ใช้เวลาในการเดินทางอยู่สามวันคาเมรอนก็เดินทางมาถึงยังอาณาจักรมาเรีย เส้นทางทุกสายต่างถูกตกแต่งด้วยโคมไฟและดอกไม้สีสรรค์สวยงามตระการตา เสียงดนตรีบรรเลงเพลงที่ครื้นเครง ทำเอาชายหนุ่มที่อยู่ในรถม้าต้องเปิดผ้าม่านออกมาดูก็ต้องทำให้เขาประหลาดใจถึงความอลังกาลงานสร้างว่าทำไมถึงได้จัดใหญ่โตเพียงนี้ แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือการที่มีเหล่าทหารของราชวงศ์เดินป่วนเปี่ยนเต็มไปหมด ซึ่งคาเมรอนก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไรเพราะปกติแล้วอาณาจักรมาเรียเคยเป็นพื้นที่ที่ปีศาจอยู่มาก่อน การที่มีเหล่าทหารมากมายเดินอยู่ก็อาจจะเป็นการคอยคุ้มกันประชาชน
"องค์รัชทายาท คาเมรอน ฮาเลสซ์ แห่งอาณาจักรคาลิล สเด็จแล้ว"
เสียงประกาศของทหารนายหนึ่งดังขึ้นเมื่อรถม้าประจำราชวงศ์แห่งอาณาจักรคาลิลมาถึง ร่างอันสง่างามของคาเมรอนเดินลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีที่ดูมีสง่าราศี เสียงเป่าแตรดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินไปตามพรมแดงที่ถูกปูเอาไว้
"ท่านพี่คาเมรอน~~"
เสียงใสน่ารักของเด็กผู้หญิงดังขึ้น ร่างของเด็กน้อยในชุดเดรสซุ่มสีขาวสดใสวิ่งอาแชนมาหาชายหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนที่เจ้าของชื่อจะนั่งย่อเข่าลงอ่าแขนรับเด็กน้อยตรงหน้า
"ท่านพี่คาเมรอน หนูคิดถึงท่านพี่ที่สุดเลย"
"พี่ก็คิดถึงโคซีย์เหมือนกัน สูงขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย"
คาเมรอนพูดแซวเด็กน้อยตรงหน้าอย่างสนุกสนานแล้วลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือกันแล้วเดินเข้าไปในราชวังเพื่อไปยังห้องพักของชายหนุ่มที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ระหว่างทางที่เดินไปนั้นทั้งคู่ก็ได้คุยหยอกล้อกันเล่นจนมาถึงห้องพัก คาเมรอนจึงให้คาร์ลคอยดูแลเรื่องการขนย้ายของเพราะตนเองนั้นดันโดนโคเซย์ชวนไปเล่นเป็นเพื่อนซะแล้ว โดยเด็กหญิงก็ได้จูงมือพาชายหนุ่มออกมายังบริเวณหลังพระราชวังที่เป็นบริเวณลานกว้างขนาดใหญ่
"โย่ว รอน ไม่สิ ต้องเป็นองค์รัชทายาทมากกว่า"
ร่างของชายหนุ่มผมเหลือง นัยน์ตาสีมรกตเปร่งประกายในชุดฝึกซ้อมฟันดาบเดินมาหาชายหนุ่มผู้มาใหม่พร้อมเอ่ยขึ้นแล้งเดินไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ อย่างหยอกเล่นก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมา
"เจ้านี่ก็ยังหล่อเกินหน้าเกินตาเหมือนเดิมเลยนะราส"
คาเมรอนพูดขึ้นแล้วกอดคอเจ้าของชื่ออย่าง ซีราส เดอะ ลีเบอร์ เจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งอาณาจักรมาเรีย ชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงามดั่งเทพในนิยายประกรนัมน์ มีความสามารถมากมายครบในทุกๆ ด้าน แต่เขานั้นกลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์หลังจากที่โคซีย์กำเนิดมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนตอนแรกที่คับแค้นใจเป็นอย่างมากว่าทำไมผู้มีศักธิ์เป็นบิดาของตนเองถึงได้เลือกน้องสาวที่ยังไมาบรรลุนิติภาวะขึ้นเป็นผู้สืบถอดบัลลังค์
ซีราสนั้นรู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ จึงตัดสินใจใช้ชีวิตไปวันๆ และสนุกสนานกับชีวิตของตัวเอง นั่นคือข้อดีที่เขาได้รับหลังจากหลุดพ้นจากป่วงโซ่ของการเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีคนคอยกำหนดชีวิตเขา เขามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ต่างจากโคซีย์โดยสิ้นเชิงที่เธอนั้นแทบจะไม่มีโอกาสออกมานอกราชวังเลยด้วยซ้ำ และจะต้องมีคนคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา มีการจัดตารางงานให้ในทุกๆ สัปดาห์
ทั้งคู่คุยเล่นกันอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะมีเสียงเรียกของหญิงรับใช้เรียกโคซีย์ ก่อนจะพาเธอไปในราชวัง ทำให้ซีราสนั้นได้มีเวลาพาคาเมรอนไปเดินเที่ยวเล่นในสถานที่ต่างๆ ที่ถูกปรับปรุง
สระดอกบัวที่มีหงส์ขาวและปลาคาร์ฟสีงดงามต่างว่ายน้ำเล่น มีศาลาริมน้ำที่มีโต๊ะหมากรุกอยู่ตรงกลาง ในสมัยตอนเป็นเด็กพวกเขาทั้งสองเคยมาแอบตกปลากัน แต่ก็ดันถูกพ่อบ้านวิลเลียมจับได้ สุดท้ายก็ต้องโดนให้คัดข้อความว่าจะไม่ทำอีกแล้วลงในสมุดร้อยหน้า
"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้นแอปเปิ้ลจะตายแล้ว"
ชายหนุ่มผมบลอนด์เอ่ยขึ้นเมื่อตนเองเห็นต้นแอปเปิ้ลที่ตนเคยเก็บกินตายลง
"นั่นสินะ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าปีนขึ้นไปเก็บแต่สุดท้ายก็ตกลงมาจนโดนคุณวิลเลียมห้าม"
ซีราสพูดตอบเมื่อนึกขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องสมัยก่อนว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามจะปีนต้นแอปเปิ้ลเพื่อเก็บมาให้เขากินจนพลาดท่าลื่นตกลงมาจนตัวเองบาดเจ็บ ทำเอาพ่อบ้านอย่างวิลเลียมตกใจเป็นอย่างมากจนต้องห้ามไม่ให้ทั้งสองปีนต้นไม้อีก คาเมรอนนั้นมองต้นแอปเปิ้ลอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งที่ชิงช้าไม้ที่ผูกอยู่กับกิ่งต้นแอปเปิ้ล
โครม
"รอน!!"
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะแกว่งชิงช้าเสียงของกิ่งไม้ก็หักทำมห้เขาที่นั่งอยู่ต้องตกไปที่พื้นทำเอาซีราสที่เห็นก็ตะโกนออกมาอย่างเสียงดังด้วยความเป็นห่วง
"นายนี่มัน"
ชายหนุ่มผมสีพีชที่กำลังจะว่าอีกฝ่ายก็ขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งคู่ขำกันอยู่สักพักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่ซีราสจะยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายจับมือลุกขึ้น
"เอาไงดีล่ะ"
คาเมรอนพูดขึ้นขณะที่กำลังยืนมองชิงช้าที่อยู่กับพื้น
"นายก็เก็บกวาดสิ"
ซีราสพูดตอบอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทำเอาคนข้างๆ ที่ได้ยินหันมามอง
"แล้วทำไมต้องเป็นข้าล่ะ"
"ก็นายทำหักนิ"
"แล้วช่วยกันเก็บไม่ได้หรอ"
"เรื่องอะไรข้าต้องไปเหนื่อยกับสิ่งที่นายก่อไว้ด้วยล่ะ"
อยู่ดีดีทั้งสองก็ทะเลาะกันเกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะเป็นคนเก็บกวาดสิ่งตรงหน้าพวกเขา ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่สักพักก่อให้เกิดแสงของเวทย์มนต์ขึ้นรอบตัวทั้งสองฝ่าย ฝ่ามือของใครบางคนจับเข้าที่หูของทั้งสองอย่างแรงจนทำให้เกิดเสียงร้องโอดโอยขึ้นมา เมื่อหันไปมองก็พบกับชายสูงอายุผมดำนัยน์ตาสีฟ้าในชุดพ่อบ้านสุดเนี้ยบ ทำเอาคาเมรอนกับซีราสที่เห็นถึงกับต้องกอดคอคืนดีกัน เพราะคนตรงหน้าเขาก็คือ วิลเลียม คินเลจ พ่อบ้านประจำตัวของชายหนุ่มผมสีพีช และเป็นคนที่คอยเลี้ยงดูทั้งสองมาจนโต
"โตๆ กันแล้ว ยังจะตีกันอีก"
วิลเลียมพูดขึ้นด้วยอารมณ์เหนื่อยใจที่ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าเขายังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ชอบตีกันทุกเวลาที่สามารถทำได้ แต่ก็รักกันดี ก่อนที่ทั้งสองจะเก็บกวาดซากชิงช้าพร้อมกับวิลเลียมที่ยืนคุมอยู่
ในขณะที่ทั้งสามกำลังจะเดินออกไปที่ตลาดหน้าพระราชวังคาเมรอนก็หยุดนิ่งแล้วหันไปมองยังหน้าต่างบานหนึ่งในราชวังอยู่สักพักเหมือนกับว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองมายังร่างของพวกเขาทั้งสามคน แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใคร
"มีอะไรหรือเปล่ารอน"
ซีราสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตนเองยืนนิ่ง อีกฝ่ายทำเพียงปฎิเสธก่อนจะเดินตามทั้งสองไปแล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
.
.
.
ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองเทลา อาณาจักรโดรอน
กองทัพเหล่าร่างสิงรวมพลบุกหมูบ้านเทลา ร่างของผู้คนที่ถูกแทงด้วยของมีคมนอนตายเป็นจำนวนมาก เลือดสาดกระเซ็นเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ ร่างกายมนุษย์บางคนถูกกัดฉีกกระชากเนื้อออกมาเป็นรอยฟันคน กลิ่น ของสนิมฟุ้งกระจายทำให้รู้ได้ว่าเหล่าศพพวกนี้พึ่งตายได้ไม่นาน หมู่บ้านที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนและเด็กมากมายวิ่งเล่นกันให้สนุกสนาน ขณะนี้กลับกลายเป็นลานประหาร
"ช่วยหนูด้วยเถิด นายท่าน"
มือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจับไปที่ขาของม้าสีขาวชั้นดีราคาแพงพร้อมกับคำขอร้องวิงวอนต่อคนบนหลังม้า หยาดน้ำตาที่ไหลพล่าออกมาจากดวงตาน้อยๆ นั้นด้วยความทรมานจากการถูกหินจากบ้านทับทั้งสองข้าง ดาบอันคมกริบถูกชักออกมาฟันคอของเด็กหญิงผู้นั้นจนหัวกระเด็นออกไปอยู่ที่สวนดอกทิลลิบขาวก่อนจะถูกย้อมด้วยโลหิตจนเป็นสีแดง
"สกปรกที่สุดเลย คิล เอาดาบนี่ไปเผาทิ้งพร้อมกับเมืองโสโครกๆ นี่ด้วย"
ชายหนุ่มบนหลังม้าทำเพียงสบถแล้วโยนดาบที่ใช้ฟันคอเด็กหญิงไปให้อัศวินประจำตัวที่ชื่อคิล ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะสบถขึ้นอีกครั้งด้วยความไม่พอใจที่เลือดสกปรกๆ ของพวกชั้นต่ำเปรอะเปื้อนม้าสีงามที่ท่านพ่อของตนเองซื้อมาให้ด้วยราคาที่สูงก่อนจะขี่ม้าออกไปนอกเมืองเพื่อรอเชยชมปฎิมากรรมชิ้นใหม่
ในขณะที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนอัศวินผู้หนึ่งก็จุดคบไฟแล้วโยนลงสู่พื้น ก่อนที่ไฟจะลุกลามแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ ก่อให้เกิดควันสีเทาขนาดใหญ่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ใบหน้าของชายบนหลังม้าที่กำลังมองอยู่จ้องมองผลงานด้วยรอยยิ้มที่แสนมีความสุขจนล้นเอื้อ
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินไปกับปฎิมากรรมชิ้นใหม่ก็ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น ไฟที่ลุกโชนกลับกลายเป็นสีแดงก่ำดั่งสีโลหิต กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วทุกพื้นที่ หญ้าที่เคยเขียวขจีกลับเปลี่ยนเป็นแห้งเฉาลง เสียงของอีการ้องสนั่นผสานเสียง เหล่าอัศวินต่างพากันเข้ามาคุ้มกันชายหนุ่ม
ภายในกองเพลิงนั้นกลับมีร่างของชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำเดินฮัมเพลงจังหวะช้าที่สื่อถึงอารมณ์อันแสนเศร้า และเจ็บปวด ร่างของชายหนุ่มหยุดลงที่ศีรษะของเด็กหญิงผู้นั้น ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วหยิบศีรษะนั้นขึ้นมาโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ราวกับว่าเขานั้นรู้สึกถึงอารมณ์ของร่างไร้วิญญาณของอีกฝ่ายได้
'ดุจโชกช่วงปกรณ์วิที ดวงจิตต์นี้อาฆาตแค้นแสนสาหัส ดวงเนตรเนรมิตให้คืนชีพ จงกลายเป็นภูติผีอำมหิตที่กัดกินผู้คน'
ชายผู้นั้นร่ายเวทย์บางอย่างขึ้น ก่อให้เกิดกลุ่มก้อนเมฆสีดำมารวมกันเหนือเมือง เหล่าอัศวินที่เห็นท่าไม่ดีจึงพาชายหนุ่มบนม้าหนี แต่กลับถูกวงแหวนเวทขนาดใหญ่บนท้องฟ้ากั้นเอาไว้ไม่ให้ออก
"อร๊ากกกกกก"
"เสียงอะไร เสียงอะไร "
เสียงกรี้ดร้องของผู้หญิงดังกึกก้องไปทั่วแถวนั้น ฝูงอีการอยว่อนเป็นวงกลมเหนือศีรษะกลุ่มอัศวิน เสียงนกแสกร้องขึ้นภายในป่า ดวงตาสีเหลืองนับร้อยจ้องมองออกมาจากในป่า กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพส่งกลิ่นคลุ้งทำให้เหล่าคนกลุ่มนั้นต้องปิดจมูกโดยเร็ว
"พวกมึงจะกลัวห่าอะไรวะ กลับไปกูจะให้ท่านพ่อไล่พวกมึงออกหมดทุกตัวเลย"
ชายหนุ่มบนหลังม้าสบถขึ้นด้วยถ้อยคำหยาบช้าเมื่อเห็นเหล่าอัศวินมือดีที่สุดภายในเมืองต่างหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาพูดเสร็จก็หันไปมองที่พื้น ก็พบกับร่างของเด็กหญิงคนนั้นที่เขาได้ตัดหัวไปแล้ว แต่ในครั้งนี้ปรากฏเพียงร่างที่ไร้หัว ทำเอาชายหนุ่มที่เห็นถึงกับโมโหขึ้นอย่างสุดขีด
"ตายห่าไปแล้วมึงยังจ้องเวรจองกรรมกับกูอีกหรอไอ้เด็กเหี้ยนิ เดี๋ยวกูจะให้มึงไม่ต้องไปผุดไปเกิด"
ชายหนุ่มผู้นั้นสบถอีกครั้งแล้วชักดาบออกมาฟันแขนทั้งสองข้างของเด็กหญิงจนขาด ก่อนจะฟันเข้าไปที่ลำตัวอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
"ฮาฮาฮาฮ่า ตายไป ไอ้เด็กโสโครก"
ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งทำให้เหล่าอัศวินต้องถอยตัวออกห่างแล้วยกดาบชี้ไปที่เขา
"อะไร"
เมื่อชายหนุ่มเห็นจึงหันไปมองตามทางที่ดาบชี้ก็พบกับร่างของหญิงสาวที่มีใบหน้าเป็นรอยไหม้จากกองเพลิงที่ไม่มีแม้แต่ดวงตา ปากหรือจมูก มีเพียงใบหน้าที่ว่างเปล่ากับรอยแผลที่น่าสยดสยองมีน้ำสีเหลืองไหลออกมาส่งกลิ่นเหม็น ผมยาวสีขาว ผิวสีแดงที่ไม่มีหนังคลุมเผยให้เห็นชิ้นเนื้อและเส้นเลือด บริเวณคอนั้นไม่มีชิ้นเนื้อปกคลุม มีเพียงกระดูกที่ยึดเอาไว้ ในมือถือดาบที่ตัดคอของเธอเอาไว้
ร่างของชายหนุ่มที่เห็นก็ตกใจเป็นอย่างมากจนตกลงจากหลังม้าอย่างแรงก่อนจะรีบคลอนถอยหลังออกห่างอย่างลุกหลีลุกลน
"ฆ่านางสิ ฆ่านาง"
ชายหนุ่มหันไปหาเหล่าอัศวินแบ้วพูดออกมาแต่เมื่อมองเหล่าอัศวินแล้ว กลับไม่มีหัวแม้แต่คนเดียว ก่อนที่เงาสีดำจะโผล่ออกมาจากพื้นแบ้วตรึงเขาให้อยู่กับพื้นหญ้าที่มีไฟลุกลามออกมาจากปราสาท ร่างของเหล่าอัศวินโถมเข้าหาร่างของชายผู้นั้นแล้วฉีกกระชากชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายออกมาจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงกรี๊ดร้องอันโหยหวนดังลั่นไปทั่ว ก่อนจะเงียบลงเมื่อร่างกายของชายหนุ่มขาดออกเป็นชิ้นๆ ใบหน้าที่ถูกไฟลวกจนระบุไม่ได้ถูกแขวนไว้ที่หน้าเมืองเทลา ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะหายไปพร้อมกับชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมพร้อมกับทิ้งดอกทิลลิบสีแดงที่ถูกเหยียบไว้ที่หัวของชายหนุ่ม
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 3
Comments