Moonlight Sonata - Part 2

อันเดอร์ดีซีตั้งอยู่ในเวิ้งถ้ำขนาดมหึมาที่มีขนาดประมาณ 2,000 ตารางกิโลเมตร และมีจำนวนประชากรในปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 5,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นคนที่อพยพมาจากเมืองอื่นๆ ในสหรัฐอันเดอร์ริกาซะมากกว่า

นอกจากจะเป็นเวิ้งถ้ำที่มีขนาดใหญ่ เพดานของถ้ำยังสูงมาก ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องติดโคมไฟเห็ดเรืองแสงจำนวนมหาศาลบนหินงอกหินย้อยที่ผุดขึ้นมาจากผนังถ้ำ แต่นั่นให้ความสว่างได้ไม่มากพอ พวกเขาจึงต้องติดโคมไฟกล ทั้งที่ใช้พลังงานจากถ่านหินและคบเพลิงที่จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมหาศาลในการเปลี่ยนเชื้อไฟและคอยจุดไฟในทุกๆ เช้า แต่มันก็เป็นงานที่ประธานาธิบดีจำเป็นต้องอนุมัติทุนมาให้โดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลที่ว่าเมืองหลวงของสหรัฐอันเดอร์ริกาอันยิ่งใหญ่ไม่ควรจะต้องตกอยู่ในความมืดสลัวเหมือนเมืองชายขอบอื่นๆ

บ้านและอาคารส่วนใหญ่ทำจากไม้มาก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างง่ายๆ และตั้งซ้อนกันระเกะระกะ บ้านแต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้บ้างหรือถนนหินปูนธรรมชาติ ขณะที่บ้านที่ตั้งซ้อนบนชั้นสองหรือสามขึ้นไปใช้สะพานแขวนเชื่อมต่อระหว่างกัน มันจึงเป็นเมืองที่ไร้ซึ่งความเป็นระเบียบในการวางผังเมืองอย่างสิ้นเชิง

ยกเว้นก็แต่ตรงศูนย์กลางของเมือง ซึ่งเป็นที่ที่หินงอกขนาดมหึมาแทงงอกขึ้นมาจากพื้น มันถูกแกะสลักเป็นรูปห้าเหลี่ยมสมมาตรและเจาะทะลุด้านในให้กลายเป็นอาคารศูนย์กลางของรัฐบาลสหรัฐฯรวมถึงเป็นที่อยู่ของประธานาธิบดี บ้านและอาคารส่วนใหญ่ที่อยู่โดยรอบตั้งล้อมหินงอกก้อนนี้อย่างเป็นระเบียบ

มันมีชื่อว่าเพนตากอน หัวใจการปกครองสำคัญของสหรัฐอันเดอร์ริกา และเอสเธอร์กำลังเดินตรงไปที่นั่น

ในจดหมายของพ่อไม่มีรายละเอียดการเดินทางบอกเอาไว้นอกจากเรื่องที่บอกว่ามันจะเป็นการสำรวจใต้ทะเล นอกนั้นบนกระดาษมีเพียงจุดนัดพบสำหรับการบรรยายภารกิจรวมถึงจุดหมายการสำรวจ และสถานที่นัดพบนั่นก็คืออาคารห้าเหลี่ยมใจกลางเมืองนั่นเอง

พ่อของเธอไม่เคยถูกประธานาธิบดีเรียกเข้าไปคุยด้วยมาก่อน อย่าว่าแต่เหยียบเท้าเข้าไปในอาคารนั้นเลย ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยดีที่สุดในโลกสิ้นแสง นั่นทำให้เอสเธอร์จำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าภารกิจสำรวจของพ่อเธอมันคืออะไรกันแน่

เอสเธอร์เดินฝ่าคนจำนวนมหาศาลที่เดินสวนกันไปในย่านการค้า สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายของต่างๆ ทั้งปลาสด, ผักและเห็ด ไปจนถึงพวกกระสุนและอุปกรณ์เดินเรือแปลกๆ

‘ถ้าจะเข้าไปในนั้น ฉันจำเป็นต้องมีแผนการ’ เอสเธอร์คิดกับตัวเองขณะเร่งฝีเท้าผ่านเหล่าพ่อค้าจอมตื๊อที่พยายามยัดเยียดปลาแองเกลอร์ที่โคมไฟยังกระพริบติดอยู่มาให้

เธอเปลี่ยนเส้นทางกะทันหันเมื่อเห็นว่าถนนเบื้องหน้าเต็มไปด้วยรถม้าที่แทบไม่ขยับอันหมายความว่าการจราจรบนถนนในตอนเช้านั้นหนาแน่นมาก ดังนั้นเอสเธอร์จึงปีนบันไดเชือกของอาคารข้างๆ ขณะที่ตัดสินใจใช้กระเช้าโดยสารที่มีสถานีอยู่ใกล้ๆ พอดี

เธอตัดสินใจเลือกไปลงที่สถานีอาร์ลิงตันที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ แต่จริงๆ แล้วเธอมีของที่จำเป็นกับการใช้เข้าไปในเพนตากอนอยู่ที่นั่น

เธอปีนลงจากกระเช้าและหย่อนเหรียญเซนต์ลงตู้ตามราคาตั๋วก่อนจะปีนลงจากสถานีกระเช้ามาสู่ลานกว้างหน้าพิพิธภัณฑ์อาร์ลิงตัน ที่ทำงานของพ่อเธอ รอบๆ พิพิธภัณฑ์เป็นทุ่งหญ้ามอสส์อันเป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะที่ล้อมรอบพิพิธภัณฑ์และในเวลาเช้าเช่นนี้มันก็แทบจะร้างคน

‘ยังกับว่าปกติจะมีใครมาที่นี่น่ะ’ เอสเธอร์ส่ายหัวขณะไขกุญแจเข้าไปข้างในตึกไม้ที่ส่วนหนึ่งตั้งพิงอยู่กับหินงอกขนาดใหญ่

เสียงฝีเท้าของเอสเธอร์ดังก้องสะท้อนหินอ่อนขณะที่เธอเดินเข้าไปยังห้องโถงต้อนรับ สิ่งแรกที่ต้อนรับเธอคือรูปสลักจากหินงอกของคริส โคลัมบัส ประธานาธิบดีคนแรกและผู้ก่อตั้งสหรัฐอันเดอร์ริกาแห่งนี้

ตำนานเล่าว่าโคลัมบัสเดินทางมาพร้อมกับผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรก ในเรือดำน้ำยูเอสเอสโอไฮโอ ซึ่งเป็นเรือลำเดียวที่รอดมาจากสงครามที่ทำให้อันเดอร์ริกาเก่าล่มสลาย แต่รายละเอียดส่วนนี้ไม่เคยถูกกล่าวอย่างแน่ชัด บ้างก็ว่าโคลัมบัสหนีมาจากสงคราม บ้างก็ว่าเขามาจากประเทศอื่นอย่างสหภาพโซเวียตเก่า

ส่วนที่ลึกลับที่สุดของตำนานนี้ก็คือไม่มีใครเคยค้นพบเรือยูเอสเอสโอไฮโอที่โคลัมบัสใช้โดยสารมายังอันเดอร์ริกา หลายๆ คนคิดว่ามันเสียหายอย่างหนักตอนมาถึงโลกใหม่จึงถูกจมไปหลังเสร็จสิ้นหน้าที่ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครเคยค้นพบซากของมัน

“ฉันจะหาเรือของคุณให้เจอ” เอสเธอร์กล่าวกับรูปสลัก เสียงของเธอดังสะท้อนห้องโถงเพดานสูงนั้นจนมันฟังดูทรงพลังกว่าที่เป็น เธอมักจินตนาการว่ามันเหมือนเสียงพูดปลุกใจของนักสำรวจก่อนการเดินทางครั้งสำคัญ

และท่ามกลางเสียงก้องนั้นเอง ที่เอสเธอร์ได้ยินอีกเสียงดังขึ้นจากข้างหลังเธอ

“เธออยากเป็นนักสำรวจงั้นเหรอ?” เสียงนั้นราบเรียบและแหบห้าว เอสเธอร์หันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงผู้ยืนอยู่หน้าธรณีประตูพิพิธภัณฑ์ด้วยความตกใจ

เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปลายๆ เขามีใบหน้าคมเข้มกับดวงตาและผมหยักศกสีเทาหม่น เขาสวมเสื้อกั๊กสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ที่คอของเขาพันผ้าพันคอสีแดงเหมือนเลือด

เอสเธอร์ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว อะไรบางอย่างในแววตาของชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกขนลุก

“คุณเป็นใครกัน? นี่ยังไม่ถึงเวลาเปิดพิพิธภัณฑ์นะ”

ชายคนนั้นมองมาที่เธออย่างนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรเหมือนกับกำลังประเมินเธออยู่ และนั่นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างหาสาเหตุไม่ได้

“ฮอลแลนด์” คือสิ่งที่เขาพูดออกมาหลังจากหลายวินาทีอันน่าอึดอัดนั้น

“ห...หา?”

“ฉันชื่อฮอลแลนด์ อยากขอชมพิพิธภัณฑ์สักหน่อยน่ะ” เขาเบนสายตาไปมองรูปปั้นโคลัมบัส

เอสเธอร์ไม่ได้ตกใจเรื่องที่มีลูกค้าคนแรกในรอบปีเพียงอย่างเดียว แต่เธอยังรู้สึกกลัวชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสายตาที่เหมือนคนตายของเขา

“พิพิธภัณฑ์ยังไม่เปิด ขอโทษด้วยนะคะ ฉันคงต้องขอให้คุณกลับมาใหม่ตอนเก้าโมง” เอสเธอร์พยายามตัดบทให้เร็วที่สุดขณะหันหลังให้ชายแปลกหน้าและเดินไปยังห้องพักพนักงาน

“นี่เรื่องสำคัญนะ มันจำเป็นสำหรับการเดินทางของฉัน และฉันไม่มีเวลาเตรียมตัวมากไปกว่าตอนนี้แล้ว” คำพูดราบเรียบนี้ทำให้เอสเธอร์ชะงักกลางคันและหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าอีกครั้ง

“คุณเป็นนักสำรวจงั้นเหรอ?”

ชายที่ชื่อฮอลแลนด์ยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “เป็นแค่อดีตทหารเรือน่ะ แต่ตอนนี้เรียกว่าเป็นนักเดินทางคงจะเหมาะกว่า”

เอสเธอร์เคยเจอคนแบบนี้มาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นแถวท่าเรือ เมื่อเรือเดินทางไกลที่ขนสินค้ามาจากไซปันหรือเมืองจีนมาเทียบท่า เธอมักจะไปที่ท่าเรือกับพ่อ คอยมองหาวัตถุโบราณมีค่าที่จะซื้อเข้าพิพิธภัณฑ์ และระหว่างที่พ่อของเธอเจรจาเรื่องราคาอยู่ เธอก็มักจะมองหากะลาสีเรือหรือนักเดินทางช่างพูดที่พร้อมจะเล่าเรื่องราวการเดินทางของพวกเขาให้ฟัง แต่ส่วนใหญ่เรื่องราวที่พวกคนช่างพูดพวกนั้นเล่ามักเป็นเรื่องแต่งเกินจริงที่ใกล้เคียงกับนิทานเสียมากกว่า

เธอค้นพบว่าการถามเรื่องแบบนี้กับนักเดินทางที่ดูไม่อยากเล่าเรื่องให้ฟังจะได้เรื่องราวที่น่าสนใจกว่าโดยเฉพาะนักเดินทางที่มีแววตาว่างเปล่าราวกับว่าได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดมาแล้ว

และเรื่องราวที่เธอได้ฟังส่วนใหญ่ก็มักน่ากลัวไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ใต้ทะเล เรือรบไร้คนที่ยังคงแล่นต่อไปได้เอง หรือเรื่องธรรมดาๆ อย่างการขาดอาหารบนเรือดำน้ำจนลูกเรือเริ่มกินกันเอง

และชายที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นนักเดินทางประเภทหลัง

เอสเธอร์เริ่มชั่งใจระหว่างการเข้าไปในเพนตากอนกับการพาชายแปลกหน้าคนนี้ทัวร์และถามเรื่องการเดินทางของเขาว่าแบบไหนจะคุ้มกว่ากัน

‘แต่ยังเหลือเวลาก่อนที่พ่อจะมาที่นี่อีกตั้งสองชั่วโมง และกว่าเขาจะไปเพนตากอนก็ตอนเที่ยง’ การตื่นนอนเร็วของเอสเธอร์ทำให้เธอมีเวลาว่างมากกว่าที่คิด และนั่นก็ช่วยให้เธอตัดสินใจได้

“ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเป็นแค่ผู้ช่วยนักโบราณคดีที่ดูแลที่นี่ ดังนั้นบางข้อมูลที่ฉันพูดออกมาระหว่างทัวร์อาจผิดพลาด ก็ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยล่ะ”

ฮอลแลนด์ยักไหล่อีกครั้ง คราวนี้เอสเธอร์เริ่มคิดว่าอาการเรียบเฉยของเขาคล้ายๆ กับอาการเบื่อหน่ายมากกว่า

“งั้นตามมาทางนี้เลย” เอสเธอร์เริ่มออกเดินนำผู้มาเยือนเข้าไปยังส่วนจัดแสดงที่เป็นส่วนที่ถูกเจาะเข้าไปในหินงอกขนาดใหญ่ด้านหลังห้องโถงซึ่งเป็นอาคารไม้ที่ถูกต่อเติมออกมา เอสเธอร์เปิดประตูห้องแรกซึ่งมีป้ายทองเหลืองพร้อมตัวอักษรแกะสลักอย่างสวยงามว่า ‘โลกสิ้นแสง’

“เราจะเริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่สุดของส่วนจัดแสดงกัน แต่ถ้าคุณอยากข้ามไปก็ได้นะ?” เอสเธอร์เปิดประตูเข้าห้องนั้นเมื่อฮอลแลนด์ไม่ตอบอะไร

ด้านในเป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา ผนังรอบห้องเต็มไปด้วยแผนที่ภูมิประเทศของโลกสิ้นแสงทั้งหมด ตรงกลางห้องเป็นโต๊ะตัวยาวที่มีโมเดลแสดงตำแหน่งเมืองและอาณาเขตของประเทศต่างๆ

“อย่างที่คุณน่าจะรู้อยู่แล้ว โลกสิ้นแสงเป็นโครงข่ายของถ้ำขนาดมหึมาที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเรายังไม่ทราบอาณาเขตสิ้นสุดของอุโมงค์เหล่านี้รวมถึงความลึกเช่นกัน เรารู้แค่ว่าอะแลสกาคือเมืองที่อยู่ตะวันตกสุดขอบแผนที่ และหมู่เกาะไซปันคือประเทศที่สุดขอบทางตะวันออก” เอสเธอร์ชี้ไปยังหมุดสองตัวที่ใช้แทนสองประเทศ

“ส่วนทางเหนือสุดคือสหภาพโซเวียตใหม่ และใต้สุดก็นิวแอฟริกา นี่ยังไม่นับประเทศและเมืองเล็กเมืองน้อยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่บนแผนที่ด้วยนะ บอกตามตรงว่าแผนที่ทั้งหมดที่เรามียังไม่สมบูรณ์และยังมีพื้นที่ว่างเปล่าซึ่งรอการเติมเต็มจากนักสำรวจอย่างคุณอยู่อีกเป็นจำนวนมากเลยล่ะ”

ตลอดเวลาที่เอสเธอร์อธิบายแผนที่ฮอลแลนด์แค่มองไปยังแผ่นผ้าใบบนโต๊ะเท่านั้น

“แผนที่มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะคุณฮอลแลนด์?”

ฮอลแลนด์เงยหน้าขึ้นมามองเอสเธอร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เข้าห้องมา สีหน้าของเขายังคงดูเหมือนคนที่รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนเดิมขณะที่เขาเอ่ยถาม “นี่เป็นแผนที่ของรัฐบาลงั้นเหรอ?”

เอสเธอร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หมอนี่จะอยากรู้ไปเพื่ออะไรกัน “เปล่า ฉันเริ่มทำแผนที่นี้ตอนอายุ 14 ไล่ถามข้อมูลจากนักเดินทางที่มาจอดเทียบท่าที่นี่เอาน่ะ”

ฮอลแลนด์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจซึ่งเป็นสีหน้าแรกที่เขาทำตั้งแต่เข้าพิพิธภัณฑ์มา

“เธอรู้ได้ยังไงว่าจักรวรรดิแอซเทคอยู่ทางใต้ของอียิปต์?” เขาว่าพลางชี้ไปที่หมุดสีฟ้าตัวหนึ่งบนโต๊ะ

“นักเดินทางส่วนใหญ่บอกว่านิวไคโรเป็นเมืองหลวงเมืองเดียวที่อยู่ใต้สุดของโลกสิ้นแสง ซึ่งความจริงมันก็เป็นแบบนั้นเพราะจักรวรรดิแอซเทคไม่มีเมืองหลวง และจากการบอกเล่าของหน่วยสำรวจแอฟริการอบล่าสุด พวกเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแอซเทคเริ่มตั้งอาณานิคมใหม่ทางใต้ของนิวไคโร ดังนั้นฉันเลยเปลี่ยนแผนที่ใหม่จากของเดิมของรัฐบาล”

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าไซปันมี 7 หมู่เกาะ”

“นักเดินทางส่วนใหญ่มักพูดไม่ตรงกัน แต่ส่วนใหญ่มักบอกว่ามันมีประมาณ 5-8 หมู่เกาะ ดังนั้นฉันเลยประมาณการจากขนาดของหมู่เกาะที่มีอยู่แล้วกับขนาดของโถงถ้ำรายรอบเอา ดังนั้นมันอาจไม่ตรงก็ได้ ฉันมั่นใจแค่ 60-70 เปอร์เซ็นต์”

“แล้วนิวเชอร์โนบิลนี่ล่ะ?”

“ฉันตั้งชื่อให้มันเอง นักเดินทางชาวรัสเซียหลายคนพูดถึงแหล่งขุดเจาะแร่ชนิดใหม่ที่ทำให้สหภาพโซเวียตใหม่ต้องไปก็ตั้งเมืองอย่างลับๆ เพื่อสร้างแท่นขุดเจาะที่นั่น แต่นักเดินทางที่เคยนั่งเรือผ่านก็พูดถึงแสงไฟจากบริเวณที่ไม่น่าจะมีเมืองอยู่เหมือนกัน ดังนั้นมันจึงมีความน่าเชื่อถือพอสมควร”

หลังจากนั้นฮอลแลนด์ยังคงถามคำถามอีกยาวเหยียดเกี่ยวกับเมืองและอาณาเขตต่างๆ บนแผนที่ซึ่งทำให้เอสเธอร์เริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา

“มีอะไรสงสัยอีกไหมคะ?” เอสเธอร์ถามขึ้นอย่างเหลืออดเมื่อผ่านไปราวๆ สิบคำถาม

ฮอลแลนด์ทำท่าเหมือนอยากจะถามต่อแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

“ไม่มีแล้วล่ะ พาฉันไปส่วนถัดไปเถอะ”

ทั้งสองคนจึงเดินออกจากห้องนั้นไปยังส่วนต่อไปของพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นส่วนของเทคโนโลยีแห่งโลกสิ้นแสง

“ส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้ทุนจำนวนมหาศาลจากการที่เราต้องซื้อชิ้นส่วนต่างๆ มาจากพ่อค้า แต่บางอย่างรัฐบาลก็บริจาคมาให้เรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซากที่พังแล้วของอาวุธ ไม่ก็ชิ้นส่วนเรือดำน้ำปลดระวางแล้ว” เอสเธอร์กล่าวขณะเปิดประตูไปสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องกลต่างๆ มากมายที่วางอยู่บนแท่นจัดแสดงที่มีป้ายระบุชื่ออยู่ด้านล่าง

“นี่คือตอร์ปิโดมาร์ค 7 ซึ่งเป็นตอร์ปิโดมาตรฐานของกองทัพสหรัฐฯ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เราก็มีมันอยู่ไม่ถึงร้อยลูกด้วยซ้ำในปัจจุบัน” นั่นเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้า เช่นเดียวกับเรือดำน้ำส่วนใหญ่ในโลกสิ้นแสง เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่สามารถผลิตเองได้ในปัจจุบัน ทั้งเรือดำน้ำและอาวุธส่วนใหญ่คือมรดกที่ผู้อพยพมายังดินแดนแห่งนี้หลงเหลือไว้ให้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามูลค่าของมันนั้นสูงขนาดไหน ในดินแดนแห่งโถงถ้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแห่งนี้

“จำนวนนั่นเธอก็เดาเอางั้นเหรอ?”

“เรือดำน้ำมาตรฐานที่เรามี สามารถจุตอร์ปิโดได้ราวๆ 25-30 ลูกต่อลำ และตอนที่โคลัมบัสมาถึงอันเดอร์ริกา เขามีเรือดำน้ำมาด้วย 5 ลำ กับอีก 4 ลำ ที่ตามมาสมทบทีหลัง ดังนั้นฉันเลยเดาเอาจากความจุกระสุนของเรือดำน้ำ 9 ลำ บวกลบอีกนิดหน่อยกับขนาดห้องขนส่ง แล้วก็หักลบกับเรือที่ถูกจมไปในสงครามสองครั้งกับโซเวียต ว่าง่ายๆ ก็คือแค่กะเอาน่ะ” เรือดำน้ำเป็นเรื่องที่เอสเธอร์หมกมุ่นมากที่สุดอยู่แล้ว เธอถึงขั้นจำชื่อเรือทั้งหมดที่ว่ากันว่ายูเอสเอสโอไฮโอเคยจมได้ด้วยซ้ำ

“ส่วนนี่” เอสเธอร์เดินนำฮอลแลนด์มายังแบบจำลองไม้ของเรือรบลำใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง

“นี่คือเรือประจัญบานลำสุดท้ายของโลกสิ้นแสง ยามาโตะ ปัจจุบันอยู่ที่หมู่เกาะไซปัน ว่ากันว่ามันเป็นเรือที่มาจากโลกเก่าซึ่งมีเพียงสองลำเท่านั้นที่มาถึงที่นี่และเป็นเพียงลำเดียวที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เรือลำนี้เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ไซปันยังสามารถต้านทานการรุกรานจากโซเวียตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ปืนใหญ่บนเรือลำนี้สามารถจมเรือพิฆาตและเรือรบหุ้มเกราะได้ในการยิงชุดเดียวหากโดนตรงๆ แถมเกราะของมันยังหนาจนปืนใหญ่ทั่วไปไม่สามารถเจาะเข้าได้ มันคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไซปันเป็นมหาอำนาจของคาบทะเลตะวันออก” เอสเธอร์หยุดพูดเมื่อเห็นสีหน้าของฮอลแลนด์

มันเป็นสีหน้าของคนที่อาจจะกำลังโกรธจัดแต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าเขากำลังเศร้าโศกกับอะไรบางอย่าง

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ฮอลแลนด์หันกลับมาเหมือนเพิ่งได้ยินเสียงเธอเป็นครั้งแรก

“ไม่มีอะไรหรอก ไปต่อกันเถอะ”

...

เอสเธอร์พาฮอลแลนด์ชมส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยี, วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ และสัตว์น้ำใต้ทะเลลึก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงภาพวาดร่างด้วยดินสอฝีมือเอสเธอร์เอง) ระหว่างนั้นเขาถามคำถามเกี่ยวกับทุกอย่างที่เอสเธอร์พาชมอย่างละหนึ่งคำถาม

เขาถามวิธีประกอบตอร์ปิโดสังเคราะห์หลังจากเอสเธอร์พาชมแบบจำลองที่เธอทำเอง ถามเกี่ยวกับส่วนประกอบของเครื่องยนต์ของเตาปฏิกรณ์เรือดำน้ำ ถามเกี่ยวกับรูปแบบการล่าเหยื่อเป็นฝูงของวาฬเพชฌฆาต ถามเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตรอดในอะแลสกาของชาวอินูอิต

แม้ตอนแรกเอสเธอร์จะรู้สึกรำคาญกับการถามคำถามที่บ่อยจนเกินเหตุแบบนี้ แต่นานๆ ไปเธอกลับพบว่ามันรู้สึกดีที่ได้แสดงความรู้ที่ตนสั่งสมมากับผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์คนแรกในรอบหลายปีคนนี้ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับเป็นนักโบราณคดีจริงๆ และรู้สึกดีที่พบว่ายังมีคนที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับอดีตและเรื่องราวมากมายที่มากับการเรียนรู้มัน ซึ่งแตกต่างกับทุกคนที่เธอรู้จักในอันเดอร์ดีซีที่แค่ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและพยายามเอาตัวรอดไปวันๆ

“ขอบคุณมากนะคะที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของเรา” เอสเธอร์บอกฮอลแลนด์หลังจากที่ทั้งสองกลับมาอยู่หน้ารูปปั้นของโคลัมบัสที่โถงทางเข้าอีกครั้ง

“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ ฉันได้ความรู้ใหม่ๆ มาเยอะเลย” ฮอลแลนด์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูเบื่อโลกเหมือนกับตอนที่เขาเข้ามา ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปที่ทางออก

“หวังว่ามันจะมีประโยชน์กับการเดินทางของคุณนะ”

ฮอลแลนด์ไม่ตอบอะไรจนกระทั่งเดินไปถึงทางออกก่อนจะพูดโดยไม่หันกลับมา “มันมีประโยชน์มหาศาลเลยล่ะ”

เอสเธอร์ยืนมองจนกระทั่งประตูพิพิธภัณฑ์ปิดลงไล่หลังฮอลแลนด์ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ

“พ่อต้องประหลาดใจแน่”

ขณะที่คิดเรื่องนั้นเธอก็หันไปมองนาฬิกา

และพบว่ามันเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว

“ตายล่ะ”

เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องพนักงานและรื้อค้นลิ้นชักของพ่อเธอ ก่อนจะหยิบบัตรประจำตัวพนักงานและภาพถ่ายขนาดเล็กออกมา

“ขอให้ทันทีเถอะ” เอสเธอร์ยัดของทั้งหมดใส่กระเป๋านักเรียนและรีบวิ่งออกจากพิพิธภัณฑ์

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 3

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!