หลังจากคุยกันเสร็จสรรพ ผ.อ. เอมอร ทำหนังสือประทับตราโรงเรียนแจ้งเรื่องการไปเข้าค่ายคุณธรรมที่ต่างจังหวัดอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วส่งไปหาผู้ปกครองของทุกคน อาจจะแปลกไปบ้างสำหรับการเปิดเทอมวันแรกของผมก็ได้ซองขาวประทับตราโรงเรียนกลับไปแถมยังแจ้งข่าวเรื่องลูกชายตัวดีที่ไม่เคยแม้แต่จะเข้าวัดไปทำเรื่องเหลือเชื่ออย่างการเข้าค่ายคุณธรรมแต่สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่เรื่องออกไปทำบททดสอบแต่เป็นหลังจากนั้น แพรวาและกายกำชับให้ผมบอกความจริงพวกท่านแต่สำหรับผมแล้วนี่เป็นเรื่องยากที่จะพูดความจริงของโลกนี้ให้พวกเขาฟังแถมตอนนี้ผมดันกลายเป็นผู้ถูกเลือกโดยบังเอิญ
ค่ำวันนั้นที่ผมยื่นซองขาวให้กับพวกท่าน ทุกสายตาในโต๊ะอาหารต่างมองมาที่ผมอย่างแปลกประหลาดพ่อของผมถึงกับทำช้อนตักแกงร่วงหล่นจากมือ ส่วนแม่ผมนั้นเธอนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ ๆ ไม่พูดอะไรนอกเสียจากเธอดึงกระดาษทิชชูที่อยู่บนโต๊ะอาหารขึ้นมาซับน้ำตา ต่อให้ลึกๆ ในใจของผมจะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกเรื่องนี้แต่แววตาแห่งความปลาบปลื้มที่พวกท่านมีในวันนี้ทำให้ผมฝืนใจบอกความจริงไม่ลง ผมได้แต่พูดขอโทษในใจเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้ง ‘พ่อครับแม่ครับผมขอโทษนะครับผมจำเป็นต้องปกป้องความจริงเรื่องนี้กับทุกคนจริง ๆ’
“มีชุดขาวหรือยัง?” คำพูดของแม่ทำให้ผมสำลักแกงจืด แล้วรีบตะกุกตะกักตอบท่านแบบขอไปที แทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตนี้ผมจะใส่ชุดขาวเพราะตู้เสื้อผ้าของผมมีเพียงชุดสีดำเพียงเท่านั้น แต่แววตาของแม่ทำให้ผมต้องรีบตอบความจริงไปว่า ยังขาดสิ่งนั้นอยู่ การทานอาหารในมื้อนี้เป็นมื้อที่ผมรู้สึกทำตัวกระอึกกระอักที่สุด ประการแรกผมไม่เคยโกหกพวกท่าน นั้นยิ่งทำให้ผมดูมีพิรุธเวลาที่ต้องพูดคุยและสบตากัน ประการที่สองผมไม่คิดว่ามุกเชิญไปเข้าค่ายคุณธรรมจะได้ผล แต่เกินความคาดหมายสุดท้ายพ่อแม่ผมก็เซ็นชื่อยินยอมให้ผมไปเข้าค่าย ต่อให้ลึกๆ ผมจะรู้สึกระอาก็เถอะ ผมอธิบายเรื่องการงดเครื่องมือสื่อสารให้พวกท่านฟังเพราะการไปเข้าค่ายคุณธรรมแน่นอนว่า เราจะต้องตัดการสนทนาทางโลกให้มากที่สุด ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับพวกผมเพราะถ้าต้องต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดแล้วมีสายเรียกเข้า คงไม่ใช่เรื่องที่ดี ที่จะรับสายสักเท่าไหร่
หลังจากผมทานมื้อค่ำเสร็จผมรีบขึ้นห้องจัดแจงสัมภาระ เตรียมของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นสำหรับการเดินทางไกล แน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือปกหนังเล่มเก่าเข้ากระเป๋าเป้ใบโปรดด้วยแน่นอน ตั้งแต่ผมอ่านมันจบก็ไม่กล้าที่จะเปิดหนังสือเล่มนี้อีกเลยกลัวว่ามันจะมีตัวประหลาดโผล่มาในบ้าน หลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
“นี้จ้ะชุดขาว แม่รู้ว่าคนแบบโอมไม่มีชุดขาวสำหรับไปเข้าค่ายหรอก”
“ขอบคุณครับแม่” ผมค่อย ๆ หยิบชุดขาวในมือของแม่มาแต่แล้ว เธอกลับลากผมเข้าไปสวมกอดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ถ้าลูกมีเรื่องลำบากใจ ไม่สบายใจปรึกษาพ่อกับแม่ได้ตลอดนะอย่าเก็บมันไว้คนเดียว” แม่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากว่าครั้งไหน ๆ จนผมสัมผัสถึงความห่วงใยจากคำพูดเหล่านั้นได้
“ครับถ้าผมพร้อมผมจะเล่าให้ฟังนะครับ” ผมโอบกอดไหล่เล็ก ๆ ก่อนที่จะขอตัวกลับไปเก็บของ แต่ไม่ลืมที่จะหอมแก้มแล้วบอกฝันดี พอนึกย้อนทบทวนถ้อยคำของแม่เหมือนว่าท่านจะรู้ว่าผมกำลังโกหกเรื่องไปเข้าค่ายคุณธรรม แต่ทำไงได้ล่ะมันผ่านไปแล้ว
เสียงนาฬิกาปลุกของเข้าวันใหม่ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากเตียงนอน เมื่อคืนผมเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว ผมเลือกแต่งกายด้วยชุดนักเรียนเสื้อสีขาวกางเกงสีน้ำเงินรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตานัก ก่อนออกจากบ้าน พ่อกับแม่ยืนส่งผม หลังจากกอดล่ำลากันเสร็จสรรพผมก็แบกเป้ใส่หลัง และเริ่มออกเดินทาง
หลังจากที่ ผ.อ. เอมอรให้พิกัด หลักกิโลเมตรที่ศูนย์แก่พวกเรา เมื่อคืนผมตีเส้นทางการเดินทางที่ไวที่สุดในช่วงเช้าไว้แล้ว ในการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกใช้เส้นทางเรือ ผ่านคลองแสนแสบ ไปลงท่าผ่านฟ้าลีลาศ และเดินเท้าต่อไปที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คาดว่าคงใช้เวลาในการเดินทางในครั้งนี้ประมาณ สามสิบนาที
การเดินทางในช่วงเช้าก็เป็นอย่างที่ผมวางแผนเอาไว้ โชคดีที่ผมลงเรือที่โดยสารมาด้วยผู้คนไม่แออัดนัก การเดินทางในครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นทัศนียภาพของชุมชนรอบ ๆ สองฝั่งของคลองแสนแสบไปด้วย หลังจากผ่านไปไม่นาน ผมก็มาถึงยังท่าเทียบเรือปลายทางจากนั้นผมก็เดินทางเท้าต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงจุดหมายที่พวกเรานัดกันไว้ แต่ด้วยความหิวผมตรงดิ่งเข้าร้านไก่ทอดชื่อดังก่อน คิดว่าควรหาอะไรรองท้องระหว่างที่รออีกสองคนที่เหลือ
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” ผมยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์สั่งอาหาร พนักงานหญิงกล่าวคำทักทาย พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่สดใสมาให้ ผมก้มลงมองในรายการอาหารที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ตรงหน้า พลันสายตาไปสะดุดกับ ชื่อเมนูอาหารที่เป็นเมนูสุดท้ายของหน้า “ชุดเซตไก่แห่งโฬม” เกิดประกายแสงสีทองเคลือบผ่านตัวอักษรของชื่อเมนูดังกล่าว ผมเงยหน้ามองพนักงานขาย แล้วชี้ไปที่เมนูนี้อย่างรวดเร็ว “เอาละสิ หรือนี่จะเป็นบททดสอบ” ผมคิด
“รับเซตไก่แห่งโฬม ครับ” สิ้นเสียงพูดของผมดวงตากลมของพนักงานสาวคล้ายมีประกายแสงสีทองวูบไหว
“รับเป็นเซตไก่แห่งโฬมหนึ่งที่นะคะ ทั้งหมดหนึ่งเหรียญทองค่ะ”
“เหรียญทอง” เหรียญทองที่ว่านี่ หรือว่าจะหมายถึงเหรียญที่ ผ.อ. ให้มา ผมล้วงเอาเหรียญ แล้วยื่นให้ทันที เธอรับแล้วส่งยิ้มให้ผม
“รอสักครู่นะคะ”
ผมเลือกที่จะเดินไปนั่งบริเวณโต๊ะใกล้กับกระจกริมหน้าต่าง เผื่อว่ากายและแพรวามาถึง สายตาลอบมองวิวโดยรอบชมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ตั้งอยู่ระหว่างถนนราชดำเนิน และถนนดินสอ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความถึงเพื่อนทั้งสองคน [ผมมาถึงแล้วครับ]
“เซตไก่แห่งโฬมได้แล้วค่ะ” พนักงานหญิงคนเดิมเอาอาหารที่ผมสั่งเข้ามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ซึ่งปกติแล้ว ร้านนี้จะเรียกคิวให้ไปรับที่เคาน์เตอร์
“ขอบคุณครับ”
“แนะนำให้ กัดแค่คำเดียวก่อนนะคะ แล้วค่อยท่านต่อ” พนักงานคนนั้นยิ้มแล้วเดินจากไป
“ครับ” ผมเกาหัวด้วยความงุนงง กับการบริการและคำแนะนำ
ผมเปิดกล่องเซตไก่แห่งโฬมภายในเซตประกอบไปด้วยไก่ทอดหนึ่งชิ้น ที่ถูกทอดจนเหลืองกรอบ ได้กลิ่นความหอมที่มาจากเม็ดผักชีและกระเทียม ราดด้วยซอสมะขาม ข้าง ๆ เป็นกล่องกระดาษใบเล็ก ๆ ผมละความสนใจจากชิ้นไก่ทอดน่าอร่อยมาสนใจเจ้ากล่องกระดาษนี่แทน ผมหยิบมันขึ้นมาและเปิดฝากล่องออกมาภายในบรรจุเม็ดสีน้ำตาลเล็ก ๆ มีกลิ่นแปลกที่ผมเคยได้กลิ่นนี้มาก่อนกลิ่นของมันคล้ายอาหารสัตว์ ผมพลิกอ่านดูข้าง ๆ กล่อง “อาหารเม็ด แมวโต สูตรสุขภาพดี รสปลาแซลมอน” ทำไมถึงมีอาหารแมวติดมากับเซตไก่ที่ผมสั่ง หวังว่าพนักงานคนนั้นคงไม่หยิบกล่องผิดมาให้ผม แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนตอนนี้ผมหิวมาก ช่างกล่องอาหารแมวมันก่อน กลิ่นไก่ กำลังเย้ายวน ให้ผมลิ้มรส ผมหยิบไก่ทอดขึ้นมากัดเข้าไปเต็มคำ
ผมรู้สึกว่า นี่เป็นไก่ทอดอร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมา เนื้อสัมผัสไก่ที่อ่อนนุ่ม หอม ยิ่งเคี้ยวไปเรื่อย ๆ ยิ่งอร่อยผมหลับตาลง เพื่อลิ้มรสสัมผัสของเนื้อไก่ เคี้ยวอย่างช้า ๆ เพื่อให้ซึมซาบรสชาตินี้ไว้ให้นานที่สุด ผมลืมตาขึ้น เพื่อจะกัดคำต่อไป
“เฮ้ย!” ดวงตาผมเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ ผมรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัว หมุนวนอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าตอนนี้ผมอยู่ใจกลางพายุ ลูกโตที่หมุนด้วยความเร็วสูง หัวใจผมเต้นแรงแทบจะหลุดออกมา เหงื่อแตกพลั่ก ผมทำอะไรไม่ถูก แรงของพายุค่อย ๆ เบาลงจนหยุดนิ่ง ผมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงจบแทบจะหยุดหายใจ ลมหายใจสะดุดกับสิ่งที่เห็น ในมือยังคงถือน่องไก่ทอดที่กัดไปได้เพียงคำเดียวค้างเติ่งไว้อย่างนั้น
“ที่นี่มันที่ไหนกัน” ภาพบรรยากาศร้านอาหารใจกลางกรุงเทพฯ เปลี่ยนไป ผมยืนอยู่ท่ามกลางป่าทึบที่มีต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ไม่พบสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่ผมเคยเห็นระหว่างนั่งกินก่อนหน้านี้ ต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผมน่าจะเป็นต้นจามจุรี กิ่งก้านแผ่ขยายกว้างปกคลุมเป็นวงกว้าง
“เมี๊ยว! ใช่ ๆ ใช่แล้ว ๆ กลิ่นหอมแบบนี้ เมี๊ยว!” ผมหันขวับไปหาสิ่งมีชีวิต ต้นเสียงแหลมประหลาด แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมกลับเป็นเพียงแมวตัวหนึ่ง มันกำลังใช้หัวและลำตัวคลอเคลียถูไถไปมากับถุงเท้านักเรียนที่ผมดึงสูงขึ้นมาถึงน่อง
“เจ้าน่ะ จะจ้องข้าอีกนานไหม ส่งมันมาได้แล้ว เมี๊ยว!”
“เฮ้ย!” ผมตกใจจนกระโดดถอยหลังออกมาจนเสียหลักก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นหญ้าเบิกตาโตมองเจ้าแมววิเชียรมาศขนเท่าหม่น ใบหูเล็ก ๆ ทั้งสองกำลังกระดิกอย่างน่ารัก มันใช้ดวงตาฟ้านัยน์ตาสีดำกลมโตจ้องเขม็งมาที่ผมคล้ายกับไม่กำลังหงุดหงิด
“เจ้านี่ขี้ตกใจจังเลยนะ เมี๊ยว! ไม่เหมือนเจ้าสองคนนั้น เอาละ ถ้าไม่อยากให้ข้าต้องโมโหหิว ส่งเจ้านั่นมาให้ข้าได้แล้ว เมี๊ยว!” เจ้าแมวร้องถามหาสิ่งที่มันต้องการอีกครั้ง สมองของผมนึกไปถึงกล่องใบเล็กที่มีฉลากเขียนไว้ว่า'อาหารสำหรับแมวโต' ก่อนหน้า ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหามัน
“คุณหมายถึงสิ่งนี้เหรอครับ” ผมหยิบกล่องเล็กขึ้นมาเปิดกล่องแล้วยื่นให้เจ้าแมว
“ใช่แล้ว ๆ เมี๊ยว! นี่มันของโปรดของข้าเลยล่ะ เจ้ามาสายนะ รู้ไหม เพื่อนเจ้าอีกสองคนนำหน้าเจ้าไปแล้ว เมี๊ยว”
“ขอโทษนะครับ คุณหมายถึง เด็กผู้ชายตัวสูง ๆ ผิวเข้ม ๆ กับเด็กผู้หญิงใส่เสื้อฮูดแขนสั้นสีแดงหรือเปล่าครับ”
“ใช่ เมี๊ยว! ก็มีแค่พวกเจ้าที่ได้เหรียญไม่ใช่เหรอ เมี๊ยว” แมววิเชียรมาศตอบผมอย่างงึมงำ ในปากมันเต็มไปด้วยอาหารเม็ดที่กำลังเคี้ยวอยู่
“แล้วเพื่อนผมไปไหนแล้วครับ” ผมถามอย่างสงสัย
“สองคนนั้นหน่ะ เมี๊ยว! ตอนนี้น่าจะทำการทดสอบ อยู่ที่ไหนสักแห่งแล้ว เมี๊ยว! ส่วนเจ้าน่ะ พร้อมหรือยังล่ะ เมี๊ยว!” ตาสีฟ้านัยน์ตาดำของมันจับจ้องมาที่ผม อาการวิงเวียนศีรษะจากพายุหมุนเมื่อครู่ยังคงมีอยู่บ้าง และผมยังไม่พร้อมในตอนนี้ ฉะนั้นผมขอคุยกับเจ้าแมวประหลาดถ่วงเวลาให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้สักนิดละกัน
“คุณชื่ออะไรครับ” ผมเปิดบทสนทนากับเจ้าแมว
“เมี๊ยว! เรียกข้าวิเชียรมาศ หรือมาศ ก็ได้ ข้าเป็นผู้มอบ บททดสอบแก่ผู้ถูกเลือก ที่มีความประสงค์จะไปที่ วิชชาวิทยาลัย เมี๊ยว! เจ้าเป็นคนแรกที่ถามชื่อข้านะ เมี๊ยว!”
“ครับคุณมาศ ผมชื่อโอมครับ คุณมาศหิวไหมครับผมมีไก่ทอดอีกชิ้น”
“ข้าทานไม่ได้หรอก เมี๊ยว! อาหารนั่นเหมาะกับมนุษย์อย่างพวกเจ้ามากกว่า เมี๊ยว!”
“ถ้าอย่างนั้น อันนี้ล่ะครับ” ผมลองหยิบขนมแมวเลียที่พกติดกระเป๋ากางเกงมาด้วยเผื่อเจอแมวจร ระหว่างเดินทาง ผมจัดการฉีกซองแล้วยื่นให้ คุณมาศ “เป็นแมวเหมือนกัน น่าจะชอบเหมือนกันนะ” ผมคิด
“หอมมาก เมี๊ยว! เจ้านี่คือสิ่งนั้น ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่แมวสินะ เมี๊ยว! ไหนข้าลองชิม หือ มันอร่อยมาก เมี๊ยว! ข้าเคยได้ยินพวกแมวพูดกันนะว่า มีอาหารในซองที่อร่อยมาก คงเป็นเจ้านี่แน่นอน เมี๊ยว!”
ผมอมยิ้ม “แมววิเศษ ก็พ่ายแพ้อาหารแมวเลียสินะ” ถ้าโลกมีสัตว์พูดได้แบบคุณมาศ ก็ดีสิ
“เจ้ายิ้มอะไร เมี๊ยว!” แมววิเชียรมาศ พูดไป พร้อมกับเลียรอบๆ ปากตัวเองไป
“เปล่าครับ ผมกำลังคิดว่าถ้าโลกมีแมวพูดได้แบบคุณมาศ คงจะดีกว่านี้ครับ” ผมยิ้มให้คุณมาศและกล่าวด้วยใจจริง
“ขอบใจเจ้ามาก อะนี่ ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้ เจ้า เมี๊ยว!”
คุณ มาศใช้ขาหน้าสะกิดปลอกคอออกมาจากหัวกลม ๆ แล้วใช้ปากคาบมาให้ผม กระพรวนสีเงินขนาดเล็กตรงกลางสลักอักษรย่อ ม.ศ. “รับเจ้านี่ไว้ สักวันเจ้าอาจจะต้องใช้มัน เมี๊ยว!” ผมยื่นมาไปรับมันมาอย่างงุนงงพร้อมกับเก็บกระพรวนเข้ากระเป๋ากางเกง
“ขอบคุณครับ คุณมาศ” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเกาคางให้ คุณมาศส่งเสียงเพอร์และแสดงท่าทางเคลิบเคลิ้มออกมาอย่างพอใจ แมวทุกตัวพ่ายแพ้ต่ออำนาจการโดนลูบหัวเกาคางสินะ
ทันใดนั้นเอง…
แกร๊ก! เสียงกิ่งไม้หักเป็นทาง ดังมาจากพงหญ้าด้านหลังและเสียงเริ่มใกล้เข้ามา ทางผมและคุณมาศ ผมก้มหลบด้วยสัญชาตญาณ ผมรวบคุณมาศเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน ก่อนกลิ้งไปหลบหลังพุ่มไม้ด้านซ้าย
พรึ่บ! หมาป่าเงากระโจนออกมา มันก้มลง ดมกลิ่น ตามพื้น พร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟันขู่
“แม่ง!! ตามมาถึงนี่เลยเหรอ” ผมสบถในใจ คาดไม่ถึงว่าหมาป่าเงาจะโผล่มาตรงนี้ได้ สถานการณ์ไม่สู้ดี ตอนนี้ผมอยู่ตัวคนเดียวพร้อมกับแมวอีกหนึ่งตัว หรือว่า พวกมันรอจังหวะนี้...
พลึ่บ! มีหมาป่าเงาอีกสองตัวกระโจนตามหลังมาหมาป่าตัวแรกที่เสมือนเป็นจ่าฝูงเข้ามา หรือว่าหมาป่าพวกนี้จะเป็น ‘วกะ’ ที่แพรวาเคยบอกว่าไล่พวกมันไปในตอนนั้น! แต่ในครั้งนี้ขนาดตัวของพวกมันกลับดูเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
“ความแค้นที่เจ้าและสหายได้ฝากฝังไว้กับข้าเมื่อครั้งก่อนยังคงตราตรึงในความทรงจำของข้า และกลิ่นความหวาดกลัวจองเจ้ามันช่างเย้ายวนข้อเสียจริง หึ ๆ”
เดาไม่ผิดสินะ หมาป่าเงา วกะ ชิ! ผมกอดกระชับคุณมาศในอ้อมแขนไว้แน่น พยายามหลบซ่อนพวกมันอยู่หลังพุ่มไม้
“พุ่มไม้นั่น กลบกลิ่นความกลัวของเจ้าไม่ได้หรอก หึ ออกมาเป็นเหยื่อของข้าซะ” หมาป่าเงา วกะ หนึ่งในสามตัว ส่งเสียงพูด ที่คล้ายเสียงเห่าหอน
สิ้นเสียงคำยั่วยุ คุณมาศกระโดดออกจากอ้อมกอดผม ไปประจันหน้ากับพวกหมาป่าเงา
“เจ้ากล้ามากนะไอ้ลูกหมา ที่เข้ามาทำตัวไร้มารยาทแบบนี้ในยังถิ่นของข้า ถ้าเช่นนั้น อย่าหาว่าไม่เตือน เมี๊ยว!” พูดจบ ส่งเสียงขู่ฟู่เสียงของคุณมาศเปลี่ยนเป็นดุดัน พร้อมกับพองขน ตัวโก่งและหางชี้ขึ้นฟ้า คุณมาศเริ่มร่ายคาถา “มวลม่านราตรีที่ดำมืดเผยแสงอัสนีที่เรืองรอง เท เลส ธีน ดรา” ปรากฏกลุ่มเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณย้อมป่าทั้งผืนให้ดำมืด ลมกระโชกแรงขึ้น เสียงฟ้าร้องดังเป็นจังหวะ สายฟ้าเส้นใหญ่ผ่าลงมากลางตัวของคุณมาศ ลำตัวของคุณมาศค่อย ๆ เปลี่ยนไป แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายรอบ ๆ ตัว ทันใดนั้น หมาป่าตัวหน้าสุดส่งเสียงร้องโหยหวน ดวงตาเบิกโพลง ตัวของมันค่อยๆ สูญสลาย หรือว่า นี่คือเวทมนตร์ ของแมววิเชียรมาศตัวนี้ ผมอ้าปากค้าง คาถาที่สุดยอด ประกอบกับความเร็วที่ปราดเปรียวรวมแล้วไร้ที่ติ
หมาป่าเงา ที่เหลืออีกสองตัว พวกมันแหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วส่งเสียงหอน เหมือนครั้งก่อน ผมรู้ได้ทันทีว่ามันจะทำอะไรต่อไป “คุณมาศเราหนีกันเถอะครับ มันกำลังเรียกรวมฝูง เรามีกันแค่สองคนโอกาสชนะเราน้อยมากครับ”
แต่ก่อนที่เราจะได้ตัดสินใจ ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง มันทำเอาผมถึงกับเสียหลักล้มลงไป ราวกับโลกใบนี้ถูกเขย่าด้วยแรงสั่นสะเทือนคล้ายเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงปรากฏร่องรอยร้าวเหมือนรอยบากของแก้วที่กำลังจะปริแตกบนท้องฟ้าสีครึ้ม บนท้องฟ้าปรากฏดวงตาขนาดใหญ่สีแดงฉานดั่งโลหิต นัยน์ตาเสี้ยวพระจันทร์สีเหลืองจ้องมองลงมาทางผม
“เราต้องหนี พวกมันเจอเจ้าแล้ว เมี๊ยว!” สัญชาตญาณ บอกว่าสิ่งนี้อันตราย คุณมาศขยายร่างใหญ่ขึ้น ลักษณะคล้ายเสือชีตาห์สีน้ำเงินขนยังคงมีประกายของสายฟ้าแล่นไปทั่วร่าง ยิ่งทำให้ร่างของคุณมาศตอนนี้สง่างาม ราวกับเป็นสัตว์เทพในตำนาน
“ขึ้นขี่หลังข้าเร็ว ไม่งั้นเจ้าไม่รอดแน่” คุณมาศบอกผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน ผมไม่รอช้ากระโดดขึ้นหลังคุณมาศ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นขี่หลังแมว ไม่สิ เสือชีตาห์ ไม่ต้องบรรยายว่าผมรู้สึกอย่างไร ในตอนนี้ขอให้รอดพ้นจากพวกหมาป่าเงา พวกนี้ก่อน
คุณมาศวิ่งทะยานเข้าไปในป่ารกผ่านต้นไม้น้อยใหญ่จนสายตาของผมมองอะไรแทบไม่ทัน ผมก้มตัวลงไปให้มือโอบกอดแผงคอ ของคุณมาศไว้แน่นด้วยความกลัวว่าจะร่วงลงไปจากหลังของคุณเขาเสียก่อนผมชำเลืองสายตากลับไปมองทางด้านหลังเห็นสายฟ้าฟาดลงมาเป็นเส้น หมาป่าเงายังคงวิ่งไล่ตามหลังมาติด ๆ พวกมันไม่ปล่อยให้พวกเราหนีไปง่าย ๆ คุณมาศพยายามเร่งความเร็ว เพื่อหลบกรงเล็บจากหมาป่าเงาพวกนั้น
“เฮ้ย” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ จังหวะที่กรงเล็บสีดำนั้นโฉบผ่านหน้าผมไปอย่างหวุดหวิด ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพวกมันจะเร็วขนาดนี้
พวกเรายังคงวิ่งหลบการตามล่าของพวกหมาป่าเงา ราวกับมันวางแผนให้เราวิ่งไปตามทางที่มันตั้งใจไว้ ทุก ๆ สอง สามนาที จะมีเงาที่แอบซุ่มอยู่ข้างหน้าคอยดักทางพวกเราไว้ มันทำให้คุณมาศต้องเปลี่ยนเส้นทางและชะลอความเร็วลง
ผมหันหลังไปมองรอยแยกบนท้องฟ้าเหนือหัวของผมอีกครั้ง ดวงตายักษ์สีแดงรูปจันทร์เสี้ยวยังคงปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ราวกับว่ามันกำลังจดจ้องและค่อยบอกความเคลื่อนไหวให้หมาป่ารู้ตำแหน่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปละก็พวกเราคงต้องถูกมันเล่นงานแน่ ผมขยับตัวไปใกล้ใบหูของคุณมาศแล้วกระซิบของเขาเบา ๆ
“คุณมาศครับผมมีแผน”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 12
Comments