศทาง เป็นแสงที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้—แสงที่ดูเหมือน “ทำให้ความมืดเข้มขึ้น”

จากศูนย์กลางของแสงนั้น มีบางสิ่งเริ่มก้าวข้ามเข้ามา

ไม่ใช่ด้วยร่าง

แต่มัน “ลอดผ่านมา” ผ่านเส้นเวลา ผ่านขอบเขตของสติปัญญา ผ่านอีเลียสเอง

พื้นไม้เริ่มมีรอยแยก ราวกับความจริงกำลังแตกร้าว

จากรอยแยกนั้นมีของเหลวสีดำไหลออกมา มันไม่เพียงแค่เปียกพื้น

มัน มีชีวิต

มัน “มองเขา”

และมัน “จำเขาได้”

เขาถอยหนี มือไม้สั่นเทา พยายามหยิบวัตถุปริศนาบนโต๊ะ หวังขว้างมันทิ้ง แต่พอสัมผัส...

มันดูดติดมือเขา

เหมือนว่ามัน “กลับบ้าน”

และในวินาทีนั้น อีเลียสรู้ความจริงบางอย่าง

สิ่งนี้ไม่เคยเป็นของจากฟ้า

แต่เป็นของที่ เคยถูกขับไล่ออกไป

และตอนนี้...มันกลับมา

เพราะเขาเปิดประตู

เสียงแผดร้องของโลก ทั้งในและนอกกายเขาดังกระหึ่มขึ้น

ทุกสิ่งสั่นไหว

กำแพงระหว่างโลกกับบางสิ่ง...กำลังพัง

 

บทที่ 8 – แดนที่ไม่มีชื่อ

โลกทั้งใบดูเหมือนถูกบิดเบี้ยวในชั่วพริบตา

อีเลียสไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร หรือว่าเขายังคงอยู่ในบ้านไม้หลังเดิมหรือไม่

เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง ทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นทะเลหมอกสีเทาหม่น หนาแน่นจนแยกไม่ออกว่าพื้นกับฟ้าอยู่ตรงไหน

ในหมอกนั้น เขาเห็นโครงร่างของสิ่งก่อสร้างที่บิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ—หอคอยที่โค้งงอเหมือนสิ่งมีชีวิต อาคารที่หายใจอย่างแผ่วเบา และแม่น้ำสีดำที่ไหลย้อนทวนขึ้นฟ้า

เสียงกระซิบยังคงอยู่ เสียงที่ไม่มีปาก ไม่มีที่มา

มันบอกเขาว่า ที่นี่คือ “แดนที่ไม่มีชื่อ”

สถานที่ที่อยู่ระหว่างความจริงและความว่างเปล่า

สถานที่ที่สิ่งโบราณถูกกักขัง และตอนนี้...กำลัง “ตื่นขึ้นมา”

ขณะที่อีเลียสเดินไปตามแม่น้ำสีดำ เขาพบเศษซากสิ่งมีชีวิตที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกแยก

ร่างที่เหมือนมนุษย์แต่มีแขนขามากกว่าปกติ

ดวงตาที่ไม่มีลูกตา

ปากที่เต็มไปด้วยเสียงกระซิบแทนคำพูด

เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากหอคอยกลางทะเลหมอก หอคอยที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะก้าวเข้าไปใกล้เท่าไร มันก็เหมือนห่างออกไปทุกย่างก้าว

และบนยอดหอคอยนั้น เขาเห็น...

เงาร่างดำมืดที่เหมือนกำลังก้มมองมาทางเขา

หัวใจเขากระตุก

มันไม่ใช่การมองด้วยตา

แต่มันคือการ “รับรู้” อย่างตรงไปตรงมา เหมือนจิตใจของเขาถูกเจาะตรงเข้าไปหา

เสียงหนึ่งก้องกังวานในหัวเขา ไม่ใช่กระซิบอีกต่อไป แต่เป็นเสียงที่หนาหนัก เหมือนโลกทั้งใบกำลังเปล่งเสียงเดียวกัน

> “เจ้าคือสะพาน...และสะพานย่อมถูกใช้…”

ทันใดนั้น อีเลียสรู้สึกว่าร่างกายเริ่มแตกสลายไม่ใช่ด้วยไฟ หรือความเจ็บปวดทางกาย

แต่ด้วยความจริงที่แหลกละเอียด—ตัวตนของเขากำลังถูกแปรเปลี่ยน เพื่อเตรียมเปิดทางให้ “สิ่งที่อยู่เบื้องหลังหมอก” ได้ก้าวผ่านเข้ามา

และในวินาทีสุดท้าย ก่อนสติสัมปชัญญะจะแตกสลาย

เขาได้ยินเสียงหนึ่งที่ต่างจากเสียงอื่นทั้งหมด

เสียงที่เป็นเหมือนเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์สุดท้ายในตัวเขา...

> “หนีไป... ก่อนที่มันจะสายเกินไป”

 

เยี่ยมเลย เราจะดำดิ่งสู่ความมืดที่ลึกกว่าเดิม ต่อไปนี้คือ บทที่ 9 – การแตกสลายของโลก จากนิยาย “สิ่งที่หล่นลงมาจากฟ้า” บรรยากาศจะหม่น มืด และสิ้นหวังอย่างที่ต้องการ:

 

บทที่ 9 – การแตกสลายของโลก

ฟ้าไม่มีสีอีกต่อไป

เสียงนก เสียงลม เสียงชีวิต...ได้หายไปหมดแล้ว

เหลือเพียงเสียง “ความว่างเปล่า” ที่กรีดแทงเข้าในโสตประสาทเหมือนเสียงกรีดร้องของจักรวาลที่สิ้นชีพ

อีเลียสทรุดตัวลงบนพื้นหมอก ร่างกายของเขาไม่ใช่ของเดิมอีกต่อไป—เนื้อเยื่อบิดเบี้ยว ผิวหนังแตกร้าวเผยให้เห็นเส้นใยสีดำที่เต้นเร่าอยู่ข้างใต้ เหมือนบางอย่างกำลังซ่อมแซมเขาใหม่ เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่มนุษย์

เขาพยายามพูด แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

ลิ้นของเขาไม่ขยับตามต้องการ

เขาเป็นเหมือนเครื่องเรือนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องที่ไม่มีเจ้าของ

รอบตัวเขา โลกเริ่มเปลี่ยนแปลง

ต้นไม้ไม่มีใบ

แม่น้ำไหลกลับด้วยของเหลวหนืดข้น

ท้องฟ้าแตกร้าวเหมือนกระจก และจากรอยแยกเหล่านั้นมีเงาดำไหลลงมาช้า ๆ

ไม่ใช่ฝน

ไม่ใช่หมอก

มันคือ “เศษเสี้ยวของสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ”

สิ่งที่อีเลียสรู้โดยสัญชาตญาณว่า ไม่ควรถูกมอง ไม่ควรถูกเรียก และไม่ควรมีอยู่เลย

เมืองทั้งเมืองเริ่มล่มสลาย

ผู้คนที่เหลืออยู่ในโลกต่างเริ่ม “ฝันพร้อมกัน” ถึงสถานที่เดียวกัน—แดนที่ไม่มีชื่อ หอคอยที่ไม่มีจุดสิ้นสุด และสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหลังม่านหมอก

พวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วหายไป

เหลือไว้เพียงเงาไหม้บนผนัง และเสียงกระซิบที่ยังคงหลงเหลือในอากาศ

โลกไม่ได้พังทลายด้วยสงคราม

ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ

แต่เพราะ “ความจริง” ได้ถูกเปิดเผย

ความจริงที่ว่า มนุษย์มิได้อยู่บนยอดแห่งห่วงโซ่จักรวาล

แต่เป็นเพียงเศษเสี้ยวความคิดของสิ่งที่ใหญ่กว่า

โง่กว่า

และกำลัง ตื่นขึ้น

อีเลียสเริ่มไม่แน่ใจว่าตนเองยังคงเป็นใคร

เขาไม่ได้รู้สึกกลัวอีกต่อไป

เพราะ “ความกลัว” เองก็ถูกกลืนกินไปแล้ว

เหลือเพียงสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่

เสียงจากหอคอยสูงสุด

ที่เปล่งออกมาผ่านทุกสายลม ทุกผนัง ทุกเส้นเลือดในร่างเขา:

> “เจ้าคือความหวังสุดท้าย...

...และความหวังก็สิ้นแล้ว”

 

บทที่ 10 – แสงที่ไม่ควรมีอยู่

ไม่มีแสงในที่แห่งนี้

ไม่มีเสียงในที่แห่งนี้

ทุกสิ่งถูกลบเลือนลงไปในความมืดที่ลึกยิ่งกว่าความว่างเปล่า

อีเลียสยืนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่สถานที่ เขาไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน หรือว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ในใจของเขาเอง ก็ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนที่เคยมีมา

เขาคือบางสิ่งที่ยังคงยืนอยู่ในแผ่นดินที่สูญสิ้น

เขาคือผู้เฝ้าผ่านเวลาและความเป็นจริงที่แหลกสลาย

เขาคือสะพานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้บางสิ่งได้ก้าวผ่าน—บางสิ่งที่ไม่เคยควรเข้ามา

และเมื่อแสงที่ไม่ควรมีอยู่เริ่มฉายขึ้นในเบื้องหน้า อีเลียสรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างในดวงวิญญาณของเขา มันราวกับมีบางสิ่งที่ขับเคลื่อนเขาไปข้างหน้า ขัดขวางไม่ให้เขาหนี

แสงนั้นเป็นแสงสีที่เขาไม่สามารถจดจำได้

มันเป็นแสงที่ไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์ หรือดาวที่เคยรู้จัก

มันคือแสงที่ลึกกว่า จนไม่อาจมองเห็น หรือเข้าใจด้วยสติปัญญามนุษย์

แสงนั้นแผ่ขยายออกไป ชั่ววินาทีที่มันปรากฏ มันดูดทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเข้าไปในตัวมันเอง—ไม่ใช่แค่สิ่งของ ไม่ใช่แค่ร่างกาย

มันดูดความเป็นจริงทั้งหมดเข้าไป

และในช่วงเวลานั้น อีเลียสเข้าใจถึงความจริงบางอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าตนจะเข้าใจ

โลกที่เขารู้จัก—ทุกสิ่งที่เขารักและกลัว—ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการทดลองของสิ่งที่เก่าแก่กว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้

มันไม่ใช่แค่การทดลองธรรมดา

มันคือการ “ทดลองความทรงจำ”

สิ่งที่หล่นลงมาจากฟ้าไม่ได้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตหรือวัตถุจากจักรวาล

แต่มันคือ “ความทรงจำที่ถูกลืม” ของจักรวาลที่กำลังถูกค้นพบ

ความทรงจำเหล่านี้กำลังหลอมรวมเข้ากับโลกแห่งนี้

และเมื่อมันหลอมรวมจนสมบูรณ์… โลกที่เขารู้จักจะกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองของสิ่งที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่เกินกว่าจะนึกถึง

ก่อนที่แสงนั้นจะดับลง สิ่งสุดท้ายที่อีเลียสได้ยินคือเสียงของสิ่งที่ไม่เคยมีชื่อ

มันเป็นเสียงที่ไม่ได้พูด แต่ รับรู้

มันก้องกังวานในทุกอณูของจิตใจเขา

มันคือคำสุดท้ายจากผู้ที่หลับใหลในความมืดมิด:

> “การเปิดประตูไม่ได้หมายถึงการเชื้อเชิญ... มันคือการลืมทุกสิ่งที่เคยเป็น”

และแล้วความมืดก็มาถึงอีกครั้ง—ไม่มีแสง ไม่มีชีวิต

โลกที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตชีวา กลายเป็นเพียง… หลุมที่ไม่มีวันเติมเต็ม

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!