“ท่านป้าสิ่งที่ข้าจะบอกท่าน การใช้งานลูกแก้วประสานวิญญาณ มันจะเหมือนท่านหลับฝันไป ท่านจะเปลี่ยนแปลงอะไรที่อยู่ในฝันหรือสิ่งที่เห็นไม่ได้ แม้จะอยากตื่นแค่ไหนท่านก็ต้องฝันต่อจนจบ เพียงแต่.....”
แว่นขยายของโม่ซือได้เห็นแต่เพียงเรื่องระทมของนาง เขาไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ควรส่งให้นางเข้าไปรับรู้อีก แม้ไม่อาจตอบได้ว่า การที่เข้าไปรับรู้เรื่องที่ปราถนาลืม จะเป็นประโยชน์หรือไม่ อย่างไรมันก็ถือเป็นความจำเป็นในเวลานี้ “ท่านจะรับรู้ทุกความรู้สึกเหมือนมันเกิดขึ้นอีกครั้ง หากเป็นความทุกข์ทรมานที่มากเกินไปจนสะเทือนถึงกล่องดวงจิตที่ประสานกับลูกแก้วประสานวิญญาณนี้ ก็อาจทำให้กล่องดวงใจสลายลงได้ และการใช้ลูกแก้ว จะสามารถทำได้เมื่อผู้ถือมีดวงจิตและวิญญาณที่มั่นคง เพียงแต่...” อู๋หมิงได้ฟังดังนั้น มิได้รู้สึกถึงความทุกข์ยากอะไร อาจเนื่องมาจากนางหลงลืมความระทมสิ้นแล้ว พร้อมยื่นมือรับดวงแก้วประสานวิญญาณ มาวางไว้บนฝ่ามือ
“ท่านป้า!!!!” โม่ซือน้อยกล่าวพร้อมรีบชูมือห้ามปรามนางไว้ปนยิ้มเจื่อนๆ
“เพียงแต่...ตอนนี้ข้าสัมผัสถึงพลังวิญญาณของท่านอีกจำนวนมาก..ใน เอิ่ม..เจ้าหนุ่มนักทวงหนี้คนนี้ แปลว่า.... ท่านจะต้อง....เอ่อ... เอิ่ม...ร่วมหลับใหลไปพร้อมกับเขา... แฮ่ๆ ” แม้ภายนอกอู๋หมิงดูราวดรุณีแรกรุ่น ทั้งมีนิสัยที่ระห่ำอยู่บ้างในช่วงครึ่งวิญญาณผ่านมา แต่หากนับความเป็นจิ้งจอกบรรพกาลยังคงถือว่าเป็นผู้มีอายุขัยวิญญาณมาไม่น้อยกว่าหมื่นๆ ปี เมื่อเทียบกับสตรีมนุษย์ ย่อมมีความกระดากอายไม่ต่างกัน
“ซือเอ๋อ!!!!”
อู๋หมิงร้องดุเจ้าโม่ซือ บนใบหน้าผิวน้ำผึ้งสะอาดสะอ้านของนาง ถูกละลายคละไปด้วยสีชมพูอ่อนๆ ระเรื่อ โม่ซือคว้าแขนของนางเข้ามา กระซิบกระซาบ “เอาน่าท่านป้า ท่านก็อย่าไปเห็นเขาเป็นเด็กหนุ่มสิ เรื่องนี้เราจะไม่พูดถึงมันอีกเมื่อท่านฟื้นขึ้นมา ยังไงเขาก็พูดได้แค่... เจ้าติดหนี้ข้า อยู่แล้ว” สดับได้ดังนั้นอู๋หมิงพลางแจกมะเหงกก้อนใหญ่ไปที่หลานตัวแสบของนาง “เจ้าซือเอ๋อ เดี๋ยวนี้เพราะข้าตามใจเจ้า ดูเจ้าสิ เสียคนไปกันใหญ่แล้ว” ซือเอ๋อรีบรับคำ
“ท่านป้า ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้วในเวลานี้ ที่น่าจะได้ผลเร็วทันใจที่สุด.. ท่านดูสิ เขาเอาแต่พูด เจ้าติดหนี้ข้าๆ ท่านไม่อยากรู้หรือ ท่านไปติดหนี้อะไรไอ้หนุ่มนักทวงหนี้ นี้กันแน่ ข้าอยากรู้จะแย่แล้ว มันก็แค่หลับใหลไปข้างๆ กัน เอ่ออ..ไม่สิ ก็แค่เขาจะไปรับรู้ทุกเรื่องของท่าน แต่ข้าไม่พูด ท่านไม่พูด เจ้าหนุ่มนี่รู้เรื่องแค่ เจ้าติดหนี้ข้าๆ ใครจะกล้าว่าถึงท่านเสียหายๆ ซ้ำที่นี่ก็อยู่ในเขตอาคมของข้า ยิ่งภายใต้เขาจักรวาล ใครจะมารับรู้สิ่งที่พวกเราทำกันอยู่ในตอนนี้”
ภายในเขาจักรวาล ไม่ใช่สถานที่ทั่วไป ที่มนุษย์ พรหมเทพ หรือใครจะเข้าไปได้โดยง่าย พระแม่หนี่ว์วาทรงสะกดยักษ์หินในแดนบรรพกาลเพื่อดูแลรักษาสถานที่ โม่ซือสามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ อู๋หมิงรู้ทันทีว่าหลานนั้นมีพัฒนาการในด้านสติปัญญา ซ้ำยังรู้จักการต่อรองแลกเปลี่ยน สามารถแลกเปลี่ยนเพื่อเข้าออกสถานที่ของเทพอสูรได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งการที่เขายอมสละของมีค่ามากมายกับบุรุษผู้อ้างตนว่าเป็นสัตยามูระนั่น ผู้ใดก็สามารถรู้ได้ด้วยตาเปล่า หากไม่ใช่เจ้าหนุ่มนี้กลายเป็นว่ามีสติปัญญาบ้องตื้น ใครจะแลกผ้าที่มีพลังเทพบิดาเต็มเปี่ยมผืนนั้น เทียบกันกับผ้าที่โม่ซือเอาไปแลกมาก็คงไม่ต่างจากปาหี่ข้างทางเท่านั้นเอง หลานคนนี้ก็ถือว่ามีพัฒนาการ ต่างจากตนในเวลานี้ ที่แม้จะใช้พลังเพียงเสี้ยวก็ยังทำด้วยตนเองได้ยาก ในระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิด พลันหันไปทางสัตยามูระ
“บางครั้งข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าฟังข้าเข้าใจจริงๆ ... เจ้าทึ่ม ฟังนะ ถ้าเจ้าพูดเรื่องนี้ออกไปแม้แต่น้อย ข้าจับเจ้าตอนทิ้งไว้ที่นี่แน่”
หลังจากที่ชายหนุ่มสำรวจโดยรอบอยู่สักพัก เมื่อได้ยินสุภาพสตรีกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าขมวดคิ้วเข้าแล้วเลาะมาประชิดตัวอู๋หมิง “เจ้าติด..หนี้..ข้า” ด้วยร่างกายผายยาวสง่าของเขา แม้อู๋หมิงจะมีรูปร่างสูงโปร่งกว่าหญิงสาวทั่วไป ทว่าความสูงของชายเบื้องหน้ากลับทำให้ใบหน้าของนางเชิดมองคล้อยตามใบหน้าของเขา ดวงเนตรของนางหรี่เล็กเรียวจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มเพื่อแสดงความจริงจัง ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่ได้หวั่นเกรงสายตาของนางเลยแม้แต่น้อย
“ข้าติดหนี้เจ้าๆ ข้าติดหนี้เจ้าจริงๆ ข้ารู้แล้วข้าติดหนี้เจ้า งั้นเราก็มาชดใช้หนี้ของเจ้ากัน หึ”
โม่ซือรีบคว้าโอกาสไม่รอช้า กวัดไกวหัตถ์ไปในอากาศสองสามครั้ง พลันปรากฏเตียงหยกที่มีขนาดพอเหมาะแก่คนสองคน ทั้งยังมีพื้นที่สำหรับจัดวางลูกแก้วประสานวิญญาณราวกับถูกออกแบบมาคู่กัน จากนั้นค่อยวาดกวาดยาวไปยังบรรยากาศรอบๆ ภาพของดวงดาวเล็กๆ ทั้งหลายก็ไหลเวียนไปตามเส้นสายลมปราณที่วิ่งเล่นล้อรับไปตามฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา บรรยากาศรอบๆ ค่อยๆ ถูกประดับประดากลายเป็นดวงไฟที่สว่างไสวและงดงามรายรอบเตียงหยกนี้
“มาเถอะท่านป้า เตียงหยกนี้ความจริงข้าได้มาคู่กับแก้วประสานวิญญาณ ในแดนมนุษย์ ใครจะรู้พลังความรักของมนุษย์ธรรมดาๆ กลับสามารถสร้างสิ่งที่วิเศษนี้ได้ แต่น่าเสียดายสุดท้ายสองผัวเมียตาเฒ่ายายแก่บำเพ็ญเพียรในร่างมนุษย์จนตายไปตามกันในสุสานลับนั่น กลับไม่ได้ร่างอมตะ เตียงหยกเย็นนี้ก็ เหลือไว้เพียงตำนานเล่ากันไปผิดๆ ถูกๆ ฮ่าๆ คงจะมีแต่ข้าที่เห็นคุณค่าของสิ่งนี้ ฮ่าๆๆ”
โม่ซือ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ อู๋หมิงย่อมมองออกถึงความคิดของผู้หลานที่แท้ พึงอยากสอบรู้การทำงานของเตียงทิพย์แลแก้วประสานวิญญาณ คงถึงคราวที่นางจะต้องสอนหลาน ให้รู้สำนึก ถึงการเอาของผู้อื่นที่ล่วงลับ มาสะสมไว้มากมาย จนกลายเป็นขยะอวกาศเช่นนี้
“เจ้าเองก็ควรคืนผ้าทิพย์ให้เจ้าหนุ่มนั่นได้แล้ว ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เจ้าเอาคนไม่รู้ความมาเป็นผู้ทดลองวิชชานะ ซือเอ๋อ” สีหน้าของโม่ซือแม้จะเขินอายคล้ายกำลังถูกคนจ้องมองการกระทำอันแนบเนียนของเขา
“ท่านป้า นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก ท่านดูสิ สิ่งนี้เป็นของล้ำค่าที่เป็นตำนานในแดนมนุษย์ ถึงเทวาอินทราโลกยังต้องมาตามหาหยกชิ้นนี้เลยนะท่านป้า.. ท่านดูสิเตียงหยกเย็นทั้งยังช่วยให้เราบำเพ็ญได้รุดหน้าไวขึ้น กับมนุษย์แล้วคงทำให้เลื่อนระดับได้ถึง 10 ขั้นบรรลุถึงเซียนหยินระดับสูงในหนึ่งชีวิตเดียวได้ไม่ยาก กับภูติ และเซียนในแดนเรายิ่งสุดจะจินตนาการ ฮ่าๆๆๆๆ ไหนจะพลังเฮือกสุดท้ายของยายเฒ่าตาเฒ่าเจ้าเตียงนั่น ยุคนั้นพวกเขาถึงระดับสิบสองก่อนจะละสังขาร ซ้ำยังมีพลังเซียนที่ตกค้างอยู่กับวัตถุชิ้นนี้ถึงเจ็ดส่วน ข้าเห็นเป็นของล้ำค่าจึงมาให้ท่านป้าใช้ก่อนใครเลย...”
ความพยายามเบี่ยงเบนเรื่องราวเป็นท่าทีของเด็กน้อยที่ไม่อยากเสียของเล่น “คืนไปซ่ะ ซือเอ๋อ” เมื่อรู้ว่าจำนรรจาเรื่อยไปไม่เป็นผล โม่ซือก็ได้แต่คืนของล้ำข้าให้สัตยามูระ “เจ้าติ...ด หนี ข้า” แม้จะเป็นถ้อยความซ้ำๆ น้ำเสียงคล้ายจะกล่าวออกมาเพื่อทำความขอบคุณ โม่ซือเห็นดังนั้นก็ได้ทำการเสกผ้าผืนเดิมคืนให้แก่สัตยามูระ ทำเอาท่านป้าของเขาแทบกระอักขำ
“เห็นไหมล่ะท่านป้าข้าหวังดีต่อเขาต่างหากท่านดูสิ ไม่ใช่ว่ามันน่าอุจาดตาเหมือนพวกวิญญาณเร่ร่อนหรอกหรือ ฮ่าๆๆ” สัตยามูระ ชายหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องใดๆ นอกจากการทวงหนี้ ทำสีหน้าชวนสงสัย อู๋หมิงเองก็แทบจะสำลักขำในอาการของเขา
“ซือเอ๋อเจ้าควรสอนเขาเปลี่ยนผ้าด้วยการตรึกคิดอธิษฐานสิ”
โม่ซือ ขยับตัวเข้าประชิดสัตยามูระ พร้อมถ่ายพลังปราณที่มีผ่านฝ่ามือของเขาแล้วกวาดไปมาเพื่อให้เจ้าหนุ่มตรงหน้าได้รู้จักพื้นฐานของปราณเสียก่อน โม่ซือนั้นแม้จะชื่อว่ายังเป็นมหาภูติแต่ก็บำเพ็ญมากว่าสามพันปีหากไม่ใช่ว่าชื่นชอบชีวิตเช่นนี้ คงยอมรับมรรคาสวรรค์บำเพ็ญจนรุดหน้าไปไกลแล้ว การถ่ายปราณให้สัตยามูระพึงทำได้ง่ายดายสำหรับเขา ชั่วครู่โม่ซือค่อยๆ ใช้พลังวิญญาณแปลงเครื่องแต่งกายของตนไปเรื่อยๆ เพื่อนำทางชายหนุ่มตรงหน้า ทว่าเครื่องแต่งกายของสัตยามูระก็ยังคงปรากฏเป็นผ้าผืนเดียวไม่สวยงามนัก บางครั้งก็ปรากฏเป็นชุดสตรีเป็นที่ขบขัน อู๋หมิงเห็นท่าทีนั้นก็เข้ามาแนบข้างตัวชายหนุ่ม ทันใดก็ปรากฏสายปราณสีชมพูสว่างออกจากตัวของนางเป็นที่น่าอัศจรรย์
“สวรรค์เมตตา สวรรค์เมตตา ท่านป้าเริ่มกลับมาใช้ปราณได้แล้ว”
โม่ซือร้องออกมาด้วยความดีใจแม้สองป้าหลานจะรู้ว่านี่คือสายปราณเพียงน้อย เมื่อเทียบกับพลังดั้งเดิมของอู๋หมิง สมัยเก้าพันปีก่อนกลับสำเร็จเซียนหยินถึงระดับสูง ในกาลนั้นแม้กระทั่งยักษ์อารักษ์เขาจักรวาลยังรู้จักเกรงใจนาง
“หลับตา ตั้งจิตอธิษฐาน นึกถึงภาพที่เจ้าเห็น ที่เจ้านึกชื่นชม งดงามและประทับใจ”
อู๋หมิง อาสัยกำลังที่มีประคองสองมือนั้นขึ้นไหลผ่านพลังเข้าประสานกับปราณในร่างสัตยามูระ น่าแปลกที่สามารถทะลวงเข้าไปสู่กายทิพย์ของเขาราวว่าเป็นส่วนหนึ่งกับตนเอง ซ้ำยังก่อเกิดส่งเสริมพลังวิญญาณในตนให้พอกพูน ร่างสูงบางสง่างามของหญิงสาวลอยเลาะตามกระแสการโคจรมาด้านหน้าสัตยามูระ ที่ค่อยๆ เปิดตาขึ้น ดวงเนตรเบิกมองประสานกันระหว่างดวงตาอู๋หมิง ทั้งสองนิ่งสงัดในกระแสสมาธิร่วมกันอยู่ชั่วครู่ พลันปรากฏลำแสงสีทองออกจากผ้าทิพย์ และร่างบุรุษ ผมดำขลับสยายยาวพัดไปตามลมสอดรับกับใบหน้าที่งดงามของชายหนุ่มเมื่อรวมเข้ากับชุดเกราะที่ประดับประดาไปด้วยพู่ขนสีขาวจากหงสาสวรรค์ คล้ายคลึงกับครั้งหนึ่งในอดีต
“นี่มันชุดที่ท่านป้าเคยใส่ออกศึกกับสุริยเทพ ฮ่าๆๆๆๆ เจ้านี่ตาถึงจริงๆ น้องชายนักทวงหนี้ ใช้ได้ๆ”
โม่ซือชื่นชม ขณะที่อู๋หมิงรีบกล่าวตอบกลับก่อนจะขายหน้าไปมากกว่านี้ “เจ้าเด็กโง่ ตอนนั้นข้าเพียงไปรับการถ่ายทอดความรู้จากสุริยเทพจึงต้องมีชุดเกราะไว้ป้องกันแสงบริสุทธิ์ของคุรุสุริยเทพ ก็คิดเป็นข้าไปออกรบเสียได้ ซือเอ๋อ เจ้าเด็กบ้อง”
สายตาอู๋หมิงจ้องมองสัตยามูระ ไม่คาดคิดบุรุษบ้าใบ้ผู้นี้เมื่ออยู่ในชุดที่ดูเหมาะกับสรีระของเขากลับน่ามองยิ่งนัก ซ้ำยังทำให้นางหวนนึกถึงช่วงที่เพิ่งเข้ารับการศึกษากับสุริยเทพ คล้ายจะถอดแบบมาจากชุดของนางในสมัยนั้นเลยทีเดียว การเข้าใกล้แสงของสุริยเทพได้ จะต้องมีขนปักษาของเผ่าหงส์เพลิงวิสุทธิช่วยปกคลุมร่างกายทิพย์เอาไว้ไม่ให้ร่างถูกกลืนกินเข้าไปรวมกับเปลวเพลิงบริสุทธิ์ของมหาคุรุ อู๋หมิงมองสัตยามูระพลางครุ่นคิดไปว่า ชายผู้นี้ได้พบเห็นมาจากที่ใด ทว่ายิ่งเพ่งพิศมองดูชายหนุ่มตรงหน้า ก็เพลินให้รู้สึกถึงความสมส่วนแห่งบุรุษ น่ามองกว่าภาพของสตรีในชุดนักรบมากนัก ชายหนุ่มที่มองกลับมาอย่างเรียบเฉยใบหน้าปนยิ้มบางๆ ที่มุมปาก “เจ้าติ....ด หนี้...ข้า.....” แม้จะมาจากน้ำเสียงที่อ่อนหวานแต่ก็ทำเอาภาพเคลิ้มฝันตรงนั้นสลายหายไปสิ้น
“มาเถอะ ข้าพร้อมแล้ว หากยังมัวเล่นกับซือเอ๋อ ข้าคงจะโดนสวรรค์ต่อว่าไปอีกสัก 2000 ปี” โม่ซือพยักหน้าและพาชายหนุ่มไปยังเตียงอีกฟากหนึ่งข้างอู๋หมิง
“ต่อไปนี้ท่านก็วางมือประสานไว้ข้างลูกแก้ววิญญาณด้วยกันในท่านอนหงายเหยียดตรง ท่านป้าให้วางมือขวาคว่ำลง ส่วนน้องชายเจ้าก็วางมือซ้ายหงายขึ้นไว้”
เมื่อทั้งคู่ค่อยๆ หลับลงทีละน้อย โม่ซือเริ่มประสานฝ่ามือของเขา ปลุกพลังภายในของเตียงหยกขึ้น เขาวาดมือจากซ้ายไปขวาแลหมุนวนไปมาเป็นเลขแปด จากนั้น กลไกของเตียงเริ่มทำงาน ประสานเอามือที่วางหงายเคลื่อนตามกลไกไปอยู่ด้านล่างมือที่คว่ำลง ลูกแก้วค่อยๆ ย่อขนาดลงพอดีกับอุ้งมือ โคจรอยู่สักพักดวงแก้วจึงเริ่มประสานเข้ากับคนทั้งสอง ฝ่ามือพวกเขาแนบประกบกัน
“ท่านป้า!! โอ้ข้าลืมไปเลย สร้อยที่ทำมาจากเชือกแดงของท่านอา เจ้าหนุ่มนี่ตื่นมาต้องซี้แหง๋แก๋แน่ๆ”
โม่ซืออุทานอย่างตกใจ สร้อยที่ให้สัตยามูระไว้ คือสร้อยคอของท่านอากามเทพ ขณะที่ตนไม่รู้ หญิงสาวที่บุรุษติดข้องคือผู้ใด นึกสงสารเห็นใจบุรุษที่เฝ้าตามหญิงใจสลายผู้นั้นอย่างสุดซึ้ง คิดให้ของขวัญแก่หนุ่มน้อยด้วยสิ่งนี้ ไว้มัดใจสตรีด้านหน้าไม่ให้ทิ้งเขาเดินล่อนจ้อนเดียวดายลำพังอีก ไฉนสตรีกลับกลายมาเป็นท่านป้าของเขาได้
“ไม่เป็นไรขอเพียงเจ้าและท่านป้าไม่ปรารถนา กลไกของสร้อยก็ไม่ทำงาน”
โม่ซือกล่าวไม่ทันขาดคำ สร้อยเส้นนั้นเกิดความเคลื่อนไหว เลื่อนจากคอของเขา แบ่งตัวออกเป็นสองเส้น ไหลลงมาเหมือนงูที่กำลังเลื้อยไต่ไปกับน้ำ จนเริ่มถักมัดเข้าไปในกระแสปราณ ณ จุดที่เป็นฝ่ามือซึ่งคนทั้งสองสัมผัสกันอยู่อย่างละมุนละไม ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งขึ้นในสถานที่แห่งนี้ โม่ซือรีบใช้อาคมบังตาสะกดคลุมทับเตียงหยกนี้ไว้อีกชั้นหนึ่ง
“ท่านอาโม่คัง..”
เสียงเรียกของโม่ซือพอจะทำให้รู้ได้ว่าบุคคลที่ปรากฏนี้คงจะเป็นกามเทพจิ้งจอกผู้นั้น ที่เขากล่าวถึงก่อนหน้านี้ “เจ้าเด็กน้อย จะซนไปถึงเมื่อไหร่ ข้าสัมผัสได้ถึงการเปิดใช้อาคมของข้า เอามาคืนอาเสียดีๆ ของสิ่งนี้อาต้องเก็บไว้ท่านป้าของเจ้า ในงานพิธีเลือกคู่คองของนาง เจ้าเด็กดื้อเรียกชื่ออาด้วยชื่อเกาหลี อีคังมูๆ อีคังมู!!! เข้าใจไหม” กามเทพมีหน้าที่ช่วยเหลือให้ทั่วทั้งจักรวาลขยายเผ่าพันธุ์ได้อย่างราบรื่น รูปภายนอกจึงเป็นบุรุษตัวเล็กที่ดูงดงามราวสตรี เป็นลักษณะที่แสดงความหมายถึงการอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่ออยู่เบื้องหน้าสรรพสิ่ง แต่ยังคงความเข้มแข็งต่อหน้าที่ของตนในขณะเดียวกัน กาลเวลาจักรวาลทั้งหลายไม่เป็นเส้นตรงเช่นแดนมนุษย์ ทำให้เทพพรหมในดินแดนสวรรค์ ต่างไปมาสู่กาลต่างๆ ได้ ตามกำลังภพภูมิของพวกเขาด้วยเส้นเวลาของแต่ละดินแดนไม่เท่ากัน บางทีอาจยาวมากจนราวกับว่าเป็นนิรันดร์เช่นพระบิดาพระมารดา กามเทพและผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับลิขิตชะตา มีฐานจิตพรหมเป็นอย่างน้อย และบางครั้งก็ได้รับกำลังหรืออาญาสิทธิ์จากสวรรค์จึงสามารถทำให้พวกเขาเดินทางไปในหลากหลายมิติกาลเวลา เพื่อสำเร็จภารกิจได้ ทว่าคราวนี้การมาของกามเทพคังเป็นไปโดยความสามารถพิเศษของเผ่าจิ้งจอก จึงปรากฏตามอาคมของตนได้อย่างรวดเร็ว
“นี่มันกลิ่น อะไรกัน” พลางทำจมูกดมฟึดฟัดๆ “อาว่ากลิ่นนี้มัน...” กามเทพกล่าวพลางเดินวนรอบๆ ตัวหลานจอมแสบ
โม่ซือที่กลัวจะโดนต่อว่าทั้งสองทาง ทางแรกก็คือท่านป้าสายโหด ต่อมาก็ท่านอาคัง คงจะไม่ให้เขาได้ออกมาเที่ยวเล่นสนุกอีกพักใหญ่ๆ เป็นแน่ “ซือเอ๋อร์ เจ้าเจอนางแล้วสินะ สมกับเป็นหลานรักของท่านพี่จริงๆ”
กามเทพคังคงจะคิดว่าป้าหลานคู่นี้หยอกเย้าตนเล่น กล่าวจบก็พลันตวัดมือเบาๆ เพียงหนึ่งครั้ง อาคมของโม่ซือก็พังทลายลง ในขณะที่กามเทพคังค่อยๆ บิดเบนพักตร์ออกจากหลานตัวแสบ เมื่อหันมาเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง เนตรทั้งสองเบิกโพร่งด้วยความตกใจ
“ซือออออเอ๋ออออ!!! นี่มันอะไร” หากไม่ใช่นั่นเป็นเขาจักรวาลเสียงนั้นคงจะประกาศความอับอายนี้ไปทั่วชั้นฟ้าเป็นแน่ “นี่เจ้าเอาสร้อยที่อาทำ มาใช้ทำอะไร!!!!” พลางมองสลับไปมาระหว่างหน้าหลานและภาพที่ปรากฏนั้น
“เจ้ารู้ไหมถ้าประสานปราณพวกเขาพร้อมกับเตียงหยกเย็นนี้ นารีและบุรุษจะถูกผูกกันไว้ชั่วกาลนาน ครั้งหนึ่งอากับวิษณุเทพร่วมกันสร้างของทิพย์นี้ เป็นของขวัญ ที่สวรรค์มอบให้ร่างบำเพ็ญบิดามารดาเจ้าปักษา ได้ใช้บำเพ็ญในแดนมนุษย์ เพื่อผูกวาสนาของพวกเขา นี่ป้าของเจ้ากำลังทำอะไร แล้วนั่นทำไมนางจึงมีสภาพเช่นนั้นกัน!!!”
ไม่ว่าใครมาพบท่านป้าของเขาในเวลานี้ คงเป็นที่ตกใจ ไม่ใช่ด้วยบุรุษที่นอนอยู่เคียงข้าง แต่เป็นเพราะสตรีในตำนานเทพบรรพกาลกลับกลายเป็นผู้มีปราณเซียนแผ่วเบาลงถึงเพียงนี้ โม่ซือค่อยๆ เล่าให้ผู้เป็นอาฟังถึงที่มา กามเทพคังเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว
“เด็กน้อยวันหน้าการจะทำสิ่งใดเจ้าควรจะปรึกษาผู้ใหญ่ให้ดี สิ่งนี้หากหลุดรู้ไปในดินแดนใดๆ อาจจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ ระหว่างเผ่าต่างๆ ได้ ป้าของเจ้าตอนนี้ ยังต้องรีบกลับไปแก้ปัญหานี้ แต่หากใจของนางถูกผูกไปกับบุรุษผู้นี้แล้ว ชะตากรรมที่นางต้องไปตัดสินคู่ชีวิตตรงหน้านางจะทำเช่นไร” กามเทพคังกล่าวอย่างกังวล พลางเดินวนไปวนมาหน้าเตียงหยกเย็นนั้น
“ท่านอา มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ... ท่านป้าก็แค่ตัดสินบอกไปว่าไม่มีผู้ใดชนะใจชาวประชา และไม่มีใครตอบคำถามของนางสำเร็จก็ได้นิท่านอา เราก็แค่ต้องพยายามให้นางตื่นขึ้นมา และทำให้เจ้าบุรุษนี้มีปัญญาไปเอาชนะปัญหาและคำถามของท่านป้าให้ได้....ตายล่ะ!!!! เจ้าหนุ่มปัญญาทึบ..ซี้แหง๋แก๋ๆ”
โม่ซือกล่าวขณะเสกเก้าอี้ขึ้นมา ฟุบลงนั่งนิ่ง กามเทพคังพลันดีดหูแหลมๆ ของเขาเพื่อเตือนสติ “ปัญหาของป้าเจ้า หากข้าเป็นเทพเซียนที่รู้จักนางเสียก่อน ข้าจะวิ่งหนีไปให้ไกลสุดโลกหล้า แต่เทพบุตรพวกนั้น ยังคงดื้อดึง อาจจะเพราะความปรารถนาในพลังบรรพกาลซึ่งจะไปเสริมให้พวกเขาบำเพ็ญได้ไว และรูปลักษณ์เก้าหางที่เห็นเพียงภายนอกของนาง บุรุษก็ยากจะต้านความรู้สึกได้ แม้ท่านป้าเจ้าจะสำเร็จมรรคาเซียนระดับสูง แต่ความจริงนางกลับไม่ยอมพัฒนาต่อให้สำเร็จซึ่งวิสุทธิมรรค นางทั้งขี้เกียจตัวเป็นขน เป็นผู้ว่ายากและไม่ค่อยยอมรับผู้อื่นตั้งแต่เราถูกย้ายถิ่นฐานมาใกล้ชิดกับดินแดนมนุษย์ สงสัยจะมีก็แต่เจ้าปักษาที่จะทนคบหากับนางได้ แต่มาจนถึงบัดนี้ อายังไม่เห็นแม้แต่เงาคนทั้งสองบนแดนเซียน จนมาเจอป้าเจ้าที่นี่ ก็ยังไม่ได้พบเจ้าปักษา”
โม่ซือถามกลับ “แล้วเจ้าวังนาคาล่ะท่านอาคัง..เอ่ออ..ท่านอาอีคังมู” กามเทพคังเดินไปเดินมาในมือซ้ายค่อยๆ กวัดพัดเข้าหาตัว นิ่งไปเพียงครู่สั้น คล้ายกำลังเรียบเรียงถ้อยความออกมาพลันกวาดมือขวาไขว้ไว้ที่หลัง
“เจ้านาคากลับมาจากโลกมนุษย์นานแล้ว แม้จะแวะเวียนมาที่ดินแดนของเราอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ไปบำเพ็ญบนโลกมนุษย์ร่วมกันกับท่านพี่และเจ้าปักษา แต่กลับไม่รู้เหนือใต้ของพวกเขานี่สิ น่าแปลกจริงๆ ”
กล่าวจบ กามเทพคังเพียงดีดนิ้ว ก็ปรากฏคันฉ่องส่องภพชาติขึ้นมาอันหนึ่ง แล้วดึงปราณของอู๋หมิงกับชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเข้ามาใส่แค่เพียงส่วน
“ท่านอา..ค..คังมู ถ้างั้นทำไมเราไม่ใช่กระจกส่องภพชาติตั้งแต่แรก..เอ่อ..” โม่ซือถึงกลับรู้สึกผิดในปัญหาที่เขาสร้างไว้ให้อู๋หมิงขึ้นมาทันที
“ข้าถึงบอกเจ้าไง ให้รู้จักเดินในมรรคาเซียนได้แล้ว เป็นเด็กทำอะไรก็ต้องรู้จักปรึกษาผู้ใหญ่ เข้าใจไหมเจ้าตัวแสบ!!!” กระจกส่องภพชาติไม่เพียงแต่ส่องภพชาติได้เพียงในจิตสื่อจิตเท่านั้น ยังสามารถทำให้ผู้อยู่เบื้องนอกรับรู้เรื่องราวไปพร้อมกับพวกเขาได้อีกด้วย
“TT^TT”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments