เพนตากอนคือศูนย์กลางของอันเดอร์ดีซี ไม่ใช่แค่เพราะมันตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเมืองแต่เป็นเพราะเมืองทั้งเมืองถูกวางผังการก่อสร้างขึ้นรอบๆ อาคารห้าเหลี่ยมหลังนี้ แต่ถึงแม้จะเป็นศูนย์กลาง แต่มันก็เป็นบริเวณที่มีคนสัญจรผ่านน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าบริเวณโดยรอบเป็นอาคารของรัฐบาล ซึ่งเป็นที่ทำงานของกระทรวงต่างๆ ทั้งฝ่ายก่อสร้าง, ฝ่ายสำรวจ, กรมการทูต และกระทรวงความมั่นคงซึ่งกินพื้นที่มากที่สุด อาคารเหล่านี้กินพื้นที่มหาศาลจนทำให้เพนตากอนอยู่ห่างจากเขตอาศัยของประชาชน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของการออกแบบเช่นนี้อาจเป็นเพราะต้องการกันคนนอกออกจากคนใน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการรักษาความปลอดภัยและป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลรวมทั้งการแทรกซึมจากสายลับโซเวียตไปในตัว
การที่เส้นทางมายังเพนตากอนไม่ใช่เส้นทางสัญจรหลัก ทำให้เอสเธอร์ไม่เสียเวลาในการรอคิวขึ้นกระเช้า และทำให้เธอมาถึงด้านหน้าอาคารห้าเหลี่ยมโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจากพิพิธภัณฑ์
“ดูเหมือนว่าจะยังทันอยู่นะ” เอสเธอร์รำพึงกับตัวเองขณะยืนอยู่หน้าประตูรั้วทางเข้าเพนตากอน
ปัญหาต่อไปของเธอคือการหาทางผ่านจุดรักษาความปลอดภัยเพื่อเข้าไปข้างใน ซึ่งเธอเตรียมแผนมาเพื่อรับมือเรื่องนั้นแล้ว แม้เธอไม่มั่นใจว่ามันจะสำเร็จก็ตามที แต่สำหรับเธอแล้ว ความเสี่ยงแค่นี้มันคุ้มที่จะลอง
เอสเธอร์กระแอมเพื่อทำคอให้โล่ง และก้าวเดินตรงไปยังป้อมยามด้านหน้ารั้วเหล็กของเพนตากอน พยายามทำตัวให้ดูมีความมั่นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่ป้อมมีทหารสองนายใส่ชุดพรางสีเขียวถือปืนกลมาตรฐานกองทัพนั่งสูบบุหรี่อยู่ ทั้งสองยืนขึ้นเมื่อเห็นเอสเธอร์เดินเข้าไปใกล้
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยแม่หนู” หนึ่งในนั้นกางมือออกแสดงสัญญาณให้เธอหยุด
“ฉันจำเป็นต้องเข้าไปข้างใน นี่เป็นเรื่องด่วนนะคะ” เอสเธอร์พยายามพูดให้ลื่นไหลและเร่งรีบที่สุดเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องด่วน
“เหรอ เธอมีธุระอะไรที่เพนตากอนกันล่ะ? ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าวันนี้เราเปิดให้เด็กมาทัศนศึกษา” ยามอีกคนพูดพร้อมรอยยิ้ม
เอสเธอร์ขมวดคิ้ว เธอเกลียดจริงๆ เวลาคนอื่นมองว่าเธอเป็นแค่เด็กอมมือ แม้ว่าเธอจะยังเด็กจริงๆ ก็ตาม
“ฉันเป็นผู้ช่วยของอาเธอร์ แอร์ริน นักวิชาการที่เข้าร่วมการประชุมลับสุดยอดที่นี่ ซึ่งฉันไม่คิดว่าคนระดับพวกคุณสมควรที่จะรู้รายละเอียด แต่ลองถามหัวหน้าพวกคุณดูนะ ว่าเรื่องการประชุมกับชื่ออาเธอร์ แอร์รินมีความหมายอะไรกับพวกเขาหรือเปล่า” เอสเธอร์ชูบัตรประจำตัวพิพิธภัณฑ์ของพ่อให้ยามดู ซึ่งนั่นเป็นการใช้ไพ่ต่อรองใบแรกในมือ ข้อมูลที่พูดไปเป็นความจริง และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ถูกเชิญมา แต่การยืนยันข้อมูลนี้ก็น่าจะทำให้เธอมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ
ทหารยามทั้งสองมองหน้ากันเองอย่างไม่แน่ใจ
“อาเธอร์ แอร์ริน มาถึงที่นี่เมื่อชั่วโมงก่อนนี่เอง แต่เขาไม่เห็นพูดถึงผู้ช่วยของเขาเลยนะ?”
เอสเธอร์สบถในใจ ถ้าเธอไม่มัวเสียเวลาพาฮอลแลนด์เดินชมพิพิธภัณฑ์อยู่ เธอก็คงจะมาถึงที่นี่ก่อนพ่อของเธอไปแล้ว
“คุณอาเธอร์ลืมข้อมูลสำคัญสำหรับการประชุม และมันเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยอย่างฉันที่จะต้องนำมันมามอบให้กับเขาถึงมือด้วยตัวเอง” เอสเธอร์พยายามปรับบทให้เข้ากับสถานการณ์อย่างระมัดระวังเพื่อให้เรื่องมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
“งั้นก็เอาข้อมูลพวกนั้นมา เราจะเอาไปมอบให้กับเขาเอง” ทหารยามคนแรกยังคงดึงดันอยู่ นั่นทำให้เธอเอสเธอร์เกือบถอดใจอยู่แล้ว แต่เธออยากลองใช้ไพ่ไม้ตายก่อน
“ข้อมูลพวกนี้เป็นความลับสุดยอดซึ่งจำเป็นต้องใช้รายงานกับประธานาธิบดีเท่านั้น ซึ่งฉันได้รับคำสั่งมาว่าห้ามให้ข้อมูลเหล่านี้รั่วไหลเด็ดขาด คุณจะเดินไปส่งฉันเพื่อยืนยันเรื่องนี้ด้วยก็ได้ แต่ถ้ายังยืนยันที่จะไม่ให้ฉันเข้าไปด้วยอยู่อีก ท่านประธานาธิบดีคงอยากรู้เหตุผลที่พวกนายทำให้ข้อมูลสำคัญนี่ไปไม่ถึงมือท่านแน่ๆ” เอสเธอร์สำทับพร้อมข่มขู่ ซึ่งนั่นเป็นแค่การบลัฟล้วนๆ เธอไม่มีข้อมูลสำคัญอะไรที่ว่านั่นทั้งนั้น และถ้าจะพูดตรงๆ เธอยังไม่ได้วางแผนหลังจากผ่านขั้นนี้ไปด้วยซ้ำ
“งั้นรออยู่ตรงนี้ก่อน” เพียงแต่มันได้ผล ทหารยามคนหนึ่งเดินกลับไปใช้วิทยุเพื่อติดต่อเข้าไปด้านใน หลังจากผ่านไปสามนาทีเขาก็เดินกลับมาและเปิดประตูรั้วให้เอสเธอร์ พลางชี้ปืนเป็นเชิงบอกให้เธอเดินนำเข้าไป
เอสเธอร์พยายามเก็บอาการดีใจไว้อย่างเต็มความสามารถขณะเดินนำทหารยามคนนั้นตรงไปยังทางเข้าของหินงอกสีขาวขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่าเพนตากอน
เมื่อผ่านประตูไม้ขนาดใหญ่แกะสลักสวยงามเป็นรูปธงชาติอันเดอร์ริกาเข้ามา ก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นโคลัมบัสตั้งอยู่ตรงกลาง สองข้างทางแยกออกไปเป็นทางเดินยาวไปยังรอบๆ ตึก ขณะที่ด้านในสุดของห้องโถงมีประตูไม้เรียงอยู่หลายบาน และที่สุดมุมห้องแต่ละด้านมีบันไดวนที่พาไปยังระเบียงชั้นบน แต่ละด้านของระเบียงมีเสาหินอ่อนแกะสลักเป็นลวดลายที่เอสเธอร์ไม่รู้จัก
เอสเธอร์แหงนหน้ามองเพดานและพบว่าเพดานเองก็ถูกแกะสลักเป็นแผนที่ประเทศที่มีความละเอียดสูงมาก
“ตามมาทางนี้” ทหารยามขัดจังหวะความตะลึงของเอสเธอร์ขณะที่เขาพาเธอเดินลึกเข้าไปด้านในห้องโถงและเปิดประตูไม้บานซ้ายสุด
เอสเธอร์พบว่าตัวเองอยู่ในโถงทางเดินยาวสีขาวที่มีโคมไฟคอยให้แสงสว่างไปตลอดข้างทาง ทางเดินนี้มีขนาดยาวมาก จนเธอแทบมองไม่เห็นประตูที่สุดทางเดินอีกด้าน
ทั้งสองฝั่งของทางเดินมีประตูติดอยู่ตลอดทาง และบางครั้งทางเดินก็แยกออกไปเป็นทางแยก ซึ่งมีหน้าตาไม่ต่างจากทางเดินที่เธอกำลังเดินอยู่แม้แต่น้อย
เอสเธอร์เดินผ่านประตูจำนวนมากตามหลังทหารยาม เธอพยายามอ่านชื่อบนประตู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งของเจ้าของห้อง หรือเป็นชื่อและหน้าที่ของห้องนั้นๆ ซึ่งมีทั้งห้องวิทยุ ห้องเก็บของ คลังเสบียง ห้องประชุมหมายเลข7 หรือ 24 หรือ 12 เธอนับไม่ได้แล้วว่าเดินผ่านห้องประชุมมากี่ห้อง และหลังจากเลี้ยวผ่านทางเดินที่หน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนเป็นครั้งที่ห้า เธอก็มั่นใจว่าเธอไม่มีทางกลับออกไปได้เองโดยไม่หลงอย่างแน่นอน
บางครั้งทั้งสองจะเดินสวนกับเข้าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเพนตากอน แต่คนเหล่านั้นมักจะเดินสวนไปอย่างเร่งรีบและแทบไม่ใส่ใจเอสเธอร์กับทหารยามแม้แต่นิดเดียว
เอสเธอร์เคยนึกภาพข้างในเพนตากอนไว้หลายแบบ แต่ไม่ใช่เขาวงกตของทางเดินและประตูแบบนี้เลย เธอนึกสงสัยว่าคนเหล่านี้ทำงานที่นี่โดยไม่หลงได้ยังไง
หลังจากเลี้ยวรอบที่แปด ทั้งสองก็มาถึงบันไดที่นำไปยังโถงทางเดินชั้นบนซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับชั้นล่างไม่มีผิด
เอสเธอร์เลิกสนใจป้ายบนประตู รวมถึงแผนผังหรือคนรอบข้าง อันที่จริงเธอเริ่มจะนับแกะในหัวฆ่าเวลาขณะเดินอยู่แล้วในตอนที่ทหารยามหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากบานอื่น
‘ห้องประชุม 0’ ป้ายบนประตูเขียนไว้เช่นนั้น
เอสเธอร์กลืนน้ำลายขณะทหารยามเปิดประตูและผายมือให้เธอเข้าไปข้างใน
ห้องประชุมหมายเลขศูนย์เป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาขนาดใหญ่เป็นสามเท่าของพื้นที่ชั้นล่างของบ้านเอสเธอร์ บริเวณในห้องเกือบทั้งหมดถูกใช้งานโดยโต๊ะไม้ยาวรูปตัวยูที่ล้อมรอบแท่นตรงกลางห้อง ด้านหลังของแท่นมีกระดานขนาดใหญ่ที่มีแผนผังคร่าวๆ ของอันเดอร์ริกาแขวนอยู่ มีคนราวๆ ยี่สิบคนนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ และเอสเธอร์พบว่าคนที่กำลังยืนพูดอย่างดุเดือดอยู่บนแท่นตรงกลางห้องคือพ่อของเธอ
“ผมบอกท่านแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ความลึกระดับนั้นไม่มีทางที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ปลาสักตัวก็ไม่มีทางอาศัยอยู่ได้หรอก” พ่อของเธอพยายามอธิบายอย่างเหลืออด
“แต่มันเป็นไปแล้วอาเธอร์ นั่นเป็นสาเหตุที่เรามาอยู่กันตรงนี้ เพื่อหาคำตอบ” เอสเธอร์หันไปมองผู้พูดซึ่งนั่งตรงกลางของโต๊ะและพบว่าเขาคือประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอันเดอร์ริกา จอห์น คอร์นีเลียส
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คุณคิดแบบนั้นคอร์นีเลียส เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยที่...” พ่อของเธอชะงักไปกลางคันเมื่อสังเกตเห็นเอสเธอร์เป็นครั้งแรก และนั่นทำให้ทุกคนในห้องประชุมหันมามองเธอโดยพร้อมเพรียงกัน
“แหะๆ สวัสดีค่ะพ่อ...” เอสเธอร์นึกอย่างอื่นที่จะพูดไม่ออกแล้วจริงๆ
“ลูกมาทำอะไรที่นี่กัน?” อาเธอร์ดูงุนงงเมื่อเห็นลูกของตนเองในห้องประชุมลับสุดยอดของเพนตากอน
“เด็กนี่ใครกันน่ะ?” จอห์น คอร์นีเลียสขมวดคิ้วด้วยความสงสัยขณะกล่าวถามพ่อของเธอ
“เด็กคนนี้บอกว่าเธอเป็นผู้ช่วยของคุณอาเธอร์ แอร์รินและเธอมีข้อมูลลับสุดยอดที่ต้องนำมามอบให้คุณครับ” ทหารยามกล่าวแทนเอสเธอร์ซึ่งยืนเกาหัวอย่างขัดเขินที่กลายเป็นเป้าความสนใจของคนทั้งห้องประชุม
“เธอเป็นผู้ช่วยที่พิพิธภัณฑ์ของผม เธอเป็นลูกของผมเอง แต่ข้อมูลลับสุดยอดนี่มันอะไร... เดี๋ยวก่อน นี่เป็นแผนของลูกสินะ!” ความสงสัยของอาเธอร์กลายเป็นความโกรธเมื่อพบความจริงว่าความดื้อรั้นของเอสเธอร์อยู่เบื้องหลังการปรากฏตัวที่นี่ของเธอ
“ก็พ่อไม่ยอมให้หนูไปด้วยนี่นา! ทั้งๆ ที่หนูช่วยพ่อในการสำรวจได้ทุกครั้งแท้ๆ!”
“นี่มันไม่เหมือนการสำรวจครั้งก่อนๆ นะ! แล้วนี่มันใช่เวลามาคุยกันเรื่องนี้ซะที่ไหนกัน!” อาเธอร์พูดอย่างเหลืออดก่อนจะหันไปหาประธานาธิบดี
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ลูกของผมแกค่อนข้างดื้อรั้น และชอบออกไปสำรวจนอกสถานที่กับผมตลอด แต่ผมไม่คิดว่าครั้งนี้แกจะทำขนาดนี้”
จอห์น คอร์นีเลียสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ผมชอบเธอนะ จิตวิญญาณนักผจญภัยเต็มเปี่ยม แทบหาไม่ได้จากเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ ในเมืองเลย แต่พ่อของเธอพูดถูกนะ การสำรวจครั้งนี้อันตรายเกินกว่าจะให้เด็กแบบเธอเข้าร่วมด้วยได้ หวังว่าเธอจะเข้าใจนะ” เขากล่าวกับเอสเธอร์อย่างอ่อนโยน
“แต่ว่า หนูสามารถเป็นประโยชน์ให้กับการสำรวจครั้งนี้ได้นะคะ! ความรู้ของหนูมีพอๆ กับพ่อ และหนูมั่นใจว่าสามารถรับความลำบากของการเดินทางได้แน่นอน!” เอสเธอร์พยายามโน้มน้าวด้วยเหตุผล และมันก็เป็นเรื่องจริงที่เธอน่าจะเป็นนักวิชาการที่เก่งเป็นอันดับสองของเมืองรองจากพ่อของเธอ
“เลิกดื้อรั้นเถอะน่า เด็กผู้หญิงแบบเธอควรไปตั้งใจเรียนหนังสือมากกว่านะ การเดินทางครั้งนี้ไม่มีที่ให้กับเธอหรอก ฟังที่พ่อของเธอพูดแล้วกลับบ้านไปซะ เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว” ชายตัวใหญ่บึกบึนที่ตัดผมสั้นเกรียนอันเป็นสิ่งที่บอกว่าเขาเป็นทหารผู้นั่งอยู่ข้างประธานาธิบดีกล่าวด้วยความต้องการตัดบทและกลับไปประชุมกันต่อ
“ไม่เอาน่าเฮคเตอร์ ไม่เห็นต้องพูดกับเด็กแบบนั้นเลย” จอห์นหันไปตำหนิใส่ชายที่นั่งข้างเขา
“เลิกทำตัวเหยาะแหยะเถอะคอร์นีเลียส คุณก็น่าจะเข้าใจนะว่าการเดินทางนี้มันสำคัญและอันตรายแค่ไหน และมันไม่มีที่สำหรับเด็กหรอก” ชายที่ชื่อเฮคเตอร์ตอบคอร์นีเลียสโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเอสเธอร์
“แต่ว่า...” เอสเธอร์พยายามจะหาเหตุผลมาสู้กลับ แต่เฮคเตอร์ทำเพียงแค่โบกมือไล่และสั่งทหารยาม
“พาตัวเธอออกไป เธอทำประโยชน์ให้กับเราในการเดินทางนี้ไม่ได้หรอก”
เอสเธอร์ก้มหน้าด้วยความผิดหวังขณะที่ทหารยามยึดไหล่เธอให้หมุนตัวเดินกลับไปที่ประตู
ตอนนั้นเองที่เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งพูดขึ้น
“แต่ผมคิดว่าเธอจะเป็นคนสำคัญของเราในการเดินทางครั้งนี้นะครับ”
ทุกคนในห้องหันไปมองเจ้าของเสียงรวมทั้งเอสเธอร์ผู้ซึ่งคุ้นหูกับเสียงอันเบื่อโลกแบบนั้นมากที่สุด
“คุณหมายความว่าไงกัปตันฮอลแลนด์?” เฮคเตอร์กล่าวถามชายผมเทาผู้ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
และชายคนนั้นหน้าตาเหมือนกับนักเดินทางผู้พันผ้าคอสีแดงเลือดที่เอสเธอร์พาเดินชมพิพิธภัณฑ์ไม่มีผิด
“ผมเชื่อว่าเธอมีความสามารถในฐานะนักวิชาการ, นักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์มากพอที่จะเป็นผู้ช่วยให้กับคุณอาเธอร์ของเราในการเดินทางครั้งนี้” เขายังพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อโลกเหมือนที่พิพิธภัณฑ์ไม่เปลี่ยนและนั่นดูจะทำให้คนรอบข้างหงุดหงิด โดยเฉพาะเฮคเตอร์
“คุณพูดเหมือนรู้จักกันงั้นแหละ เธอเป็นแค่เด็กเองนะ!” เฮคเตอร์โต้ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่
“ผมไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของเธอก่อนจะมาที่นี่ คุณผู้บัญชาการเฮคเตอร์ ผมต้องบอกว่าเธอรู้ตำแหน่งเมืองเกือบทั้งหมดในโลกสิ้นแสงอย่างถูกต้อง เธอรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเกือบทุกอารยธรรมที่เรารู้จัก เธอรู้แม้แต่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์กลไกเรือดำนำ้รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพของคุณใช้ เธอประกอบแบบจำลองตอร์ปิโดสังเคราะห์ที่คุณใช้ได้ถูกต้องด้วยซ้ำ และผมไม่คิดว่าแม้แต่คุณจะรู้เรื่องประวัติการจมเรือในสงครามได้เท่าเธอด้วยซ้ำนะ”
เฮคเตอร์และเอสเธอร์หน้าแดงพอกัน แต่คนหนึ่งเพราะกำลังโกรธจัดที่ถูกหยาม ในขณะที่อีกคนกำลังเขินที่ถูกชมให้คนทั้งห้องประชุมฟังเป็นชุด
“คุณคิดจะพาเด็กขึ้นเรือไปด้วยหรือยังไงกันฮอลแลนด์!? นั่นมันไร้สติชัดๆ!”
ฮอลแลนด์แทบไม่เปลี่ยนสีหน้า
“คุณเป็นผู้บัญชาการกำลังพลประจำเรือ ส่วนผมเป็นกัปตันของเรือดำน้ำที่พวกคุณจะใช้ ดังนั้นผมมีสิทธิ์เลือกลูกเรือของผมนะ” เขาหันมาหาเอสเธอร์เป็นครั้งแรกหลังพูดจบ
“ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของเธอเพียงผู้เดียว ว่ารับความเสี่ยงและอันตรายรวมทั้งความลำบากที่จะเกิดในการเดินทางไหวหรือไม่ แต่ผมยืนยันที่จะให้เธอฟังรายละเอียดของภารกิจครั้งนี้ก่อนตัดสินใจ”
ทั้งห้องเงียบกริบหลังฮอลแลนด์พูดจบ อาเธอร์มีสีหน้างุนงงไม่อยากเชื่อ จอห์น คอร์นีเลียสมองมาที่เอสเธอร์อย่างทึ่งๆ ส่วนเฮคเตอร์ทำเพียงแค่มองฮอลแลนด์อย่างอาฆาต
ส่วนเอสเธอร์นั้นดีใจมากที่มีคนเห็นความสามารถของเธอโดยไม่มองเธอเป็นแค่เด็ก ที่สำคัญกว่านั้น คือให้โอกาสเธอตัดสินใจในการเข้าร่วมการสำรวจลับสุดยอดของประเทศ
“เป้าหมายการสำรวจคืออะไรงั้นเหรอคะ?” เอสเธอร์ถามสิ่งที่สงสัยอยู่ที่สุดออกไป
จอห์น คอร์นีเลียสมีสีหน้าราวกับกำลังชั่งใจว่าจะบอกเธอดีหรือไม่
“สิ่งที่ฉันจะพูดคือความลับสุดยอดที่ไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ เราจะให้โซเวียตได้ข้อมูลนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด เธอเข้าใจใช่ไหม?” เขาถามเธอ
เอสเธอร์พยักหน้าหนักแน่น
“คุณจะบอกเธอจริงๆ งั้นเหรอ?” เฮคเตอร์ถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ถ้าเธอตัดสินใจไม่เข้าร่วมหลังฟังรายละเอียดภารกิจ เราจะส่งทหารไปคอยจับตาดูเธอจนกว่าการสำรวจจะเสร็จสิ้น เธอโอเคไหม?” ประธานาธิบดีถามยืนยัน และเอสเธอร์พยักหน้าหนักแน่นอีกครั้ง ขณะที่พ่อของเธอเอามือกุมหัวพร้อมกับสีหน้ายอมแพ้
“งั้นเรากลับมาคุยกันต่อได้ ภารกิจของเราคือการสำรวจใต้ทะเลลึก เธอรู้จักอะบิสดีแค่ไหน?” ฮอลแลนด์หันมาถามเอสเธอร์
“มันคือระดับความลึกที่ลึกเกิน 5,000 เมตร” เอสเธอร์ตอบราวกับท่องจำมา
ฮอลแลนด์พยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะพูดต่อ
“เราเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่อะบิส และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีมนุษย์อยู่ที่นั่น”
เอสเธอร์ตะลึงกับข้อมูลที่ได้รับ “แต่นั่นมัน...”
“เป็นไปไม่ได้ เธอพูดเหมือนกับพ่อของเธอเลย” ประธานาธิบดีจบประโยคให้เอสเธอร์ก่อนหันไปขยิบตาให้อาเธอร์
“ก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ น่ะสิครับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสงหรืออากาศเลย ที่ความลึกระดับนั้นวาฬยังอยู่ยากเลย ถ้ามีมนุษย์อยู่ที่ความลึกระดับนั้น ก็จะโดนบีบจนเละจากความดันของน้ำหนักของน้ำ” ดูเหมือนว่านี่จะเป็นประเด็นที่พ่อของเธอโต้เถียงอยู่ตอนที่เอสเธอร์เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“คุณลองฟังสิ่งที่ผมจะบอกให้จบดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องนั้น” จอห์น คอร์นีเลียสตอบเสียงเรียบก่อนจะเล่าต่อ เมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องเงียบกันหมดแล้ว
“ที่นิวอะแลสกาได้มีการเริ่มขุดเจาะลึกลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งเพื่อหาแหล่งน้ำมันใหม่ตามคำสั่งของผม พวกเขาขุดลงไปจากระดับพื้นดินสามพันเมตรโดยไม่พบอะไร ก่อนที่จะลองขุดลึกลงไปอีก...”
คอร์นีเลียสเว้นจังหวะ เอามือสองข้างวางประสานไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเล่าต่อ
“ตอนที่ขุดไปถึงระดับความลึกห้าพันเมตรจากพื้นผิว เครื่องขุดเจาะของพวกเขาก็ทำงานผิดปกติ มันเจาะไม่โดนน้ำแข็งอีกต่อไป ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเครื่องขุดเสียจึงลองดึงเครื่องขุดขึ้นมาตรวจสอบและพบว่ามันทำงานเป็นปกติ ตอนนั้นพวกเขาจึงคิดว่า พวกเขาขุดไปเจอโพรงขนาดใหญ่ที่ระดับความลึกห้าพันเมตร ดังนั้นพวกเขาจึงลองส่งเครื่องสแกนโซนาร์ลงไป และพบว่ามันไม่ใช่โพรง แต่เป็นจุดสิ้นสุดของแผ่นน้ำแข็ง และข้างล่างนั่นคือทะเลที่อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง ตอนนั้นพวกเขาคิดว่ามันอยู่ใกล้กับพื้นถ้ำเหมือนกับจุดอื่นๆ ที่พวกเขาขุดกัน เลยส่งเรือดำน้ำขนาดเล็กควบคุมด้วยรีโมตกับกล้องลงไปเพื่อตรวจดูว่าพื้นถ้ำอยู่ลึกลงไปอีกแค่ไหน... แต่พวกเขาไม่เจอมัน ไม่เจอพื้นถ้ำเลยไม่ว่าจะดำลงไปลึกแค่ไหน จนกระทั่งเมื่อดำลงไปถึงความลึก 6,000 เมตรจากพื้นผิว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่เรือดำน้ำนั่นจะไปได้ พวกเขาก็พบกับบางสิ่ง”
ทุกคนในห้องเงียบสนิท เอสเธอร์รู้สึกถึงอารมณ์แปลกๆ ผสมปนเปในตัวเอง ทั้งความอยากรู้ ความสงสัย และอารมณ์หนึ่งซึ่งซึมซาบขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุด ความกลัว กลัวในบางอย่างที่ไม่รู้จักและอธิบายไม่ได้ เธอเชื่อว่าทุกคนในห้องต่างรู้สึกเหมือนกันขณะกำลังฟังเรื่องราวการค้นพบแสนลึกลับนี้
กลัวในบางสิ่งบางอย่าง...
“กล้องของพวกเขาพบอะไรงั้นเหรอครับ?” อาเธอร์ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
จอห์น คอร์นีเลียสกระแอมอย่างอึดอัด ก่อนจะเล่าต่อ
“กล้องของพวกเขาไม่เจออะไรหรอก ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่ความลึกระดับนั้นนอกจากความมืด”
“แล้วถ้างั้น?” ประธานาธิบดียกมือตัดบทความสงสัยของพ่อเธอราวกับจะบอกว่าให้ฟังให้จบก่อน
“พอดีว่ากล้องของเรือลำนั้นมีระบบบันทึกเสียงด้วย ตอนที่พวกเขานำมันขึ้นมาตรวจสอบก็นึกว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากในเมือง แต่พอฟังดีๆ แล้วพวกเขาก็พบว่ามันเป็นเสียงที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ประธานาธิบดีหยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็กพอๆ กับกระดาษหนึ่งหน้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือและหยิบบางอย่างที่อยู่ภายในออกมาก่อนจะหย่อนมันลงใส่เครื่องมือขนาดใหญ่ที่มีปากกรวยอยู่ด้านบน ซึ่งเอสเธอร์รู้ว่ามันคือเครื่องเล่นเทปจากการอ่านหนังสือแนะนำเทคโนโลยีจากโลกเก่า
“นี่คือเสียงนั้น” ประธานาธิบดีพูดพร้อมกับกดปุ่มเล่น
เสียงดังกริ๊กดังขึ้น พร้อมกับเสียงขูดขีด และเสียงที่เหมือนชอล์กขูดกระดาน หลังจากนั้นก็เงียบ แต่เอสเธอร์รู้ได้ว่าเป็นเสียงจากเรือดำน้ำเพราะมีเสียงฟองอากาศแตกตัวดังแทรกมาเป็นระยะ
ไม่มีเสียงใดในห้องนอกจากเสียงจากเครื่องนั้นเป็นเวลาราวห้านาที แต่เอสเธอร์รู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง มันเป็นห้านาทีแห่งการรอคอยที่ยาวนานและลุ้นที่สุดของเธอ
“พวกเขาเจออะไรกันแน่?” เธอพูดเสียงเบาจนมีแต่ตัวเองที่ได้ยิน
และราวกับจะตอบคำถามนั้น เธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ใช่เสียงน้ำและฟองอากาศ
บางอย่าง ที่ไม่มีวันที่จะไปอยู่ที่ความลึกระดับนั้นได้
เอสเธอร์รู้สึกราวกับอุณหภูมิห้องลดลงไปหลายองศา ตอนที่เธอหันไปมองพ่อของเธอ เอสเธอร์ก็รู้ได้ว่าตนเองก็คงกำลังทำสีหน้าแบบเดียวกับพ่อของเธออยู่
ไม่ใช่สีหน้าของความดีใจ
ไม่ใช่แม้แต่สีหน้าของความตกใจในการค้นพบ
มันเป็นสีหน้าของความหวาดกลัว
เพราะเอสเธอร์มั่นใจว่าเธอเคยได้ยินเสียงที่กำลังดังออกมาจากเครื่องเล่นตอนนี้มาก่อนแล้ว
จะพูดให้ชัดแล้ว เธอเพิ่งฟังเสียงนี้ไปเมื่อตอนเช้านี่เอง
เสียงของเครื่องดนตรีที่ไม่มีในโลกสิ้นแสงนี้อีกแล้ว
แต่มันกำลังดังมาจากจุดที่ลึกที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จัก
เสียงเปียโนซึ่งกำลังเล่นเพลงโซนาตาแสงจันทร์
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 3
Comments