ฉันนอนคิดมาทั้งคืนแล้วว่า จะใช้ใบหน้าหากิน ต้องมีใครอีกหลายคนในดินแดนนี้ที่หลงใหลในรูปลักษณ์นี้บ้างแหละหน่า แต่หยุดก่อน ฉันไม่ได้มีความคิดจะหากินกับเรื่องค้าประเวณีหรอก แค่คิดว่าจะใช้ใบหน้าน่ารักนี้ยังไงดีให้มีประโยชน์สูงสุด และมีแผนเอาไว้แล้วด้วย
แต่ก่อนอื่นเลย รูทีนที่ต้องตื่นตีสี่เพื่อออกกำลังกายนี่มันบ้าอะไรกัน นึกว่าจะทิ้งของพรรนี้เอาไว้กับกายหยาบซะอีก ตอนนี้ตาฉันสว่างโร่เลยล่ะ แต่ร่างกายนี้ไม่พร้อมกับการฝึกหนักเท่าไหร่ เป้าหมายแรกที่ต้องทำคือการหาโปรตีนให้ร่างกายซะก่อน และตอนนี้มันเช้าเกินไปที่สาวใช้จะตื่น สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ห้องครัวจนได้
ดูจากสภาพแล้วนางเอกคงไม่ได้รับอนุญาตให้กินอาหารแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ รวมถึงแม่ด้วย...
แต่ฉันเป็นนางเอกที่ไหนล่ะ ฉันคือพลทหารหญิงที่เลื่องลือด้านความดิบเถื่อนต่างหาก... หลังจากย่องเบาเข้ามาในห้องครัวได้สำเร็จ ตั้งใจว่าจะเอาตะกร้าใส่เสบียงอาหารเพื่อเข้าป่าไปศูนย์บัญชาการลับ (ตั้งชื่อเอง) แต่นึกขึ้นได้ว่ายังมีแม่อีกคนที่ต้องดูแลเธอให้ดี ฉันแอบทำอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าขนมปังโง่ๆ หนึ่งก้อนสำหรับหนึ่งมื้อนั่น ก่อนจะใช้ทักษะสกิลของร่างกาย (คิดไปเอง) ที่ว่องไวและเบาเหมือนสายลม แอบย่องเข้าห้องนอนของแม่ก่อนจะวางอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบห้าหมู่ไว้บนโต๊ะ และย่องออกมา ฟ้าสางแล้วเมื่อมองเห็นแสงจากพระอาทิตย์จึงรีบชิ่งไปยังศูนย์บัญชาการลับในป่าลึกทางฝั่งใต้ของปราสาท ซึ่งที่นั่นถูกปล่อยให้รกร้างด้วยความตั้งใจเพราะติดกับฝั่งชายแดนของอาณาจักรอื่น
พอจะนึกภาพออกว่าที่นั่นคือสถานที่แบบไหน มันเคยเป็นศาลาสำหรับนั่งพักจิบน้ำชาเล็กๆ ของพวกชนชั้นสูง แต่เพราะมันใกล้กับเส้นแบ่งชายแดนเกินไปจึงห่วงกับความปลอดภัย คงจะกลัวโดนลอบฆ่าได้ง่ายน่ะสิ...
แต่แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน มันจะได้ตกมาเป็นของฉันได้ไงล่ะ น่าแปลกที่กลางป่ากลางดงแบบนี้ มีแค่สวนศาลานี้เท่านั้นที่ดูไม่รก เหมือนกับได้รับการดูแลอย่างดี ช่วงแรกลีทได้แต่เเอบอยู่บนต้นไม้ไกลๆ เพื่อสังเกตการณ์แต่ก็ไม่เคยเห็นใครมาที่นี่เลย จึงวางใจและแอบหอบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดหลวงมาอ่านเท่านั้น
เด็กนี่โง่เป็นบ้าเลย แค่เห็นว่าไม่เคยมีคนมาที่นี่จึงคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ แล้วใครกันล่ะที่ดูแลศาลาพักผ่อนนี้น่ะ ฉันมั่นใจว่ามีคนเป็นเจ้าของมัน และลีทก็ไม่เคยถูกจับได้ ฉันก็ต้องการจะเช็กบางอย่างเหมือนกัน...
ก่อนอื่น ในป่าในดงแบบนี้..เด็กผู้หญิงคนเดียวมาที่นี่แต่ไม่เคยได้รับอันตรายจากสัตว์เลยสักครั้ง มันหมายความว่าไงกันล่ะ
ใช่ มีคนปกป้องเธออยู่ไกลๆ ส่วนหญิงสาวที่รับรู้ได้เพียงความสงบนั้นก็ชอบใจและมาที่นี่บ่อยๆ
เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้ที่คุ้นเคยก็พาทำให้เคลิ้ม ความทรงจำที่แสนสงบสุขเริ่มแล่นเข้ามาในหัว
''รู้แล้วน่า..ว่าชอบที่แบบนี้น่ะ"ฉันพึมพำกับตัวเอง เพราะหัวใจมันเต้นรัวไม่เป็นส่ำทำเอาอยู่ไม่สุขเลยน่ะสิ
ขวับ
"ออกมา!"ซิกเซนต์ สัญชาตญาณนักราตเวรของฉันมันทำงานขึ้นมาทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ในรัศมีครอบคลุมปลายสายตามีความเคลื่อนไหว
"ไม่งั้นฉันจะไปหาแกเอง!" ฉันขู่ไปแบบส่งๆ เพราะยังไม่ระบุได้แน่ชัดว่าคนหรือสัตว์ อาจจะเป็นแค่กระต่ายป่าก็ได้
"ก็ได้ๆ ให้ตายเถอะ เจ้าทำข้าขนลุกนะ"จู่ๆ เด็กชายตัวน้อยที่เหมือนจะอายุพอๆ กับฉัน..หมายถึง ในร่างลีทน่ะนะ พอเขาเดินมาใกล้ๆ แล้วก็ได้เห็นชัดขึ้น เส้นผมสีดำสนิทกับดวงตาสีฟ้าของน้ำทะเล เสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกดูแลอย่างดี ลูกคนรวยนี่เอง
เขาเดินเข้ามานั่งบนศาลา ตรงข้ามกับเธอ
"บอกชื่อมา"ฉันไม่วางใจเขาอยู่ดีแม้จะเป็นเด็ก ไอ้พวกลูกชนชั้นสูงแถมยังเป็นผู้ชายนี่แหละ จิ้งจอกเด็กดีๆ นี่เอง
"อันเควสโต ชาร์ลวิน..." เขาเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิใจพร้อมทั้งผายมือทาบอกเป็นกิริยาตามมารยาทในการแนะนำตัว
"...."
"เจ้าจะบอกว่าไม่รู้จักอันเควสโตงั้นหรอ...."
"..."เออว่ะ อันเควสโตคือใครกันล่ะวะนั่น ค้นหาในเศษเสี้ยวความทรงจำแล้วคิดไม่ออก
"...เหลือเชื่อเลย เจ้าไปอยู่ไหนมาเนี่ย"เด็กหนุ่มตรงหน้าเกาหัวแกร็กๆ ด้วยความงุนงง
"หุบปากซะ ฉันไม่สนหรอกว่าอันเควสโตคืออะไร ที่ฉันต้องการรู้ไม่ใช่ชื่อของนายด้วยซ้ำ" ฉันพูดอย่างระแวดระวัง ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น โฮ่ พอได้วาดมาดนักรบในร่างเด็กแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกชะมัด
"งั้นหรอ.. แม้แต่ชื่อของข้า..เจ้ายังไม่รู้จัก คงไม่จำเป็นหรอกมั้งว่าข้าทำไมถึงอยู่ที่นี่"ไอ้หมอนี่ เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ก็ยังรู้จักวางมาดแฮะ
"หรือจะบอกว่านายเป็นเจ้าของที่นี่กันล่ะ"ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก
"เปล่าหรอก... เเค่คิดว่าไม่เคยเห็นคนมาที่นี่ ยกเว้นเจ้า ข้าเลยให้คนคอยดูเเลมัน"
โอเค คำตอบผิดคาด นึกว่าจะตอบว่าเป็นของตัวเองซะอีก ถึงจะตอบเพราะโกหกฉันก็จะเชื่อแน่ๆ
"แอบดูฉันมานานแค่ไหนแล้ว"
"ไม่เอาน่า... เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกชอบถ้ำมองผู้หญิงงั้นรึ ข้าแค่เห็นเด็กผู้หญิงคนเดียวชอบเข้าป่ามาก็ต้องคอยสังเกตน่ะสิ"
นั่นก็จริงของเขา งั้นหมอนี่จะบอกว่าตัวเองคอยเล่นเป็นองครักษ์พิทักหญิงสาวในพงไพรรึยังไงนะ
"....."
"หมดแล้วรึ คำถามของเจ้าน่ะ...งั้นถึงคราวของข้าบ้าง"
"เจ้าเป็นใคร"
"คนธรรมดา"
"หมายถึงชื่อ...?"
"ลีโทจิน่า"
"ชื่อยาวชะมัด จิน่าแล้วกัน"
"ใครอนุญาตให้เรียกแบบนั้น"
"ข้าอนุญาตตัวเอง"
....
เพราะสายตาเรียบนิ่งและหยิ่งผยองที่เป็นอัญมณีสีแดงประกายนั่นหรือเปล่า มันถึงได้สะกดจิตใจของเด็กชายให้หลงใหลอยากมองอีกไม่มีที่สิ้นสุด จนทำให้เขาเผลอไผลคิดว่าตัวเองกลายเป็นคนชอบสิ่งสวยงามที่มีค่าหายากเกินจะเอื้อมไปซะแล้ว...
...
หลังจากวันนั้นที่ฉันได้มีเพื่อนคนแรก ไม่ว่าฉันจะไปที่นั่นอีกกี่ครั้งก็จะเจอหมอนั่นนั่งอยู่บนศาลาอยู่ก่อนตลอด และทำเหมือนว่ากำลังรอเราอยู่ด้วย แม้จะอยากพูดประโยคที่ว่าฉันแก่พอจะเป็นแม่แกได้เลยนะไอ้หนู แต่ก็ทำได้เพียงคิด เพราะมีเพื่อนที่เป็นคนรวยอยู่ข้างกายนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าไอ้เด็กคนนี้ไม่ใช่เจ้าชายที่เราต้องไปพบรักด้วยแน่นอนเพราะว่า สถานที่พบรักก็คือตรอกซาโน่ในเมือง และฉันตั้งใจว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นเด็ดขาด และอีกยังตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลานั้น
"เจ้ามาช้านะ"เด็กหนุ่มทักทายด้วยความอารมณ์ดี วันนี้มีชากับของว่างมาด้วยแฮะ แปลว่าเตรียมตัวมาดีเลยสิท่า หลังจากต้องแบ่งอาหารที่จิ๊กมาจากห้องครัวมาโดยตลอด
"ใครขอให้นายรอกันล่ะ"
"ใจดำเสียจริง..ว่าแต่ ทำไมเจ้าถึงได้พูดจาประหลาดๆ แบบนั้นล่ะ เจ้าไม่ใช่คนของจักรวรรดินี้หรอ"
"มะ..หมายถึงอะไร" ...จักรวรรดิงั้นหรอ นี่ไม่ใช่การใช้ชีวิตภายในอาณาจักรดินแดนเดียวหรอกหรอ?
"จิน่า.. เจ้าต้องไปเรียนหนังสือนะ" ไอ้หมอนี่มันจะบอกว่าฉันโง่สินะ ก็ต้องโง่สิ ในหนังสือไม่ได้มีอะไรแบบนี้นี่ ทั้งในความทรงจำของร่างนี้ก็ไม่มีสักนิด
"ข้า...ไปเรียนไม่ได้หรอก..ข้าไม่มีเงินมากพอ"ไหนๆ ก็ได้รับสายตาเห็นใจหรือสมเพชจากดวงตาคู่สีฟ้าสุกสว่างนั่นแล้วเปิดโอกาสขอสปอร์นเซอร์เลยแล้วกัน!
"ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป" พับผ่าสิ!ไอ้เด็กนี่มันดันมาซื่อเอาตอนนี้จนได้สิน่า ไม่รู้จักการลงทุนกับคอนแท็กเอาซะเลย แต่พอมองไปยังเด็กน้อยไร้เดียงสานี่ที่มีความแน่วแน่จะสอนเราขนาดนั้นแล้วปฏิเสธไม่ลงเลยแฮะ เอาเถอะ อย่างน้อยการจ้องจะขอเงินจากเด็กรุ่นลูกนี่มันดูไร้ศักดิ์ศรีชะมัดเลย แถมการได้รู้เรื่องชาติตระกูลของโลกนิยายนี้อาจจะช่วยได้ในการไต่สู่ความสำเร็จของเป้าหมายก็ได้
"เป็นไง ดูเจ้าไม่ตื่นเต้นเลยนะ"
"เปล่าหรอก ตื่นเต้นสิ...ตื่นเต้น..มากเลย"
"ใช่แล้ว มันต้องอย่างนี้สิ นักเรียนของข้า"
ฉันจะฆ่าไอ้เด็กนี่คนแรกเลย
หลังจากที่ตกปากรับคำว่าจะเรียนหนังสือกับหมอนั่นแล้วก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่เก่งใช้ได้ นอกจากจะได้รับความรู้ที่เหมือนเขาเป็นลูกโลกจำลอง รู้ทุกสถานที่ทุกมุมโลกแล้ว ยังเป็นเครื่องคิดเลขเดินได้อีกต่างหาก แถมในหัวนั่นคงจะมีเมมโมรี่เป็นห้องโถงสมุดใหญ่ไว้แยกความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองการปกครองอีก ถ้าเป็นในโลกของเราเขาคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มพวกเนิร์ด ส่วนฉันคงเป็นพวกชอบเบ่งกล้ามล่ะมั้ง เเละเขามันใจดีแม้แต่กับไส้เดือนตัวเล็กๆ ด้วย
ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว หลังจากที่ได้ทำการอัดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและออกกำลังกายเพิ่มความมีน้ำมีนวลเรียบร้อย จนตอนนี้คงเรียกว่าอยู่ในเลเวลของลำต้นแล้วล่ะ
ซึ่งตอนนี้ก็แค่เอาหน้างามๆ นี้ไปให้ท่านบาร์ติเย่ ช่างตัดเสื้อพิจารณาดูว่าหน้าตาเบ้าหน้าฟ้าประทานของนางเอกจะมัดใจแมวมองได้ไหม นี่แหละงานที่ฉันวางแผนไว้ เพราะวันก่อนบังเอิญเข้าเมืองมาซื้อเครื่องเขียนตามที่ท่านอาจารย์หนูน้อยสั่งการไว้เเละได้เห็นเข้ากับใบประกาศหาสาวงามพอดี
ก่อนอื่นคงต้องแสร้งเดินไปชนกับเขาที่นั่งจิบกาแฟอยู่ตรงนั้นและ..
ปัก
โอ้ย!
"นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า วิ่งมาอย่างนี้ได้ยังไง ไม่มีคนสั่งคนสอนรึ" บาร์ติเย่ที่โดนกาแฟลวกมือเพราะฉันตั้งใจโดนชนให้กาแฟมันกระฉอก พอมันยิ่งเกิดความเสียหายมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้สบตากับเขายิ่งมากเท่านั้น
"ขอโทษค่ะท่าน ฉันไม่ดูทางเอง"ฉันตั้งใจเปิดผ้าคลุมออกช้าๆ เพื่อที่จะได้สร้างกิมมิคเล็กๆ ได้ และมันได้ผล เขามองหน้าฉัน คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก่อนหน้านี้และริมฝีปากที่เผยอข้างเพราะกำลังคาดไม่ถึงกับการได้พบเจออัญมณีเม็ดโต แม้แต่ฉันที่เป็นทหารยังคิดว่าความสวยของนางเอกมันขายได้ แล้วคนที่อยู่ในวงการความงามจะเหลืออะไร
"เอ่อ..เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถือโทษและลืมเรื่องเมื่อครู่ไป...ถ้าหากว่าเลดี้จะนั่งคุยกับฉันสักเดี๋ยว" ใบหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งเพียงเสี้ยววินาที
"ยินดีค่ะท่าน ถ้าสิ่งนั้นสามารถชดใช้ให้กับท่านได้"ฉันตั้งใจนอบน้อมเพื่อที่เขาจะได้คิดว่าฉันหลอกล่อง่าย เมื่อกี้ยังเรียกฉันว่านังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอยู่เลยแท้ๆ วงการบันเทิง ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกข้างนอกนั่น
"บอกข้าสิว่าเลดี้เป็นคนของลูกสาวบ้านไหนกัน ถึงได้มีใบหน้าชวนสะกดคนแปลกหน้าเช่นนี้"เขาพูดเสียงอ่อนโยน ในตาสั่นเครือเหมือนพวกคลั่งแฟชั่นที่เห็นแค่นางแบบก็จินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรหากผลงานของตนมาประดับอยู่กับหุ่นสไตล์แบบนี้
"ข้าคือลูกสาวคนเล็กของตระกูลการ์ดค่ะท่าน ชื่อว่าลีโทจิน่า การ์ด"ฉันเอ่ยแนะนำอย่างนอบน้อมพร้อมกับจำท่าทางของชาร์ลวินมาใช้ด้วย
"ลูกสาวคนเล็ก...ลีโทจิน่า ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะเหมาะกับเลดี้ดี...ส่วนฉัน บาร์ติเย่ ลูโน่ เจ้าของอาณาจักรบาร์ติเย่ เป็นอาณาจักรแฟชั่นที่ข้าออกแบบเอง ตอนนี้กำลังหาโมเดลที่เข้ากับชุด ทันทีที่ข้าเห็นเลดี้ นั่นทำให้ข้ารู้ได้ทันว่าอาณาจักรของข้ามีที่ยืนสำหรับเลดี้อย่างแน่นอน..ถ้าหากเลดี้สนใจ..."
"ท่านคะ...นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่มีคนหยิบยื่นให้ฉันเลยค่ะ...เพียงแต่ว่า ปัญหาทางบ้านของฉัน..."
"ถ้าหากเลดี้ยอมตกลงเเละเซ็นสัญญาตอนนี้ ข้าจะเพิ่มเงื่อนไขพิเศษให้อีกหนึ่งข้อ เลดี้จะได้เป็นโมเดลอันดับหนึ่งของบาร์ติเย่ ทันทีที่เลดี้ลงนามเสร็จ"
.....
หลังจากกลับถึงบ้าน ความวุ่นวายที่เงียบหายไปหลายวันนั้นกลับมาอีกครั้ง เพราะแผลของโรสเริ่มหายแล้ว แต่ก็ต้องใส่เฝือกที่จมูก และมีรอยช้ำดำเขียวตามตัว เพโนโลปี้กลับบ้านหลังจากกลับจากโรงเรียนประจำช่วงวันหยุด
หลังจากได้รับรู้ว่าน้องสาวของตนถูกตีด้วยกิ่งไม้ จึงเกิดอาการคัดค้านสายตาสินะ คงไม่เชื่อว่าฉันจะทำได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นคืออยากระบายอารมณ์ความกดดันจากทำข้อสอบประจำสัปดาห์ไม่ได้
เพราะตั้งแต่ฉันก้าวเท้าเข้าเขตธรณีประตูบ้านไปสาวใช้ก็รีบวิ่งเข้ามาชาร์จด้านหลังเเละบอกว่าคุณหนูใหญ่ต้องการพบ
แน่นอนว่าฉันขัดอะไรไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าการจะได้จัดการกับนังโง่นี่มันเร็วเกินไปหน่อยไหม
"เข้าไปนะคะท่านพี่"ฉันเคาะประตูเเละส่งเสียงเรียกเป็นมารยาท
จากนั้นก็ก้าวเข้าไปภายในห้องพักแสนจะโอ่อ่าและเรียบหรูต่างจากที่พักของฉันกับแม่ลิบลับ
"นั่งสิ ลีท" เธอนั่งอยู่บนโซฟารับรองขนนุ่มที่ฉันไม่แม้จะเคยเห็นมันสักครั้ง
ฉันเดินไปนั่งตรงข้ามกับหล่อนอย่างเงียบเชียบ เราทั้งคู่เกลียดกัน แต่ต่างคนกำลังเล่นเกมสงครามประสาทโดยการระงับอาการเกลียดชังที่มีต่อกัน
"ดื่มชาสักหน่อยสิ"เธอพูดเสียงเรียบ พร้อมทั้งยกกาน้ำชา เป็นนัยบังคับว่ายังไงก็จะรินสินะ
"ขอบคุณค่ะ "ฉันถือแก้วชาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างส่วนเธอก็รินชาร้อนใส่ในแก้วที่ฉันถือ
"สีหน้าดูดีนะ มีเรื่องอะไรน่ารื่นรมย์หรือเปล่า"เธอพูดถามเสียงเรียบทั้งยังค่อยๆ บรรจงรินชาให้
"เปล่าหรอกค่ะ น้องแค่พักผ่อนเพียงพอเท่านั้น"ฉันตอบเสียงเรียบ สายตาจ้องไปที่ถ้วยชาเช่นเดียวกัน
"งั้นหรอ จะบอกว่าพี่ๆ ไม่อยู่เธอจึงได้พักสินะ"
จ๊อกกก ฟู่
"..." ฉันไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องหน้าเธอเงียบๆ ส่วนนังตัวดีนี่รู้ว่าชามันล้นออกจากถ้วยแล้วแต่ยังตั้งใจรินมันต่อไปเพื่อให้มันลวกมือฉัน ถึงรู้อย่างนั้นแต่ฉันก็ตั้งใจให้เธอรินมันต่อโดยที่ไม่ชักมือออก แค่น้ำร้อนลวก ฉันทนปืนไฟฟ้าได้หลายนาทีทั้งยังเคยผ่าตัดลูกกระสุนแบบสดมาแล้ว แค่นี้ไม่มีเหตผลให้ฉันต้องกลัวเลยสักนิด
"หึ..คิกคิก...น้องนี่ช่างคุยด้วยสนุกจริงๆ ตอนนี้ออกไปเถอะ พี่จะพักสักหน่อย"เธอหัวเราะอย่างกับคนไม่สมประกอบ หรือจริงๆ แล้วเธอมีปัญหาด้านสติปัญญาหรือเปล่านะ
"ท่านพี่...รู้หรือเปล่าคะว่าเมืองคานอยู่อาณาจักรใด"ฉันถามเธอ
"...."
"ตอบไม่ได้งั้นหรือคะ... งั้นเปลี่ยนคำถามดีกว่า... มีอาจารย์ที่สถานศึกษาท่านใดบอกท่านไหมคะ ว่าท่านเป็นแค่นังโง่อวดดี"ฉันเอียงคอถามด้วยความใคร่รู้เสียจริง และคำถามฉันทำให้เธอแปลกใจหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้เธอกัดฟันและสองมือกำหมัดแน่น อะไรน่ะ กำหมัดจะต่อยฉันรึไง
"อะไรกันคะท่านพี่... กำหมัดเพราะอยากออกเเรงเเขนรึเปล่าคะ...แย่หน่อยนะคะที่กำปั้นน่ะ มันเอาไว้เพื่อเป็นอาวุธต่อสู้กับศัตรูที่อ่อนปวกเปียก..อย่างท่านพี่โรสที่โดนไปเมื่อหลายวันก่อนน่ะค่ะ...ส่วนแบบท่านพี่นั่นเรียกว่ากายภาพบำบัดค่ะ... คุยกับท่านพี่สนุกจริงเชียว งั้นน้องขอตัวก่อนนะคะ"ฉันกำลังด่าเธอว่าโง่อยู่ยังไงล่ะนังประสาทกลับ ถือว่าเตือนแล้วกันว่าถ้ามายุ่งกับฉันอีกฉันจะให้เธอแบบเพิ่มโบนัดทบต้นทบดอกเลย
ฉันหันกลับกลับออกมาจากที่ห้องรับรองแขกแต่ขณะที่กำลังก้าวเท้าออกจากประตู ลมเย็นๆ ก็ผ่านหน้าฉันไป และตรงหน้าก็พบถ้วยเซรามิกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ตรงทางเดิน ดีที่เอี้ยวหัวหลบทัน นังโง่นั่นเสียสติไปแล้วรึไง
"ท่านพี่นี่ช่าง...โง่และอวดดีจริงๆ ค่ะ เล่นปาสิ่งของอันตรายแบบนี้แปลว่าเงินทองที่ใช้ส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ท่านเสียเปล่าแล้วสินะคะ....แต่ไม่เป็นไรค่ะ ค่าถ้วยชานี้ น้องจะชดใช้ให้เอง ..."ฉันพูดจบก็เดินออกจากรังของสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจยิ่งว่ามดแมลง ให้ตายสิ ฉันอยากฉีกยัยบ้านั่นเป็นชิ้นๆ ซะจนเกือบทนไม่ไหวซะแล้ว
พอก้มลงไปเก็บเศษถ้วยชาเซรามิกมาไว้บนมือก่อนที่จะลุกขึ้นยืน หันเท้ากลับลงไปยังบันได แต่ตรงประตูห้องของพี่สาวที่แสนดีกลับมีใครบางคนยืนกอดอกพิงประตูอยู่ เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียวแถมยังติดกระดุมให้ครบทุกเม็ดหน่อยก็ไม่ได้
ดวงตาสีดำ แต่เรือนผมกลับเป็นสีขาวสว่างราวกับเป็นเจ้าชายน้ำแข็ง แถมยังเป็นหนุ่มหน้าตาดีอีก แต่จะให้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ...เอาเถอะ ยังไงนี่คงจะเป็นสถานการณ์เหมือนกันกับที่เราเจอชาร์ลวินแปลว่าเนื้อเรื่องมันเปลี่ยนแปลงตั้งแต่นางเอกของเรื่องอย่างฉันใส่ใจกับการสร้างกล้ามให้ตัวเองกับแม่แล้วล่ะนะ
"ส่งมันมานี่สิ"เขายื่นมือออกมาและแผ่ฝ่ามือหนาเพื่อจะรับเศษถ้วยแตกนี่น่ะหรอ
"ไม่เป็นไรค่ะท่าน...ฉันจะนำมันไปทิ้งเองค่ะ"ฉันตอบเสียงเรียบ ถ้าเขาอยู่ตรงนี้แต่แรกแปลว่าเขาก็ได้ยินทุกอย่างแล้วน่ะสิ ต้องสังเกตและจำให้ได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่
"ท่านงั้นหรอ....เธอกำลังจิกกัดพี่อยู่หรือยังไง"เขาเลิกคิ้วแล้วมองฉันด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่อะไรอีกล่ะ พี่งั้นหรอ ฉันมีพี่น้องกี่คนกันแน่เนี่ย ไม่อย่างนั้นเขาเเค่ล้อเลียนฉันเพราะเรื่องเมื่อกี้มากกว่าสินะ
"อย่าล้อเล่นด้วยอะไรแบบนั้นดีกว่าค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ลาก่อนค่ะ"ฉันก้มหัวให้เล็กน้อย เป็นไปได้มากสุดก็คงเป็นแขกของพ่อคงไม่ต้องเจอกันอีก
"ไม่ใช่ขอตัวก่อน แต่เป็น ลาก่อนงั้นหรอเนี่ย"เขาพูดด้วยความอารมณ์ดีก่อนจะเดินสวนเธอไปอีกทาง และเลี้ยวเข้าไปในห้องของเพโนโลปี้
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments